บางคนอาจจะงง ทำไมเป็นโรค SLE หรือ Rheumatoid หรือโรคแพ้ภูมิตัวเองใดๆ เหตุใดจึงได้ยาต้านมาเลเรีย chloroquine หรือ hydroxychloroquine
มีการตั้งสมมติฐานว่าเจ้ายาตัวนี้ไปยับยั้งกระบวนการหลายอย่างของการอักเสบ ในหลายๆกระบวนการ (หรือพูดอีกแง่คือ ยังไม่รู้ชัดๆนั่นเอง) ทั้งการขัดขวางการนำเสนอสิ่งแปลกปลอมของเซลที่ชื่อว่า Antigen Presenting Cell ทั้งกดการหลั่งสารการอักเสบ tumor necrotic factor alpha, interleukin 6 ทั้งการยั้บยั้งการทำงานของ T cell เซลสำคัญที่ส่งผลในโรคแพ้ภูมิตัวเอง
เรียกง่ายๆว่ากลไกเหล่านี้ เราพบมากในโรคแพ้ภูมิตัวเอง หากเราไปยับยั้งได้ ความรุนแรงของโรคก็จะลดลง ไม่ว่า ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เอสแอลอี โจเกรน
สำหรับโรคเอสแอลอี และ โรค anti phospholipids มีการศึกษาออกมามากว่าประสิทธิภาพของยาค่อนข้างดี และถอดยาออกไปก็มักจะกำเริบมาก จึงเป็นหนึ่งในยาที่มักจะใช้ในการรักษาหากไม่มีข้อห้ามหรือทนยาไม่ไหว
ส่วนโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์แม้ว่ายาจะได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่ม DMARDs คือยาที่ใช้เพื่อปรับและลดความรุนแรงของโรค แต่หลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโรคก็ยังไม่ชัดเจนนัก เรียกว่าใช้เป็นยาหลักเดี่ยวๆได้น้อยมากๆ
ข้อเสียสำคัญของยาสองตัวนี้คือ อาจเกิดความผิดปกติได้ที่จอประสาทตา จำเป็นต้องมีการตรวจตาโดยจักษุแพทย์ทุกปีและแม้หยุดใช้ไปแล้วก็ยังคงต้องตรวจติดตามอยู่สักระยะหนึ่งอยู่ดี กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติก็อาจเกิดได้เช่นกัน ที่มีลักษณะจำเพาะ (myelinoid and curvilinear inclusion) ที่จะพบจากการตัดชิ้นเนื้อกล้ามเนื้อหัวใจไปพิสูจน์
ส่วนผลเสียที่พบได้บ้างคือมีเม็ดสีผิดปกติที่ผิวหนัง กล้ามเนื้ออ่อนแรง และปลายประสาทผิดปกติ แยกยากจากโรคอื่น แต่ว่าวินิจฉัยและรักษาได้ง่ายหยุดยาแล้วอาการจะหายไป
มีอีกหลายโรคหลายภาวะที่เราไม่ได้ใช้ยาตามชื่อของมันที่เป็นกลไกหลัก อย่าไปแปลชื่อยาแล้วหยุดยาเอง ผมเคยพบหยุดยา methotrexate เวลารักษารูมาตอยด์เพราะมีคนบอกว่าใช้รักษามะเร็ง เคยพบหยุดยา propranolol ในการรักษา essential tremor เพราะชื่อยาเป็นยาลดความดัน เคยพบหยุดยา montelukast ในการรักษาหอบหืด เพราะไปกดกูเกิ้ลออกมาเป็นยารักษาภูมิแพ้
สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น ..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น