31 มีนาคม 2566

ตั้งครรภ์ แต่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

 ตั้งครรภ์ แต่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

1. การรักษาช่วงตั้งครรภ์เพื่อลดการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกเป็นหลัก
2. สำหรับแม่ ถ้าปริมาณไวรัส (HBV DNA viral load) เกิน 200,000 iu/ml แนะนำกินยา tenofovir ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 28 แล้วไปประเมินว่าต้องกินต่อไปไหม
3. ถ้าแม่มีภาวะตับแข็งด้วย อันนี้กินยาเลยเมื่อตรวจพบ หวังผลรักษาแม่ด้วย
4. ถ้าแม่ตรวจปริมาณไวรัสน้อยกว่า 20,000 iu/ml แต่มีตับอักเสบเรื้อรัง อันนี้ก็กินยาได้เลย หวังผลดูแลแม่ด้วย
5. ยา TDF (tenofovir disoproxil) ใช้ในหญิงตั้งครรภ์ได้ ส่วน TAF (tenofovir alafenamide) ให้รอข้อมูลเพิ่ม
6. ในเด็กแรกเกิด ให้เลื่อนวัคซีนเข็มสองมาฉีดที่หนึ่งเดือนแทนสองเดือน และพิจารณาให้ immunoglobulins สำหรับตับอักเสบบี
7. ให้ลูกกินนมแม่ได้
8. ควรตรวจทราบสถานะไวรัสตับอักเสบบีตัวเองสักครั้ง ถ้ายังไม่ได้วัคซีน หรือไม่มีภูมิคุ้มกัน จัดการให้เรียบร้อยก่อนตั้งครรภ์
9. ติดเชื้อแล้ว รักษาอยู่ ก็ตั้งครรภ์ได้ แต่ต้องรู้วิธีการจัดการ และความเสี่ยงแพร่เชื้อสู่คู่แต่งงาน
จบ

30 มีนาคม 2566

เรื่องราวของม้าเมืองทรอยที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน

 เรื่องราวของม้าเมืองทรอยที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน

สงครามเมืองทรอย (trojan war) เป็นสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายกรีก นำโดยกษัตริย์อะกาแมมนอน ที่มียอดขุนพลอาคิลิส กับเมืองทรอย นำโดยกษัตริย์เพรียม ที่มียอดขุนพลเฮกเตอร์ จริง ๆ แล้วสองเมืองนี้ก็ฮึ่ม ๆ กันสักพักแล้วล่ะ แต่ไม่กล้าเพราะต่างก็เข้มแข็ง
แม้อะกาเมมนอนจะมีกระสุนและกระแสที่ดีมาก แต่ยังกริ่งเกรงเมืองทรอย ที่มีเสียงเทพเจ้ากรีก 250 เสียงคอยสนับสนุนอยู่
เมื่อเจ้าชายปารีส ขุนแผนเมืองทรอยมาตีท้ายครัว ลักลอบพาราชินิเฮเลน เมียของอีตาอะกาเมมนอน หนีตามเขามาที่เมืองทรอย อะกาเมมนอนก็ยกทัพหวังจะชิงเมียคืนและเหยียบเมืองทรอยให้ราบคาบ ตัวเองจะได้ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมดิเตอเรเนียน .. นี่มันสงครามทรอยหรือรามเกียรติ์ ??
อะกาเมมนอน ยกทัพม้าทัพช้างทัพเรือ ไปปิดล้อมเมืองทรอย สู้กันจนล้า ก็ตีเมืองทรอยไม่ได้เสียที ทหารก็เริ่มหมดแรงเหนื่อยล้า ส่วนเมืองทรอยก็อดอยากหิวโหย ทั้งสองฝ่ายอยากจะสงบศึกเต็มที
แต่เพราะเฮเลนสวยที่สุดในโลกไง มงกุฏมิสยูนิเวิร์ส กับสปอร์ต อิลลัสเตรต การันตีรางวัลแบบนั้น อะกาเมมนอนย่อมไม่ยอม ส่งจดหมายให้ม้าเร็ว ไปเรียกตัวสุดยอดกุนซือแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา ชะล้อ ฮวง มาช่วยการศึก
ชะล้อ ฮวง มาบริ๊ฟงานกับอะกาเมมนอน แล้วหัวเราะหึ บอกว่า เฮีย งานนี้หมูว่ะ เอาค่าแถลงข่าวมาก่อนสามแสน เสร็จงานขออีกสามแสน ไม่สำเร็จคืนเงินในเจ็ดวัน !!
ชะล้อ ฮวง รู้ดีว่าในเมืองทรอยแทบไม่มีอะไรกิน ประชาชนอดอยาก เงินสนับสนุนจากภาครัฐหมดสิ้น เป๋าตังใคร ใครเที่ยวด้วยกัน เกลี้ยง.. ค่าแรงขั้นต่ำก็ไม่ขึ้น ราคาพืชผลก็ตกต่ำ
เขาเริ่มปล่อยข่าวเรื่อง อาหารวิเศษ กินมื้อเดียวอิ่มไปเจ็ดวัน พลังงานเพียบ รบกับใครก็ชนะ ปล่อยทั้งภาพ เสียง วิดีโอผ่านทุกช่องทางไม่ว่าสื่อโซเชียล ส่งพิมพ์ เคเบิลทีวี วิทยุชุมชน ออกหมดทุกรายการ เรื่องเหล้าเช้าโน้น โหนกระสือ
จนชาวเมืองจนถึงขุนนางเชื่อสนิท ค่าการตลาดของอาหารชนิดนั้นพุ่งสูงมาก เดิมจากจานละ 80 ตอนนี้ซื้อขายกันล่วงหน้าที่จานละ 10,000 วิชาปั่นแมงเม่าของชะล้อ ฮวง แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่างลุ่มลึก
เมื่อเหตุการณ์สุกงอม ชะล้อ ฮวง บอกอะกาเมมนอนว่า ไปจัดอาหารชนิดนั้นมาที่ประตูเมือง ยกเลิกสงคราม สงบศึก ยกอาหารเป็นบรรณาการ อาหารนั้นคือ เนื้อม้าดิบทรงเครื่อง !!! มากมายขนาดเลี้ยงคนได้ทั้งเมือง แต่งจานให้ดูดี น่ากิน มีสาวเชียร์เบียร์ ผลหมากรากไม้ทั้งกัญชงกัญชา เพียบ
เหตุการณ์เป็นไปตามคาด ชาวเมืองที่หิวโหย ทหารที่อ่อนล้า เมื่อโดนโฆษณาชวนเชื่อต่อเนื่อง เปิดเมืองมาเจอบุฟเฟต์เนื้อม้าดิบขนาดมหึมา เทศกาลกินเนื้อม้าดิบยันหว่างก็เกิดขึ้น
สองวันต่อมา กองทัพของอะกาเมมนอนเดินสบาย ๆ ผ่านประตูเมือง ไร้ซึ่งการต่อต้าน ประชาชนและทหารต่างป่วยกันสิ้น ครึ่งหนึ่งท้องเสียถ่ายเหลวอาเจียนรุนแรงเพราะ salmonella ในลำไส้ที่ปะปนอยู่ในเนื้อม้าดิบ อีกครึ่งมีไข้สูง อ่อนเพลีย เหงื่อแตก ชีพจรเต้นช้า เพราะติดเชื้อ salmonella จากการกินม้าดิบ เข้าในกระแสเลือด
อะกาเมมนอนถามว่า แล้วคนที่หนีไปตอนเข้าเมือง เดี๋ยวกลับมาทำสงครามแย่งคืนเมืองจะทำอย่างไร ชะล้อ ฮวง บอกว่า ผลระยะยาวยังมีอีก คือติดเชื้อพยาธิ trichuris trichiura ที่แทรกในเนื้อม้าดิบ รับรองว่าท่านปราศจากศัตรู อยู่ยาวอีกแปดปี
เท่านั้นก็ยุติสงครามกรีกและทรอย แบบง่าย ๆ สร้างตำนาน 'ม้าเมืองทรอย' อันลือลั่น
บทส่งท้าย
อะกาเมมนอน ไม่อยากให้ชาวโลกรู้ว่าเขาใช้กลศึกแบบนี้ และไม่อยากให้ชาวโลกรู้จักชะล้อ ฮวง เลยบอกเลขาฯ ว่า ให้บันทึกว่าเราใช้ม้าไม้ยักษ์ และซ่อนทหารในนั้นไปบุกทำลายเมืองทรอย แล้วส่งเรื่องราวนี้ออกทางโซเชียลทั่วโลก
ได้ทั้งเมืองทรอย ได้ทั้งหญิงสาวได้ทั้งชื่อเสียง กำจัดศัตรูการเมือง เจ้าชายปารีสก็หมดโอกาสเป็นศัตรูความรัก ยิงปืนทีเดียวได้นกห้าตัว
แล้วอะกาเมมนอนก็เดินเข้าห้องนอน ที่มีเฮเลน สุภาพสตรีที่งามที่สุดในโลกรออยู่ ถอดวิก ถอดเคราปลอม ถอดเสื้อเกราะออก เห็นเป็นผู้ชายหนุ่มหน้าตาดี หุ่นน่ากิน ยิ้มทรงเสน่ห์ กับเสื้อยืดคอกลมสีขาว มีลายสกรีนสีน้ำเงินเข้มที่หน้าอกว่า "อายุรศาสตร์ ง่ายนิดเดียว"

29 มีนาคม 2566

ยาลดปวดต้านการอักเสบ (NSAIDs) กับการแข็งตัวเลือด

 ยาลดปวดต้านการอักเสบ (NSAIDs) กับการแข็งตัวเลือด

เราอาจจะได้ยินคำแนะนำนี้ หยุดยาก่อนผ่าตัดเพื่อป้องกันเลือดออก อย่าใช้ยานี้ถ้าสงสัยไข้เลือดออก เพราะมันทำให้เลือดออกมากขึ้น แล้วจริง ๆ เป็นอย่างไร
ยา NSAIDs นอกจากไปยับยั้ง prostaglandins ที่ทำให้เกิดผลกัดกระเพาะและไตบาดเจ็บ ตัวมันยังทำงานผ่านกลไก thromboxane A2 ทำให้เกล็ดเลือดไม่จับตัวกัน เลือดไม่เป็นลิ่มง่ายนัก ใช้ในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง แต่ก็ทำให้เลือดออกง่าย
แต่ NSAIDs ก็ไม่ได้ออกฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือดเท่ากันเหมือนกันทุกตัว ยาที่ชัดเจนคือ aspirin ยับยั้งเกล็ดเลือดอย่างดีมากและยังยับยั้งถาวร เกล็ดเลือดตัวนั้นเสียสมบัติจับตัวห้ามเลือดไปเลย ถ้าต้องการเกล็ดเลือดมาทำงานนี้ ต้องรอชุดใหม่อีกหนึ่งสัปดาห์ (เหตุผลหยุดหนึ่งสัปดาห์)
ส่วน NSAIDs ตัวอื่นจะจับเกล็ดเลือดแบบชั่วคราว แค่วันเดียวก็เลิกทำให้เลือดออกง่ายแล้ว ทำให้เลือดออกไม่รุนแรง และผลการจับเกล็ดเลือดแต่ละอันต่างกันด้วย เช่น ibuprofen จะจับเกล็ดเลือดดี เลือดออกง่ายกว่า diclofenac แต่โดยรวมแล้ว NSAIDs อื่นที่ไม่ใช่แอสไพริน จะมีเลือดออกได้ไม่มาก ไม่ถึงกับต้องกังวลเป็นปัจจัยเลือดออกครับ
ความเสี่ยงเลือดออกที่สำคัญคือ แอสไพริน, ยา NSAIDs ขนาดสูง, อายุมากกว่า 60, กินยากันเลือดแข็งตัวอื่นร่วมด้วย
ลดความเสี่ยง ก็ลดขนาดยาลง หรือเปลี่ยนไปใช้ COX-2 ค้อกสิบแทน เพราะแทบไม่มีผลทำให้เลือดออกเลย (มีน้อยมาก ๆๆ) ระวังการใช้ยาในผู้สูงวัยและโรคไข้เลือดออก
จบซีรี่ส์ NSAIDs ครับ

28 มีนาคม 2566

ยาลดปวดต้านการอักเสบ ก็มีผลทำให้บาดเจ็บต่อไต

 ยาลดปวดต้านการอักเสบ ก็มีผลทำให้บาดเจ็บต่อไต

เมื่อวานนี้ เรารู้ว่ายา NSAIDs ทำให้กระเพาะอาหารอักเสบและเลือดออก นอกเหนือจากนั้นผลข้างเคียงที่สำคัญคือผลต่อไตครับ
ยาไปทำให้กลไกการควบคุมหลอดเลือดที่ไตผิดปกติ หลอดเลือดไม่ขยายเพราะ NSAIDs ไปยังยั้งกลไก prostaglandins (อีกแล้ว) เลือดไปที่ไตลดลง การกรองเลือดหรือ GFR ลดลงก็เกิดการบาดเจ็บเฉียบพลันที่ไต อดีตเรียกไตวายเฉียบพลัน ตรวจพบค่าครีอะตินีนในเลือดเพิ่มขึ้น
ยา NSAIDs ไปทำให้กลไกการขับเกลือและรักษาสมดุลที่ท่อไตผิดปกติ เกิดโซเดียมและน้ำคั่งค้าง เกิดบาดเจ็บต่อไตอีกแล้ว แถมบวมน้ำด้วย ความดันโลหิตขึ้นอีกต่างหาก
ยา NSAIDs ทำงานผ่านการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ไปเกิดการอักเสบที่เนื้อไต เกิดไตอักเสบและบาดเจ็บอีกแล้ว (interstitial nephritis)
ผู้ป่วยที่เสี่ยงคือ ผู้สูงวัย (การทำงานของไตเสื่อมอยู่แล้ว) ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตเรื้อรังอยู่เดิม ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดเช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ดังนั้นควรใช้ยาด้วยความระมัดระวังมาก ๆ
ส่วนยา COX-2 ค้อกสิบทั้งหลาย สามารถลดอันตรายต่อไตลงได้ในผู้ป่วยที่ไม่มีความเสี่ยงโรคไตเท่านั้น สำหรับคนที่มีความเสี่ยงข้างต้นถึงแม้ใช้ค้อกสิบก็ยังเสี่ยงบาดเจ็บต่อไตครับ
การลดอันตรายคือ พิจารณาใช้ยาเมื่อจำเป็นมาก ๆ เท่านั้น มีการติดตามผลการรักษาและการทำงานของไตหลังให้ยาด้วยครับ

27 มีนาคม 2566

ท่ามกลางฝุ่นแบบนี้ เครื่องฟอกอากาศแบบห้อยคอ ช่วยอะไรไหม

 ท่ามกลางฝุ่นแบบนี้ เครื่องฟอกอากาศแบบห้อยคอ ช่วยอะไรไหม

ผมลองค้นหาผลการศึกษานะครับ ก็พบว่า เท่าที่ค้นเจอ ทั้งหมดเป็นการศึกษาเชิงฟิสิกส์ ไม่ว่าจะเป็นการจับอนุภาคฝุ่นด้วยประจุไฟฟ้า หรือ ปริมาณฝุ่นที่ลดลงในปริมาณแคบ ๆ (ประมาณกรงนก) มันก็พิสูจน์ว่าลดลงครับ (ทำโดยบริษัทผู้ขาย)
แต่ผลต่อเนื้อเยื่อหรือการทำงานของเซลล์ หรือผลต่อสุขภาพบุคคล หรือผลต่อสุขภาพโดยรวม ผมเจอแค่การศึกษาเดียวบอกว่าหายใจสะดวกขึ้นและจามลดลง เป็นการสุ่มตัวอย่างเล็ก ๆ และใช้แบบสอบถาม
ในชีวิตจริง พื้นที่ทำการ ปริมาณฝุ่น อากาศถ่ายเท ต่างจากการทดลอง เอามาแปลผลไม่ได้
สำหรับแพทย์ประจำบ้าน จะเป็นปรากฏการณ์คล้าย inoculum effect ของความไวของยาฆ่าเชื้อในหลอดทดลอง กับยา betalactamase inhibitor
และไม่เจอรายงานว่ารบกวนการทำงานเครื่องกระตุกหัวใจ กระตุ้นหัวใจ ครับ
สรุปว่า ใครอยากใส่ก็ใส่ตามสบายครับ แต่ให้คิดไว้เสมอว่า ผลไม่ได้ดีจนละเลยมาตรการอื่น มาตรการการกันฝุ่น การป้องกันโควิด ที่เป็นมาตรฐาน ยังต้องทำต่อไป ไม่ว่าเราจะห้อยเครื่องฟอกอากาศแบบนี้หรือไม่ก็ตามครับ

ยาแก้ปวดต้านการอักเสบ ไม่ได้กัดกระเพาะโดยตรงเพียงอย่างเดียว

 ยาแก้ปวดต้านการอักเสบ ไม่ได้กัดกระเพาะโดยตรงเพียงอย่างเดียว

NSAIDs ยาแก้ปวดลดการอักเสบ มีผลข้างเคียงสำคัญมากคือระคายเคืองกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดออกทางเดินอาหาร
มีคำแนะนำว่าให้กินยาหลังอาหารและดื่มน้ำตามมาก ๆ ก็ต้องบอกว่าจริง แต่ว่าไม่ได้ทั้งหมด ผลการระคายเคืองกระเพาะอาหารเฉพาะที่แล้วแน่นท้อง เลือดออก เป็นเพียงส่วนน้อยจากยาเท่านั้น
ผลหลักที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือเลือดออก เกิดจากยาไปรบกวนสมดุลการป้องกันกรดของกระเพาะอาหาร (mucoprotection) หลายกระบวนการผ่านทางกลไก prostaglandins ดังนั้นถึงแม้กินยาหลังกินอาหารทันที และดื่มน้ำตามเป็นลิตร ก็ยังเกิดการระคายเคืองได้นะครับ ยิ่งถ้าคุณมีความเสี่ยง โอกาสเกิดเลือดออกก็มากขึ้น
ความเสี่ยงที่ชัดเจนคือ เคยเกิดเลือดออกจากแผลในกระเพาะ มีแผลแต่เลือดไม่ออก มีการติดเชื้อ H.pylori ที่ทำให้มีแผลกระเพาะ อายุมากกว่า 60 ใช้ยา NSAIDs หลายตัวหรือใช้ร่วมกับยาแอสไพริน
การลดความเสี่ยง … ดีสุดคือไม่ใช้ยา แต่ถ้าจำเป็น โดยเฉพาะกลุ่มที่เสี่ยงสูง ทำอย่างไร
อย่างแรก เลือกใช้ยากลุ่ม COX-2 inhibitors กลุ่มค้อกสิบทั้งหลาย มันจะเกิดน้อยลง ไม่ใช่ไม่เกิดนะ
อย่างสอง ใช้ยา NSAIDs คู่กับยาลดกรด proton pump inhibitors หรือยาป้องกันกระเพาะ (mucoprotectives)
ฝากคุณหมอคุณเภสัช อย่าลืมทบทวนความเสี่ยงและลดอันตรายจากการใช้ NSAIDs ทุกครั้งนะครับ
May be an image of food
See insights and ads
Boost post
All reactions:
529

26 มีนาคม 2566

เดินเที่ยวแบบปลอดภัย เจิดจ้าท้าแดด

 เดินเที่ยวแบบปลอดภัย เจิดจ้าท้าแดด (ฤดูร้อน 39 องศา)

คนเราปกติจะมีการสูญเสียน้ำที่ชื่อว่า insensible loss น้ำที่ออกทางลมหายใจ เหงื่อ ประมาณ 500-700 ซีซีต่อวัน
ถ้าอากาศร้อนหรือมีไข้ ร่างกายจะเสียน้ำส่วนนี้เพิ่ม อาจจะสูงขึ้นถึง 800-900 ซีซีต่อวัน
และยิ่งออกแรงหรือเดินเที่ยวตลอดจะยิ่งออกเร็วขึ้น ถ้าปรับตัวไม่ทัน จะคิดเหมือนเราสูญเสียน้ำเป็นลิตร ลองคิดดูถ่ายเหลวลิตรนึง อืมม เป็นลมได้ และเมื่อการระบายความร้อนด้วยน้ำของเราไม่ดี อาจเกิดลมแดดได้อีก การป้องกันจึงสำคัญมาก
สูญเสียน้ำมาก ๆ จะเริ่มวิงเวียน หน้ามืด อ่อนล้า เดินไม่ค่อยไหว เสียมาก ๆ โดยไม่ชดเชย จะเริ่มเบลอ ใกล้จะเป็นลม ใจสั่น
การดื่มน้ำบ่อย ๆ จึงสำคัญมาก ๆ สุด ๆ อย่ารอให้เสียน้ำเกือบลิตร หน้ามืดวิงเวียนแล้วค่อยดื่ม ให้จิบบ่อย ๆ ครั้งละอึกสองอึก ประมาณ 100 ซีซีต่อครั้ง ทุกครึ่งชั่วโมง (ถ้าทำได้) หรือถ้าใช้เวลานานกว่าจะได้ดื่มน้ำ ให้นั่งพักแล้วค่อย ๆ ดื่มน้ำ นอกจากได้พัก ได้ดื่มน้ำ จะช่วยไม่ให้สำลักอีกด้วย รวม ๆ กันก็ ลิตรถึงสองลิตรต่อการเดินทางต่อวัน (ไม่นับมื้ออาหารนะครับ)
ถ้าอากาศร้อน ให้พักบ่อยขึ้นด้วยครับจะได้ระบายความร้อนและจัดการความอ่อนล้าร่างกาย
แดดจัด ก็กางร่ม สวมหมวกกว้าง สวมเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวแบบโปร่ง ๆ จะช่วยลดความร้อน กระจายความร้อนได้ดี
กลับมาพักสักครู่แล้วไปอาบน้ำเลยครับ ระบายความร้อนได้ดี ผ่อนคลายและสดชื่น แล้วนอนพักขา หาหมอนมาหนุนให้เท้าสูงขึ้นสักนิด จะสบายมากครับ
และถ้ามีโอกาส ไปนวดเท้าก่อนนอนได้ คือ สวรรค์ทีเดียวครับ

จัดกระเป๋าเที่ยวแบบมินิมอล สไตล์ลุงหมอ

 จัดกระเป๋าเที่ยวแบบมินิมอล สไตล์ลุงหมอ

ด้วยความที่ผมเดินทางไปไหนต่อไหนด้วยมอเตอร์ไซค์มาตลอด ทักษะการจัดกระเป๋าแบบมินิมอล เพื่อให้วางบนถังน้ำมัน หรือสะพายหลังได้ มันจะได้กระชับไม่เกะกะ ทักษะอันนี้จึงติดตัวมาและใช้มาตลอดการเดินทาง
กระเป๋าใบเล็กขนาดไม่เกิน 20 นิ้ว หรือเป้ความจุประมาณ 20 ลิตร คือโจทย์ของผม ถ้าสะพายหลังได้จะดีมาก ต้องถือขึ้นเครื่องบินได้ วางบนชั้นเหนือศีรษะได้ ตอนนี้ผมใช้กระเป๋าล้อเลื่อนของ american tourister หรือกระเป๋าเป้ของ anello สลับกัน มีช่องว่างให้ใส่ของได้หลายช่องและมีช่องหน้า อันนี้บังคับ เอาไว้ใส่เอกสารการเดินทาง
แล้วผมเอาอะไรไปบ้าง
เสื้อผ้า .. ผมเอาไปไม่กี่ชุด เลือกที่ซักแล้วไม่ต้องรีด เวลาส่งซักหรือซักอบตามร้านก็ง่าย เลือกสีขาวหรือดำจะได้เข้าทุกสถานที่ กางเกงยีนหนึ่งตัว กางเกงขาสั้นหนึ่งตัว เสื้อยืดมีปกอีกสองตัว เสื้อยืดคอกลมอีกตัว ผ้าขาวม้าหนึ่งผืน กางเกงชั้นในใช้แบบกระดาษใช้แล้วทิ้งครับ อันนี้คือไม่นับชุดที่ใส่ไปนะ โดยทั้งหมดจะใส่ในถุงซิปใส จะได้ไว้ใช้แยกเสื้อผ้าระหว่างเดินทางได้
เสื้อแจ็คเก็ต .. เลือกแบบไม่หนามาก จะได้ไม่ร้อน พอกันแดดกันลม มีกระเป๋าด้านใน ของจะได้ไม่ตก มีฮู้ดเพราะเวลานอนบนรถจะได้ไม่รำคาญแอร์เป่าหัวครับ เสื้อแจ็คเก็ตนี่ผมติดมากและจำเป็นมากครับ ใช้ของ manchester สลับกับอีกตัวจากยูนิโคล่ครับ
รองเท้า .. เลือกรองเท้ากีฬาเลยครับ ใส่สบายเดินลุยพอไหว เดินเมืองสบาย สุภาพด้วย ผมใช้รองเท้ากีฬาของ pan มาตลอดครับและเอารองเท้าแตะยางแบน ๆ ไปด้วยหนึ่งคู่ ประกบกันมัดใส่ถุงพลาสติก แอบไว้มุมหนึ่ง เอาไว้ใส่สบาย ๆ ไปซื้อของตอนอยู่ที่พัก
ยารักษาโรค .. ผมพกยาที่กินประจำคือยาลดไขมันไปด้วยเสมอ ส่วนยาที่พกไปไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศมีสี่ตัว ตัวละสี่ถึงห้าเม็ด คือ paracetamol, dimenhydrinate, loperamide, azithromycin ตัดแยกออกเป็นเม็ด ใส่ซองซิปเอาไว้และซองกันชื้น ทั้งหมดนี้ผมใช้ได้ครอบคลุมทุกอาการของการเดินทาง และติดพลาสเตอร์ยาไปสองอันครับ
เอกสารการเดินทาง … บัตรประชาชน บัตรแพทยสภา (เผื่อไปใช้ฉุกเฉิน ของเราเป็นแบบนานาชาตินะ) พาสปอร์ต ตั๋วเดินทาง ประกันการเดินทาง เอกสารการจองโรงแรม ทั้งหมดผมใส่ในกระเป๋าพาสปอร์ตที่เขาวางขายครับ ผมซื้อมาจากร้านมูจิในต่างประเทศนานแล้ว ยังใช้ได้ดี สามารถใส่กระเป๋าในเสื้อแจ็คเก็ตได้ เอาไว้ช่องหน้าสุดจะได้หยิบใช้ง่าย และเอกสารทุกชิ้นจะมีสำเนาแยกเก็บใช้ในซองซิปก้นกระเป๋าเดินทาง
Gadget จำเป็น … แยกใส่กระเป๋าซิปไว้ครับ อแดปเตอร์เดินทางที่เสียบปลั๊กได้หลายประเทศและมีช่องเสียบชาร์จยูเอสบี อันนี้ของสำคัญครับระวังไฟช็อต เลือกให้ดี ผมซื้อของ AUKEY พร้อมสายชาร์จสองหัว type C และ micro USB
เพาเวอร์แบงค์อันบาง ๆ ของผมจำเป็นแค่ 5000 mA จะได้นำขึ้นเครื่องบินได้ด้วย เอาไว้ชาร์จโทรศัพท์ อันนี้จะยี่ห้อใดคงได้หมด ผมใช้ของ eneloop
Kindle เวลาเดินทางจะพกเจ้านี่ครับ อ่านได้ไม่รู้เบื่อ ผมเคยอ่านตลอดจากกรุงเทพถึงกาตาร์มาแล้ว อ่านได้ทั้งที่มืดและสว่าง ทนมาก ใครเดินทางบ่อยและชอบอ่านหนังสือ ห้ามพลาด อ้ออย่าลืมโหลด lonely planet มาในนี้ด้วยครับ
หูฟัง ผมเลือกหูฟังมีสายอันเล็ก ม้วนเก็บง่าย ไม่เปลืองพื้นที่ ไม่ต้องชาร์จ ส่วนตัวชอบแบบอินเอียร์ครับ ใช้ประจำคือ JBL tune T110 สามารถใช้โทรศัพท์ได้ด้วย เอาไว้ฟังพ็อดแคสต์หรือเพลงครับ
โทรศัพท์และที่เสียบถาดซิม น่าจะเป็นสี่จีห้าจีกันหมดแล้วล่ะครับ เอาไปใช้ด้วย อย่าลืมที่เสียบนะครับ ที่สิงคโปร์อันละ 100 บาท โหลดแอปรถสาธารณะของปลายทางไว้ ,Google map, Google translate, แอปที่พัก และโหลดเพลงมาเยอะ ๆ เลยครับ ไปเที่ยวนี่ผมจะชอบฟังเพลงบรรเลง โหลดไปเป็นร้อยครับ ส่วนซิม..ผมชอบไปซื้อปลายทางมากกว่า
กล้อง … ผมยังใช้กล้องคอมแพ็คตัวเล็กตัวเก่าอยู่เลย canon powershot a2200 ถ่ายรูปได้ด้วยมือเดียว ถ่ายคลิปสั้นได้ ตัวเล็กมาก ไม่เปลืองที่เปลืองแบต ใส่การ์ด 32gB ไม่ต้องกลัวหมด ไม่ใช้โทรศัพท์เพราะจะได้ไม่เปลืองแบตโทรศัพท์ พกไปกับที่ชาร์จและสายได้ในถุง gadget ได้
Toiletry … ถ้าเดินทางขึ้นเครื่องจะไม่พกเลยครับ ไปหาเอาดาบหน้า มันวุ่นวายหากต้องตรวจครับ แต่ถ้าเดินทางโดยรถโดยสาร ผมใช้สบู่ head to toe แบบเด็กใช้ครับ ดีนี่หรือโคโดโม อันเดียวอยู่ กับชุดแปรงสีฟันยาสีฟันเดินทาง ม้วนห่อด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก และห่อถุงพลาสติกอีกชั้น ผ้าขนหนูนี่สำหรับผมจำเป็นนะ เคยอาบน้ำห้องน้ำในปั๊มมาแล้ว ขอผืนเล็กนี่แหละง่ายดี และอีกหนึ่งอย่างที่พกตลอดคือ ครีมกันยุงครับ ใช้แบบซองของซอฟเฟล ใช้ง่ายดี หมดก็ทิ้งไป ไปเที่ยวแล้วยุงกัดนี่ หมดสนุกนะ
อุปกรณ์ไฟฟ้า .. มีแค่สองอย่างคือ
ไฟฉายอันเล็ก .. ที่ใส่ถ่านสองก้อนในร้านสะดวกซื้อนั่นแหละ ไม่เคยใช้นะ แต่พกไว้ตลอดทุกการเดินทาง แค่สลับขั้วถ่านเอาไว้ กันสวิตช์เปิดแล้วถ่านหมด
เครื่องโกนหนวดไฟฟ้าใส่ถ่านขนาดเล็ก ก็ถ่านที่พกไว้ใช้กับไฟฉาย ผมเป็นคนที่ไม่ชอบให้หนวดเครารุงรัง เลยพกตลอดครับ ใช้ง่ายด้วย ไม่ต้องมีโฟม ไม่ต้องมีน้ำ ซื้อของ phillips ใช้มานานแล้ว ยังทนดีมาก
สุดท้ายคือ สมุดและปากกา เวลาไปเที่ยวชอบจดครับ บันทึกสิ่งที่เห็น และมักจะมีความคิดดี ๆ ตอนอ่านหนังสือสบาย ๆ ด้วย จะบันทึกไว้ครับ ผมใช้สมุดบันทึกอยู่ยี่ห้อเดียวคือ moleskine ขนาดเอห้าแบบไม่มีเส้น เขียนดี ลื่น ส่วนปากกาจะพกลูกลื่นแบบสามสีครับ ใช้นานตลอดทริปและไม่ต้องพกหลายด้าม ผมใช้ของ Uni Jetstream ขนาด 0.7 mm
ทั้งหมดจัดแบ่งพื้นที่ด้วยถุงซิปใสและถุงพลาสติก เพราะจะได้เอาถุงเผื่อไว้ใช้ มีถุงผ้าที่พับได้ใบเล็กๆ เอาไปอีกใบครับ เขียนมาเยอะ ๆ แบบนี้ บรรจุได้ในเป้ใบเดียวเองนะ ถ้าต้องอยู่หลายวันผมจะส่งผ้าซักครับ เคยไปซักผ้าหยอดเหรียญแล้วตากเอง ลำบากชีวิตไปนิด
แค่นี้ก็ลุยได้แล้ว

25 มีนาคม 2566

เก็บตกเรื่องราวของ Hodgkin's disease

 เก็บตกเรื่องราวของ Hodgkin's disease

ใครยังไม่อ่าน ไปอ่านย้อนหลังได้นะครับ สองโพสต์ก่อนหน้านี้ทั้งสองโพสต์ทเรื่องราวของเดวิด บรูกส์ นักฟุตบอลที่หายจากโรค และ รายละเอียดเพิ่มเติม อันนี้เป็นตอนจบ เรื่องของ ชื่อ
🚩Hodgkins ชื่อโรคนี้มาจากชื่อผู้ค้นพบ Thomas Hodgkin เป็นแพทย์สาขาพยาธิวิทยาชาวอังกฤษ ในยุคปี 1835 ยุคแห่งการค้นพบทางการแพทย์ โดยโทมัส ฮอดจ์กินส์ เคยร่วมงานกับ Rene Laennec ผู้คิดค้นหูฟัง stethoscope อีกด้วย
🚩Reed Sternberg cell มาจากสองผู้ค้นพบเช่นกัน เกิดในยุคเดียวกัน ต้องบอกว่ายุคกลางศตวรรษที่ 19 คือยุคแห่งการค้นพบที่แท้จริง
Dorothy Reed Mendelhall กุมารแพทย์หญิงชาวอเมริกัน นับเป็นกลุ่มสุภาพสตรีรุ่นแรก ที่ได้เข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแพทย์จอห์นฮอปสกินส์ สมัยยุคนั้นผู้หญิงไม่ได้เรียนแพทย์นะครับ สิทธิยังไม่เท่าเทียม แม้แต่วิลเลี่ยม ออสเลอร์ ยังเคยกล่าวไว้ว่า ไม่เหมาะสมที่สุภาพสตรีจะมาเรียนแพทย์ (ยุคสมัยนั้นนะ)
Carl Sternberg พยาธิแพทย์ชาวออสเตรีย ทำงานร่วมกับ Dorothy Reed ในการค้นพบเซลล์ประจำโรคฮอดจ์กินส์
🚩Lhermitte's syndrome และ Lhermitt sign ชื่ออาการและการตรวจพบ มีอาการเสียวแปลบเหมือนถูกไฟช็อต จากคอลงไปที่แขน และอาการแสดงที่ก้มคอลงแล้วเสียวแปลบขึ้นมาทันที อกหักใช่ไหมแบบนี้ มาจาก Jean Lhermitte
Jean Lhermitte มีชีวิตช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษ 20 ชาวฝรั่งเศส เป็นผู้ตั้งชื่ออาการนี้ มีอีกชื่อว่า barber chair phenomenon นั่งเก้าอี้ช่างตัดผลที่จะมีหมอนรองคอครับ ทำให้คอก้มลง
Lhermitte's syndrome เจอได้จากผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดที่รักษา Hodgkin's disease
จบเรื่องราวของ Hodgkin แล้วล่ะครับ ลากยาวมาสามตอนเลย

24 มีนาคม 2566

Hodgkin's Disease

 เรามาเพิ่มเนื้อหาเรื่อง Hodgkin's Disease กัน

มันก็เป็นบีเซลล์นั่นแหละ มีการกลายพันธุ์แบบมะเร็งบีเซลล์ แต่การแสดงออกของโปรตีนหลายชนิดที่ต่างออกไป ทำให้จัดหมู่โรคและการรักษาต่างไป
เซลล์ในก้อนมะเร็งฮอดจ์กิน มีตัวระบุกลุ่มเซลล์ CD15 และ CD 30 เป็นหลัก ทำให้มันต่างจาก Non-Hodgkin's Lymphoma ทำให้เราเลือกใช้ยาที่ไปจับ CD30 ที่ชื่อ brentuximab ในการรักษาได้
ส่วน lymphoma ที่มักจะมีตัวรับ CD19 และ CD20 จึงใช้ยา rituximab ที่เป็นแอนติบอดีจับเฉพาะที่ CD20
Hodgkin's Disease เองก็ยังมีความหลากหลายเยอะ ชนิดที่เราพบบ่อยคือ classic type แต่ชนิดที่พบไม่บ่อยคือ NLP (nodular lymphocyte predominant) กลับพบมี CD19 CD20 มากขึ้น ทำให้เราเลือกการรักษาแบบ lymphoma ปกติได้ด้วย ใช้ในกรณีโรครุนแรง แต่มันก็ตอบสนองต่อ ABVD regimen ได้ดีมากเช่นกัน
นอกจากนี้เซลล์ของ Hodgkin's Disease ยังพบโดเมนของ PD-L1 (programmed death ligand -1) ปริมาณมากมาย ตรงนี้คือจุดสำคัญของการค้นพบมะเร็งในยุคปัจจุบัน เพราะเจ้าโดเมน PD1 และ PD-L1 มันจะทำให้หน้าทึ่ "หลอก" เซลล์ภูมิคุ้มกันสารพัดชนิดในร่างกาย ในมองข้ามมันไป ไม่ทำลายมัน มะเร็งจึงอยู่รอดมาได้ ทั้ง ๆ ที่มันคือเซลล์แปลกปลอม
เราได้พัฒนายา anti PD1/PD-L1 ออกมา และใช้ได้ผลกับมะเร็งสารพัดชนิด เรียกว่าเป็น broad spectrum anticancer เช่น pembrolizumab
เมื่อ Hodgkin's Cell มีลักษณะนี้ เราจึงกำลังพัฒนายา pembrocizumab ไปร่วมรักษาเพื่อหวังผลหายมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเกิดซ้ำ หรือรุนแรงแต่แรก (อย่าลืมว่ายาเคมี ABVD ก็ดีเลิศประเสริฐศรีอยู่แล้ว)
ภาพ Reed-Sternberg Cell

Hodgekin's Disease เดวิด บรูกส์ เป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งทีมชาติเวลส์

 วันนี้เราจะมารู้จักนักฟุตบอลคนหนึ่งและโรคที่เขาเป็นนะครับ

ทีมฟุตบอลบอร์นมัธเป็นทีมเล็ก ๆ ในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ไม่ได้อยู่ในกลุ่มแย่งแชมป์ ออกไปทางหนีตกชั้น ในวันที่แข่งกับทีมลิเวอร์พูล กล้องสนามจับไปที่นักเตะสำรองคนหนึ่งและบอกว่า วันนี้เราได้เห็นเขามานั่งที่ม้านั่งสำรอง หลังจากที่หายไปปีกว่า ๆ และทุกคนดีใจ สื่อต่างประเทศก็ลงข่าวนี้ นักฟุตบอลคนนั้นคือ เดวิด บรูกส์
เดวิด บรูกส์ เป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งทีมชาติเวลส์ เมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาอายุ 24 ปีเขารู้สึกมีไข้ ทำให้ไม่ได้ไปแข่งเกมทีมชาติ หลังจากนั้นบรูกส์เข้ารับการตรวจต่อเนื่อง จนเมื่อตุลาคม 2021 ผลการตรวจออกมาว่าบรูกส์เป็นเนื้องอกต่อมน้ำเหลือง Hodgekin's Disease ระยะที่สอง
ทำให้เขาต้องพักการเล่นเพื่อรักษาตัว ภายใต้สัญญาต่อเนื่องกับบอร์นมัธ กว่าหกร้อยวันที่เขาหายไป จนมาปรากฏกายในสนามในฐานะตัวสำรอง โรคนี้คืออะไร ใช่มะเร็งหรือไม่ ทำไมมันหายได้
Hodgekin's Disease เป็นโรคเนื้องอกที่มีเซลล์ผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟซัยท์ ด้วยลักษณะของโรคที่ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโตหลายตำเแหน่ง อวัยวะน้ำเหลืองโต ก่อนหน้านี้เราเรียกโรคนี้ว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กินส์
ลักษณะสำคัญที่บอกแบบนี้เพราะเมื่อเราตัดชิ้นเนื้อไปย้อม จะพบเซลล์เฉพาะเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวเปลี่ยนรูป ตัวโตขึ้น นิวเคลียสหลายอัน รูปร่างเหมือนตานกฮูก (owl eye) เรียกเซลล์นี้ตามผู้ก่อตั้งว่า Reed-Sternberg Cell และเรียกมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ไม่มีเซลล์ชนิดนี้ว่า Non-Hodgkin's Lymphoma … แล้วทำไมจากเดิมเป็นมะเร็ง (lymphoma) จึงปรับลดมาเป็นแค่โรคฮอดจ์กินส์เท่านั้น
อย่างที่บอกเซลล์ผิดปกติมันต่างกัน และเมื่อเทคโนโลยีเราก้าวหน้ามากขึ้น เราพบว่า lymphoma คือมะเร็งของเม็ดเลือดขาวลิมโฟซัยท์ ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมแบบนี้ ตัวรับผิวเซลล์แบบนี้ เพื่อแยกโรคได้แม่นยำกว่าการมองด้วยตา และเราก็พบความจริงว่า
Reed-Sternberg Cell คือเม็ดเลือดขาวลิมโฟซัยท์ชนิดบีเซลล์ (อีกแบบคือทีเซลล์) ที่มีลักษณะการกลายพันธุ์และตัวรับบนผิวเซลล์ที่ต่างจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวอื่น ๆ มันมีตัวรับ CD15 CD30 เกือบ 85% แต่ไม่ค่อยมี CD19 CD20 ที่อยู่บนเซลล์เม็ดเลือดขาวบีเซลล์ รวมถึงมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอื่น ๆ ด้วย
อีกทั้งการตอบสนองต่อการรักษาดีมาก ๆ โดยรวมแล้วทุกระยะถ้าไม่ลุกลามร้ายแรง จะตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดถึง 92-100% แถมยังตอบสนองดีต่อการฉายแสงอีกด้วย ยิ่งถ้าเป็นระยะแรก ยิ่งรักษาหาย การเกิดซ้ำและการลุกลามก็น้อย เรียกว่า น่าจะแตกต่างจากมะเร็งต่อมน้ำเหลืองโดยสิ้นเชิง ปัจจุบันเราจึงเรียก Hodgkin's Disease แทน Hodgkin's Lymphoma
อาการและอาการแสดงเหมือนมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั่วไป คือ มีต่อมน้ำเหลืองโตหลายจุด ตับม้ามโต มีไข้เรื้อรัง (สมัยก่อนมีไข้ที่เรียกว่า Pel-Ebstein Fever ที่คิดถึงมะเร็งชนิดนี้ แต่ขอโทษ..พบน้อยมาก) การวินิจฉัยต้องตัดต่อมน้ำเหลืองไปตรวจ และทำเอ็กซเรย์เพื่อหาตำแหน่งต่าง ๆ ให้ครบ โดยแนะนำ PET CT scan การจัดระยะโรคและพยากรณ์โรคยังคิดเหมือนมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั่วไป
การรักษาจะใช้ยาเคมีบำบัดที่ต่างไปจากมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด non-Hodgkin's เพราะตัวรับบนเซลล์และชนิดเซลล์ต่างกัน เราจะใช้สูตร ABVD ที่การตอบสองดีมากให้แค่ 4 ครั้ง หรือบางรายอาจใช้ร่วมกับการฉายแสงขนาดต่ำ ๆ
แนะนำรักษาทุกคนเพราะผลการรักษาดีมาก…แต่ทว่า
สิ่งที่น่าเป็นห่วงเพิ่มคือผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัด เพราะว่าผู้ป่วยเกือบทั้งหมดรอดชีวิต นั่นคือ ชีวิตจะยาวนานพอที่จะเห็นผลข้างเคียงจากยาเคมีได้ การติดตามโรคตลอดไปจึงสำคัญ ผลข้างเคียงเยอะมากครับ เอาที่รุนแรงและอันตรายคือ
ยาเคมีบำบัดอาจเหนี่ยวนำให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว leukemia ในอนาคตได้, เป็นหมัน, เจ็บเหมือนไฟฟ้าช็อตจากคอไปแขน (Lhermitte's syndrome) และการบาดเจ็บจากการฉายแสงเฉพาะที่
แต่เอาเถอะ ให้ยาคุ้มกว่า ผลข้างเคียงที่มี จัดการได้
ส่วนน้อยของ Hodgkin's Disease ที่เรียกว่า nplHL (nodular lymphocyte predominant Hodgkin's Lymphoma) จะมีลักษณะคล้ายมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอนฮออจ์กินส์เสียมากกว่า จะใช้การรักษาแบบนอนฮอดจ์กินส์ก็ได้ หรือใน Hodgkin's Disease ระยะลุกลามหรือเกิดซ้ำ ก็ให้การรักษาแบบนอนฮอดจ์กินส์ได้เช่นกัน
กลับมาตอนนี้หลังจากที่บรูกส์เข้ารับการรักษา เขาเป็นแค่ระยะสองเท่านั้น เขากลับมาเล่นฟุตบอลได้ และลงสนามในเกมพรีเมียร์ลีกในเกมไปเยือนแอสตัน วิลล่า เขาได้รับการเปลี่ยนตัวลงมาแทน อดัม สมิธ ในนาทีที่ 79 พร้อมเสียงปรบมือกึกก้องจากแฟนบอลบอร์นมัธและวิลล่า และแฟนบอลทั่วโลก
บรูกส์เคยกล่าวว่า "เขาไม่เคยย่อท้อ เขาจะพยายามรักษาตัว และกลับมาคืนสนามอีกครั้งให้ได้"
จนวันนี้ บรูกส์ได้ทำสิ่งที่เขาตั้งใจไว้แล้วครับ
ขอปรบมือให้บรูกส์ และขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยทุกคนอย่ายอมแพ้กับสิ่งใด สู้ให้เต็มที่ แล้วคุณจะชนะ

23 มีนาคม 2566

กินกาแฟ กับ สุขภาพ

 กินกาแฟ กับ สุขภาพ

เช้านี้ New England Journal of Medicine ลงบทความนี้ หลายคนคงจะเบื่อกับหัวข้อถกเถียงอันไม่รู้จบสิ้นนี้ว่ากินกาแฟดีไหม กินเท่าไรจะไม่อันตราย ถ้าใครติดตามข่าวเรื่องนี้ จะพบว่ามีงานวิจัยออกมามากมายและผลการศึกษาก็แตกต่างกันมาก เนื่องจากส่วนใหญ่ (เกือบทั้งหมด) เพราะว่า
- เป็นการศึกษาแบบรวบรวมข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง อันนี้สำคัญ ส่วนมากไม่ได้เป็นการทดลองทางการแพทย์ เป็นแค่การเก็บข้อมูล ที่การรวบรวมกลุ่มต่างกัน ผลก็ต่างกัน
- ชนิด จำนวน ปริมาณ ของกาแฟที่ต่างกัน ก็ต่างกัน
- Recall bias เป็นสิ่งสำคัญ เพราะส่วนมากสอบถามจากความจำ คุณจำได้ไหม เมื่อเช้าใส่กาแฟกี่ช้อน
- วัดผลก็ต่างกัน ผลระยะสั้น ผลระยะยาว ผลที่วัดเป็นตัวเลขได้ง่ายหรือผลที่วัดผลเป็นตัวเลขไม่ได้
ตอนแรกก็จะเลื่อนผ่าน แต่พออ่านผลสรุปแล้วน่าสนใจ เพราะนี่เป็นการศึกษาทดลอง หมายถึงเขาจะคุมกลุ่มคน คุมชนิด ปริมาณ ของกาแฟได้ ควบคุมระยะเวลา และวัดผลเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นกลุ่มการศึกษาเล็ก 100 คน และเป็นการ crossing over คือสลับกันทีละครั้ง กลุ่มนี้กาแฟแล้ววัดผล ในขณะอีกกลุ่มไม่กินแล้ววัดผล อีกสักพักมาสลับกัน
ผลที่วัดได้จะวัดแค่ผลระยะสั้นแค่สองสัปดาห์ แต่มันชัด คือ จำนวนคลื่นไฟ้าหัวใจที่เต้นผิดปกติออกไปโดยใช้เครื่องวัดติดตัว ระยะก้าวเดินที่วัดได้จากเครื่องวัด ผลต่อน้ำตาลในเลือดโดยใช้เครื่อง CGM คือวัดน้ำตาลตลอดทั้งวันใช้เครื่องติดตัวเลย แน่นอนมันจะใช้กลุ่มตัวอย่างเยอะไม่ได้ ของมันแพงและต้องใช้คนมากมายในการประมวลผล เลยใช้การสลับกลุ่มไงครับ
ผลออกมาคือ ทำในคนอายุประมาณ 40 ปี ไม่มีโรคประจำตัว พบว่าใจสั่นน้อยมากและต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญระหว่างกลุ่มกินกาแฟ กลุ่มไม่กินหรือดีแคฟ ระยะทางก้าวเดิน หรือระดับน้ำตาล หรือนอนหลับ ก็ไม่ต่างกัน ถ้าคุณกินแต่พอดี ๆ กินไปเถอะครับ ใครกินแล้วรู้สึกไม่ดี ใจสั่น นอนไม่หลับ ก็อย่ากิน
(ผลการศึกษาออกมาไม่ได้เปลี่ยนคำแนะนำการกินกาแฟเสียเลย 555)
ผมไม่มีวารสารเต็ม จึงไม่ได้ลงลึก แต่อยากจะฝากข้อคิดไว้ว่า ผลการศึกษาที่ต่างกัน หรือเชื่อได้หรือไม่ ให้ไปดูความน่าเชื่อถือของการศึกษา โดยเฉพาะระเบียบวิธีวิจัยกันให้ดีนะครับ
คุณล่ะครับ เลือกกินหรือไม่กินคนชงกาแฟครับ

22 มีนาคม 2566

เกิดลิ่มเลือดอุดตัน ทั้ง ๆ ที่กินยาต้านการแข็งตัวเลือดอยู่

 เกิดลิ่มเลือดอุดตัน ทั้ง ๆ ที่กินยาต้านการแข็งตัวเลือดอยู่ ??

สถานการณ์ : ผู้ป่วยรายหนึ่งได้รับยา warfarin ป้องกันลิ่มเลือดไปอุดหลอดเลือดสมองเพราะหัวใจเต้นผิดจังหวะแบบ AF และลิ้นหัวใจไมทรัลตีบ กินยามานาน 5 ปี
สามเดือนก่อนเกิดลิ่มเลือดดำอุดตันที่ขา และได้รับยา warfarin ต่อเนื่อง
วันนี้ขายังบวม และตรวจพบลิ่มเลือดอยู่
เกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงเป็นแบบนี้ ??
ปัญหาที่พบบ่อยที่สุด สำคัญที่สุดคือ กินยาไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะลืมกิน กินผิดขนาด หมอปรับยาไม่ได้ขนาด จนระดับยาในเลือดไม่ได้ระดับรักษา
ต่อมาคือปฏิกิริยาระหว่างยา เพราะยา warfarin ตีกับยาอื่นมากมาย และปฎิกิริยากับอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินเคสูง
ข้อต่อไปที่พบน้อยกว่า คือ เป็นกลุ่มที่เมตาบอลิซึมยาผิดปกติจากยีน VKORC1, CYP2c9 polymorphisms เราตรวจได้นะครับ แต่ราคาแพงและยังหาที่ตรวจไม่ง่ายนัก
หากปัจจัยเรื่องยา ได้รับการทบทวนเรียบร้อยแล้ว เราก็มาพิจารณาโรคที่ทำให้เกิดลิ่มเลือดครับ เพราะถึงแม้เราจะกินยาต้านการแข็งตัวเลือดอยู่ก็ยังมีโอกาสเกิดลิ่มเลือดได้ถึง 14%
- มะเร็ง ไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งที่กดเบียดหลอดเลือดนะครับ อาจเป็นมะเร็งที่อื่นแต่ส่งผลเลือดแข็งตัวได้
- ก้อนที่ช่องท้อง อุ้งเชิงกราน ขาหนีบ ที่อาจจะเป็นมะเร็งหรือไม่ก็ได้ แต่มัน "กดเบียดหลอดเลือดครับ"
- ภาวะเลือดแข็งตัวผิดปกติ โดยเฉพาะ antiphospholipid syndrome, paroxysmal nocturnal hemoglobinuria
- ตัวหลอดเลือดที่ผิดปกติ เช่นโรคหลอดเลือดอักเสบ โรคเบเช็ต
เพราะหากมีโรคเหล่านี้ แล้วไม่ได้รักษาต้นเหตุ ลิ่มเลือดจะเกิดซ้ำได้มากหรือไม่หายไปครับ การใช้ยาต้านการแข็งตัวเลือดจึงเป็นแค่การรักษาปลายเหตุเท่านั้น
สรุปว่าผู้ป่วยรายนี้พบเป็นก้อนเนื้อในอุ้งเชิงกราน ร่วมกับกินยา warfarin ไม่สม่ำเสมอ จึงทำให้เกิดลิ่มเลือดซ้ำขึ้นมาครับ
อ่านฟรี
Sam Schulman; How I treat recurrent venous thromboembolism in patients receiving anticoagulant therapy. Blood 2017; 129 (25): 3285–3293. doi: https://doi.org/10.1182/blood-2017-03-742304

19 มีนาคม 2566

หอยนางรม

 หอยนางรม

ถ้านับอาหารทะเลต่าง ๆ บรรดาหอยจะมีโคเลสเตอรอลต่ำนะครับ เมื่อเทียบกับกุ้งหรือปู
ถามว่าคนเป็นโรคไขมันในเลือด โรคหลอดเลือดกินหอยนางรมได้ไหม ตอบเลยว่าได้ แต่... อย่ากินเยอะครับ
ก่อนจะไปจำกัดไขมันชนิดนั้น กินไขมันชนิดนี้ จำกัดปริมาณก่อนเลยอย่างแรกครับ
ส่วนที่ว่ามีธาตุสังกะสีมากจะเพิ่มพลังเพศชายนั้น ... มีสังกะสีมากน่ะจริงครับ ส่วนที่ว่าเพิ่มพลัง อันนี้น่าจะเป็นความเชื่อเสียมากกว่าครับ

18 มีนาคม 2566

เม่นทะเล (sea urchin)

 เม่นทะเล (sea urchin)

เม่นทะเลไม่ได้เป็นสัตว์จำพวกหอยครับ แต่เป็นกลุ่มปลาดาว (echinoderms) ที่มีหนามหินปูนยื่นออกมา ตัวมันจะปรากฏชัดว่า อย่ามายุ่งกะกรู กรูอันตราย
แต่ถ้าเราเผลอไปเหยียบมันเข้า อันตรายเกือบ 99% จะเกิดจากหนามแหลมครับ ยิ่งโดนเยอะก็เจ็บมากเจ็บนาน วิธีรักษาให้ดึงออกเท่าที่ดึงได้ ส่วนที่ดึงไม่ได้ใช้ขวดแก้ว นวดคลึงให้หนามมันแตก บางส่วนหลุดออกมา ส่วนที่อยู่จะไม่ยาวมากจนรำคาญ (แต่เจ็บ)
หลังจากนั้น ปฐมพยาบาลบาดแผลด้วยน้ำส้มสายชู ซึ่งจะช่วยลดอาการเจ็บ หรือจะใช้น้ำเกลือล้างแผล และการทำแผลปกติก็ได้ (ตำราฝรั่งให้แช่น้ำอุ่น) หลังจากนั้นชิ้นส่วนที่เหลือ ร่างกายจะขับและทำลายได้ อาจจะเป็นตุ่มหนอง อาจจะสลายได้ อย่างไรก็ต้องติดตามนะครับ พยายามเอาออก มีรายงานการติดเชื้อมัยโคแบคทีเรียตรงจุดหนามตำด้วย
มีเพียงบางส่วน น้อยมาก ที่จะเกิดพิษ เพราะเม่นทะเลคือสัตว์ทะเลที่มีพิษในการล่าเหยื่อ แต่ปริมาณพิษมันน้อย
อันตรายที่อาจเกิดคือ บวมแดงเฉพาะที่ ปวด มีไข้ หรือหากรุนแรงจะเกิดปฏิกิริยาภูมิไวเกิน (anaphylaxis) ที่ต้องให้ยา adrenaline, antihistamine และประคับประคองการหายใจ รายงานการเกิดพิษแบบนี้มีน้อยมาก ๆ ครับ

ผู้ที่ใส่อุปกรณ์กระตุกหัวใจ กระตุ้นหัวใจ ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนขึ้นเครื่องบิน

 ผู้ที่ใส่อุปกรณ์กระตุกหัวใจ กระตุ้นหัวใจ ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนขึ้นเครื่องบินนะครับ

แม้คำแนะนำจาก American Heart Association และ transportation security administration บอกว่า มีโอกาส "น้อยมาก" ที่จะเกิดปัญหา
แต่ก็มีคำแนะนำให้ใช้เวลาในเครื่องให้น้อยที่สุด อย่ายืนพิงเครื่อง และหากใช้อุปกรณ์ตรวจจับด้วยมือ ที่เขาเอาแท่งตรวจมาไล่ตามร่างกาย ให้บอกเจ้าหน้าที่ว่าเราใส่อุปกรณ์นะ ช่วยเลี่ยงตรวจทรวงอกด้วย
และจริง ๆ ควรแจ้งเจ้าหน้าที่เสมอ เขาจะได้ตรวจเราด้วยวิธีอื่น เพื่อความปลอดภัยของเราและของเจ้าหน้าที่ครับ

บทความที่ได้รับความนิยม