31 กรกฎาคม 2561

หลอดเลือดดำ SVC อุดตัน

ภาวะฉุกเฉินทางมะเร็งวิทยา ... หลอดเลือดดำ SVC อุดตัน
หลอดเลือดดำใหญ่ก่อนที่จะเข้าหัวใจ superior vena cava รับเลือดมาจากศีรษะ กะโหลก ใบหน้า แขนสองข้าง และ ทรวงอก หากมีการอุดตีบตันของทางเดินเลือด เลือดจะท้นและคั่ง ทำให้เกิดอาการบวมเลือดคั่งในบริเวณดังกล่าว
ตำแหน่งที่อุดตันต่างกัน อาการก็จะไม่เหมือนกัน เช่นจุดตีบตันใกล้ทางเข้าสู่หัวใจมากก็จะบวมหมด ถ้าตีบจุดที่สูงขึ้นบางทีเลือดอาจระบายไปทางบายพาสอันอื่นๆได้ อาการลดลง (สำหรับแพทย์ต้องรู้จักจุดตีบตันและอาการของจุดต่างๆกับทางบายพาสด้วยครับ)
อาการบวมเกิดจากเลือดคั่ง สีจะเข้มขึ้น ม่วงแดง หน้าบวม คอบวม แขนบวม แต่อกจะไม่บวมนะครับ เพราะหลอดเลือดส่วนหน้าอกสามารถบายพาสไปสู่หลอดเลือดดำใหญ่ส่วนล่าง (inferior vena cava) ได้ด้วยสิ่งที่จะเห็นคือร่องรอยบายพาส หลอดเลือดใต้ผิวหนังที่ปกติจะเล็กๆก็ขยายขนาดเพราะต้องรับเลือดบายพาสปริมาณมากขึ้น จะเห็นหลอดเลือดใต้ผิวหนังขยายขนาดและชัด (dilated superficial vein)
บางคนก็มีอาการตลอดเวลา บางคนก็มีอาการเวลานอนเพราะก้อนตกมากดทับ อันตรายที่เกิดขึ้นคือจะมีการบวมบริเวณคอและทางเดินหายใจ รวมทั้งแรงดันกะโหลกจะสูงเพราะเลือดไหลกลับลงมาไม่ได้ ถือเป็นภาวะฉุกเฉินเร่งด่วนทางอายุรกรรมครับ
ในรูปนั้น อาณาบริเวณที่ระบายสีม่วงคือเนื้อเยื่อที่งอกมาล้อมรอบพันรอบหลอดเลือดดำใหญ่ คนไข้คนนี้มีอาการมากเวลานอนราบ ต้องนั่งหลับมาสองคืน จะเห็นว่าเบียดหลอดเลือดดำที่จะนำเลือดเข้าหัวใจทั้งหมด หลอดเลือดดำผนังบางแรงดันต่ำถูกเบียดได้ง่าย ส่วนหลอดเลือดแดงผนังหนาแรงดันสูง ไม่ค่อยถูกกดทับ
ผมแนบภาพกายวิภาคปกติของการไหลหลอดเลือดดำเข้าสู่ทรวงอกและหัวใจด้วยครับ ส่วนภาพเอกซเรย์เป็นภาพจริงครับ
การจัดการที่สำคัญขึ้นกับความเร่งด่วน หากยังพอมีเวลาและคนไข้ไม่อันตราย ควรได้รับการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อเพื่อรับการวินิจฉัยก่อน โรคที่เราพบบ่อยๆคือมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หาไม่เมื่อเราให้การรักษาเพื่อลดการกดทับไม่ว่าการให้ยาสเตียรอยด์ขนาดสูงหรือการฉายแสง จะทำให้เนื้องอกสลายเร็วจนไม่สามารถเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อเพื่อการวินิจฉัยและรักษาเฉพาะโรคได้
อีกโรคที่ตำราเขียนแต่ผมไม่เคยพบคือ หลอดเลือดดำที่คอตีบแคบจากการใส่สายสวนหลอดเลือดดำและมีการอักเสบตีบตันภายหลังจากการใส่สายสวนคาท่อ
คนไข้รายนี้พบต่อมน้ำเหลืองโตมากมายทั้งในช่องอก ที่คอ ที่ท้อง ที่ขาหนีบ และมีเวลาพอจึงได้รับการตัดชิ้นเนื้อหาสาเหตุ และรับการฉีดยาฉายแสง ก้อนยุบลง อาการดีขึ้นและปลอดภัย ผลการตรวจชิ้นเนื้อเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดลุกลาม เตรียมตัวเข้ารับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดต่อไป

30 กรกฎาคม 2561

ร้านหนังสือต้นสน

ร้านหนังสือต้นสน ร้านเช่าหนังสือในตำนานแห่งตลาดวังหลัง
ผมเขียนบทความนี้จากภาพความทรงจำล้วนๆ ไม่ได้ไปร้านนี้เกือบ 20 ปีแล้ว ไม่ทราบว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร ใครมีข้อมูลปัจจุบันเสริมมาได้นะครับ หรือท่านเจ้าของร้าน ท่านที่เคยใช้บริการมาก่อน มาช่วยเติมข้อมูลกันได้
เพิ่งอ่านหนังสือเล่มที่ 37 ของปีนี้จบไป แว่บหนึ่งคิดถึงอดีตสมัยเรายังเป็นวัยรุ่น เราก็อ่านหนังสือมากแบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นเป็นนักเรียน ไม่มีสตางค์มากพอจะซื้อหาได้มากมาย ร้านที่เป็นตักศิลา หล่อหลอมการอ่าน เติมจินตนาการและความกว้างขวางเชิงวรรณกรรม พระคุณไม่ด้อยกว่าห้องสมุดคณะแพทย์และห้องสมุดม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ คือ #ร้านหนังสือต้นสน
ร้านหนังสือต้นสน แฝงกายอยู่ในตลาดวังหลัง ถนนคู่ขนานกับถนนท่าน้ำศิริราช ค่อนไปทางท่าน้ำ ใครเคยไปแถวนั้นต้องระวังกระเป๋าสตางค์ให้ดี ไม่ใช่โจรมาหยิบไป แต่ท่านนั้นแหละที่จะเสียสตางค์เอง สารพัดอาหารอร่อยถูกปาก ราคาไม่แพง เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า อุปกรณ์เสริมความงาม ตั้งแต่ท่าน้ำถึงฝั่งถนนอรุณอัมรินทร์
ร้านเป็นตึกแถว สองถึงสามคูหา เปิดเชื่อมถึงกัน หน้าร้านทางกว้างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มองตรงเข้าไปในร้านสามด้านของสี่เหลี่ยมคือชั้นหนังสือที่มีหนังสือเรียงรายเต็ม พื่นที่ตรงกลางมีชั้นหนังสือวางตลอดแนว น่าจะ สี่ถึงห้าแถวได้ แต่ละชั้นมีหนังสืออยู่หกถึงเจ็ดชั้นย่อย เต็มเอี๊ยดเช่นกัน
มองจากหน้าร้านเข้าไปด้านขวาสุดคือเคาท์เตอร์ ยืม คืน จอง เม้าท์ ของเจ้าหน้าที่ประจำร้านและบรรดาลูกค้า คับคั่งตลอดวัน
มีหนังสือทุกอย่าง ผมยกตัวอย่างที่เคยอ่านและจำได้นะครับ มันเยอะมาก
นิยายไทยเล่มเดียวจบ ผมจำเรื่องละอองดาวได้ มาอ่านจากที่นี่
นิยายเรื่องยาวเรื่องต่อ เช่น ล่องไพร
นิยายจีน อันนี้ประเด็นเลยนะครับ มังกรหยก 1,2,3 อ่านจากที่นี่ บางทีต้องรอ อ่านเล่มสามแล้ว จะไปเช่าเล่มสี่ พี่เจ้าของร้านบอกว่า มีคนตัดหน้าไปแล้ว ท่านคิดดูของพรรณนี้มันรอกันได้ที่ไหน, 8 เทพอสูรมังกรฟ้า จัดเต็ม
วรรณกรรมตะวันตก อกาธา คริสตี้, เชอร์ล็อก โฮล์มส์ อ่านเยอะมากที่นี่ อ่านมากกว่าหนึ่งรอบด้วย มีเรื่องคุณยายยอดนักสืบ หรือหนังสือแปลของสุวิทย์ ขาวปลอด จูราสสิค ปาร์ค ก็อ่านที่นี่
วรรณกรรมไทย หุบเขากินคน เรื่องนี้อ่านตั้งแต่มัธยมจนจบมหาลัย เกือบสิบรอบ, ความรักของคุณฉุย, เหมืองแร่, ปีศาจ
หรือหนังสือ non-fiction อื่นๆมากมาย บันทึกลับนักศึกษาแพทย์ ของอาจารย์หมอลลิตา, ท่องเที่ยว, ทำอาหาร, เรื่องผี โอย..สารพัด
การ์ตูนที่เป็นจุดเด่นอีก ทั้งการ์ตูนรายสัปดาห์ คลับคล้าย..KC weekly อะไรนี่แหละ หรือการ์ตูนชุด แน่นอนระดับผมแล้ว การศึกษาอัตชีวประวัติและผลงานของกัปตันสึบาสะเป็นสิ่งยอดปรารถนา, ซาเอบะ เรียว จากซิตี้ฮันเตอร์, COCO เต็มพิกัดสลัดจอมลุย เรียกว่าอ่านกันหมดชุด
เวลาเช่าก็ทีละ 1-2 เล่มครับเดี๋ยวอ่านไม่ทัน เปลืองค่าเช่าค่าปรับ ยกเว้นเจอเป็นชุดหรือเรื่องที่รอ เอาไว้ก่อน เสียค่าเช่าต่อเอา ไม่งั้นมคปด. แหะๆๆ ขอโทษเพื่อนๆพี่ๆน้องๆยุคนั้นด้วยนะ ราคาค่าเช่าน่ะหรือ ไม่แพงเลย ก็ลูกค้าน่ะพ่อค้าแม่ขายชาวบ้านแถวนั้นทั้งนั้น นักเรียนแพทย์ไปยันอาจารย์แพทย์ครับ พยาบาลตั้งแต่นักเรียนยันหัวหน้าฝ่ายการ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล
แต่ละคนเบี้ยน้อยหอยน้อยทั้งนั้น และพวกหนอนหนังสือนี่ก็คุ้นๆหน้ากัน เลิกเรียน เลิกงาน หลังกินข้าวเป็นได้เจอล่ะ สำหรับผมแล้วบางครั้งการเจอสาวน้อยจากฝั่งท่าพระจันทร์มาเช่าหนังสือเป็นหมู่คณะ ถือว่าชื่นใจอย่างแรง วนเลือกหนังสืออยู่นั่นแหละ ถึงแม้ว่าตัวเองจะข้ามฝั่งไปห้องสมุด มธ.และศูนย์หนังสือมธ.เป็นประจำก็ตามที แฮร่ๆๆๆ
(ห้องสมุดมธ. เป็นตึกอันเดอร์กราวน์ ลงใต้ดิน ล้ำมากในความคิดผม)
ผมต้องถือว่าร้านต้นสน เป็นผู้มีพระคุณอีกคนหนึ่ง เป็นแรงบันดาลใจที่จะมีร้านหนังสือแบบนี้ เมื่อตัวเองเกษียณ...โอ.ใกล้เต็มที มีลุงหมอนักเขียนขี้โม้คนนี้ได้ ก็เพราะต้นสนด้วยนะครับ
จากความทรงจำ ลุงหมอถึงต้นสน
นำภาพมาจากอินเตอร์เน็ต ไม่ได้ขออนุญาตทางร้านก่อน เพราะไม่มีภาพจริง หากผิดพลาดหรือะเมิดประการใด ผมยินดีลบออกครับ ภาพจากfoursquare.com

ฝนตก ทำให้ เป็นหวัด ..ชัวร์หรือมั่วนิ่ม

ฝนตก ทำให้ เป็นหวัด ..ชัวร์หรือมั่วนิ่ม
ตอนนี้ฝนตกทั่วทุกภูมิภาคของประเทศครับ บางพื้นที่ก็น้ำท่วมน่าเป็นห่วง บางพื้นที่ก็เย็นสบาย บางพื้นที่ก็โรแมนติกชวนมีเด็กเหลือเกิน (ถ้าคุณมีคู่กรณีด้วยนะ หึหึ)
หลายๆคนบอกว่า ตากฝนทำให้เป็นหวัด ..
ความจริงแล้วหวัด เกิดจากเชื้อไวรัสที่ก่อโรคทางเดินหายใจส่วนบนเช่น adenovirus, rhinovirus, coronavirus, respiratory syncytial virus ติดเชื้อที่จมูกและลำคอ อาการไม่รุนแรง เป็นเองหายเอง แค่ประคับประคอง #ไม่ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อแต่อย่างใด# อาการที่พบคือ คัดจมูก มีน้ำมูก ตาแดง คันคอ ไอ และมีไข้
ผมไม่พบหลักฐานชัดๆที่เชื่อมโยง ไวรัสกับฝน อ่านจากตำราที่มีตอนนี้และค้นวารสารบ้าง ก็ไม่พบชัดๆ แต่มีเขียนไว้ว่า เชื้อจะชอบอุณหภูมิที่ต่ำกว่าอุณหภูมิปกติของร่างกายเล็กน้อย ประมาณ 33-35 องศาเซลเซียส และเยื่อบุที่มีความชื้นสูงจะเจริญได้ดีกว่าสภาพแห้งๆ ..ใครมีข้อมูลเพิ่มเติม บอกกันได้ครับ
พอจะคาดเดาได้ว่า สภาพอากาศแบบนี้ทำให้ร่างกายเรากลายเป็นแหล่งพำนักและแพร่เชื้อของคุณไวรัสต่างๆ โอกาสติดเชื้อจึงมากขึ้น
นอกจากนี้ เวลาเราโดนฝน ลม ฝุ่น หลายๆคนจะเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ ไอ มีน้ำมูก คันคอ คัดจมูก หรือบางคนมีไข้ อาการก็เหมือนติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจเป๊ะเลย จึงอาจจะพาลคิดได้ว่า ฝนทำให้เป็นหวัด
และบางคนก็ไอ จาม สารคัดหลั่ง น้ำมูกกระจาย น้ำลายกระจุย เชื้อก็ยิ่งแพร่ง่าย กลายเป็นเชื้อแพร่มากในช่วงฝนตก เข้าแก๊ปฝนตกทำให้เป็นหวัดอีก
ในสภาพอากาศธรรมดาก็เป็นหวัดได้นะครับ ถ้าไม่ล้างมือ หรือไอจามไม่ปิดปาก ไม่จำเป็นต้องเป็นหน้าฝน หน้ามรสุม แต่อย่างใด
ก็พอสรุปได้ว่า สภาพอากาศก่อให้เกิดภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการติดเชื้อ มากกว่า ฝนทำให้เกิดหวัด ครับ แต่อย่างไรก็ตามเราควรกางร่ม สวมเสื้อกันฝน และรีบเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อแห้ง ไม่ใช่พอรู้แบบนี้แล้วทำเท่ห์ เดินตากฝนโชว์สาว ..อยากบอกว่า สาวๆเขาก็คิดในใจว่า ...มันเดินตากฝนทำไม หรือกางร่มไม่เป็น แค่เสื้อฝนยังใส่ไม่เป็น อย่าไปเอามาเป็นแฟนเล้ย นั่นๆๆ โดนไหม

Brucella

แบร๊ะๆๆ แอ๊ะๆๆ .. น้องเคยเห็นแพะหรือเปล่า แพะมันตัวโตไม่เบา มีแท่งยาวๆเรียกว่าเขา มีหนวดยาวๆเรียกว่าเครา มีหูมีตา หางสั้น
โรคติดเชื้อจากสัตว์อีกชนิดหนึ่ง เรามาดูตัวอย่างคนไข้จริงกันนะครับ
ผู้ป่วยเพศชายอายุ 48 ปี มีอาการไข้สูงๆต่ำๆ เป็นทุกวันติดต่อกันมา 10 วันแล้ว เวลามีไข้ไม่ได้อาการแย่มาก ไม่มีอาการหนาวสั่น มีอาการปวดศีรษะร่วมกับอาการไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ไม่มีอาการอย่างอื่นเลย กินอาหารได้ตามปกติ ใช้ชีวิตได้ตามเดิม ผู้ป่วยไปรับการรักษาได้รับยาลดไข้และยาลดปวดต้านการอักเสบมาสามวัน อาการไม่ดีขึ้น ตรวจร่างกายปรกติดี ไม่มีผื่น ไม่มีต่อมน้ำเหลืองโต ตับม้ามไม่โต
เจอแบบนี้หมอก็มึนเหมือนกันนะครับ เรียกว่า ประวัติที่บ่งชี้ถึงระบบอวัยวะใดๆที่ติดเชื้อไม่ชัดเจนเอาเสียเลย อาจไม่ใช่โรคติดเชื้อหรือยังซักประวัติไม่ครบถ้วนพอ
ผู้ป่วยให้ประวัติว่าทำงานอาชีพเกษตรกร เลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม เมื่อสามสัปดาห์ก่อนเดินเท้าเปล่าในคอกสัตว์ โดนหินบาดเป็นแผลยาวประมาณสองเซนติเมตร ไม่ลึก ไปทำแผลและรักษาจนแผลหายดีแล้ว และฟาร์มที่เขาทำคือฟาร์มแพะ เพื่อขายนมแพะ
เมื่อได้ประวัติแบบนี้เราต้องคิดถึงการติดเชื้อจากดินน้ำจากสัตว์มากขึ้น ผู้ป่วยรายนี้ได้รับการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อ Brucella ผลออกมาเป็นบวกและผลเพาะเชื้อในกระแสเลือด ขึ้นเป็นเชื้อ Brucella (นำเชื้อจากจานเพาะเชื้อมาย้อมดูพบแบคทีเรียติดสีแดงตัวสั้นๆ เรียก gram negative coccobacilii)
หนึ่งในการติดเชื้อจากปศุสัตว์คือ Brucella มักจะพบในสัตว์เลี้ยงแพะ แกะ และอาจพบในวัว ควาย หมู ได้เช่นกัน เชื้อกลุ่มนี้สามารถแพร่เข้าสู่ร่างกายโดยไปสัมผัสดินน้ำที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งจากสัตว์ หรือกินเนื้อปรุงไม่สุก ดื่มนมที่ไม่สะอาด โอกาสติดเชื้อจากคนสู่คนน้อยมาก ยกเว้นคุณจะเป็นแพะ
ในดินน้ำที่ปนเปื้อนหรือในนมสัตว์จะอยู่ได้นานเกือบสองเดือน เชื้อตายง่ายหากโดนความร้อนดังนั้นการปรุงสุกจึงสำคัญ การสวมอุปกรณ์ป้องกันเวลาทำงานก็สำคัญ
อาการส่วนมากก็แบบนี้ครับ ไข้สูงสลับต่ำไข้หายแล้วกลับมาเป็นใหม่ และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีการอักเสบและเกิดเชื้อไปสะสมที่อวัยวะใดก็ได้ ตรวจร่างกายก็ไม่ชัดเจน ดังนั้นประวัติการทำงาน สัมผัสสัตว์ หรือกินเนื้อสัตว์ นมสัตว์ที่ไม่สุก สำคัญมาก
การวินิจฉัยก็ต้องเพาะเชื้อ แยกเชื้อจากเนื้อเยื่อ คนไข้รายนี้เพาะเชื้อขึ้นในกระแสเลือด การตรวจหาแอนติบอดีพอจะช่วยการวินิจฉัยได้ครับและปัจจุบันการตรวจหาสารพันธุกรรม กรดนิวคลีอิกของตัวเชื้อก็ตรวจจับได้เร็วเช่นกัน การรักษามาตรฐานใช้ยาสองตัวคือยาฉีด Streptomycin 0.75-1 กรัม วันละครั้ง เป็นเวลาสามสัปดาห์ร่วมกับยากิน Doxycycline 200 มิลลิกรัมต่อวันอย่างน้อย 4 -6 สัปดาห์ ทั้งนี้เพราะเชื้อสามารถกลับมาเป็นใหม่หรือแฝงในเซลล์ได้ ในคนที่เสี่ยงติดเชื้อซ้ำอาจต้องตรวจการหายและเกิดซ้ำที่สองปีหลังรักษา
(น้องๆหมอหรือผู้ที่สนใจ ให้อ่านกลไกการก่อโรคในเซลล์, opsonization, การกำจัดเชื้อ ได้จากตำรามาตรฐานทั่วไป)
คนไข้รายนี้ก็ได้รับการรักษาตามนั้นครับ อาการไข้ลดลงและอาการทั่วไปดีขึ้นตั้งแต่ให้ยาสัปดาห์แรก (ผลเพาะเชื้อมาทีหลัง แต่สงสัยมากจากประวัติและผลย้อมเชื้อจากจานเพาะเชื้อเบื้องต้น) และเขาให้คำมั่นสัญญาว่าจะใส่อุปกรณ์ปกป้องมือและเท้าให้ดีขึ้นเวลาทำงานครับ
อยากเน้นความสำคัญของการซักประวัติครับ และความรู้รอบทางคลินิก เป็นสิ่งสำคัญในวิชาชีพแพทย์ครับ

29 กรกฎาคม 2561

ตำแหน่งใส่สายสวนหลอดเลือดดำที่ไหปลาร้าและที่คอ

เห็นรูปชายคนนี้ นำมาเล่าสนุกๆ ภาพชายคนนี้ (ภาพไม่ติดลิขสิทธิ์) จากการค้นภาพประกอบบทความ ไม่รู้เขากำลังทำอะไรอยู่นะ มันไม่ใช่ประเด็น
อยากให้ดูตำแหน่งใส่สายสวนหลอดเลือดดำที่ไหปลาร้าและที่คอ
ที่ไหปลาร้าก็ใต้ไหปลาร้า กึ่งกลางไหปราร้าชี้ปลายเข็มเข้าหากลางลำตัว ตำแหน่งนี้จะไม่รำคาญคอ ใส่ยากกว่า ติดเชื้อน้อยกว่าเพราะไม่ค่อยได้ไปยุ่งอะไรมากนัก
ที่คอ ตรงยอดมุมบริเวณสามเหลี่ยมที่คอ ชี้ปลายเข็มไปที่...หัวนม ตำแหน่งนี้ใส่ง่ายกว่า จุดชี้ตำแหน่งชัด อาจมีข้อจำกัดเช่น ใส่ท่อ ใส่ที่ค้ำยันคอ และจะรำคาญ บางครั้งคนไข้ก้มก็อาจติดขัดได้
มันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรมากนะครับ ผลข้างเคียงอันไม่ได้เจตนา ไม่ว่าเลือดออก ลมรั่วในเยื่อหุ้มปอด ติดเชื้อ มันเกิดได้อยู่แล้ว แต่เมื่อไรเราตัดสินใจจะใส่ด้วยข้อบ่งชี้ใด แสดงว่าประโยชน์มันดูมีน้ำหนักมากกว่าโทษ และคุ้มค่าที่จะเสี่ยง
ส่วนตำแหน่งขาหนีบ ผมไม่ได้เอารูปมาให้ดู เพราะจะโฟกัสผิดจุดและอาจแยกไม่ออก อันไหนสายสวนหลอดเลือด อันไหน...ปืนฉีดน้ำ

ice-cream headache

คุณเคย ดูดไอติม แล้วจี๊ดไหม
คำศัพท์ ice-cream headache ปวดจี๊ดศีรษะเวลากินของเย็นจัดๆ หรือ cold-stimulus headache คือ อากมรปวดจี๊ดขึ้นมาเฉียบพลันตั้งแต่กราม ขมับ ถึงกลางศีรษะ มักจะเป็น 10-15 นาทีแล้วหายไป มักจะเป็นเวลากินเร็วๆ แรงๆ ระรัวๆ ถ้า "ละเลียดเลียเล็ม" ไม่ค่อยเกิด
เวลากินของเย็นๆ เร็วๆ วัตถุนั้นจะผ่านช่องปากและเพดานปากอย่างรวดเร็ว หลอดเลือดฝอยจะหดตัวรับความเย็นและขยายตัวรับเมื่อความเย็นผ่านไป หลอดเลือดที่หดและขยายเร็วๆนี้ ร่างกายมันแปลเป็นความเจ็บปวด ผ่านเส้นประสาทสมองคู่ที่ห้าไปแปลผลที่สมอง เพียงแต่ว่าเส้นประสาทสมองคู่ที่ห้านี้รับสัมผัสทั่วใบหน้าและศีรษะ เวลาแปลผลร่างกายจะแปลผลพลาดว่าไม่ได้เจ็บปวดตรงปากและเพดานเท่านั้น ยังแปลผลเป็นปวดไปทั่วบริเวณที่มันรับความรู้สึกอีกด้วย
แต่จะมีอาการแค่พักเดียว เดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องไปทำอะไรครับ
วิธีการป้องกัน คืออย่ากินของเย็น...ดูมันกวนจีนเนอะ..เอาเป็นว่ากินช้าๆแล้วกันครับ ค่อยๆแตะด้วยปลายลิ้น ใช้ลิ้นสัมผัสให้ทั่วบริเวณไอติม แลบลิ้นเลียเล็กน้อย แล้วค่อยกลืนเข้าปากช้าๆ เคล้าคลึงรสสัมผัสตามกระพุ้งแก้ม แล้วกลืนกินอย่างเนิบนาบ และนุ่มนวล
เท่านี้ท่านก็จะไม่ต้องทรมานกับ ice cream headache แล้วนะครับ หรือถ้าใครเป็นบ่อยๆก็ต้องเลิกดูดไอติม ชิมไอศกรีม
หันมาลองของเผ็ด จัดจ้าน เร่าร้อน แบบลุงหมอดูบ้างนะครับ ...แซ่บ

28 กรกฎาคม 2561

ครบรอบร้อยปีการระบาดของไข้หวัดใหญ่

มีของดีของฟรี มาฝากกันอีกแล้วจ้า....
ครบรอบร้อยปีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ วารสาร lancet ได้รวบรวมเหตุการณ์มาเล่าขานประวัติศาสตร์การระบาดตามลำดับเวลา พร้อมลิงค์วารสารต้นฉบับเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆให้อ่านฟรีอีกด้วย เรียกว่าฟรีคูณสอง
เริ่มด้วยจดหมายรายงานการระบาดในรัสเซียที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี 1889 กับ Russian Flu อีกหนึ่งปีถัดมา รายงานการระบาดแพร่ไปทางตะวันตกถึงยุโรป รายงานบอกว่ามักจะติดต่อในพวกมีอันจะกินมากกว่า ...แหม ผมรอดเลยนะ..
หลังจากนั้นพบการระบาดอีกในปี 1918 ปีสุดท้ายของมหาสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง รายงานการแยกโรคก็มาจากทหารอเมริกาที่มาร่วมรบในสงครามด้วย ทหารรายนี้ทำการรบและกลับจากสเปน เขาเลยเรียก Spanish Flu ซึ่งชาวสเปนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก
มีลิงค์สรุปรายงานและอาการต่างๆ สรุปว่ามันต่างจากหวัดรัสเซียนะ ครั้งนั้นถือเป็นหายนะครั้งใหญ่และเปิดตัวไข้หวัดใหญ่อย่างน่าสะพรึงกลัว ระบาดไปทั่วโลก
ปี 1919 มีรายงานไข้หวัดใหญ่นี่แหละทำให้สมองและระบบประสาทส่วนกลางติดเชื้อได้ด้วย จึงเริ่มมีการศึกษาการระบาดว่า ถ้าใส่ผ้า...เอ้ย หน้ากากกันน้ำลาย อยู่ในที่อาการแห้งและโปร่งจะลดการติดเชื้อได้ รวมทั้งเริ่มศึกษาลงไปถึงระดับโปรตีนของเจ้าหวัดใหญ่เลย
ในปี 1933 รายงานไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ได้ครั้งแรก และข้ามไปที่รายงานปี 1957 ถึงการระบาดในแถบเอเชีย เริ่มจากฮ่องกง ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไม่รู้มาเมืองไทยบ้างหรือเปล่า ตอนนั้นทัวร์จีนยังไม่นิยมขนาดนี้ และก็แยกออกด้วยว่ามันไม่ใช่สายพันธุ์เดียวกับหวัดสเปน เรียกว่า Hongkong Flu
ปี1968 10ปีหลังการระบาดครั้งแรก หวัดฮ่องกงก็กลับมาระบาดอีกครั้ง คราวนี้ไปไกลทั่วโลกเลย พร้อมกับการคิดค้นยารักษาไข้หวัดใหญ่ตัวแรก amantadine
1998 หวัดนก Avian Flu หรือ H5N1 ที่ไม่เคยเจอในคนมาก่อนเราก็พบเช่นกัน ปีนี้ฝรั่งเศสได้แชมป์ฟุตบอลโลกด้วย รายงานการระบาดแรกๆก็ฮ่องกงอีกแหละ หลังจากนั้น 10 ปี ปี2009 หวัดหมูเม็กซิโกระบาด จำได้ตอนนั้นดูข่าวสดจาก CNN รายงานขณะประชุมราชวิทยาลัยอายุรแพทย์เลย อีกสามวันท่านอาจารย์ อมร ลีลารัศมี ก็แถลงข่าวการระบาด และต่อมาก็พบในประเทศไทยและแพร่ไปทั่วโลกด้วย
lancet ทำออกมาได้สนุกเร้าใจมาก แต่ทว่า...ลิงค์ฟรีต่างๆ ฟรีถึงแค่วันอังคารที่ 31 สิงหาคมนี้เท่านั้น อยากมันต้องเร่ง อยากเก่งต้องรีบ
ลิงค์ไปหน้าเริ่มต้นอยู่ที่นี่นะ
http://info.thelancet.com/pandemic-flu-100…

hesitation mark, suicidal mark

hesitation mark, suicidal mark เก็บตกจาก "เมีย 2018"
ใครเป็นแฟนละคร เมีย 2018 ยกมือขึ้น เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาเราได้เห็นฉากที่ "กันยา" ใช้คัตเตอร์กรีดข้อมือแล้วส่งสัญญาณภาพสดไปยัง "ธาดา" เพื่อเหตุผลทางการเมือง เรามารู้จักแผลกรีดข้อมือตัวเองกัน
hesitation mark คือรอยแผลอันเกิดจากการพยายามทำร้ายตัวเองแต่เป็นการทำร้ายที่ยังไม่ถึงระดับจะเสียชีวิต การกระทำอันเป็นที่นิยมคือการใช้มีดกรีดข้อมือให้เป็นรอย หลายๆรอย มักจะเกิดกับข้อมือข้างที่ไม่ถนัด มือที่ถนัดใช้กรีดมืออีกข้างหนึ่ง
รอยแผลมักจะไม่ลึกมาก และมีหลายรอยขนานในทิศทางเดียวกัน เพราะส่วนมากผู้ทำไม่ได้มีเจตนาที่จะฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้ หรือลังเลที่จะทำ เพราะแผลไม่ลึก ที่ดูเลือดมากเพราะมีหลายแผล การเห็นรอยแผลที่หายเป็นแผลเป็นภายหลังหลายๆรอย อาจเกิดจากกรีดหลายครั้งหรือครั้งเดียวหลายรอยก็ได้
แต่ว่าการกรีดข้อมือแบบนี้ก็เกิดอันตรายได้หากกรีดลึกเพราะบริเวณข้อมือเป็นจุดรวมของเส้นประสาทและหลอดเลือดจากแขนส่งไปที่มือ และเป็นจุดรวมของเส้นเอ็นที่ใช้ควบคุมการเคลื่อนที่ของนิ้วอีกด้วย รวมกันตรงไหน รวมกันตรงที่นิยมกรีดกันนั่นแหละแต่ว่าอยู่ลึกกว่า
การกรีดพลาดไป เกิดกดน้ำหนักมากขึ้น อาจมีเส้นประสาทขาด เส้นเอ็นขาด ส่งผลทำให้พิการได้หากแก้ไขไม่ทัน หรือหากไปโดนหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ไปเลี้ยงมือ (ลองจับชีพจรดู) แล้วห้ามเลือดไม่ทัน เลือดจะไหลออกมากเป็นอันตรายได้
การปฐมพยาบาล ให้ใช้ผ้าสะอาดกดปากแผลเอาไว้ งอข้อมือ และใช้ผ้าพันกดห้ามเลือด และรีบไปโรงพยาบาลเพื่อสำรวจความเสียหายและซ่อมแซม ในกรณีต้องห้ามเลือด หากกดหรือรัดแน่นแบบขันชะเนาะนานเกินไปจะทำให้มือขาดเลือดได้ ไม่ควรทำเอง ปฐมพยาบาลและไปโรงพยาบาลเลย
สิ่งที่อาจจะตามมาอีกได้คือ บาดทะยักนะครับ อย่าลืมพิจารณาการให้ยาป้องกันบาดทะยักด้วย
นอกจากนี้การพยายามทำร้ายตัวเอง ไม่ว่าจะถึงชีวิตหรือไม่เป็นเหตุให้ถึงแก่ชีวิตก็แล้วแต่ ควรได้รับการประเมินทางจิตเวชนะครับ เพราะหากมีอาการซึมเศร้าแล้วพยายามฆ่าตัวตาย ถือว่าอันตรายมากครับต้องรักษา ไม่งั้นเขาอาจทำสำเร็จในครั้งต่อไป
แต่สำหรับ "กันยา" ในเรื่องเมีย 2018 ไม่ถือเป็นการพยายามฆ่าตัวตายนะครับ เขาแอบแฝงการประชด พฤติกรรมการฆ่าตัวตายไม่ใช่แบบนั้น เด็กไม่ควรลอกเลืยนแบบและผู้ใหญ่ก็ต้องสอนว่า ทำแบบนั้นอาจอันตรายมากกว่าที่คิด

27 กรกฎาคม 2561

operation vital sign 4

episode 4 .. อัตราการหายใจ
อัตราการหายใจถือเป็นการวัดที่ยากที่สุดในสี่สัญญาณชีพ เพราะสังเกตเองไม่ได้ ต้องอาศัยผู้อื่นสังเกตให้ เนื่องจากผู้ที่หายใจสามาาถบังคับการหายใจให้เป็นจังหวะที่ตนต้องการได้
1. การหายใจควรใช้การสังเกตการกระเพื่อมจากการหายใจเช่นการเคลื่อนที่ของหน้าอกหรือช่วงท้อง โดยสังเกตในขณะที่ผู้ป่วยหรือผู้ตรวจทำอย่างอื่นๆ อย่าจ้องเป๋ง
2. รูปแบบของการหายใจถือว่าค่อนข้างยากแต่ว่ามีความสำคัญมาก เช่น หายใจติดขัด หายใจลำบาก หายใจหอบลึก ถ้าได้ข้อมูลนี้จะช่วยได้ ถ้าบอกลักษณะไม่ได้ก็บรรยายเป็นคำพูดธรรมดา หรือทำให้ดูครับ
3. อัตราการหายใจเป็นสิ่งที่เราจะสังเกต นับ เข้า-ออก เป็นหนึ่งครั้ง นับจนครบหนึ่งนาที จะได้อัตราการหายใจต่อนาที ปกติจะ 10-12 ครั้งต่อนาที หากภาวะปวด มีไข้อัตราการหายใจจะเร็วขึ้น
4. อาจจะนับวันละ 3-4 ครั้งก็พอและเวลาที่คนไข้หอบหายใจเร็วก็ควรนับด้วย และบันทึกเอาไว้
5. การหายใจเร็วไม่ใช่อาการเหนื่อย อาการเหนื่อยจะหมายถึง หายใจธรรมดาด้วยกล้ามเนื้อหายใจปรกติทำได้ยาก ต้องใช้แรงส่วนอื่นนอกเหนือจากกล้ามเนื้อหายใจมาช่วย เช่น ยกไหล่ ยืดคอ ใช้แรงจากท้องมาช่วย
6. อาการหอบมีหลายอย่าง แต่ที่ค่อนข้างชัดว่าหายใจลำบากมากแล้วคือ หายใจหอบปีกจมูกบาน หรือ หายใจเป่าปากหายใจทางปากช่วย อันนี้อันตรายแล้วควรไปพบแพทย์ (โดยทั่วไปนะครับ)
การหายใจต้องถือว่าสังเกตยากมาก หลักๆขอแค่อัตราการหายใจก็พอครับ
เมื่อจบ 4 step เราจะได้เรียนรู้ว่าการสังเกตอาการเองที่บ้าน ไม่ใช่แค่เอายาให้กิน หาข้าวอร่อยๆให้กิน แต่เป็นการเฝ้าระวังความผิดปกติและสัญญาณชีพ เพื่อตรวจจับความผิดปกติหรือสามารถบอกเล่าเรื่องราวของโรคให้การวินิจฉัยแม่นยำมากขึ้น แค่ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ เราแยกโรคได้มากเลยครับ

26 กรกฎาคม 2561

ข่าวสั้น Ebola 2018

ข่าวสั้น ทันสมัย ง่ายนิดเดียว
ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีการระบาดของไวรัสอีโบล่าขึ้นมาอีกครั้ง ข้อมูลล่าสุดเป็นการระบาดเฉพาะที่ของประเทศคองโกเท่านั้น ท่านที่มีประสบการณ์ทางอายุสูงอาจคุ้นกับชื่อประเทศซาอีร์ ประเทศเดียวกันนะ
การระบาดเกิดใน 53 ราย เสียชีวิตแล้ว 29 ราย ตามรายงานขององค์การอนามัยโลกล่าสุดเมื่อ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา
มีการลงพื้นที่สอบสวนและป้องกัน ควบคุมเรียบร้อย ครั้งนี้คองโกระบาดครั้งที่เก้าแล้วเรียกว่าประเทศแถบนี้ช่ำชองมาก มีการจัดการที่ว่องไว
มีการใช้มาตรการ Ring Vaccination คือสำรวจว่าใครเป็นแล้วจับคนรอบตัวที่สัมผัสคนที่ติดเชื้อมาฉีดวัคซีนป้องกันให้หมด รวมทั้งคนที่สัมผัสคนรอบตัวคนติดเชื้ออีกต่อหนึ่งด้วย ซึ่งเป็นมาตรการที่ทรงประสิทธิภาพดีมาก
มาตรการการให้วัคซีนเร็วในช่วงแรกของการระบาดน่าจะได้รับการศึกษาต่อๆไปล่ะครับ ว่าสามารถควบคุมโรคได้ดีหรือไม่ และการระบาดครั้งนี้จะลุกลามมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อไทยหรือไม่
ณ ขณะนี้ ตอนนี้ยังไม่ส่งผลกระทบกับประเทศไทยครับ
ตรวจสอบการระบาดได้ที่ www.who.int
เรื่อง : ลุงหมอรูปหล่อ
ภาพ : ลุงหมอรุ่นใหญ่ (XL)
นำเสนอ : ลุงหมอไม่ขี้เก๊ก ไม่ทำตัวเด็กๆ เรื่องเล็กไม่ทำเป็นใหญ่ๆ เหมือนหนุ่มๆทั่วไป

operation vital sign 3

episode 3 ...ชีพจร
แม้ว่าเครื่องมือตรวจวัดชีพจรแบบนาฬิกาหรือแผ่นแปะอกจะออกมาและได้รับการรับรอง ราคายังเกินเอื้อมมาก เราจะมาใช้อุปกรณ์พื้นฐานก็พอในการเรียนรู้ชีพจร
1. ตำแหน่งที่จับง่ายคลำชัดคือที่ข้อมือครับ เวลาคลำใช้สามนิ้วลูกเสือสามัญ ชี้กลางนาง สัมผัสและกดเบาๆให้รู้สึกถึงชีพจรที่ดันนิ้วเราขึ้นมา จุดอื่นที่คลำได้คือที่คอ แต่อย่ากดแรงกดนานครับ อีกที่คือที่ขาหนีบ ท่านอาจคลำเองหรือจะให้คนอื่น "คลำ" ก็ได้
2. สามสิ่งง่ายๆที่เราจะคลำ คือ อัตราเร็ว จังหวะ และ ความแรง อุปกรณ์ที่สำคัญคือนาฬิกาครับ สำหรับอัตราเร็วแนะนำให้นับชีพจรที่เต้นต่อหนึ่งนาทีเต็ม ส่วนจะจับ 15 วินาทีแล้วคูณสี่ ผมว่าไม่ละเอียดเท่าครับเสียเวลานาทีเดียวเอง ถ้าจังหวะสม่ำเสมอดีก็บอกได้ว่าอัตราชีพจรกี่ครั้งต่อนาที การติดตามก็เหมือนกับไข้นะครับ ใช้เปรียบเทียบกับค่าเดิม หรือบันทึกค่าที่เร็วมากๆเอาไว้ว่าหัวใจของเราที่ว่าเต้นเร็วนั้นเร็วเท่าไร
3. จังหวะ แยกสองอย่างครับสม่ำเสมอกับไม่สม่ำเสมอ จะไม่สม่ำเสมอแบบใดเป็นหน้าที่คุณหมอจะจัดการ เราแค่ดูว่าระยะมันเท่ากัน หรือผิดแบบเช่น แรงสองครั้งเบาหนึ่งครั้ง หรือเต้นแบบ ตุบ-ตุบ-หาย-ตุบ-ตุบ-หาย หรือไม่มีความสม่ำเสมอเลย ข้อมูลนี้จะช่วยการวินิจฉัยโรคได้มาก
ส่วนความแรง ให้สังเกตแค่ว่าความแรงมันเท่ากันหรือไม่หรือเบาๆ แรงๆ
ด้วยข้อมูลอัตราเร็ว จังหวะและความแรง จะช่วยติดตามโรคได้มาก
4. ชีพจรแนะนำจับด้วยมือ ค่าที่อ่านได้จากเครื่องวัดความดันจะเชื่อถือได้เมื่อความแรงเพียงพอและจังหวะสม่ำเสมอเท่านั้นครับ
5. เราสังเกตการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงเป็นสำคัญในการป่วยเฉียบพลัน หรือเปลี่ยนจากเป็นจังหวะสม่ำเสมอกลายเป็นไม่สม่ำเสมอเป็นต้น ตัวเลขที่บอกว่าอันตรายแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นกับพื้นฐานชีพจรเดิมขณะปรกติ อายุ เพศ แต่ผมจะบอกค่าคร่าวๆโดยทั่วไปแล้วกัน ที่ต้องระวังตั้งแต่ 120 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป และเต้นเร็วอย่างต่อเนื่อง ส่วนเต้นช้าแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันครับ แต่ถ้าต่ำกว่า 40 ครั้งต่อนาทีก็ต้องระวังแล้ว
6. ชีพจรเป็นตัวจับการเปลี่ยนแปลงที่ไวมาก มีความแปรปรวนสูง การวัดให้ใจเย็นๆและติดตามดูบางครั้งอัตราเร็วที่นาทีที่ศูนย์ กับติดตามไปอีกห้านาทีก็ต่างกันมากเลย บางคนมีเครื่องที่ติดตามชีพจรแบบเรียลไทม์ เช่น เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว จะตกใจกับค่าที่ขึ้นลงตลอดเวลา ก็เพราะหัวใจเราเต้นไม่เท่ากันทุกนาทีนะครับ ดูการเปลี่ยนแปลงเป็นหลัก
7. การบันทึกการเปลี่ยนแปลงชีพจรเป็นสิ่งสำคัญหากจะเลือกใช้การจับชีพจร เพราะไม่สามารถตัดสินได้จากค่าเดียวเลย เขียนกราฟได้จะชัดเลยครับว่าแนวโน้มช้าหรือเร็ว หรือเต้นผิดจังหวะตลอด
8. หลายคนคลำชีพจรมากกว่าหนึ่งที่แล้วแรงไม่เท่ากัน หรือเต้นไม่พร้อมกัน เช่นคลำซ้ายเบากว่าขวา หรือขาเต้นช้ากว่าแขนมาก หรือเต้นสองจังหวะ ให้นำข้อมูลนี้ไปบอกแพทย์ด้วยนะครับ มีความสำคัญมากในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือด
9. กลุ่มคนบางกลุ่มอาจไม่มีชีพจรได้ เช่นกลุ่มคนที่ติดเครื่องช่วยการบีบตัวหัวใจ หลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน ผ่าตัดบายพาส แต่ถ้าจับแล้วไม่มีชีพจร ตัวเย็น นิ่งๆ แข็งๆ อันนั้นเสียชีวิต !!!
ตอนต่อไปเป็นเรื่องที่ยากที่สุดคือ อัตราการหายใจ เพราะว่า สังเกตเองไม่ได้ครับต้องมีผู้ช่วยเหลือคอยสังเกตให้ กับ ซีรี่ส์สุดท้ายของ operation vital sign

Vibrio vulnificus

ภาพการอักเสบรุนแรงที่มือของชายคนหนึ่งหลังกินอาหารทะเลไม่สุก (กดไปดูได้ที่ลิงค์ด้านล่าง ฟรีครับ)
วารสาร NEJM เช้านี้ลงรูปภาพของชายอายุ 71 ปีคนหนึ่งมีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและไตเสื่อม เขาไปกินอาหารไม่สุก (ตามรายงานไม่ได้บอกว่าอาหารชนิดใด แต่ถ้าพิจารณาจากเนื้อความน่าจะเป็นอาหารทะเลไม่สุก) 12 ชั่วโมงถัดมาเริ่มมีตุ่นน้ำและลุกลามเป็นถุงน้ำที่มือซ้าย
ผ่านมาสองวันถุงน้ำขยายขนาดใหญ่ขึ้นและมีเลือดออกในถุงน้ำนั้นทำให้เห็นเป็นสีม่วงคล้ำ (hemorrhagic bullae) โดยมีรอยแดงจากการอักเสบรอยแผลนั้น เขาได้รับการผ่าตัดรักษาและผลการเพาะเชื้อจากถุงน้ำนั้นคือ Vibrio vulnificus
คนไข้ได้รับการรักษาด้วยยา ceftazidime และ ciprofloxacin ปรากฏว่าอาการไม่ดีขึ้น จนต้องตัดมือทิ้งเพื่อรักษาชีวิตต่อไป
เชื้อโรค V.vulnificus เป็นเชื้อแบคทีเรียกลุ่มเดียวกันกับที่ก่อโรคท้องร่วงอหิวาตกโรคในคน แต่ชนิดนี้จะก่อโรคติดเชื้อรุนแรงในลักษณะเป็นถุงน้ำที่ผิวหนัง อักเสบรุนแรง มีเลือดออก ติดเชื้อลุกลามเข้ากระแสเลือด มักพบเมื่อมีแผลและไปสัมผัสเชื้อโรค หรือกินอาหารปนเปื้อนเชื้อโรค
อาหารปนเปื้อนเชื้อโรคสำหรับเชื้อตัวนี้มักจะเป็นอาหารทะเลที่ไม่สุก หรือบางคนกินดิบก็มี แต่ไม่ใช่ปลาดิบในภัตตาคารนะครับ ส่วนมากจะเป็นสัตว์ทะเลมีเปลือกดิบเสียมากกว่า หรือแผลสัมผัสสัตว์ทะเลมีเปลือก
และส่วนมากก็มักจะก่อโรคในคนที่ภูมิคุ้มกันไม่ดี ไตเสื่อม ตับเสื่อม เบาหวาน เช่นชายวัย 71 ปีคนนี้ที่มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวานและโรคไตเสื่อมเรื้อรัง
แล้วน่ากังวลกับอาหารทุกวันนี้ไหม ไม่นะครับ ...ถ้าเป็นการเก็บและการปรุงแบบปรกติไม่ใช่แบบเปิบพิสดารอะไรมากมาย ไม่ใช่กินดิบๆจากทะเล การรักษาอาหารที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสสักสองชั่วโมงเชื้อก็ตายแล้ว หรือการปรุงอาหารให้สุก เชื้อก็ตายเช่นกัน
การรักษาใช้ยาปฏิชีวนะ 3rd-generation cephalosporins หรือ tetracyclines และอาจต้องผ่าตัดหากลุกลามมากครับ
อุทธาหรณ์สองประการจากเรื่องนี้
1. คนที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ต้องระมัดระวังตัวในการดำเนินชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้น
2. การกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ยังได้ผลดีเสมอ
NEJM.ORG
Images in Clinical Medicine from The New England Journal of Medicine — Vibrio vulnificus Infection

25 กรกฎาคม 2561

ข่าวสั้น ยา Pv ตัวใหม่

ข่าวสั้น ทันสมัย ง่ายนิดเดียว
องค์การอาหารและยาสหรัฐได้ประกาศรับรองยารักษามาเลเรียตัวใหม่ tafenoquine เพื่อใช้รักษาการติดเชื้อ plasmodium vivax
เจ้า vivax นี้มีคุณสมบัติในการแอบซ่อนในร่างกายและออกมาอาละวาดใหม่ได้ การรักษาจึงต้องใช้ระยะเวลานาน เดิมใช้ยา Chloroquine และ Primaquine เป็นหลัก ยาตัวใหม่นี้หวังผลแทน Primaquine เพราะยา Primaquine อาจมีผลข้างเคียงรุนแรง คือหัวใจเต้นผิดจังหวะ เม็ดเลือดแดงแตก และ เม็ดเลือดขาวต่ำ โดยให้ยาใหม่วันละครั้ง 14 วัน คู่กับ Chloroquine
พบว่า โอกาสเกิดโรคซ้ำน้อยกว่ากลุ่มที่ได้ primaquine 67% ต่อ 72% และห้ามใช้ในผู้ป่วย G-6-PD
ความก้าวหน้าใหม่ในการรักษามาเลเรีย vivax ครับ

operation vital sign 2

episode 2 วัดความดัน
การติดตามคนไข้ด้วยระดับความดันนั้นจะสำคัญกับการรักษาในโรงพยาบาล หากคุณหมอไม่แน่ในว่าจะรักษาที่บ้านได้ก็จะให้รักษาในโรงพยาบาล การวัดความดันจึงใช้กับการติดตามที่บ้านได้ในบางกรณีเท่านั้น แต่ถ้าค่าความดันต่ำลงมากและคนไข้ดูแย่มาก กระสับกระส่ายและเหนื่อย ควรพามาโรงพยาบาล
1. การวัดความดันเพื่อวินิจฉัยและติดตามโรคความดันโลหิตสูง ต้องทำในขณะที่ร่างกายไม่ได้เจ็บป่วยด้วยโรคปัจจุบันรุนแรง เช่นหากปวดฟันมาก ความดันโลหิตก็ขึ้นสูงได้ และหากขณะป่วยโรคปัจจุบันรุนแรงต้องติดตามผลเสมอว่าตกลงความดันสูงจริง หรือสูงจากความเจ็บป่วย
2. การวัดความดัน พักนิ่งๆสัก 10-15 นาที ตอนเช้าๆดีที่สุด นั่งบนเก้าอี้พิงพนักหรือกำแพง เท้าสองข้างวางราบบนพื้น แขนข้างที่จะวัดความดันวางบนเท้าแขนเก้าอี้หรือวางบนโต๊ะ ห้ามขาลอย ห้ามยกแขน แล้วนำเครื่องมาวัดรอจนเครื่องอ่านเสร็จ ห้ามพูดคุย ไม่ยุกยิก (ข้อสองนี้ ขอบังคับแบบทหารนะครับ)
3. จดมาให้หมดทั้งค่า systolic, diastolic และ pulse ระบุด้วยว่าค่าใดเป็นค่าใด ค่าที่จะสับสนมากคือค่าชีพจรกับค่าความดันโลหิตตัวล่าง ค่ามันใกล้กันมากแถมตำแหน่งก็ใกล้กันอีก ส่วนใหญ่เราจะจำแต่ค่าตัวบน systolic ...เอาใหม่นะครับ จูนๆๆ
4. วัดวันละสองครั้งก็พอ เช้าเย็นเวลาจะวินิจฉัย ส่วนกรณีติดตามผลอาจจะวัดวันละครั้ง หรือสองสามวันครั้งก็ได้ ในกรณีคุณหมอสงสัยความดันแบบแปลกๆก็จะสั่งให้วัดเพิ่มเติม ไปหาอ่านเรื่องความดันแบบแปลกๆได้จากเรื่อง นังซูซี่ นะครับ
ประเด็นคือวัดถูกต้อง มากกว่าวัดบ่อยๆครับ
5. จะสังเกตว่าการวัดเพื่อวินิจฉัยและติดตามโรคความดันโลหิตสูงนั้นจะใช้ท่านั่งเป็นหลัก แต่หากวัดที่บ้าน ติดตามคนไข้ที่นั่งไม่ไหวจะใช้ท่านอนได้ไหม ก็บอกว่าได้ครับแต่ใช้ติดตามในกรณีนั้นๆ เท่านั้น ไม่ได้ใช้เพื่อวินิจฉัยและรักษาความดันโลหิตสูง และอย่าลืมว่าเราก็ใช้ค่าการเปลี่ยนแปลงของความดันในการติดตามเช่นกัน
เช่นติดตามไปแล้วค่าความดันลดลงเรื่อยๆ หรือติดตามแล้วสูงมากขึ้นเรื่อยๆ
6. ค่าความดันที่บอกว่าอันตราย ไม่มีตัวเลขชัดเจนขึ้นกับแต่ละคนแต่ละโรคแต่ละภาวะ และการวินิจฉัยความดันโลหิตสูงแบบอันตรายฉุกเฉินจะต้องมีอาการจากอวัยวะเสียหน้าที่เสมอ เช่น สับสน ซึมลง ไตวาย หัวใจวายหรือ หลอดเลือดแดงโป่งพอง และส่วนมากมักจะสูงปลอม เช่น ปวด ป่วย วัดผิด เครียด
ส่วนความดันโลหิตที่ต่ำมากๆจนเกิดปัญหา ก็ต้องร่วมกับอาการเช่นกันครับ เช่นหน้ามืด วูบ
7. แต่ถ้าจะประมาณค่าที่ต้องระวังๆ เอาไว้ ในภาพทั่วๆไป ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคนะครับ แค่ระวังและต้องไปพบแพทย์ คือค่าความดันที่ต่ำกว่า 90/60 ครับ ถ้ามีข้อสงสัยไม่แน่ใจ ให้ไปหาหมอครับ เอาไว้เป็นแนวทางเท่านั้นนะครับ
8. การวัดความดันที่บ้านจะช่วยแยกภาวะความดันโลหิตสองอย่างออกจากกันได้ และปรับการรักษาอย่างแม่นยำมากขึ้น
8.1 วัดที่โรงพยาบาลสูงแต่มาวัดที่บ้านไม่สูงขนาดนี้ ถ้าตรวจร่างกายไม่พบความเสียหายจากความดัน ก็จะเรียกว่า white coat effect หรือกลัวหมอ แต่ถ้าเป็นความดันโลหิตสูงแน่ๆแล้ว การไปวัดที่โรงพยาบาลความดันจะสูงกว่าที่บ้าน (ตามคำจำกัดความมีรายละเอียดมากกว่านี้นะครับ) จะทำให้เราปรับยาผิดพลาด white coat hypertension (ต่างจาก white coat effect คือ อันนี้ต้องเป็นโรคความดันโลหิตสูง ส่วน White coat effect เกิดได้ทั้งคนที่ความดันปรกติและความดันโลหิตสูง)
8.2 วัดที่บ้านสูง แต่วัดที่โรงพยาบาลไม่สูงขนาดนั้น หรือปรกติเลย เรียกว่า Masked Hypertension อันนี้สำคัญเพราะจะมีผลต่ออันตรายจากโรคความดันได้ ส่วนมากเกิดจากการกินยาไม่สม่ำเสมอ อัดยามาก่อนหาหมอเป็นต้น มีบางส่วนที่ความดันโลหิตสูงตอนเช้าๆ อยู่บ้านก็มี การวัดความดันที่บ้านจะตัดปัญหานี้ได้
9. อย่าลืมว่าขั้นตอนการวัดสำคัญมาก
การเลือกขนาด cuff คือ เจ้าแผ่นลูกโป่งที่พองลมให้เหมาะสมกับร่างกายสำคัญ cuff เด็ก cuff ผู้ใหญ่ cuff แขนใหญ่ cuff แขนน้อย cuff ขา คุณผู้ชายพ่อบ้านใจกล้าต้องแยกให้ถูกระหว่างแขนกวางน้อยกับขาฮิปโปนะครับ
ท่าทางการวัด การอ่านค่า ถ้าทั้งหมดถูกต้องการวินิจฉัยจะแม่นยำ การจัดการจะได้ประโยชน์สูงสุด
** ความดันสูงซ่อนเร้น วัดให้เป็นก็รอดตัว
หลงลุงหมอเมามัว เสร็จทั้งตัวโดนทั้งใจ **

24 กรกฎาคม 2561

operation vital sign 1

episode 1 วัดไข้
1. การวัดไข้ทางรักแร้ เป็นวิธีที่ง่าย ไม่รุกล้ำ ไม่อันตราย ประเด็นสำคัญคือส่วนหัวที่ใช้ตรวจต้องแนบสนิทกับรักแร้ อยู่ตรงกึ่งกลาง ข้อพลาดบ่อยๆคือหนีบแขนไม่สนิทพอหรือหัวตรวจเลยออกจากรักแร้ ขนรักแร้ไม่ใช่ปัญหาไม่ต้องโกนจนเรียบเนียน
2. สำหรับเทอร์โมมิเตอร์แบบปรอท เรียกส่วนที่เป็นสีเงินจุดที่ปรอทมารวมกันเรียกส่วนหัวนะ ก่อนจะใช้ให้จับตรงส่วนปลายและสลัดให้ปรอทไปรวมกันอยู่ที่กะเปาะให้หมด หรือให้ไม่เลยมาขีดวัดอุณหภูมิ อันนี้สำคัญนะครับ สลัดแรงไปก็จะหลุดมือหล่นแตก
3. หนีบไว้ 5 นาที แล้วหยิบขึ้นมาอ่านค่า อ่านที่ระดับสายตา อุณหภูมิในระดับจุดทศนิยมก็สำคัญมาก อ่านเหมือนวัดความยาวด้วยไม้บรรทัดหรือถ้าใช้เทอร์โมมิเตอร์แบบอัตโนมัติ ให้กดปุ่มเปิดตัวเลขไม่กระพริบ เมื่อวัดเสร็จจะมีเสียงเตือน ปิ๊บๆๆ
4. การวัดอาจจะตั้งเวลามาวัดทุกสี่หรือหกชั่วโมง เพิ่มวัดเมื่อตัวร้อนเพื่อดูว่าตัวร้อนขึ้นมาถี่แค่ไหน และวัดหลังจากรู้สึกดีขึ้นไม่ว่าจะดีขึ้นเอง จากการกินยาหรือเช็ดตัว เพื่อดูว่าไข้ลดลงไหม ลดลงนั้นลดลงเป็นเท่าไร (ความสูงของไข้ ความถี่ อุณหภูมิเมื่อไข้ลด ช่วยแยกโรคได้)
5. ค่าที่เราใช้มักจะเป็นค่าเปรียบเทียบ เช่นวันแรกอุณหภูมิเท่านี้ วันที่สามอุณหภูมิขึ้นหรือลงจากเดิมหรือไม่ ขึ้นลงเท่าไร เพราะดูการดูแนวโน้มสำคัญกว่าการดูค่าตรงๆ อุณหภูมิกายที่ถือว่ามีไข้ ตอบยากมาก เพราะไม่มีตัวเลขที่เป็นค่าปรกติที่ชัดเจน แต่ละกลุ่มอายุและเชื้อชาติไม่เท่ากัน ตำราก็ไม่เท่ากัน โดยทั่วไปจะถือว่า เกิน 37.8 องศาเซลเซียส นับว่ามีไข้
*** อย่าลืม อัตราการเปลี่ยนแปลง สำคัญมากกว่าค่าสัมบูรณ์ค่าใดค่าหนึ่ง ***
6. การวัดได้อุณหภูมิสูง หมายถึงมีไข้ทางการแพทย์ ไม่ได้แปลว่าคนไข้จะแย่หรือต้องใช้ยาลดไข้เสมอไป การใช้ยาลดไข้ทำเมื่อคนไข้รู้สึกไม่สบายตัวจากไข้ ทั่วๆไปก็เกิน 38 องศามักจะไม่ค่อยสบายตัวแล้ว หรือในบางภาวะเช่นผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหัวใจวาย โรคลมชัก ที่ไข้สูงอาจทำให้โรคเดิมแย่ลง เพราะการมีไข้คือปฏิกิริยาการอักเสบเพื่อการรักษาตัวอย่างหนึ่งของมนุษย์
7. เมื่อบันทึกค่าได้ ให้นำไปให้คุณหมอตรวจสอบดูเมื่อนัดด้วย หรือหากคุณหมอบอกว่าถ้าไข้ไม่ลดลงให้มาพบแพทย์ กรณีนี้จะช่วยเราได้มากว่าตกลงไข้ลดลงหรือไม่ (เห็นหรือยัง ว่าใช้ค่าสัมพัทธ์ ไม่ใช่ค่าสัมบูรณ์) บางทีอุณหภูมิไม่ลดจนปรกติแต่ต่ำลงมาเรื่อยๆ โรคอาจจะค่อยๆดีขึ้น (ต้องดูอาการอื่นๆด้วย)
8. ถามว่าวัดทางปากและทางรักแร้ได้ไหม วัดได้นะครับ แต่ไม่ค่อยสะดวก และถ้าเทอร์โมมิเตอร์แตกขณะวัด ปรอทอาจรั่วเข้าปากหรือเข้าทวารหนักได้ เทอร์โมมิเตอร์ที่ใช้ทางทวารหนักจะออกแบบมาพิเศษครับ จึงแนะนำการวัดทางปากในกรณีจำเป็นจริงๆเท่านั้น
และบางคนถามว่าต้องทำการบวกและลบด้วยตัวเลข 0.5 ด้วยความรู้ที่ว่า การวัดทางรักแร้จะต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกายที่วัดทางปาก 0.5 องศาเซลเซียส หรือวัดทางทวารหนักจะสูงกว่าทางปากประมาณ 0.5 องศาเซลเซียส
คำตอบคือ ไม่ต้องบวกลบใดๆ เพราะเราดูค่าการเปลี่ยนแปลง ขอแค่วัดทางใด ก็วัดทางนั้นไปตลอดเพื่อให้เปรียบเทียบกันได้
9. ในกรณีอุณหภูมิต่ำมาก ต่ำกว่า 36 องศาเซลเซียส ให้คิดก่อนว่าวิธีผิดให้วัดใหม่ แต่ถ้าวัดถูกวิธีแน่ๆ ก็ต้องดูว่ามีภาวะอุณหภูมิต่ำเกิน ซึ่งอันตรายเหมือนกันให้รีบไปพบแพทย์ครับ
10. ยาลดไข้ที่ปลอดภัยมากคือ ยาเม็ดพาราเซตามอล กินครั้งละครึ่งถึงหนึ่งเม็ด ทุกสี่ถึงหกชั่วโมง การกินยาในขนาดสองเม็ดจะถือว่าสูงมาก ต้องระวังยาเกินขนาดครับ การกินในขนาดปรกติจะไม่เกินขนาดยกเว้นการทำงานของตับเราไม่ดีอยู่เดิม และถ้าไข้สูงเกินสามสี่วันก็ต้องไปหาหมอรักษาสาเหตุ ไม่ใช่เอาแต่กินยาลดไข้ครับ
บทความนี้ไม่ได้มุ่งหวังให้รักษาตัวเองโดยไม่ไปหาหมอนะครับ เพียงแต่มาอธิบายว่าเวลาสังเกตอาการไข้ด้วยตัวเองที่บ้าน หรือระหว่างที่หมอนัดดูอาการจะทำอย่างไร ตอนต่อไปเราจะมากล่าวถึง สัญญาณชีพตัวที่สอง ความดันโลหิต

23 กรกฎาคม 2561

อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ เรื่องกินเค็ม

อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ เรื่องกินเค็ม
จากแชร์บทความเมื่อเช้า คุณจะเห็นว่ายุคนี้เราหลีกเลี่ยงเกลือได้ยากเหลือเกิน โดยทั่วไปผมจะแนะนำคนไข้แค่สองอย่าง อย่างแรก ไม่ใส่เครื่องปรุงทุกชนิดเพิ่ม ที่ใส่มามันก็พอแล้ว งดหมด น้ำปลา เกลือ ซอส ซีอิ๊ว หรือถ้าทำเองก็อย่าใส่ ผงอร่อยต่างๆ ผงชูรส ซุปก้อน
อย่างที่สองคือ ลด หลีก อาหารแปรรูป อาหารที่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรม มันเลิกยาก หลีกยากครับ แค่ให้น้อยสุดก็พอ เช่น อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จ
คนที่เป็นโรคไตเสื่อม โรคของการกรองของไต โรคความดันโลหิตสูง อันนี้บังคับห้ามอยู่แล้วครับ เกณฑ์คือไม่เกิน 2200-2300 มิลลิกรัมต่อวัน ..ส้มตำจานเดียวก็ทะลุเป้าไปหลายวันครับ
ส่วนคนที่ร่างกายปรกติ การกินเกลือมากเกินไปจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงครับ และหากความดันโลหิตสูงนานๆ ก็จะมีไตเสื่อมได้ครับ
ฉลากโภชนาการปัจจุบันจะมีสามองค์ประกอบหลัก พลังงาน เกลือ และไขมัน ดังนั้นเราจะคาดเดาเกลือพอได้ ซึ่งเชื่อผมเหอะ เกินทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่ได้ทำอาหารเอง และทนความไม่เค็มได้นะ จะแก้จริงๆต้องมีการบังคับด้วยกฎหมายด้วย ร่วมมือร่วมใจกับร้านค้า และผู้ผลิตอาหารด้วย (อาหารจะไม่อร่อยถูกปาก..เสี่ยงขาดทุน)
การลดอาหารสำเร็จรูป หรืออาหารที่ผ่านการแปรรูปมากๆ และไม่เติมเครื่องปรุง ซึ่งเป็นเกลือที่เกินมาส่วนใหญ่ เป็นวิธีง่ายๆพื้นฐาน..ที่ทำยากมาก
คนไข้ทุกคนที่แนะนำลดเค็ม น้ำหนักลดและผอมลงหมด เพราะเขาบอกว่า กินได้น้อยมาก อาหารตอนนี้เค็มทุกอย่าง ไม่อร่อยเลยเวลาไม่มีรสเค็ม ดีเหมือนกันแฮะ
ใครมีความเห็นเรื่องอาหารเค็มและกินลดเค็ม มาแลกเปลี่ยนกันได้ เผื่อท่านอื่นๆจะเอาไปใช้ได้บ้างนะครับ

operation vital sign 0

เปิดซีรี่ส์ operation "vital sign" : ยุทธการสังเกตอาการที่บ้าน
เวลาที่หมอแนะนำให้ไปสังเกตอาการที่บ้าน เอายากลับไปกิน ถ้าไม่ดีขึ้นให้รีบมาหาหมอ โดยเฉพาะกลุ่มอาการโรคติดเชื้อเฉียบพลัน หรือ โรคที่หมอจะถามว่า ใจสั่นไหม ไข้สูงหรือไม่
แล้วข้าพเจ้าจะสังเกตอะไร แบบไหนดี ซีรี่ส์นี้จะเปิดกลยุทธ การสังเกตตัวเอง โดยใช้สัญญาณชีพ และการวัดค่าความดันที่บ้าน เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยและติดตามโรค
อุปกรณ์ในการสังเกต หาง่ายๆ ราคาไม่แพง เป็นสิ่งวัดที่เป็นรูปธรรม วัดอย่างไร ใช้อย่างไร เมื่อไรควรตกใจ
รายการอุปกรณ์
1. เทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ แนะนำแบบปรอทมากกว่าแบบดิจิตอล หรือแบบวัดในหูก็ได้ แบบปรอทราคาประมาณสามสิบกว่าบาท แต่ต้องใส่ปลอกนะครับ เดี๋ยวแตกปรอทข้างในทะลักออกมา มับบอบบางมาก ซื้อได้ตามร้านขายยาและอุปกรณ์การแพทย์ หรือใครจะใช้แบบดิจิตอลก็ได้ สะดวกแต่แพง
2. สมุดและปากกา เพื่อบันทึกค่าตามลำดับเวลา ใครใช้สมุดกราฟวาดเส้นได้ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงชัด ถ้าซื้อก็เล่มละ 10-15 บาท ปากกาลูกลื่นอีก 8 บาท
3. นาฬิกา อันนี้ไม่ต้องซื้อ ใช้นาฬิกาที่มีเข็มวินาที หรือมีตัวเลขวินาที ให้จับเวลาได้ก็พอ
4. เครื่องวัดความดัน อันนี้เป็นตัวเลือก สามารถใช้วัดความดันในการวินิจฉัยและติดตามโรคความดันได้ แนะนำเครื่องวัดแบบดิจิตอลที่สามารถเสียบปลั๊กไฟบ้านได้ อ่านผลง่าย ราคาประมาณ 2000-3500 บาท มีอันเดียวใช้ได้ทั้งครอบครัว
เราจะมาวัดสัญญาณชีพง่ายๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลมาประกอบการรักษา ให้ข้อมูลกับแพทย์ และมีการเฝ้าระวังด้วยตัวเองอย่างไร โดยใช้สัญญาณชีพง่ายๆ แต่ทรงคุณค่า
คอยติดตามสัญญาณชีพทั้งสี่ ในตอนต่อๆไปครับ

เกลือในอาหาร

ก่อนกินอาหารเที่ยง
เราเคยบอกตัวเองว่า ไม่กินเค็ม ไม่เติมเกลือ ไม่ใช่ซีอิ๊ว ไม่เติมน้ำปลา อาหารก็จืดๆ
นั่นคือเกลือที่ตาเรามองเห็น แต่ยังมีเกลือผสมเสร็จที่ตาเรามองไม่เห็นอีก
อย่าลืมคิดถึงเกลือจากอุตสาหกรรมอาหารที่มีมาสำเร็จในอาหารแล้วด้วยนะครับ
หวังว่าท่านคงกินอาหารเที่ยงอย่างเอร็ดอร่อยนะครับ

22 กรกฎาคม 2561

ฝีดาษ

ครั้งหนึ่งฝีดาษเคยคร่าชีวิตมนุษย์โลกไปกว่า 60% เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นและทำไมอยู่ๆฝีดาษจึงหายไป ถึงเวลาที่ท่านจะต้องไปชงกาแฟอุ่นๆ คู่กับปาท่องโก๋ร้อนๆ นั่งลงบนโซฟานุ่มนิ่ม อิ่มเอมไปกับกรุ่นหอมกาแฟและย้อนอดีตไปกับ ฝีดาษ ภัยสะท้านโลกกก (ให้เสียงภาษาไทยโดยลุงหมอ)
หลักฐานแรกๆที่เชื่อกันว่าฝีดาษได้เข้ามาสู่อารยธรรมของมนุษย์มีตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาล ต้นธารของโรคร้ายได้ถูกบันทึกไว้ว่ามีโรคแปลกๆที่ทำให้ร่างกายเป็นตุ่มทั้งตัว บางตุ่มก็เป็นฝี กระจัดกระจาย ทำให้ผู้ที่ป่วยนั้นทรมานมากและถึงแก่ความตาย น้อยรายนักที่จะรอด และรอดก็พิการ แต่เรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า หลักฐานเริ่มแน่ชัดขึ้นเพราะเทคโนโลยีการทำ "มัมมี่" ของชาวอียิปต์โบราณ แสดงให้เห็นผิวหนังที่ได้รับการรักษาสภาพเป็นอย่างดีแม้จะผ่านมากว่า 3000 ปี
ฟาโรห์รามเสสที่ห้า แห่งอาณาจักรใหม่ มีลักษณะผิวหนังแบบฝีดาษ !! ตรงกับบันทึกในปาปิรัสว่าพระองค์มีผิวเป็นตุ่ม มองดูคล้ายอักษรจารึกบนแผ่นดินเหนียวของชาวฮิตไทต์ ... สมัยนั้นชาวฮิตไทต์ จารึกอักษรคูนิฟอร์มบนดินเหนียว ท่านลองจินตนาการเอาแผ่นดินเหนียวมาใส่เครื่องพิมพ์ดีด แล้วพิมพ์ลงไป ก็จะเป็นตุ่มและรอยเว้าตัวอักษร นั่นแหละ อียิปต์เขามองผิวฟาโรห์รามเสสว่าเหมือนจารึกดินเหนียวของชาวฮิตไทต์ (สมัยนั้นอยู่แถบตุรกี ซีเรีย)
หลังจากนั้นก็มีจารึกและบันทึกถึงโรคที่มีตุ่มขึ้นตามตัวและตาย มากขึ้นเรื่อยๆ ลุกลามจนถึงขั้นระบาด ความจริงที่ว่าโรคน่าจะเกิดที่อียิปต์ก็ยิ่งมีหลักฐานชัดขึ้น เพราะบันทึกถึง Plague of Athenes ที่เกิดในปี 430 ก่อนคริสตกาล ได้บันทึกรอยโรคที่ต่างจากกาฬโรคแต่กลับเหมือนฝีดาษ บันทึกของฮิกไทต์เองก็มีเช่นนั้น ความเชื่อเดิมว่าการรบพุ่งกันในสมัยก่อน โดยเฉพาะอียิปต์ที่ยิ่งใหญ่มากนั้น ได้นำพาเอาโรคฝีดาษไปแพร่ตามดินแดนต่างๆในแถบแอฟริกาตอนบน ไล่มาทางตะวันออกผ่านทะเลแดงมาถึงตะวันออกกลางและเอเชียตะวันตกเฉียงใต้
บันทึกโรคในอินเดียสมัยศตวรรษที่หนึ่ง ได้บันทึกว่าเจ้าโรคฝีดาษนี้มาจากพ่อค้าที่รอนแรมมาจากแถบอียิปต์
และนี่คือการระบาดของโรคฝีดาษที่ตอนนั้นยังแยกไม่ออกระหว่างฝีดาษกับกาฬโรค
ก่อนจะไปตอนต่อไป เรามารู้จักฝีดาษกันหน่อย ชื่อภาษาอังกฤษคือ smallpox เกิดจากเชื้อไวรัส variola เจ้าเชื้อตัวนี้ติดต่อทางการหายใจ ติดสารคัดหลั่งที่มีเชื้อ ก็ในหนองหรือแผลจากตัวคนไข้ ติดง่ายมาก อัตราการติดเชื้อเมื่อสัมผัสโรค 90% หลังจากติดก็จะแพร่กระจายผ่านทางระบบน้ำเหลือง และกระแสเลือด ลักษณะเด่นคือจะมีตุ่มเหมือนกระดุมขึ้นเต็มตัว มีรอยบุ๋มตรงกลาง ต่อมาก็เป็นหนองออกมา ติดเชื้อซ้ำ ภายในร่างกายก็มีตุ่มแบบนี้หรือเป็นโรคในตัว มีภาวะแทรกซ้อนเลือดออก ตายได้
เป็นคนละอย่างกับ อีสุกอีใส หรือ chickenpox ..pox มาจากภาษาละติน คือ spot ในภาษาอังกฤษนั่นเอง ... แม้ขื่อจะเหมือนแต่เชื้อคนละตระกูลเลย อาจจะมีความใกล้ชิดกับ cowpox ที่เกิดในวัว และท่านจำ cowpox นี้ไว้ให้ดี จะมามีบทบาทตอนท้าย
หลายคนก็สงสัยอีกว่า มี smallpox และมี great pox ไหม คำตอบคือมี และ great pox คือตุ่มจากการติดเชื้อซิฟิลิสนั่นเอง
เอาล่ะ ต่อมาก็การระบาดไปภูมิภาคอื่นๆของโลก เริ่มจากระบาดไปที่จีนด้วยเส้นทางการค้าที่มีมาเป็นพันปี เส้นทางสายไหมที่เชื่อมระหว่างเอเชียไมเนอร์และประเทศจีน พบเรื่องราวรอยโรคที่จีนในสมัยศตวรรษที่แปดถึงสิบ และเช่นกันโรครุนแรงและจีนก็เดือดร้อนมากเช่นกัน
ดังนั้นก่อนศตวรรษที่สิบเอ็ด โรคฝีดาษถือเป็นโรคติดต่อสำคัญ คร่าชีวิตมนุษย์ไปมากมาย ไม่มีทางรักษาและติดต่อง่ายมาก เมื่อเริ่มศตวรรษที่สิบเอ็ด เริ่มมีรายงานการเจ็บป่วยในยุโรป โดยปรกติก็มีการเดินทางผ่านไปมาระหว่างยุโรป ไครเมีย ออตโตมาน มาถึงแถบอิหร่านอยู่แล้ว แต่ที่มาระบาดหนักๆก็ด้วยเหตุมหาสงครามที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ...สงครามครูเสด นักรบศักดิ์สิทธิ์จากทั้งสองศาสนาไม่เพียงแต่มาเยี่ยมเยือนเยรูซาเล็ม แต่กลับพาฝีดาษกลับไปที่บ้านเกิดตัวเองด้วย กองทัพฝรั่งเศสและรัสเซียได้รับฝีดาษไปเต็มที่เลย
และหลังจากนั้นการระบาดก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วโลกตามเส้นทางการคมนาคมของชาวโลก และติดตามนักสำรวจชาวสเปนไปถึงแผ่นดินอเมริกา กระจายไปถึงอีสต์อินเดีย คือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยก็มีการระบาดของฝีดาษหลายครั้งในสมัยอยุธยาและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เลยไปถึงทวีปออสเตรเลีย ระหว่าศตวรรษที่ 13 ถึง 17 การระบาดลุกลามขยายวงกว้าง แต่ว่าไม่ได้น่ากลัวมากเท่ากาฬโรค เพราะรอยโรคมันชัดเจนเป็นตุ่มขนาดนั้นก็ยากนักที่ใครจะเข้าใกล้
โรคนี้ไม่มียารักษานะครับ ประคับประคอง รอดก็อาจมีแผลเป็นหรือพิการ แต่ส่วนมากจะเสียชีวิต มนุษย์โลกงงๆ กับโรคนี้มาเกือบสองพันห้าร้อยปี จนกระทั่ง...
เริ่มมีเรื่องราวของคนที่สัมผัสโรค แต่เกิดโรคไม่รุนแรงแล้วหาย และไม่ติดฝีดาษอีกเลย เรื่องราวเล่าขานนี้ได้รับการบันทึกในจีนและอินเดียในสมัยศตวรรษที่สิบห้า มีการนำเอาฝีแห้งๆ สารคัดหลังแห้งๆจากฝีดาษมาป่นเป็นผงแล้ว "เป่า" เข้าจมูกคนปรกติ ปรากฏว่าคนที่ถูกเป่ามีอาการเล็กน้อยและหายไป หลังจากนั้นก็ไม่ติดโรคฝีดาษอีกแม้จะสัมผัสใกล้ชิด
ในดินแดนอินเดียและแอฟริกา พบว่าหากสัมผัสหนองจากฝีดาษที่แห้งแข็ง จะเกิดโรคที่ไม่รุนแรงและป้องกันไม่ให้เกิดโรคฝีดาษอีก แต่ถ้าสัมผัสหนองสดๆ จะติดรุนแรง
ด้วยวิธีนี้ เกิดคนหัวใส นำหนองที่มาจากคนเป็นโรคมาทำให้แห้ง ป่น หรือสะเก็ดแผลแห้ง เอามาแปะหรือ "inoculate" ลงบนผิวหนังที่ขูดให้เปิดเป็นแผลเล็กน้อย หลังจากนั้นอาจมีอาการน้อยๆ หรือไม่มีอาการ และสามารถป้องกันการติดเชื้อฝีดาษได้
แน่นอนคิดสตางค์เป็นธุรกิจใหญ่โต เรียกวิธีนี้ว่า Suttonian Method เป็นที่มาของการฉีดเชื้อฝังลงไปที่เรียกว่า inoculation หรือตอนนั้นเรียก variolation ตามชื่อไวรัส variola ตัวก่อโรคฝีดาษ แต่วิธีนี้ก็ดูสกปรกมาก แถมไม่ได้รับรองว่าจะได้ผลหรืออาจติดเชื้อจนตายก็ได้ ถึงกระนั้นพวกอีลิตในแถบเอเชียก็นิยมทำกันมาก
แน่นอนมันต้องมีจุดเปลี่ยน ในปี 1717 ภายหลังจากวิธี Suttonian ได้รับความนิยมสักพัก ทูตอังกฤษแห่งอาณาจักรออตโตมาน เลดี้มองตากู Lady Mary Wortley Montagu (แหมฟังชื่อแล้วไม่กล้าสบตาเลย) ได้เขียนจดหมายไปหาเพื่อนๆถึงวิธีที่ได้พบเห็นมา แน่นอนเพื่อนๆของเลดี้มองตากู เป็นคนใหญ่โต มีการศึกษาทั้งนั้น
ได้เรื่องเลยครับท่าน ข่าวแพร่กระจายไปทั่วโลก นับตั้งแต่ ปี 1720 จน 1800 โรคฝีดาษลดลงมากด้วยวิธี variolation ท่านประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตันสั่งล็อตใหญ่มาทำให้กองทัพเลย มีการศึกษาเรื่องนี้แพร่หลาย เรียกว่า variolation คือต้นกำเนิดของการป้องกันโรคโดยเอาเชื้อโรคที่ใกล้ตายแล้วหรืออาจจะตายแล้ว นำมาฉีดเข้าร่างกายให้ร่างกายได้รู้จัก เรียนรู้ และสร้างระบบป้องกัน เพราะเชื้อมันอ่อนมันจึงไม่ก่อโรค เราเรียกวิชานี้ว่าวิชา วิทยาภูมิคุ้มกัน และการฉีดเชื้อให้ร่างกายเกิดภูมิเพื่อป้องกันการติดเชื้อในอนาคตนี้ว่า vaccination ใกล้กับ variolation ไหมครับ
แต่ด้วยความไม่แน่นอนของการใช้ Suttonian Method เหล่านักวิจัยชาวอังกฤษนำโดย เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ได้ศึกษาต่อไป และพบว่า cowpox (มาแล้วๆ ที่ให้ท่องไว้) เป็นเครือญาติกับ smallpox และถ้าหากสัมผัส cowpox ในวัวจะไม่เกิดโรคในคน และร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อ cowpox ซึ่งข้ามสายพันธุ์ไปปกป้อง smallpox หรือฝีดาษได้ด้วย โดยที่ไม่เกิดโรคฝีดาษ ปลอดภัย และใช้ได้ผลแน่เพราะเชื้อที่มาจากวัวยังเป็นเชื้อสดๆ ปริมาณและแอนติเจนมากมาย ต่างจากสะเก็ดแผลแห้งๆหรือหนองผงจากฝีดาษที่ไม่รู้ว่าจะได้ผลจริงไหม
หลังจากใช้วัคซีนครั้งแรกในปี 1798 วัคซีนฝีดาษสูตรของเจนเนอร์ได้รับการรับรองมากกว่า และแพร่หลายไปทั่วโลก ได้รับการบรรจุเป็นวัคซีนจำเป็น อุบัติการณ์เกิดของโรคฝีดาษแทบจะแตะศูนย์ จนองค์การสหประชาชาติและองค์การอนามัยโลก หวังจะขุดรากถอนโคนฝีดาษให้หายไปจากโลกนี้ จึงจัดการ "ฉีดทุกคนในโลก" และฝันก็เป็นจริง
รายงานผู้ป่วยรายสุดท้ายในโซมาเลีย ปี 1977 ต่อจากนั้นสามปีให้หลังองค์การอนามัยโลกประกาศว่าฝีดาษหายไปจากโลกแล้วในปี 1980
โดยเก็บตัวอย่างเชื้อเอาไว้ศึกษาที่ CDC สหรัฐอเมริกาและที่รัสเซีย เผื่อสักวันที่เราอาจต้องเจอมันอีก .... แต่ทว่า เรื่องราวไม่จบแค่นั้น
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา องค์การอาหารและยาของอเมริกา ได้ประกาศรับรองยารักษาฝีดาษตัวใหม่ภายใต้โค้ด TROPXX หรือ Tecovirimat ที่รักษาหายในสัตว์ทดลองและไม่เกิดผลข้างเคียงในคน
หมายความว่าเจ้าฝีดาษกลับมาอีกหรือ ไม่นะครับ เขาไม่ได้ทำออกมาด้วยเหตุผลนั้น แต่อเมริกาผลิตออกมาเผื่อว่าจะถูกโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพฝีดาษต่างหาก น่ากลัวนะครับและน่าคิดว่าใครจะเป็นคนสร้างอาวุธนั้นขึ้นมา จะเป็นชาติที่จ้องทำลายสหรัฐ หรือเป็นสหรัฐเองที่ทำเช่นนั้น
เป็นจังหวะที่เราต้องจับตามอง ชีพจรโลกปัจจุบัน

21 กรกฎาคม 2561

เรื่องราวของไขมันทรานส์ที่ทางการของไทยประกาศห้ามผลิต ห้ามใช้

เรื่องราวของไขมันทรานส์ที่ทางการของไทยประกาศห้ามผลิต ห้ามใช้ โด่งดังมากในช่วงสัปดาห์นี้ คำถามที่อยู่ในใจคือ มันจะมากระทบชีวิตประจำวันของเรามากน้อยแค่ไหน และคำประกาศนี้จะทำให้โรคหัวใจและหลอดเลือดลดลง เราๆท่านๆ ปลอดภัยจริงหรือ
โรคหัวใจและหลอดเลือดต่างๆนั้น ที่มีไขมันเป็นสาเหตุอันหนึ่ง ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่ามันไม่ใช่เป็นไขมันตรงๆที่เรากินเข้าไปแล้วเจ้าไขมันตัวนั้นจะไปก่อปัญหา ไปก่อเรื่อง เกือบทั้งหมดของไขมันที่ก่อเรื่องมันเกิดจากการจัดการไขมันในตัวเรา (lipid metabolism) ที่ผิดปรกติที่เป็นชื่อโรค dyslipidemia (dys คือ ผิดปกติ lipidemia คือไขมันในเลือด) นั่นคือ ผิดปกติทั้งปริมาณและคุณภาพ
ตัวที่มีปัญหาหนักๆ คือ ไลโปโปรตีน ไขมันที่มีโปรตีนมาเกาะซึ่งเกิดจากการเมตาบอลิซึ่มหลายขั้น ที่เรียกว่า LDL (low-density lipoprotein) และ โคเลสเตอรอล ทั้งสองตัวนี้เกิดจากการสร้างใหม่ขึ้นในร่างกาย นั่นคือกระบวนการสร้างการทำลาย โดยเฉพาะระดับยีนผิดปกติครับ จากอาหารนั้นมีส่วนน้อย
การรักษาโรค ณ ปัจจุบันจึงมุ่งเน้นไปที่การควบคุมการสังเคราะห์ในร่างกายมากกว่า และมีบทพิสูจน์ว่า LDL กับ Cholesterol มีผลเสียต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด และ อัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ชัดเจน ในขนาดที่สูงมาก และการลด LDL ลงก็ทำให้อัตราการเกิดโรคและอัตราตายลดลง อย่างนี้เรียกว่า น่าจะเป็นเหตุเป็นผลกัน ทำให้แนวทางการรักษาปัจจุบันให้ใช้ยา statin เป็นหลักและติดตาม LDL เป็นหลัก
ไขมันบางประเภทเช่น ไตรกลีเซอไรด์ในเลือด พบว่าสัมพันธ์กับโรคหัวใจ แต่ทว่าการลดไตรกลีเซอไรด์ด้วยการควบคุมอาหารและใช้ยา กลับไม่ได้ทำให้โรคหัวใจและอัตราการเสียชีวิตลดลง
ดังนั้นเราไม่สามารถแปลได้ว่าอาหารชนิดหนึ่งมีโคเลสเตอรอลมาก หรือไตรกลีเซอไรด์มาก จะส่งผลเสียผลเลวร้ายต่อสุขภาพ เพราะผลเสียผลเลวร้ายนั้น ..**วัดจากระดับไขมันในเลือดนะครับ** ไม่ใช่ระดับไขมันในอาหาร ระดับไขมันในเลือดเป็นระดับอิ่มตัวอันเกิดจากการสร้างและเมตาบอลิซึ่มของไขมันในร่างกายเราเอง...
และหากคิดว่าการควบคุมอาหารไขมันอย่างเดียวจะมีผลต่อระดับไขมันในเลือดไหม ... มีผลนะครับ แต่ไม่มากนัก แล้วถามต่อว่ามีผลต่ออัตราการเสียชีวิตหรือเกิดโรคหัวใจไหม ก็ต้องตอบว่ามีแต่ไม่มากเช่นกัน ผลที่มาจากการศึกษาเทียบระหว่างกินอาหารปกติ กินอาหารควบคุม หรือใช้ยาด้วย ผลออกมาว่าการใช้ยานั้นสามารถลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นที่มาว่าถึงแม้จะคุมอาหารคุมไขมันดีเพียงใด แต่หากมีความจำเป็นต้องใข้ยา ก็ต้องใช้
แล้วการลดไขมันทรานส์ล่ะ มีผลไหม ... คำตอบก็มีครับ สุขภาพโดยรวมดีขึ้น อัตราการเกิดโรคและป่วยลดลง ...แต่มันก็อยู่ภายใต้เงื่อนไข
1. ที่ว่าลดลง เพราะไม่ใช่ควบคุมไขมันทรานส์อย่างเดียว อาหารและปัจจัยอื่นๆ ต้องควบคุมด้วย ไม่ว่าจะเป็นแคลอรี่ บุหรี่ น้ำตาลส่วนเกิน เค็ม ออกกำลังกาย ผลจึงออกมาดี อัตราการเกิดโรคลดลง อีกอย่างการศึกษาที่อัตราการเสียชีวิตลดลง เกิดเพราะว่าเทคโนโลยีการรักษามันดีขึ้นด้วย การสวนหัวใจ การให้ยาละลายลิ่มเลือด การมียาลดอัตราการเสียชีวิตที่ดีขึ้น
จึงต้องบอกว่าการลดไขมันทรานส์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดีขึ้น ไม่ใช่ทั้งหมด
2.ศัตรูตัวร้ายจริงๆ ไม่ใช่ไขมันทรานส์ หรือ ไขมันอิ่มตัว แต่เป็น "ปริมาณไขมัน" ที่บริโภคเข้าไปมากกว่า ถึงจะกินไขมันดี แต่กินมากเกินก็เกิดโรคเช่นกัน ทั้งอ้วน ทั้งโรคหลอดเลือดมากมาย ดังนั้นก่อนที่เราจะพิจารณาชนิดของไขมัน ต้องพิจารณาลดและควบคุมปริมาณไขมันทุกชนิดก่อน การศึกษาที่ว่าดีๆนั้น เขาควบคุมปริมาณไขมัน และปริมาณแคลอรี่ด้วยนะครับ
3. ไขมันที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน ที่เป็นปัญหามากกว่าคือ "ไขมันอิ่มตัว" ครับ ไขมันที่ได้จากสัตว์ น้ำมันสัตว์ น้ำมันมะพร้าว หรือเนื้อติดมัน ติดหนัง อาหารทอด เป็นไขมันตัวร้ายจริงๆที่เราพบเจอ เพราะว่าไขมันทรานส์นั้น มักจะเกิดจากกระบวนการอุตสาหกรรม ถามว่าบางครั้งเราก็เลือกไม่ได้เมื่อมันทำสำเร็จมาแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของทางภาครัฐที่ต้องใช้กฎหมายควบคุม
4. เรื่องไขมันทรานส์ ตอนนี้ข้อมูลมากมาย ท่านคงทราบและปลอดภัยระดับหนึ่ง อย่าลืมควบคุมไขมันอิ่มตัวด้วย ไขมันจากสัตว์ ผัดทอด เนย ไม่ใช่ว่าคิดแต่ไขมันทรานส์แล้วจะคลีนร้อยเปอร์เซนต์ ตามมาตรฐาน เราจะจำกัดไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัวไม่ให้เกิน 10% ของพลังงานที่ควรได้รับ และหากต้องใช้ไขมันอย่างอื่นมาแทนก็แนะนำไขมันไม่อิ่มตัวแทนนั่นเองครับ (แพงกว่า หายากกว่า)
การควบคุมไขมันทรานส์ด้วยการออกฎหมายควบคุมการผลิต เป็นวิธีที่ใข้กันแพร่หลายและได้ผล แต่ว่าอาจไม่พอที่จะทำให้สุขภาวะโดยรวมดีขึ้นได้ ยังต้องอาศัยการบังคับอีกหลายอย่างเช่น การควบคุมปริมาณเกลือ การควบคุมน้ำตาลและภาษีน้ำตาล การควบคุมยาสูบและแอลกอฮอล์
นอกจากการควบคุมต้องเพิ่มความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย บางทีความเชื่อผิดๆก็ยังแพร่หลายและมีอิทธิพลมากกว่าความเชื่อที่ถูกต้อง
และที่สำคัญ เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องคิด อ่าน หาความรู้ และระวังตัวเอง แม้จะมีมาตรการใดก็ดี หากเราหลงผิดและไม่ใส่ใจ มาตรการเหล่านั้นก็ไร้ผล
อย่าให้การงดไขมันทรานส์ กลายเป็นไฟไหม้ฟาง ควรจะเป็นจุดเริ่มการการควบคุม ให้ความรู้ และ เปลี่ยนความคิดของพวกเราให้ดีขึ้นครับ

20 กรกฎาคม 2561

การทดสอบฟลอเรนซ์ (Florence Test)

ฟลอเรนซ์ (Florence) อิตาลี ... นครแห่งศิลปะ ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมคลาสสิก วันนี้เรามาฟังฟลอเรนซ์ในอีกรูปแบบนึงนะครับ
การทดสอบฟลอเรนซ์ (Florence Test) เป็นการทดสอบหาสารโคลีนในน้ำอสุจิ หนึ่งในการตรวจหาหลักฐานของน้ำอสุจิที่อยู่ "ผิดที่" อันเป็นเหตุทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ การทดสอบฟลอเรนซ์ทำโดยการสกัดเอาร่องรอยของน้ำอสุจิตามเสื้อผ้า ตามส่วนต่างๆของร่างกาย นำมาทำละลายด้วยน้ำเกลือเพื่อเก็บสิ่งส่งตรวจในหลอดทดลอง แล้วนำมาป้ายบนกระจกสไลด์ทิ้งให้แห้ง นำกระจกปิดสไลด์ทับไว้ แล้วหยดน้ำยาฟลอเรนซ์ ตรงรอยปิดกระจก
น้ำยาฟลอเรนซ์จะแทรกเข้าไปใต้กระจกที่ปิด ซึมไปทำปฏิกิริยากับสารโคลีนของน้ำอสุจิ เกิดเป็นตะกอนผลึกรูปเรียวๆคล้ายเข็มสีน้ำตาล เป็นการตรวจที่บ่งชี้ว่าสารที่นำมาตรวจน่าจะมีส่วนของน้ำอสุจิปนอยู่ เพราะน้ำอสุจิมีสารโคลีนมาก เช่นกันหากสารคัดหลั่งอื่นๆที่มีโคลีนมากก็อาจตรวจพบได้เช่นกัน
แต่การทดสอบแบบนี้ก็ยังไม่ได้เฉพาะกับน้ำอสุจิเสียทีเดียว มันอาจมีผลบวกกับอีกหลายสารและบางครั้งน้ำอสุจิที่นำมาตรวจก็ทิ้งไว้นานแล้ว หรือเจือจางมาก ในทางการพิสูจน์หลักฐานยังต้องใช้การทดสอบอื่นอีก เช่น การทดสอบหาสารแอซิด ฟอสฟาเทส (acid phosphatase) ที่มีอยู่มากในน้ำอสุจิ (สร้างจากต่อมลูกหมาก) โดยหยดน้ำยาลงบนสิ่งส่งตรวจไม่ว่าจะเป็นสำลีที่ป้ายมาหรือเศษผ้าที่ตัดมา เมื่อหยดน้ำยาแล้วสีจะเปลี่ยน การทดสอบนี้จะไวและสามารถทดสอบได้แม้คราบอสุจิแห้งมานานแล้ว
การทดสอบอื่นอีกเช่น การตรวจสอบหาสารที่เฉพาะเจาะจงกับสารที่สร้างออกมาจาก seminal vesicle และจะมาอยู่ในน้ำอสุจิ
แต่การตรวจพบหลักฐานของน้ำอสุจิยังไม่เป็นหลักฐานชัดแจ้งเท่าการพบ ...ตัวอสุจิ
เราใช้สิ่งส่งตรวจที่เก็บมาจากร่างกาย หรือละลายสกัดจากเสื้อผ้า นำมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อตรวจหาตัวอสุจิ การตรวจพบตัวอสุจิจะมีความหนักแน่นมากกว่าว่าสิ่งที่ส่งมาตรวจคือน้ำอสุจิ แต่ก็ต้องยกเว้นในบางกรณีเช่น เป็นหมัน
ยิ่งตรวจเร็วๆใหม่ๆหลังจากที่น้ำอสุจิอยู่นอกร่างเจ้าของยิ่งเกิดประโยชน์สูง ยิ่งปล่อยไว้นานไป โอกาสตรวจพบจะลดลงและความแม่นยำก็ลดลงด้วย
และไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นร่องรอยของใคร เกิดร่องรอยมานานแค่ไหน และกระบวนการปนเปื้อนน้ำอสุจิในที่ที่ไม่ควรอยู่นั้นเกิดจากการนำส่งด้วยอุปกรณ์ใด ในภาวะขัดขืนหรือไม่ ยังต้องอาศัยหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แน่ชัดกว่านี้ครับ
ที่มาแค่คำว่า ฟลอเรนซ์...ไปไกลเลย

gastric outlet obstruction

มาดูภาพกันบ้าง ว่างๆวันศุกร์
ภาพนี้คือเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ของผู้ป่วยจริง มีอาการคลื่นไส้อาเจียนเป็นอาหารที่กินเข้าไปมีอาการมาหนึ่งเดือน ตรวจร่างกายพบท้องอืดมาก ไม่มีก้อน เอกซเรย์เบื้องต้นมีเงากระเพาะใหญ่มาก ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ก็พบ เงากระเพาะที่มีน้ำและอาหารอยู่ สีดำๆ ขยายขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่าตับที่เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในช่องท้องเสียอีก
ภาพนี้คือ กระเพาะอาหารอุดตัน อุดตันตรงทางที่จะออกไปลำไส้เล็ก (gastric outlet obstruction) ทำให้ส่วนต้นกว่าจุดอุดตันขยายขนาดใหญ่มาก
เนื่องจากกระเพาะอาหารเป็นถุงเก็บข้าว มันขยายขนาดได้ หลังจากอุดตันใหม่ๆ อาการๆม่ชัดนัก ต้องรอสักระยะจนมันเต็มจึงเกิดอาการ เวลากินข้าวเข้าไปจะยังไม่อาเจียน ต้องรอให้กระเพาะเก็บอาหารแล้วย่อย พอย่อยเสร็จก็ส่งไปให้ลำไส้เล็ก ผ่านช่องทางเล็กลงเพราะลำไส้เล็กมีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่ากระเพาะมาก ..ปรากฏว่าส่งได้ช้า เป็นคอขวด และท่วมท้น..!!!
พอท้นมากๆก็อาเจียนออกมา ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังกินเข้าไปตามคำอธิบายย่อหน้าที่แล้ว ลักษณะอาหารก็จะเป็นอาหารที่ยังไม่ย่อยหรือย่อยบางส่วน ไม่มีน้ำดีสีเหลืองๆเขียวๆปะปน เพราะจุดที่น้ำดีออกมามันอยู่ไกลกว่าจุดอุดตัน อาหารบางส่วนลงไปได้ คนไข้จะปรับตัวโดยการกินอาหารน้อยลงเพื่อไม่ให้อาเจียน ก็จะอยู่ได้สักพัก เมื่ออุดตันมากขึ้นก็จะมีอาการมาหาหมอ เมื่ออาเจียนมาก ผอมลง
เวลาตรวจร่างกายจะพบอาการขาดน้ำ แน่ละเพราะกินได้น้อย แต่ยังไม่แสดงอาการขาดอาหารมากนัก เพราะเวลาที่ป่วยยังไม่นานพอที่จะเข้าระยะขาดอาหารและสารอาหารบางส่วนยังลงลำไส้ได้ ตรวจพบท้องอืดโดยเฉพาะหลังกินอาหารมา คนไข้ส่วนมากจะเตรียมตัวงดอาหารหลังเที่ยงคืนมาตรวจเผื่อเจาะเลือด บางครั้งจึงตรวจไม่พบอาการอืดที่ชัดเจน
เอาล่ะแต่ถ้าสงสัยก็ให้เขากินอาหารหรือดื่มน้ำแล้วค่อยตรวจซ้ำ จะพบท้องอืด และสิ่งสำคัญที่จะตรวจพบคือ หากเราเขย่าท้องคนไข้ จินตนาการเหมือนวางกาละมังใส่น้ำครึ่งนึงเอาไว้แล้วเขย่า เราจะได้ยินเสียงน้ำกระฉอก ใช้หูฟังตรวจเรียกว่า succussion splash sound
หากตรวจเลือดจะพบลักษณะเกลือแร่ผิดปกติ โซเดียมต่ำ โปตัสเซียมต่ำ เลือดเป็นด่าง ที่ค่อนข้างเฉพาะเลย (หากเป็นนานพอ) เกิดจากการปรับตัวที่ไตนะครับ ผ่านเซลท่อไตและฮอร์โมนหลายชนิด ทำให้มีภาวะนี้ (สำหรับนักเรียนแพทย์ห้ามตอบว่าเพราะอาเจียนเอากรดออกไป เลือดจึงเป็นด่าง)
สาเหตุก็อาจเกิดจากตีบด้านใน เช่น เป็นแผลลำไส้แผลกระเพาะแล้วเวลาหายเป็นพังผืด หรือมีเนื้องอกอุดตันจากด้านใน หรือจากการกดเบียดด้านนอกเช่นเนื้องอกลำไส้ เนื้องอกตับอ่อน ก้อนต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น เมื่อทราบสาเหตุก็จะรักษาเฉพาะแบบได้
การรักษาเบื้องต้น การดูแลรักษาขาดน้ำและเกลือแร่ การใส่สายท่ออาหารระบายความดัน หรือการผ่าตัด (ทั้งวินิจฉัยและรักษาไปพร้อมๆกัน) ทำทางอ้อมให้อาหารลงลำไส้หรืออื่นๆตามกระบวนการทางศัลยกรรม
ขั้นตอนการคิดโรคโดยเชื่อมโยง ประวัติ ตรวจร่างกายและสิ่งตรวจทางห้องแล็บ เพื่ออธิบายโรค เป็นขั้นตอนพื้นฐานทางการแพทย์ครับ

บทความที่ได้รับความนิยม