28 กุมภาพันธ์ 2564

ซาดาโกะกับนกกระเรียน 1000 ตัว

 เรื่องราวของหนูน้อยซาดาโกะ เราคงได้เคยรับรู้จากหลายสื่อมาแล้ว วันนี้เรามารู้จักจากหนังสือ novella ขนาดเล็กที่ชื่อว่า ซาดาโกะกับนกกระเรียน 1000 ตัว โดยเอลีนอร์ คอร์ นักเขียนวรรณกรรมเยาวชนชาวแคนาดา ที่เป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก

เราจะเข้าใจเรื่องราวนิยายเล่มนี้ได้ดี ต้องเข้าใจพื้นฐานของนักเขียนก่อน คุณคอร์เธอเกิดที่แคนาดา จบการศึกษาเรื่องภาษาอังกฤษ เรื่องห้องสมุด และมาสอนเรื่องราวเกี่ยวกับการเขียนหนังสือ การใช้หนังสือเป็นสื่ออยู่พักหนึ่งก่อนแต่งงาน เธอชอบใช้วิธีการท่องเที่ยวหรือลงไปพื้นที่ศึกษาเรื่องราวนั้นอย่างจริงจังเพื่อนำมาเขียนหนังสือ เธอเขียนหนังสือหลายเล่มด้วยแรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตในประเทศต่าง ๆ ซึ่งเธอโชคดีที่แต่งงานกับนักการทูต ได้มีโอกาสเดินทางไปรอบโลกเพื่อหาประสบการณ์มาเขียนหนังสือ

ชีวิตดังโชคชะตา ... เธอได้เดินทางไปที่ญี่ปุ่นในช่วงหลังสงคราม เพื่อไปที่ฮิโรชิมา ไปดูความเสียหายจากสงคราม ซึ่งเธอรู้สึกสลดหดหู่กับสิ่งที่เกิดกับประชาชนญี่ปุ่นมาก สิ่งที่เธอไม่รู้ในตอนนั้นคือ ซาดาโกะ ซาซากิ เด็กชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ และมีโรคร้ายอยู่ในตัว เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าอีกไม่นานเธอจะกลับมาพร้อมวัตถุประสงค์ที่ต่างออกไป

หลังจากโชคชะตาพลิกผัน สามีคุณคอร์เสียชีวิต คุณคอร์ก็ได้เดินทางกลับมาที่ญี่ปุ่นอีกครั้ง เพื่อศึกษาเรื่องราวของชาวญี่ปุ่น ใช้ชีวิตกับชาวญี่ปุ่น เรียนรู้วัฒนธรรมและเรื่องราวต่าง ๆ แลกกับการสอนภาษาอังกฤษ แต่ครั้งที่เธอกลับมา เรื่องราวของซาดาโกะเป็นที่รู้จักกันทั่วญี่ปุ่น ในฐานะวีรสตรีที่เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้โรคด้วยความหวังการพับนกกระเรียน 1000 ตัว แต่เธอรู้จักซาดาโกะจากหนังสือและเรื่องเล่าปากต่อปาก

วันหนึ่งเหมือนท้องฟ้าลิขิตมาให้เธอบอกเล่าเรื่อวราวของซาดาโกะให้ชาวโลกรู้ เธอได้รู้จักกับนักบวชคนหนึ่งที่มีหนังสือบันทึกประสบการณ์ชีวิตและการเจ็บป่วยของซาดาโกะฉบับสมบูรณ์ นักบวชคนนั้นให้หนังสือที่พิมพ์เพียงไม่กี่เล่มนั้นมาให้เธอ มันเขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น รู้จักแพร่หลายแค่ในญี่ปุ่น แต่คุณคอร์เธอพออ่านญี่ปุ่นได้ จึงเข้าใจเรื่องราว อารมณ์และความรู้สึกของซาดาโกะเป็นอย่างดี เป็นต้นกำเนิดของนิยายสั้นจากเรื่องจริงเล่มนี้

หนังสือเล่มนี้ได้ถ่ายทอดความรู้สึกในครอบครัวของซาดาโกะ ซาซากิ นักเรียนประถมผู้กระตือรือร้น มีพลังเต็มเปี่ยม ในครอบครัวชาวญี่ปุ่นอันแสนทุกข์ยากหลังสงคราม จากมุมมองของแม่ผู้เข้มแข็ง พี่ชายผู้รักน้องอย่างยิ่ง จากเพื่อนร่วมชั้นเรียน จากพยาบาลในโรงพยาบาล คนรอบตัวของซาดาโกะ

จากเด็กหญิงทรงพลัง นักวิ่งผู้เก่งกาจ มาล้มป่วยในวันหนึ่งจากอาการเหนื่อยจนล้มลง คุณหมอบอกว่าเธอเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ในขณะนั้นเธอกับครอบครัวของเธอรู้มาว่า มีโรคประหลาดเกิดขึ้นในญี่ปุ่นหลังสงคราม ผลจากการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา ทำให้คนหลายคนล้มป่วยและตาย พวกเขาเรียกโรคเหล่านั้นว่า โรคปรมาณู

ซาดาโกะยังต่อสู้อย่างอดทนและมีความหวัง พร้อมกับบรรดาคนรอบตัวที่ไม่เคยทอดทิ้ง ดูแลซาดาโกะอย่างดี มาให้แรงใจให้ความหวังแบบไม่ย่อท้อ ... แต่โรคไม่เคยดีขึ้น

คนรอบตัวซาดาโกะยังดูแลเธอเป็นอย่างดี แม้ในหัวใจจะแสนรวดร้าวด้วยรู้ว่าซาดาโกะจะต้องจากไปแน่นอน ตัวซาดาโกะเองก็รู้ชะตากรรมตัวเองดี เพราะข่าวที่ออกมา อาการของตัวเองที่ทรุดลงเรื่อย ๆ เพื่อนร่วมห้องที่โรงพยาบาลโรคเดียวกันที่ทยอยเสียชีวิตไป

...

...ในยามค่ำคืนที่ซาดาโกะหลับ แม่ผู้แสนดี เดินออกไปจุดโคมไฟรอบบ้าน ด้วยกลัวว่าหากเธอเสียชีวิต ดวงวิญญาณของเธอจะได้กลับมาบ้านได้ถูก

...ในวันสุดท้ายของชีวิต เธอร้องไห้ในขณะที่แม่ผู้แสนดี แกะชุดยูคาตะสีสวยมาใส่ให้เธอ เพราะเธอรู้ว่าชุดนั้นแพงมาก และเธอคงใส่ได้แค่ครั้งเดียว ครั้งสุดท้าย

ซาดาโกะพับนกตัวสุดท้ายคือตัวที่ 644 แล้วหลับไปเพราะหมดแรง นั่นคือนกกระเรียนตัวสุดท้ายและเธอไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย เพื่อน ๆ ร่วมห้องร่วมใจกันพับนกอีก 356 ตัวให้เธอเพื่อส่งเธอขึ้นสวรรค์

นิยายสั้นขนาด 45 หน้าเอห้านี้ สร้างความรู้สึกสลดใจ อ่านไปเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกคอจุกอกตลอดเวลา เสียน้ำตาให้กับใจแกร่งของซาดาโกะ นับถือแม่ผู้ไม่ทอดทิ้งความหวังแม้แต่ชั่วขณะหายใจหนึ่ง เหล่าพี่น้องที่รักซาดาโกะสุดหัวใจ หนังสือไม่ได้ถ่ายทอดความโหดร้ายของสงคราม แต่บอกถึงเรื่องราวหมองเศร้าของชาติผู้แพ้สงครามและประชาชนที่ต้องมาทุกข์ทรมานจากผลแห่งสงคราม

😍อ่านแล้วคุณจะรักครอบครัว

😍อ่านแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้มแข็ง

😍อ่านแล้วคุณจะไม่อยากให้สิ่งเลวร้ายใด ๆ เกิดอีก และอยากจะหยิบยื่นสิ่งดีให้กัน

เข้าใจแล้วว่าทำไมหนังสือเล่มนี้จึงเป็นตำนาน พิมพ์เป็นล้านเล่มหลายภาษา เป็นหนึ่งใน best of the world ควรค่าแก่การหยิบอ่านครับ

หนังสือเล่มเล็ก เอห้า สี่สิบห้าหน้า พร้อมภาพประกอบและวิธีการพับนกกระเรียน แถมกระดาษพับนกมาหนึ่งแผ่นและที่คั่นหนังสือในเล่ม ราคาเพียง 125 บาทจากแพรวเยาวชน เขียนโดย Eleanar Coerr แปลโดย ศรรวริศา เมฆไพบูลย์ หาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปครับ

อ้อ..ที่ว่ากำหนดให้คุณคอร์เขียนเรื่องนี้ เพราะก่อนที่จะไปรับรู้เรื่องราวของซาดาโกะ คุณคอร์เขาชำนาญและศึกษาเรื่องการพับกระดาษครับ

บางครั้งสิ่งมหัศจรรย์ก็มีในโลก

อาจเป็นภาพวาดรูป หนังสือ

สี่เล่มวันนี้

 สี่เล่มวันนี้

วารสาร time เล่มนี้ลงเรื่องวัคซีนโควิดด้วย ราคา 230 บาท

หนังสือ everything you need to know : american history หนึ่งในชุด bigfat notebook ทำแบบสมุดบันทึกจริง ฟอนต์ตัวเขียน กระชับ ง่าย สำนักพิมพ์ workman 550 บาท

หนังสือ David Nott : War Doctor หนังสือบันทึกประสบการณ์แพทย์ในหน่วยพยาบาลในสมรภูมิสงครามด่านหน้าตัวจริง จาก picador ราคา 395 บาท

หนังสืิอแปล ซาดาโกะกับนกกระเรียนพันตัว หนังสือแปลที่โด่งดังทั่วโลก โดยเอลีนอร์ คอร์ แปลโดย ศรรวริศา เมฆไพบูลย์ จากแพรวเยาวชน ราคา 125 บาท

ไปร้านหนังสือจะเจอของดีมากมายครับ

พรุ่งนี้พบกับรีวิวหนึ่งในสี่เล่มนี้ครับ

อาจเป็นรูปภาพของ 2 คน, หนังสือ และข้อความ

27 กุมภาพันธ์ 2564

B2S think space สาขาเซ็นทรัลชิดลม

 บ้านนอกเข้ากรุง ตามแรงปรารถนาของใจ

อิทธิพลของ social network มันเย้ายวนมาก หลังจากที่ได้เห็นเหล่าบรรดาหนอนหนังสือพากันไปถ่ายรูป B2S think space สาขาเซ็นทรัลชิดลม

B2S สาขานี้ ผมเคยไปเมื่อนานมาแล้ว สมัยไปซื้อ amazon kindle เครื่องแรก ตอนนั้นเขานำเข้ามาเจ้าเดียว ไปลองและซื้อที่นี่ หลังจากนั้นไม่เคยไปเยี่ยมเยือนอีกเลย

มาเมื่อไม่นานมานี้ ทุกคนพากันแชร์ B2S ที่ปรับปรุงใหม่และสวยมาก เมื่อลุงหมอว่าง จึงไปเยี่ยมเยือน

เริ่มด้วยการเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง ตอนนี้จาก กทม. ไปนครราชสีมา มีจำนวนเที่ยวรถที่ลดลงครับ และบริษัทเดินรถก็ลดลงด้วย ก็เป็นไปตามยุคสมัยและภัยเศรษฐกิจ การเดินทางยังปลอดภัยครับ มาตรการต่าง ๆ ครบครัน และการบริการก็ยังดีเสมอ ใช้เวลาเกือบสี่ชั่วโมง รถไม่ติดเลย หรือเพราะมีการเดินทางลดลงจริง ๆ

สถานีขนส่ง ยังสภาพเดิม คือ ไม่ได้ปรับปรุงใด ๆ ขึ้นรถต่อรถได้ยาก น่าจะปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่านี้ เฮ้อ... จุดด้อยของประเทศเราจริง ๆ เรื่องการขนส่งสาธารณะ

รถราในกทม. ยังหนาแน่น ยังวุ่นวาย โชคดีที่จุดหมายอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า การเดินทางจึงไม่ยากนัก จากสถานีรถไฟฟ้าหมอชิต ไปยังสถานีปลายทางชิดลม ไม่รู้ว่าราคาแพงไหมนะครับ ผมว่าไม่แพงถ้าเทียบกับเวลาที่ประหยัดและไม่ต้องไปเจอฝุ่นควันบนท้องถนนด้านล่าง แต่ผมก็นานๆครั้ง ใครขึ้นทุกวันไปกลับ ก็ร้อยบาทต่อวัน สามพันต่อเดือน แพงเอาเรื่อง

เช่นเคย คนบนรถเกือบ 100% ก้มหน้า คงมีแต่อีตาหมอชราคนเดียวที่ยืนมองวิวข้างทางรถไฟ ชอบตอนที่รถโค้งผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิมาก สวยดี

สถานีชิดลมมีคนไม่มากนัก ถึงจะเป็นวันหยุด เมื่อลงมาถึงชานชาลา พบว่าไปไม่ถูก!! เจ้าหน้าที่บีทีเอส ให้ความช่วยเหลือดีมาก บอกอย่างชัดเจนว่า ให้ออกทางออกหมายเลข 5 และบอกด้วยว่า ถ้าร้านอาหารจะอยู่ทางออกหมายเลขสี่มากกว่า.. ใจดีจังเลย

ระหว่างทางไม่ไกลบนชานชาลาจนถึงทางออก ปรากฏมีร้านขายกาแฟแบบรับกลับอยู่ต่อเนื่องเรียงรายถึงหกร้าน ทั้งร้านเครือข่ายชื่อดัง และร้านที่ไม่คุ้นชื่อ (เขาอาจจะดังแต่ผมไม่คุ้นเอง) ผมอดใจไม่ไหวครับ ขอลองกาแฟสดร้านใหม่ดูบ้าง ราคาไม่แพงและรสชาติใช้ได้

มาถึงที่เซ็นทรัล ผมแอบแวะร้านมูจิ เคยอ่านหนังสือเกีายวกับปรัชญาทำร้านของเขาแล้ว รู้สึกทึ่ง จึงแวะมาดู พบสินค้าแบบเรียบง่ายทั่วไป แต่การออกแบบและการบอกเล่าเรื่องราวบนป้ายบอกสินค้า ทำให้ดูเรียบหรูและใช้งานจริง มีสินค้าหลายอย่างที่ออกแบบน่าสนใจ แต่ผมไม่ได้ซื้อสักชิ้น ราคาออกจะสูงสักหน่อย แค่เดินชมอย่างที่เราเคยอ่านในหนังสือ เราก็มีความสุขแล้ว

ไปถึงที่ชั้นหก เดิมทีจะมีร้านอาหารและ B2S.ติดบันไดเลื่อน แต่ตอนนี้ปรับปรุง B2S ย้ายไปอยู่ลึกเข้าไป เด่นชัดจากแสงสว่างและซุ้มหลังคากระจก

จริง ๆ แล้วโซนหนังสือไม่ได้ใหญ่มาก แต่จัดกลุ่มนิยายที่คนกำลังนิยมมาอยู่ตรงซุ้มทางเดิน ใช้กระจกเงาเป็นผนังและหลังคา ทำให้ดูกว้างขวาง สว่างน่าสนใจ เรียกว่าดึงดูดชวนถ่ายรูป และใช้ตรงนี้บรรจุหนังสือที่ดึงดูดมาก คนจึงมารวมกัน มองดูภาพแล้วดูร้านใหญ่ขึ้นมาก

จริง ๆ แล้วคนยังสนใจมาซื้อหนังสือและมีพิมพ์ใหม่ออกมาสัปดาห์ละหลายปกครับ ถ้าร้านหนังสือจัดตัวให้เป็นเพื่อนร่วมอ่าน มีหนังสือหลายหลาย เพิ่มจุดสนใจ ไม่ว่าร้านกาแฟ จุดนั่งอ่าน ที่พักเด็ก หรือบริการเกี่ยวกับความรู้ครบวงจรอื่น ๆ ก็จะเพิ่มความน่าสนใจ อย่าลืมว่าคนที่มาซื้อหนังสือเขาอาจจะพาลูกพาแฟน ที่เขาสนใจเรื่องอื่น ๆ มาด้วย เขาก็จะได้มาด้วยกันได้

หนังสือสาขานี้มีครบ แต่ก็ไม่ได้เยอะมากตามขนาดร้าน มีทั้งหนังสือไทยและเทศ เครื่องเขียนครบ มีปากกาหมึกซึมด้วยแหละค่า สมุดหลากหลายชนิดทั้งแบบทำมือ แบบแบรนด์ดัง อุปกรณ์ศิลปะ

เช่นเคยที่นี่ขายอีบุ๊กรีดเดอร์ครับ มียี่ห้อ Boox ให้ลองเล่นได้ ผมลองอ่าน pdf ก็พบว่าใช้ได้ดีเหมือนกันครับ อยากได้แต่ของเดิมยังใช้ได้ดี ก็รอไปก่อนแล้วกัน

รู้สึกยินดี ที่ร้านหนังสือมีพัฒนาการตามเวลา ปรับตามยุคสมัย ผมเชื่อว่าหนังสือเล่มยังไม่ตาย ไม่มีวันตายด้วย ผู้คนยังโหยหาหนังสือเล่มอยู่ตลอด แม้จะมีอีบุ๊กให้ความสะดวก แต่หนังสือเล่มคือสิ่งทึ่เป็นอมตะตลอดกาล

หลงเวลาในนี้มากเลยครับ ช่วงเที่ยงก็แวะไปอาคารตรงข้าม ตรงประตูทางออกบีทีเอสหมายเลข 4 จำชื่ออาคารไม่ได้ แต่ในนี้มีร้านอาหารหลายร้านครับ ผมไม่รู้จักร้านราคาไม่แพงหรือฟู้ดคอร์ทแถวนี้ ก็ไปเจ้าร้านอาหารจานเดียวร้านหนึ่ง จานละ 145 บาทครับ รู้สึกว่าถ้าตัวเองต้องมาอยู่กทม. คงต้องทำอาชีพเสริมอย่างแน่นอน ค่าครองชีพสูงมาก

ผมแวะไปที่เซ็นทรัลเวิร์ลด์ เดินไปไม่ไกลโดยสกายวอร์ก แถมรู้สึกสวยงามมาก เพราะสาว ๆ กทม.แต่งตัวสวยจริง ๆ 555

นาน ๆ ทีมาที่กทม.สักครั้ง และแวะไปร้านเอเชียบุ๊ก คิโนคุนิยะ และแวะร้าน NADZ project ไปสูดกลิ่นหนังสือ เดินเปิดหนังสือเรื่อยเอื่อย เสน่ห์ร้านหนังสืออยู่ตรงนี้แหละ คือเราได้พบหนังสือดี ๆ ที่น่าสนใจรายรอบตัว ทำให้สายตาเราไกลไปกว่าหนังสือที่เราหมายตา ได้รู้จักปกใหม่ นักเขียนใหม่ และผู้คนที่ชื่มชมการอ่าน เดินด้วยเป้าหมายเดียวกับเราโดยที่ไม่รู้จักกัน แต่ก็รับรู้ได้ถึงความเป็นคนอ่านหนังสือของเขาเหล่านั้นเป็นอย่างดี (ผมนี่คงอินโทรเวิร์ตสุดขั้ว)

ไม่ได้ซื้อกลับไปมาก เพราะเดินทางลำบาก หยิบติดมือมาสามสี่เล่ม แวะดื่มกาแฟอีกแก้ว นึกในใจว่าคนกทม. แม้ต้องลำบากในการใช้ชีวิตหลายอย่าง แต่ถ้าคิดอยากจะหาสุนทรียะและความสุข คุณสามารถหาได้ไม่ยากเลยครับ ขนาดหมอบ้านนอกอย่างผมยังหาเจอ รับรองว่าคุณหาเจอแน่นอนครับ

ลาก่อน มหานครกรุงเทพ คงอีกนานมากกว่าเราจะได้พบกัน

ฮอร์โมนกลูคากอน (glucacon)

 โรคเบาหวาน ไม่ได้เกิดจากความบกพร่องของฮอร์โมนอินซูลินเท่านั้น

ฮอร์โมนกลูคากอน (glucacon) ฮอร์โมนที่หลั่งจากตับอ่อน โดยกลุ่มเซลล์ที่ชื่อ อัลฟาเซลล์ ส่วนอินซูลินหลั่งจากบีต้าเซลล์ กลูคากอนทำงานเพื่อเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด โดยการสลายไกลโคเจน คือ น้ำตาลยามยาก ที่เก็บไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อออกมาในกระแสเลือด และส่วเสริมการสร้างน้ำตาลขึ้นมาใหม่จากสารอื่น ๆ เช่น ไขมัน กรดอะมิโน เรียกว่าทำงานตรงข้ามกับอินซูลินนั่นแหละครับ

ธรรมชาติสร้างมาให้ทำงานคู่กันเพื่อควบคุมสมดุลพลังงานและน้ำตาลในเลือด ร่างกายคนเราใช้น้ำตาลเป็นพลังงานหลักครับ จึงต้องมีการควบคุมที่ดีและสมดุลกัน

และเมื่อร่างกายเกิดน้ำตาลต่ำฮอร์โมนตัวแรกที่ออกมาจัดการก็คือคุณกลูคากอนนี่เอง

โรคเบาหวานมีกลไกการเกิดโรคมากมายครับ ไม่ต่ำกว่า เจ็ดแปดอย่าง ที่เรารู้จักกันแพร่หลาย มีหลักฐานสนับสนุนชัดเจน วัดได้เป็นรูปธรรมแถมยังมีผลต่อการรักษาที่สุด คือ ความบกพร่องของอินซูลิน เราจึงมียาเกี่ยวกับอินซูลินมากมาย ทั้งฉีดอินซูลิน เพิ่มการหลั่งอินซูลิน เพิ่มประสิทธิภาพอินซูลิน แต่หนึ่งในสาเหตุเบาหวานคือ การควบคุมของกลูคากอนที่บกพร่องด้วย เพียงแต่การศึกษาการควบคุมกลูคากอน ไม่ได้มากมายและมีประสิทธิภาพดั่งอินซูลิน

คือตอนที่น้ำตาลต่ำมันก็ทำงานแหละ แต่พอน้ำตาลสูงขึ้น มันไม่หยุดทำงานไงครับ คนไข้เบาหวานที่มีความผิดปกติของกลูคากอน จะพบระดับกลูคากอนสูง ทั้งที่ไม่ใช่เวลาที่ควรจะสูง น้ำตาลจึงไม่ลงสักที ปัจจุบันเรามียาเบาหวานที่ไปปรับการทำงานของกลูคากอนด้วยคือยา DPP4i ตระกูล -gliptin ทั้งหลาย และยาฉีด GLP1a (glutide, natide) เพราะพิสูจน์แล้วว่ากลูคากอนก็ถูกควบคุมจากฮอร์โมนจากทางเดินอาหาร (incretin) เช่นกัน

ที่ใช้กลูคากอนทางคลินิกที่นิยมกัน (ขนาดนิยม ยังน้อยมาก เพราะราคาแพง) คือการรักษาน้ำตาลในเลือดต่ำนั่นเอง เรียกว่าฉีดฮอร์โมนไปสู้กับอินซูลินเลย จึงมักใช้ในรายที่น้ำตาลต่ำจากยาโดยเฉพาะอินซูลิน โดยใช้ขนาดแค่ 1mg เท่านั้น

การฉีดกลูโคส เป็นเพียงการเพิ่มน้ำตาลเท่านั้นนะครับ หากยังมีผลจากยาอยู่ เดี๋ยวน้ำตาลก็ลดลงอีก การฉีดกลูคากอนดูตรงจุด แต่แพงมาก ปัจจุบันเราจึงให้กลูโคสหยดทางเลือดดำ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลไม่ให้ต่ำ แล้วหาเหตุว่าน้ำตาลต่ำจากอะไร และแก้ไขครับ

กลูคากอนอินซูลินคือหยางหยิน
กลูคากอนไม่มีกินฉีดเสมอ
กลูคากอนราคาแรงแพงนะเธอ
ถ้าอยากเจอถูกและดี...มาที่ห้องเรา

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

26 กุมภาพันธ์ 2564

STEP3 semaglutide

 ถ้าลดน้ำหนักตัวลงได้ 6% ในเวลาหนึ่งปีครึ่ง ..สนใจไหมครับ

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่น้ำหนักตัวมาก คิดดัชนีมวลกายได้เกิน 30 หรือแม้แต่ดัชนีมวลกายเพียง 27 แต่ว่าดันมีความเสี่ยงการเกิดโรค คุณทำแบบนี้

1.เตรียมตัวเตรียมใจ อดทนสร้างวินัย ตั้งใจทำตลอด 68 สัปดาห์

2. เริ่มด้วยกินอาหารพลังงานต่ำ 1000-1200 กิโลแคลอรี่ต่อวันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ โดยการกำหนดพลังงานเคร่งครัด มีการใช้อาหารทางการแพทย์เพื่อกำหนดพลังงานให้แม่นยำที่สุด

3. หลังจากผ่าน 8 สัปดาห์แรกไปได้ ให้คุณกินอาหารปกติทั่วไป ภายใต้คำแนะนำว่า พลังงานต่อวันต้องอยู่ที่ 1200-1800 กิโลแคลอรี่ต่อวัน ต่อเนื่องไปอีก 60 สัปดาห์

4. ห้ามกินดื่มอย่างอื่นอีก

5. เริ่มออกกำลังกายและเพิ่มกิจกรรมออกแรงในแต่ละวัน เริ่มที่ 100 นาทีต่อสัปดาห์ แล้วค่อย ๆ ปรับเพิ่มเวลาทุก 4 สัปดาห์ จนกว่าจะได้อย่างน้อย 200 นาทีต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องกันไปจนครบ 68 สัปดาห์ที่เราตั้งใจไว้

6. จัดเวลาเข้าทบทวน อบรมการจัดอาหารกับนักกำหนดอาหารทุกครั้ง ต้องเคร่งครัด จะได้แม่นยำ จำนวน 30 ครั้งในช่วง 60 สัปดาห์นี้

ถ้าคุณทำได้ครบ 68 สัปดาห์ น้ำหนักคุณจะลดลงโดยเฉลี่ยประมาณ 6 กิโลกรัม คุณทำได้ไหม ??

ถ้าคุณยังทำแบบนี้ไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ในการใช้ยาลดน้ำหนักครับ ทำไมน่ะหรือ ไปดูกัน

มีการศึกษาชื่อว่า STEP3 ศึกษาการลดน้ำหนักในผู้ป่วยที่ไม่เป็นเบาหวานและมีน้ำหนักตัวอย่างที่กล่าว จำนวน 611 คน มาแบ่งกลุ่ม โดยกลุ่มควบคุมให้ทำอย่างที่ผมกำหนดด้านบนและได้รับยาหลอก ส่วนกลุ่มทดลองนอกจากทำตามข้อกำหนด จะได้รับยา semaglutide แบบฉีดใต้ผิวหนังขนาด 2.4 มิลลิกรัมวันละครั้ง ต่อเนื่องไปจนจบระยะเวลา แล้ววัดผลว่าน้ำหนักลดลงต่างกันไหม และถ้านับคนที่น้ำหนักตัวลดจากเดิม 5% ในสองกลุ่มนี้จะต่างกันไหม

น่าทึ่งว่า มีคนที่สามารถเข้าร่วมและทำตามกติกาที่ว่าถึง 92% ของผู้เข้าร่วมการศึกษาทั้งหมด (บอกว่าความตั้งใจจริง สำคัญมาก)

ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ได้รับยา semaglutide น้ำหนักลดลงเฉลี่ย 16 กิโลกรัม ส่วนกลุ่มควบคุมลดลง 6 กิโลกรัม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และถ้านับคนที่น้ำหนักลดลงจากเดิมมากกว่า 5% พบว่ากลุ่มที่ได้รับยา semaglutide มีถึง 86% เมื่อเทียบกลับ 47% ในกลุ่มควบคุม

แน่นอน คนที่ได้รับยา semaglutide มีผลข้างเคียงจากการใช้ยามากกว่า โดยเฉพาะผลระคายเคืองกระเพาะและลำไส้ จนต้องยุติการศึกษา มี 6% ในกลุ่มรับยาและ 3% ในกลุ่มควบคุม

ผลออกมาว่ายา semaglutide สามารถช่วย เสริม การลดน้ำหนักโดยควบคุมพลังงานและออกกำลังกายอย่างเคร่งครัดได้จริง (เหมือน liraglutide ที่เคยทำได้เมื่อสี่ปีก่อน)

**แต่ไม่สามารถใช้ยาอย่างเดียวโดยไม่ปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอได้เลย**

ผมตั้งใจเขียนและสื่อแบบนี้ เพื่อให้คุณให้ความสำคัญกับการควบคุมอาการและออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก มากกว่าจะพุ่งประเด็นไปที่การใช้ยาและอาหารเสริมใด เพราะถ้าคุณคิดแต่จะใช้ยาโดยไม่ควบคุมปัจจัยอื่น คุณจะไม่ได้ผลอย่างที่การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นครับ

ลุงหมอหลอกดาว

อาจเป็นรูปภาพของ แมว และสถานที่ในร่ม

25 กุมภาพันธ์ 2564

การตรวจกำลังกล้ามเนื้อหลายมัดของมือ

 คุณเคยกำของหมอไหมครับ

การตรวจกำลังกล้ามเนื้อหลายมัดของมือ ที่เรียกว่า handgrip คุณหมอจะให้คุณกำนิ้วของหมอ คุณไม่ต้องกลัวว่าหมอจะเจ็บนะครับ ให้บีบเต็มที่ บีบเข้าไป หมอเขาจะพยายามดิ้นให้หลุด คุณอย่าปล่อย บีบไว้ ฮึ่ม...ไม่ปล่อยให้หลุดมือหรอกเฟร้ย เพราะอะไร

คุณหมอเขาไม่เจ็บหรอกครับ เขาใช้สองนิ้วเสมอ บีบเท่าไรก็ไม่เจ็บ แถมยังแน่นกระชับ มันล็อกกันเอง ทดสอบได้ดี ผมเรียกว่า สองกำโผล่

ถ้าหมอใช้นิ้วเดียว...มันจะหลวมครับ หลุดง่าย อาจจะแปลผิดว่าคุณอ่อนแรงได้ เพราะคุณปล่อยให้หมอหลุดมือไป อันนี้กำเดียวโผล่ อันนี้ไม่ใช้

ถ้าหมอใช้สามนิ้ว ... หมออาจถูกจับ ..ไม่ใช่ละ หมออาจเจ็บครับ เพราะนิ้วหมอมันบีบกันเอง และออกจะคับแน่น กำไม่มิด บีบไม่เต็ม แบบนี้แบบสามกำโผล่นี้ไม่ใช้นะครับ มันเจ็บ

ดังนั้นหมอที่ใช้สองนิ้ว จึงเหมาะสมที่สุด คุณก็กำของหมอได้อย่างสบายใจ

อาจเป็นภาพระยะใกล้

ผลของการรับวัคซีนโควิดที่อิสราเอล

 ผลของการรับวัคซีนโควิดที่อิสราเอล

ลงพิมพ์ใน NEJM ฉบับวันนี้ จากข้อมูลของ Chalit Health Service หน่วยงานด้านข้อมูลสุขภาพที่ใหญ่มากของอิสราเอล จริง ๆ ผมไปค้นจากหน่วยงานนี้แล้วนะครับ ปรากฏว่าเป็นข้อมูลภาษาของอิสราเอล ไม่สามารถอ่านได้เลย จึงต้องรอวารสาร NEJM (จริง ๆ ถ้าตอนนั้นจีบ Gal gadot ได้ คงมีคนแปลให้ฟังแล้ว)

ข้อมูลงานวิจัยของ mRNA vaccine ของไฟเซอร์ที่ทางอิสราเอลมาใช้นั้น บอกว่าประสิทธิภาพในการลดการป่วย (ติดเชื้อแบบมีอาการ) อยู่ที่ประมาณ 92-95% และอิสราเอลได้นำวัคซีนตัวนี้มาฉีดจริง พร้อมตั้งใจเก็บตัวเลข วัดผลจริง ทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัย โดยขณะที่ทำการศึกษานี้ ประชากรของเขาได้รับวัคซีนไปแล้ว 53% และการศึกษานี้เน้นประชากรจริง ที่ไม่เคยตรวจ PCR พบเชื้อและไม่ใช่บุคลากรด่านหน้าที่ต้องดูแลโรคนี้ เพราะเขาวางแผนการศึกษานี้ตั้งแต่แรก จึงกำหนดได้เลยว่าจะวัดผลในกลุ่มคนที่ฉีดแล้ว เทียบกับกลุ่มคนที่ยังไม่ได้ฉีด (คือรอฉีดคิวต่อไป) ทำให้ตัวเลขและกระบวนการวิจัยหนักแน่น น่าเชื่อถือมากทีเดียว

มีกลุ่มศึกษาสองกลุ่มคือรับวัคซีนแล้ว และยังไม่ได้รับ กลุ่มละประมาณ 596,000 ราย โดยเปรียบเทียบการติดเชื้อทั้งแบบมีอาการและไม่มีอาการ ติดเชื้อรุนแรงและไม่รุนแรง สุดท้ายคืออัตราการเสียชีวิต โดยเริ่มศึกษาตั้งแต่ฉีดวัคซีนเข้มแรก ไปจนเจ็ดวันหลังวัคซีนเข็มสอง

ผลปรากฏว่า

1. ลดการป่วยจากโรค เริ่มเห็นผลประสิทธิภาพที่ 46% ที่ภายใน 20 วันหลังจากเข็มแรก ตามมาด้วย 66% ก่อนฉีดเข็มสอง และสูงสุดที่ 7 วันหลังรับเข็มสองแล้ว ที่ 94%

2. ลดการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เริ่มเห็นผลถึง 74% หลังเข็มแรก และสูงถึง 87% หลังเข็มสอง และสามารถลดการป่วยรุนแรงด้วยตัวเลขพอ ๆ กัน

3. ลดอัตราการเสียชีวิตหลังเข็มแรกสูงถึง 84% แต่ว่าหากไปคิดตัวเลขผู้เสียชีวิตก่อนมาเทียบกัน มันไม่ต่างกันมาก เพราะอัตราการเสียชีวิตมันน้อย

🚩🚩🚩4. อันนี้คือที่น่าสนใจ คือ ลดการติดเชื้อโดยรวมทั้งมีและไม่มีอาการ พิสูจน์จากอาการและการทำ PCR สามารถลดได้ 46% ตั้งแต่ 20 วันแรกหลังเข็มแรกและเพิ่มขึ้นเป็น 60% ก่อนรับเข็มสอง และสามารถลดการติดเชื้อได้สูงสุดที่ 92% หลังฉีดเข็มสองแล้ว

5. ข้อมูลความปลอดภัยยังไม่ออกมาครับ และข้อมูลสรุปหลังรับวัคซีนมากกว่านี้จะออกมาเรื่อย ๆ ผลวิเคราะห์ตัวแปรปรวนและปัจจัยภายนอกต่าง ๆ กำลังทำวิจัยอยู่ต่อเนื่อง

ที่เราคิดว่าวัคซีนน่าจะเป็นตัวช่วยลดการติดเชื้อ ลดความรุนแรงโรค เพิ่มความมั่นใจทางเศรษฐกิจและสังคม น่าจะจริงนะครับ หลังจากฉีดไปมากกว่านี้ ข้อมูลคงชัดเจนขึ้น ภายในเดือนสองเดือนนี้ข้อมูลคงมหาศาล ผมจะพยายามนำข้อมูลมานำเสนอครับ เท่าที่ค้นหาได้และตรวจสอบแล้ว

... ถ้าเลิกติดนิยายชุดนักสืบสาวห้องสมุด ลินด์เซย์แห่งไบรอา ครีก ให้ได้ก่อนนะครับ ติดมาก งอมแงม

อาจเป็นรูปภาพของ โครเชต์

unhealthy drinking

 อะไรคือ unhealthy drinking ?

มีการศึกษาตีพิมพ์ใน JAMA เมื่อวานนี้ เรื่องการใช้ยา baclofen เพื่อป้องกันอาการสับสนในผู้ที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และมีประวัติ "unhealthy drinking" เราได้รู้จักอะไรหลายอย่างเลยจากการศึกษานี้ครับ

เล่าคร่าว ๆ ก่อน เขาศึกษาคนที่ป่วยหนักต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และมีประวัติดื่มเหล้าเกินกว่าที่กำหนด โดยยังไม่มีอาการถอนเหล้า มาให้ยา baclofen ขนาดสูง ที่เป็นยาคลายกล้ามเนื้อ (ออกฤทธิ์ที่ GABA receptor) เทียบกับยาหลอกดูว่าจะลดอาการสับสนได้ไหม ผลปรากฎว่าลดการสับสนได้จริง แต่ว่าไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และต้องแลกมาด้วยอาการซึมมากขึ้น ถอดท่อและหย่าเครื่องช้าลง ซึ่งอดีตมีการศึกษาการใช้ยา baclofen ในการรักษา (ต่างจากการศึกษานี้ที่เป็นการป้องกัน) ภาวะถอนเหล้า พบว่าไม่ได้ต่างจากยาหลักตัวเดิมคือ กลุ่ม benzodiazepines มากนัก

งานวิจัยเขาศึกษาใน unhealthy drinking กำหนดว่า
- มากกว่า 14 ดื่มมาตรฐานต่อสัปดาห์ในชายอายุน้อยกว่า 65 ปี
- มากกว่า 7 ดื่มมาตรฐานต่อสัปดาห์ในหญิง หรือชายที่อายุมากกว่า 65 ปี

หนึ่งดื่มมาตรฐานแต่ละประเทศไม่เท่ากัน คร่าว ๆ คือแอลกอฮอล์ปริมาณ 10 กรัม คิดหนึ่งดื่มมาตรฐานแบบที่ผมใช้คือ เปอร์เซนต์แอลกอฮอล์ (ดีกรี) × 0.789 × ปริมาตรเป็นลิตร จะออกมาเป็นดื่มมาตรฐาน เช่น เบียร์วันละหนึ่งกระป๋อง 5 × 0.789 × 0.35 = 1.38 ดื่มมาตรฐานแล้วนะครับ

จากการศึกษานี้ถ้าคุณผู้หญิงดื่มเบียร์วันละกระป๋อง หรือคุณผู้ชายเกิน 1.5 กระป๋อง ก็ถือเป็น unhealthy drink แล้วนะครับ (ในการศึกษานี้เฉลี่ยดื่มที่ 5-6 ดื่มต่อวัน หรือ 35 ดื่มต่อสัปดาห์)

ถ้าลงแดงจากเหล้าต้องใช้ยา
ถ้าหลงเธอไม่ลืมตาแสดงว่า
...
...
เส้นประสาทสมองคู่ที่สามอักเสบนะครับ

อาจเป็นรูปภาพของ 1 คน

24 กุมภาพันธ์ 2564

Residential detoxification

 Residential detoxification เป็นรูปแบบการจัดการเลิกสารเสพติดชนิดหนึ่ง (ผมก็ไม่เคยเห็นของจริงนะครับ) ผมไปศึกษาหาเนิ้อหาเพิ่มจากวารสารเรื่องหนึ่งเกี่ยวกัยกาบเลิกบุหรี่

ปกติการเลิกสารเสพติดในประเทศเราจะทำในแผนกผู้ป่วยนอก ไปกลับ พบผู้บำบัด การเข้ากลุ่ม แล้วก็กลับบ้าน หรือการเข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยในในกรณีเกิดพิษจากสารเสพติดนั้น

แต่การทำ residential detoxification คือการบำบัดในสถานที่อันมีการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเลิกสารเสพติด มีนักบำบัดทั้งกิจกรรมบำบัด พฤติกรรมบำบัด การใช้ยา มีกำหนดการเข้ารับการรักษาและออกจากสถานบำบัดอย่างชัดเจน

สถานที่ค่อนข้างสบาย เป็นมิตร ชวนให้เข้ารับการบำบัด และที่สำคัญคือเป็นสถานที่ที่ทุกคนยอมรับ ไม่มีการแอบมานินทาว่า "ไปบำบัดมา" หรือถูกตราหน้าว่า "เป็นคนติดสารเสพติด" เพราะมีการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้เป็นอย่างดี

ในบ้านเราที่ใกล้เคียงน่าจะเป็นสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก ที่บำบัดผู้ติดเฮโรอีนในอดีต ปัจจุบันนี้รักษาผู้เสพยาบ้าและยาไอซ์เป็นหลัก อ้อ...ไปถ้ำกระบอก ไม่ใช่ไปกินน้ำสมุนไพรแล้วอ้วกจนเลิกได้เท่านั้นนะครับ ยังมีการใช้ธรรมะ ฝึกวินัย ดนตรีบำบัด อีกมากมาย

น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในอนาคต เพราะรายงานจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ รายงานในปี 2020 ว่าสารเสพติดที่มีรายงานคนติดมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก (ไม่นับบุหรี่ สุรา) คือ กัญชา ครับ

อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความพูดว่า "DETOX CLI INIC"

ปฏิกิริยาแพ้วัคซีนแบบ anaphylaxis ของวัคซีนโควิด

 JAMA ลงข่าวเรื่องปฏิกิริยาแพ้วัคซีนแบบ anaphylaxis ของวัคซีนโควิดจากไฟเซอร์ในอเมริกา

อัตรา 11 รายต่อการฉีด 1ล้าน คน

19% เข้ารพ. *** อย่าลืม จากจำนวน 11 ต่อล้านนะครับ**

ณ วันที่รายงาน 95% สามารถกลับบ้านได้ (20 ราย จาก 21 ราย)​ อย่าลืมจาก 11 ต่อล้าน

เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากวัคซีน มีแน่นอน ไม่ได้มโน แต่เมื่อชั่งน้ำหนัก ประโยนช์และอันตราย จะเห็นว่าโคตรคุ้ม ยิ่งมองภาพใหญ่จะเห็นว่าคุ้มมาก

และวัคซีนเริ่มทำงานของมันแล้ว คือ อัตราการป่วย อัตราการตาย เริ่มลดลงอย่างชัดเจน

หวังว่าอัตราการติดเชื้ิอจะลดลงได้จาก Herd Immunity

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

23 กุมภาพันธ์ 2564

หนังสือสอนการเขียน case report

 หนังสือสอนการเขียน case report

แม้ว่า case report หรือการรายงานกรณีศึกษาผู้ป่วย จะเป็นหลักฐานทางการแพทย์ที่หนักแน่นน้อย เพราะเป็นเพียงรายเดียวหรือสองสามรายเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ในภาพรวมวงกว้างได้ แต่จะสามารถแจ้งข่าวสารกับวงการสาธารณสุขได้ว่า มีกรณีแบบนี้ขึ้นจริง และช่วยสะกิดใจให้มารวบรวมข้อมูลในวงกว้างต่อไป

เริ่มต้นด้วยความสำคัญของ case report และแสดงให้เห็นว่าปัจจุบันเรามี case report มากมาย ที่นำมาใช้ในปัจจุบันเช่น ใน MMWR และ case report ไม่จำเป็นต้องเป็นกรณีที่พบยาก แต่สามารถเป็นกรณีที่พบทั่วไป เช่น ปัญหาเกลือแร่โปตัสเซียมสูงจากการใช้ยา ACEI ถึงเป็นสิ่งที่เรารู้กันดี แต่การรายงาน case report จะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกในแต่ละรายว่าเกิดจากอะไร และมีเนื้อความประกอบว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

ปกติ case report จะมีการทบทวนเนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวข้องมาด้วย เช่นเรื่องโปตัสเซียมในเลือดสูงที่ว่าไปตอนต้น จะมีการทบทวนกลไกการออกฤทธิ์ ไม่ใช่ในแง่ประโยชน์จากยา แต่เป็นกรณีโทษจากยาว่าเกิดได้อย่างไร

หรือรายงานผู้ป่วยดื้อยา ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่ามีการดื้อยา แต่การทำรายงานผู้ป่วยแบบนี้จะทำให้เราเห็นภาพจริงว่า การดื้อยาเกิดในสถานการณ์แบบใด เกิดจากอะไร และผู้เขียนก็จะสรุปให้เข้ากับทฤษฎีว่า มันอธิบายได้อย่างไร เรียกว่าเป็นของจริงเห็นจริง

การเขียนรายงานผู้ป่วยถือเป็นการเริ่มเขียนบทความวิชาการระดับแรกของบุคลากร เพราะไม่ยากจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้ง่ายจนไม่มีหลักการ ถึงเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้

เราจะเริ่มเรื่องอย่างไร เขียนบทนำให้ครบถ้วนพอให้เข้าใจและอภิปราย โดยไม่ยืดยาวเยิ่นเย้อ จะเก็บข้อมูลและภาพถ่ายแบบใด ต้องขออนุญาตเสมอ การเขียนรายงานผลแล็บจะออกแบบตารางอย่างไร กราฟควรวางหน้าใด ใช้แบบใด เพื่อจะทำให้รูปแบบเนื้อหาสมบูรณ์ มีตัวอย่างและรูปแบบบางรูปแบบที่เป็นเนื้อหาเฉพาะ เช่นการรายงานผลไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาด้วย Naranjo's score

มีแบบโมเดลด้วยนะ คือ CARE model เหมือน consort model หรือ prisma model ในการทำการวิจัยทดลองและการทำ meta analysis ตามลำดับ หนังสือเล่มนี้อธิบายด้วย และแบบ CARE นี้เป็นสากล สามารถเขียนลงวารสารได้ทั่วโลก

นอกจากรูปแบบ ยังช่วยสอนด้วยว่าจะวางกรอบการอภิปรายแบบใด การเขียน การส่งไปตีพิมพ์ มีกลยุทธการเตรียม การโต้ตอบกับผู้รีวิว เรียกว่าเป็นคู่มือจับมือสอน เริ่มตั้วแต่คิดจะทำคนตีพิมพ์ เหมือนมีไลฟ์โค้ช เป็น practical point สามารถนำไปใช้กับงานวิชาการแบบอื่น ๆ ก็ได้ด้วย

หนังสือขนาดพ็อกเก็ตบุ๊ก โดย Clifford D. Packer, Gabrielle N Berger, Somnath Mookherje สำนักพิมพ์สปริงเกอร์ ราคา 2,460 บาท หนา 190 หน้า สามารถสั่งซื้อได้จาก amazon หรือจะฝากผ่านร้าน Meditext Meditext ซื้อตำราแพทย์เป็นเรื่องง่ายๆ ก็ได้ครับ






20 กุมภาพันธ์ 2564

Jendrassik maneuver

 Reinforcement Maneuver มันคือการเบี่ยงเบนความสนใจจริงไหม

ในการตรวจการตอบสนองรีเฟล็กซ์ของกล้ามเนื้อและระบบประสาท ที่เราเห็นคุณหมอเคาะแขนเคาะเข่า สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการตรวจคือ ส่วนของร่างกายที่ตรวจจะต้องไม่เกร็ง ไม่อยู่ภายใต้การควบคุม เพราะเราต้องการตรวจการตอบสนองระดับไขสันหลัง หากมีการเกร็งหรือการทำงานของกล้ามเนื้อมัดนั้น เราจะไม่สามารถเห็นการตอบสนองระดับไขสันหลังได้ สัญญาณการควบคุมจากสมองมันแรงกว่ามาก

เป็นที่มาที่ว่าเวลาตรวจแบบนี้ คุณหมอจะบอกคุณว่า “ปล่อยแขนสบาย ๆ นะ ไม่ต้องเกร็ง” หรือจัดท่าให้คุณไม่สามารถเกร็งหรือใช้กล้ามเนื้อนั้น ตัวอย่างที่ดีคือ ให้ยืนด้วยเข่าตัวเอง ขาท่อนล่างส่วนข้อเท้าเลยขอบเตียงออกมา เพื่อให้ข้อเท้าอยู่ในท่าอิสระ แล้วคุณหมอจะเคาะเอ็นร้อยหวาย (ท่านั่งปรกติ ข้อเท้าจะไม่อิสระเท่าไร)

แต่..อย่างที่บอกไปตอนแรก ไอ้เจ้าสัญญาณระดับไขสันหลังนี้ มันถูกแทรกแซง มันถูกบังคับได้ง่ายมาก จากสัญญาณที่ทรงพลังกว่าจากสมอง ถ้าคุณหมอตรวจเคาะข้อพับแขน แล้วคุณเพ่งพิจารณาที่ข้อศอกนั้น สัญญาณจากสมองคุณจะไปควบคุมการทำงานนั้นแทนไขสันหลังทันที การแปลผลจึงยากมาก เราจึงต้อง ...เบี่ยงเบน

Reinforcement maneuver คือ ให้กล้ามเนื้อมัดอื่นทำงานแล้วไปตรวจมัดที่ต้องการ เพื่อลดการเพ่งพิจารณาที่กล้ามเนื้อมัดที่ต้องการตรวจ ยกตัวอย่าง คุณเจี๊ยบเลียบด่วนมาตรวจ ลุงหมอก็จะเคาะเข่า จึงบอกว่า เดี๋ยวจะตรวจเคาะเข่านะ ไม่เจ็บ ลุงหมอไปเคาะเข่าปรากฏว่าเคาะไม่ขึ้น คลำดูกล้ามเนื้อก็เกร็งมาก (ติดมาจากเชียร์ลิ้วพูน เกร็งจนเยี่ยวเหนียว) ลุงหมอจึงให้คุณเจี๊ยบหลับตา นึกถึงแมนซิตี้ได้แชมป์ ให้กัดกรามด้วยความแค้น กำหมัดอย่างแค้นสุด ๆ คุณเจี๊ยบเลียบด่วนกัดกร้ามกร้วม กำหมัดแน่น เข่าก็เลยผ่อนคลาย ลุงหมอเคาะได้อย่างสบายใจ ผลการตรวจแม่นยำกว่า

หลายท่านในนี้อาจเคยได้รับประสบการณ์การตรวจแบบนี้...จะได้ไม่งง

แต่ความเชื่อเรื่องการเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ป่วยนี้ มีคำอธิบายทางสรีรวิทยานะครับ คนที่ตั้งวิธีนี้และสมมติฐานนี้คือ Erno Jendrassik คุณหมอประสาทวิทยาชาวฮังกาเรียน โดยคุณหมอจะให้คนไข้กัดฟัน หรือจับมือตัวเองแล้วดึงกันเอง เป็นการใช้กล้ามเนื้อร่างกายท่อนบน ในการตรวจรีเฟล็กซ์ร่างกายท่อนล่าง (เข่าหรือข้อเท้า) โดยมีสมมติฐานว่าสัญญาณประสาทจากการใช้งานกล้ามเนื้อ การรับรู้ตำแหน่ง ความตึงของกล้ามเนื้อ จะสามารถไปทำให้การเคาะรีเฟล็กซ์ หรือสัญญาณที่เราตรวจนั้นชัดเจนขึ้น

คือไม่ได้เกิดจากการเบี่ยงเบนหรือการควบคุมจากสมองส่วนบน แต่เป็นการควบคุมสัญญาณและปรับแต่งกันเองในระบบกล้ามเนื้อและไขสันหลัง (ใครสนใจไปค้นเพิ่มได้จากคำค้น Jendrassik maneuver mechanism)

แต่ยุคนั้น เทคโนโลยีการพิสูจน์ยังไม่ชัดเจน จนยุคปัจจุบันมีวิธีการตรวจสอบได้จากการวัดสัญญาณไฟฟ้าเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ การทำ functional MRI การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง และมีงานวิจัยในระดับที่ “น่าจะ” สนับสนุนสมมติฐานของ Jendrassik ว่าเกิดการควบคุมหรือการ enhancing ในระดับไขสันหลัง ไม่ได้เกิดจากการควบคุมและเบี่ยงเบนจากสมองอย่างที่เราเคยรู้กัน (คนอื่นอาจรู้แต่แรก แต่ผมมารู้กลไกเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง)

สรุปว่า reinforcement ไม่ได้เบี่ยงเบนนะครับ แต่ตั้งใจทำตามกลไกการควบคุมของร่างกายเลยทีเดียว

อาจเป็นรูปภาพขาวดำของ 1 คน

19 กุมภาพันธ์ 2564

Sir William Gowers

 ค้อนส่วนตัว

ในโพสต์ก่อนหน้านี้ เราได้รู้จักค้อนเคาะรีเฟล็กซ์ในแบบต่าง ๆ รวมถึงค้อนคาโอริ (นี่ยังดีที่ไม่มีค้อนธอร์) ส่วนตัวผมใช้แบบ Taylor เพราะพกสะดวก หลายท่านในนี้คงพกหลายแบบ หรือโดนเคาะด้วยค้อนมาแล้วหลายแบบ แต่มีคุณหมอคนหนึ่งใช้ค้อนที่ต่างออกไป

Sir William Gowers คุณหมอชาวอังกฤษยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาที่หลายคนถือว่าเป็นนักประสาทวิทยาที่ยิ่งใหญ่มากของโลก และตำรา Manual of Disease of the Nervous System ที่ถือว่าเป็นอภิมหาตำราอมตะนิรันดร์กาลดาวล้านดวงของประสาทวิทยาในยุคนั้น และยังไม่นับชื่อ Gower ที่จารึกในโลกของประสาทวิทยาจำนวนมาก เช่น Gower’s sign ในโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือชื่อเส้นทางประสาทส่วนกลาง Gower tract

คุณหมอทำงานที่ ศูนย์ผู้ป่วยอัมพาตและลมชัก Queen Square เป็นตักศิลาของวิชาประสาทวิทยาในยุคสมัยนั้น จำได้ไหม ที่นี่เป็นที่กำเนิดค้อนเคาะรีเฟล็กซ์แบบ Queen Square ดังนั้นแน่นอนคุณหมอย่อมมีเทคนิคในการตรวจร่างกายระบบประสาทที่น่าตื่นตาแน่ ๆ

ผมไปอ่านพบใน footnote ของการตรวจร่างกายระบบประสาทของตำราชื่อดังเล่มหนึ่ง เขียนถึงอุปกรณ์การตรวจรีเฟล็กซ์ของคุณหมอกาวเวอร์ ก็ได้รับรู้ถึงปรัชญา “กระบี่อยู่ที่ใจ แม้กิ่งไผ่ก็ไร้เทียมทาน”

บันทึกกล่าวว่าคุณหมอกาวเวอร์ใช้ สันผ่ามือด้านนิ้วก้อย เคาะรีเฟล็กซ์ในการตรวจร่างกาย และบางครั้งก็ใช้หูฟัง (stethoscope) เพื่อเคาะรีเฟล็กซ์ก็ยังมี ที่สำคัญตรวจได้แม่นยำอีกด้วย จริง ๆ ถ้าเข้าใจในหลักการอย่างถ่องแท้ จะประยุกต์ใช้แบบใดก็ได้ (ประยุกต์นะ ไม่ใช่ ประยุทธ์)

แต่ผมไม่แนะนำนะครับ ควรใช้อุปกรณ์การตรวจให้เหมาะสมและถูกวิธีมากกว่า และขืนไปใช้วิธีของกาวเวอร์ไปสอบ รับรองสอบตกแน่นอนครับ เพราะอะไร ..เพราะกระบี่ไม่ได้อยู่ที่ใจ
...
แต่กระบี่อยู่ใต้สุราษฎร์ธานี

อาจเป็นรูปภาพของ หนึ่งคนขึ้นไป และกลางแจ้ง

บทความที่ได้รับความนิยม