พลิกความเชื่อ ตับเรื้อรัง ตอนที่ 2 : ไวรัสตับอักเสบบี
จากการบรรยายเรื่อง management of commom liver diseases in disruptive era โดย อ.พิสิฐ ตั้งกิจวาณิชย์ 30 ตุลาคม 2563
1. ไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคเรื้อรังที่รักษายาก เพราะตัวเชื้อกำจัดยากมาก ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันในเด็กไทยทุกราย และมียารักษาที่ดี เพียงแต่การรักษานั้นเป็น suppressive therapy คือโอกาสหายขาดมีน้อย ประมาณไม่เกิน 10% แต่การกดเชื้อจนไม่อันตรายนั้น เราทำได้ดีมาก
2. ความรุนแรงและอันตรายขึ้นกับปริมาณเชื้อและความรุนแรงของการอักเสบของตับ เราจึงรักษาในคนที่มีเชื้อมากพอสมควรและการอักเสบตามเกณฑ์ เพราะการรักษามีโอกาสหายขาดต่ำมาก ต้องกินยานาน แต่หากกดปริมาณไวรัสได้ดี (ซึ่งเราทำได้ดี) และลดการอักเสบ (จากการลดไวรัสและคุมโรคร่วมของตับ) โอกาสเกิดตับแข็งและมะเร็งตับจะลดลงถึง 70-80%
3. เมื่อตรวจพบโปรตีนอันเป็นหลักฐานของเชื้อ (HBsAg) ,ควรเข้ารับการตรวจเพื่อบ่งบอกระยะของโรคว่าเชื้อมากน้อยเพียงใด ตรวจพบ HBeAg หรือไม่ การอักเสบของเนื้อตับเป็นอย่างไร ทั้งการตรวจสแกนตับ การตรวจเลือด หรือการเจาะตรวจเนื้อตับหากจำเป็นจริง ๆ และที่สำคัญคือ โรคร่วมที่ติดต่อทางเดียวกัน คือ ไวรัสเอชไอวีและไวรัสตับอักเสบซี
4. หากยังไม่ถึงเกณฑ์รักษา ต้องติดตามต่อเนื่องเพราะการดำเนินโรคไวรัสตับอักเสบบีจะมีลักษณะสงบเงียบและกำเริบสลับกันไปมาได้ และต้องหาโอกาสรักษาเพราะจะได้ลดโอกาสเกิดตับแข็งและมะเร็งตับลงมาก และหากถึงเกณฑ์รักษา ให้คุยกับคุณหมอให้กระจ่างเพราะต้องรักษานาน แต่เกือบทั้งหมดรักษาด้วยยากินที่ประสิทธิภาพสูง ไม่แพง และอยู่ในสิทธิการรักษาพื้นฐาน
5. ยารักษาที่ใช้ส่วนใหญ่คือยากินต้านไวรัสเพื่อยับยั้งการแบ่งตัวของของไวรัส สองชนิดที่มีโอกาสดื้อยาต่ำคือ tenofovir (ทั้ง tenofovir disoproxil fumarate หรือ tenofovir alafenamide) และยา entecavir ยาทั้งสองนี้มีใช้ในไทย ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดจะได้รับยาในระยะยาว จึงต้องคัดเลือกคนที่จะมากินยาให้ดีและระวังผลข้างเคียงกับปฏิกิริยาระหว่างยา
6. ส่วนยาอีกชนิดเป็นยาฉีด peglycated inferferon alpha ฉีดสัปดาห์ละครั้งประมาณ 48 สัปดาห์ ยาตัวนี้จะไปปรับแต่งภูมิคุ้มกันของเราให้ต่อสู้ไวรัสตับอักเสบบี มักจะใช้ในผู้ที่อายุไม่มาก การอักเสบรุนแรง ปริมาณไวรัสมาก อัตราการหายสูงกว่ายากิน "เล็กน้อย" แต่ผลข้างเคียงมากมาย
7. หากผู้ป่วยตับแข็งแล้ว ไม่แนะนำหยุดยา แต่ถ้าไม่ใช่ผู้ป่วยตับแข็ง หากกินยาจนกดไวรัสได้ดี การอักเสบลดลง อาจพิจารณาหยุดยาได้ในเงื่อนไขแบบนี้ แต่ต้องย้ำว่าโอกาสกลับมาเป็นซ้ำจะสูง
▪ถ้าเริ่มต้นที่ HBeAg เป็นบวก เมื่อกินยาจน HBeAg เป็นลบแล้วให้กินยาต่อไปอีกหนึ่งปีค่อยหยุด
▪ถ้าเริ่มต้นที่ HBeAg เป็นลบ เมื่อกินยาจน HBsAg เป็นลบ จึงพิจารณาหยุดยา (โอกาสเกิดแบบนี้ยากมาก และแม้เกิดจริงก็มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูงมาก)
8. ถ้าแม่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และมีปริมาณไวรัสมากกว่า 200,000 iu/mL หรือ HBeAg เป็นบวก แนะนำกินยา TDF ในช่วงไตรมาสที่สามก่อนคลอด เพื่อลดการติดเชื้อสู่ลูก
9. ติดตามยาใหม่ ๆ ในการรักษาไวรัสตับอักเสบบีต่อไปนะครับ ใกล้ความจริงแล้ว
ยังมีต่ออีกหนึ่งตอนนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น