22 เมษายน 2564

ข้อมูลงานวิจัยแบบทดลองในคนของวัคซีน Ad26.COV2.S. ชื่อ ENSEMBLE

 ข้อมูลงานวิจัยแบบทดลองในคนของวัคซีน Ad26.COV2.S. ชื่อ ENSEMBLE ของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ลงตีพิมพ์เต็มรูปแบบในวารสาร New England Journal of Medicine วันนี้ เนื่องจากวัคซีนตัวนี้เป็นอีกหนึ่งตัวที่รัฐบาลวางแผนจะนำเข้ามาฉีด เราน่าจะมารู้จักงานวิจัยของวัคซีนตัวนี้แบบง่าย ๆ กันสักหน่อย

วัคซีนตัวนี้เป็นไวรัลเวกเตอร์ คือ ใส่สารพันธุกรรมของเชื้อ SARS-CoV2 เข้าไปในไวรัสอะดีโน เพื่อให้เอาไปกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในตัว โดยออกแบบมาฉีดครั้งเดียวเท่านั้น ด้วยปริมาณสารพันธุกรรมไวรัส 5×1010 พอกันกับวัคซีนประเภทเดียวกันนี้ยี่ห้ออื่น ๆ

การศึกษาทำในหลายประเทศของละตินอเมริกา สหรัฐอเมริกาและแอฟริกาใต้ ถือเป็นประเทศที่มีการระบาดในอัตราสูง โดยคัดเลือกคนที่ยังไม่ติดเชื้อมาสุ่มให้วัคซีน ส่วนกลุ่มควบคุมให้ฉีดน้ำเกลือ แล้ววัดผลประสิทธิภาพของวัคซีน ผลการศึกษาหลักคือ "ลดการป่วยหนักและการป่วยแบบวิกฤตจากโรคโควิด19" ผลอย่างอื่นเป็นเพียงผลรองผลพลอยได้จากการศึกษาเท่านั้น โดยวัดผลที่ 14 วันและ 28 วันหลังรับวัคซีน

และเช่นเดียวกับวัคซีนตัวอื่น การศึกษาเต็มรูปใช้เวลา 2 ปี แต่ตอนนี้ข้อมูลมากพอที่จะนำมาวิเคราะห์ (มีเกณฑ์กำหนดว่าปริมาณข้อมูลเท่าใดที่มากพอ) จึงนำมาตีพิมพ์และยื่นอนุมัติการใช้งานแบบรีบด่วนได้ หมายความว่ายังมีโอกาสเกิดผลต่าง ๆ ที่เราไม่คาดหวังได้อีกมาก ต้องติดตามต่อไป

มีกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 44325 คน แบ่งให้วัคซีนและฉีดน้ำเกลืออย่างละครึ่ง ประมาณครึ่งละ 19000 คน ส่วนที่เหลือมีเหตุต้องให้ตัดออก และเป็นข้อสังเกตอันหนึ่งของการศึกษา โดยทั่วไปงานวิจัยแบบนี้จะใช้วิธี intention to treat คือเมื่อแบ่งกลุ่มแล้ว ไม่ว่าได้รับยาครบไม่ครบ ออกจากการศึกษาหรือไม่ ต้องมาคิดผลหมด แต่การศึกษานี้ผลออกมาเป็นแบบ per-protocol คือ คิดแต่เฉพาะคนที่ทำตามขั้นตอนการศึกษาครบเท่านั้น คนที่ข้อมูลหายไปหรือออกจากการศึกษาไป เขาไม่เอามาคิด ตรงนี้อาจจะทำให้บิดเบี้ยวได้หากปริมาณคนที่เอามาคำนวณต่างกันมาก อาจหมายถึงเขาอาจเกิดอันตรายจากการวิจัยและไม่นำเขาเข้ามาคิดในงานวิจัย ซึ่งการศึกษานี้ตัวเลขต่างกันที่ 10% ต้องรอดูผลสุดท้ายของการศึกษา ตอนนี้เขาคิดแต่คนที่ได้วัคซีนและติดตามได้ครบตามขั้นตอนงานวิจัย

อายุเฉลี่ยคือ 52 ปี มีคนที่อายุมากกว่า 60 ปีมาเข้าร่วมถึง 33% ในคนทั้งหมดมีคนที่ตรวจพบ antibody ก่อนรับวัคซีนประมาณ 10% คือติดเชื้อแล้วหายแล้วนั่นแหละ ส่วนคนที่มีความเสี่ยงโรครุนแรงคือมีโรคร่วมมี 40% (ตรงนี้มีผลนะ เพราะผลการศึกษาหลักมันขึ้นกับปัจจัยนี้ด้วย) มีเชื้อชาติเอเชียอยู่เพียง 3%

ผลการป้องกันโรคโควิดแบบปานกลางถึงรุนแรงอยู่ที่ 66.9% (59%-73%) ตัวเลขพอ ๆ กันทั้งวันที่14 และวันที่ 28 ไม่ว่ากลุ่มอายุ เพศ เชื้อชาติ หรือโรคร่วมใด โดยฐานคนที่ป่วยปานกลางถึงรุนแรงอยู่ที่ 1%

ผลการปกป้องโควิดแบบป่วยวิกฤตอยู่ที่ 76.7% (54%-89%) การศึกษาพบว่าผลการปกป้องในวันที่ 28 จะสูงกว่าวันที่ 14 และเป็นจริงเหมือนกันในทุกกลุ่มย่อยโดยฐานคนที่ป่วยรุนแรงและวิกฤตอยู่ที่ 0.02%

**จะเห็นว่าตัวเลขผู้ป่วยรุนแรงไม่ได้สูงมาก จะต้องไปติดตามของจริงอีกครั้งเมื่อกระจายวัคซีนของจริงและเมื่อการศึกษาเสร็จสิ้น)

ผลข้างเคียงแทรกซ้อนทั้งกลุ่มวัคซีนและกลุ่มยาหลอก ส่วนมากก็เป็นปฏิกิริยาเฉพาะที่ ปวด ๆ เมื่อย ๆ มีไข้ต่ำ แน่นอนกลุ่มวัคซีนพบมากกว่า แต่ก็ไม่ได้รุนแรงและหายเอง สำหรับผลข้างเคียงแทรกซ้อนรุนแรง พบพอกันประมาณ 0.4% ส่วนผลข้างเคียงการอุดตันของลิ่มเลือดดำที่เราสนใจนั้น พบในกลุ่มวัคซีน 11 ราย ในกลุ่มน้ำเกลือ 3 ราย ขณะนี้ยังไม่พบว่าวัคซีนเป็นเหตุทำให้เกิดลิ่มเลือดดำอุดตัน พบเพียงความสัมพันธ์เท่านั้น สำหรับอัตราการเสียชีวิตทั้งกลุ่มวัคซีน(3ราย)และน้ำเกลือ(16ราย) พบว่าไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการในการศึกษานี้เลย

วัคซีนผลิตจากสารพันธุกรรมเชื้อ SARS-CoV2 สายพันธุ์เมืองอู่ฮั่น แต่เมื่อมาวิเคราะห์ผู้ที่ติดเชื้อในการศึกษานี้ที่มีการกลายพันธุ์ตามพื้นที่ระบาด พบว่าเมื่อมาคำนวณแบบไม่คิดเรื่องการกลายพันธุ์ กับนำการกลายพันธุ์มาเป็นส่วนหนึ่งของการคำนวณ ประสิทธิภาพการป้องกันเวลาคิดเชื้อกลายพันธุ์ด้อยลงเล็กน้อย โดยรวมยังผ่านเกณฑ์ WHO และยังใช้ได้ (ป้องกันได้มากกว่า 50% และ lower margin มากกว่า 30%)

สรุปว่า เมื่อมีการศึกษาลงตีพิมพ์แบบ peer review นี้แล้วพบว่า วัคซีนเข็มเดียวจากจอห์นสันก็ไม่ได้แย่แต่อย่างใด สามารถใช้ในการจัดการโรคโควิดได้ดี ข้อเด่นมากคือฉีดเข็มเดียว แต่ยังคงต้องรอผลการศึกษาจากการฉีดในสถานการณ์จริงต่อไปครับ

การศึกษาได้รับการสนับสนุนจาก Janssen Research and Development ในเครือ Jonhson&Johnson

อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความพูดว่า "ORIGINAL ARTICLE Safety and Efficacy of Single- Ad26.COV2.S Vaccine against Covid-19 Jerald Sadoff, M.D., Glenda Gray, M.B., B.Ch., An Vandebosch, Ph.D., Vicky Cárdenas, Ph.D., Georgi Shukarev, M.D., Beatriz Grinsztejn, M.D., Paul A. Goepfert, M.D., Carla Truyers, Ph.D., Hein Fennema, Ph.D., Bart Spiessens, Ph.D., Kim Offergeld, M.Sc., Gert Scheper, Ph.D., et for the ENSEMBLE Study al., Ensorbleo April 21, 2021 DOI:10.1056/NEJMoa2101544"

1 ความคิดเห็น:

บทความที่ได้รับความนิยม