ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทาน (oral anticoagulants)
ในวันนี้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่นอกเหนือจากวอร์ฟาริน ได้รับการยอมรับ มีใช้ในหลายข้อบ่งชี้ ผู้ป่วยเข้าถึงมากขึ้น และเริ่มมีการเปลี่ยนยาจากวอร์ฟารินมาเป็นยากลุ่มนี้มากขึ้น ประเด็นอยู่ที่ช่วงเปลี่ยนจากยาเก่ามาเป็นยาใหม่ อาจจะเกิดข้อผิดพลาดได้
ยาเดิม (warfarin) ใช้เวลาสักพักกว่าจะได้ผล และระดับการควบคุมมีความแปรปรวนตลอดเวลา หรือจะหยุดยาก็ต้องใช้เวลาสักพัก ห้าถึงเจ็ดวันกว่าจะหมดผลจากยา และหากมียาที่ทำปฏิกิริยากับ warfarin หรือไตเสื่อม ตับไม่ดี จะยิ่งใช้เวลานานกว่าจะหมดผลจากยา
แต่ยาใหม่ (direct thrombin inhibitor, factor Xa inhibitors) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้เร็ว แค่สามสิบนาที หกสิบนาทีหลังกินยาก็ได้ผลปกป้องแล้ว และเราหยุดยาแค่หนึ่งวันสองวัน ผลจากการป้องกันก็ลดลงมากแล้ว
ดังนั้นหากวันนี้เราหยุดยาวอร์ฟารินเพื่อจะเปลี่ยนไปเป็นยาใหม่ เราจะต้องรอให้ผลจากยาวอร์ฟารินลดลงก่อน จึงจะเริ่มยาใหม่ได้ ถ้าเราเริ่มทันทีจะกลายเป็นกินยาต้านการแข็งตัวของเลือดสองชนิดซ้อนกันทันที จะเกิดอันตรายเพิ่มโอกาสเลือดออกได้
แนวทางของวิทยาลัยแพทย์โรคหัวใจอเมริกา ให้แนวทางคร่าว ๆ ที่มาจากการศึกษาของยาและข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิตดังนี้
-Apixaban ให้หยุดยา warfarin และรอจนค่า INR ไม่เกิน 2.0
-Rivaroxaban ให้หยุดยา warfarin และรอจนค่า INR ไม่เกิน 3.0
- Edoxaban ให้หยุดยา warfarin และรอจนค่า INR ไม่เกิน 2.5
-Dabigatran ให้หยุดยา warfarin และรอจนค่า INR ไม่เกิน 3.0
เมื่อถึงเกณฑ์ดังกล่าว สามารถเริ่มยาใหม่ได้ แต่อย่างไรก็ต้องให้คำแนะนำดูแลและป้องกันเพื่อการเกิดเลือดออกเสมอ เนื่องจากมีข้อมูลว่าผู้ที่ได้ยาวอร์ฟารินมาก่อน จะมีโอกาสเกิดเลือดออกมากกว่าคนที่เริ่มยาใหม่ตั้งแต่แรกโดยไม่ผ่านวอร์ฟาริน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น