สรุปเนื้อหาจากการสัมมนาพูดคุยเรื่องสุขภาพคือสินทรัพย์
เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2564 โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ Dr. Money และ Smart Money More Fun
แบ่งการสรุปเป็น 4 หมวด
1. แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับการลงทุนเพื่อสุขภาพ
2. การจัดการการเงิน เมื่อเจ็บป่วย
3. การจัดการการเงิน
และการวางแผนก่อนเจ็บป่วย
4. การเก็บเงินสำรองเพื่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ
แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับการลงทุนด้านสุขภาพ
- เรื่องการจัดการสุขภาพที่ดี
เป็นสิ่งที่ต้องคิดร่วมกับการวางแผนความมั่นคงและการลงทุนเสมอ
เพราะหากมีสุขภาพกายและใจที่ไม่ดี ก็ยากที่แผนการลงทุนจะสำเร็จราบรื่น
- หากเราไม่วางแผนหรือไม่ลงทุนสุขภาพ
เราอาจมีค่าใช้จ่ายที่นอกแผน ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าเสียโอกาสการทำงาน
ที่ทำให้ความมั่นคงในชีวิตเราลดลงหรือเกิดภาระหนี้สิน ในทางตรงข้าม ถ้าเราวางแผนดี
"เงิน แรง เวลา" ที่เราประหยัดได้นี้จะสามารถไปต่อยอดความสำเร็จได้อีกมาก
-
ตัวอย่างเช่น
หากเราเก็บเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินเดือนละหนึ่งพันบาท เป็นเวลา 20 ปี เราจะได้เงินสะสม 240,000 บาท
ที่เราอาจจะนำไปใช้เวลาเจ็บป่วยได้โดยไม่ก่อหนี้สิน เรียกกว่าต้นทุน แต่ถ้าเราสุขภาพดี ไม่ต้องใช้เงินส่วนนี้เลย
-
และเราลงทุนลงแรงด้วยเงิน 240,000 นี้
อาจจะได้ผลตอบแทนทบต้นถึงกว่าครึ่งล้านบาท เรียกเงินกว่าครึ่งล้านบาทนี่แหละว่า
ความสูญเสียที่แท้จริงหากเราไม่ลงทุนทางสุขภาพ
- เราควรคิดและจัดสรรการลงทุนและเงินเก็บทางสุขภาพ
เป็นส่วนหนึ่งของการจัดสรรเงินเสมอ และควรทำตั้งแต่อายุน้อย เพราะยิ่งทำเร็ว
โอกาสได้กำไรทั้งทางสุขภาพและทางความมั่งคั่งจะมากขึ้น
สามารถรับความเสี่ยงได้ดีขึ้นอีกด้วย
-
เช่นเริ่มวิ่งออกกำลังกายตั้งแต่ตอนนี้
ก็จะมีเรี่ยวแรงและสุขภาพที่ดีในการทำงานในระยะยาว
-
เริ่มลงทุนซื้ออาหารที่ถูกสุขอนามัย สะอาด
ปลอดภัย สุขภาพจะได้ไม่แย่
-
เพิ่มเวลาพักผ่อน
ลดการทำงานที่เกินกำลังและบั่นทอนสุขภาพ แม้จะเสียรายได้จากการทำงานล่วงเวลา
แต่สามารถมีสุขภาพกายใจที่ดี ชดเชยในระยะยาวอย่างคุ้มค่า
- สัดส่วนการเก็บเงินและการลงทุนเพื่อสุขภาพของแต่ละคนไม่เท่ากัน
ให้ปรับตามความสมดุลของแต่ละคน อย่าให้เป็นภาระมากไป
และอย่าละความสำคัญจนไม่มีอยู่ในแผนการ
- ทบทวนการจัดการเงิน แผนสุขภาพทุกปี
เพื่อปรับให้ยืดหยุ่นกับภาระทางการเงินและเวลาของเราเสมอ
การจัดการการเงินเมื่อเกิดความเจ็บป่วย
จะกล่าวถึง
สิทธิขั้นพื้นฐานที่มี สิทธิเพิ่มเติมที่เราสามารถเพิ่มความมั่นคงและลดความเสี่ยงในชีวิต
- สิทธิพื้นฐาน
คนไทยทุกคนที่ไม่ตกหล่นทางทะเบียนราษฎร์ จะมีสิทธิพื้นฐานในการรักษาพยาบาลแน่นอน
เราจะมีความมั่นคงด้านการรักษาพยาบาลในระดับหนึ่ง เป็นระดับที่ครอบคลุมความจำเป็นพื้นฐาน
แม้ไม่หรูหราแต่เพียงพอ
- สิทธิประกันสังคม สำหรับลูกจ้าง ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชย
- สิทธิเบิกจ่ายราชการ สำหรับข้าราชการ
- สิทธิประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง
30 บาท สำหรับคนที่ไม่มีสองสิทธิข้างต้น
- ความมั่นคงเพิ่มเติม เช่น ประกันสุขภาพ
ค่ารักษาพยาบาลที่สามารถเบิกจ่ายได้จากบริษัทห้างร้าน
-
ค่ารักษาพยาบาลที่นายจ้างหรือห้างร้านช่วยเหลือ
อันนี้แล้วแต่เงื่อนไขบริษัท เราต้องเข้าใจ ทราบสิทธิพึงมีและข้อจำกัดให้ดี
สามารถช่วยเราได้เพิ่มเติมจากสิทธิพื้นฐาน
หรือสามารถจ่ายได้ในกรณีไม่ต้องการใช้สิทธิพื้นฐาน เช่นการโรงพยาบาลเอกชน
หรือเข้าห้องพิเศษในโรงพยาบาลรัฐ
-
ประกันสุขภาพ ขอไม่กล่าวถึงการประกันชีวิตและการประกันอุบัติเหตุนะครับ
การประกันสุขภาพถือเป็นการประกันวินาศภัยอย่างหนึ่งตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การพิจารณาเลือกประกันให้พิจารณาตามวัตถุประสงค์ของความคุ้มครองที่นอกเหนือไปจากสิทธิที่เราพึงมีไปแล้ว
o
ชดเชยค่ารักษาพยาบาล
มีหลายอัตราตามความสะดวกสบายของสถานพยาบาลที่เราต้องการ
พรีเมี่ยมก็ต้องจ่ายแพงกว่าสแตนดาร์ด จ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริง
ถ้าหากทางโรงพยาบาลและประกันมีข้อตกลงกันดี ก็ไม่ต้องสำรองจ่าย
และต้องอ่านเงื่อนไขให้ดี ว่าค่ารักษาใดเบิกได้ ค่ารักษาใดเบิกไม่ได้
o
ชดเชยรายได้ เหมาะกับคนที่มีรายได้รายวัน
ฟรีแลนซ์ หากต้องเจ็บป่วยก็อาจขาดรายได้มาจุนเจือครอบครัว สามารถนำเงินตรงนี้มาใช้จ่ายสำรองได้
เรียกว่าเป็นการสร้างความมั่นคงเพิ่มจากค่ารักษาพยาบาล
o
ประกันโรคร้ายแรง
ส่วนมากจะเป็นการประกันที่เจอโรคแล้วจ่ายตามสัญญา
เราสามารถนำเงินตรงนี้ไปบริหารจัดการ เช่น จ่ายค่ารักษาส่วนต่างเพิ่มจากสิทธิที่มี
หรือ จะชดเชยรายได้ที่หายไป หรือเก็บเป็นมรดกตกทอด
- การพิจารณาทำประกันสุขภาพ
ขึ้นกับความต้องการที่เราอยากให้ประกันมาคุ้มครอง
อาจเป็นส่วนเพิ่มเติมจากสิทธิพื้นฐาน และขึ้นกับระดับของการบริการที่เราต้องการ
หากต้องการการบริการที่ยกระดับกว่ามาตรฐานย่อมต้องจ่ายเบี้ยประกันราคาแพง
- อย่าใช้ปัจจัยอื่นมาคิดวางแผนประกันตั้งแต่ต้น
เช่น การออมเงิน หรือการลดหย่อนภาษี สิ่งเหล่านี้เป็นผลพลอยได้
อย่าลืมว่าเราลงทุนประกันสุขภาพ เพื่อสุขภาพและความมั่นคงเป็นหลัก
- คำนวณเบี้ยประกันให้จ่ายไหวด้วย
และอย่าลืมว่าหลายชนิดไม่ได้จ่ายครั้งเดียว จ่ายรายปี เป็นรายจ่ายคงที่ด้วยซ้ำ
คำแนะนำโดยทั่วไป ค่าประกันทั่งหมด น่าจะอยู่ที่ประมาณ 10% ของรายได้ต่อปี (ปรับได้ตามแต่ละคน)
การจัดการและการวางแผนการเงินก่อนเจ็บป่วย
ขณะนี้เรามีความเข้าใจเรื่องการจัดการวางแผนการเงินมากขึ้น
การจัดการวางแผนรับมือเตรียมตัวจึงมีความสำคัญและมาเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนลงทุน อีกทั้งเราเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย
เราต้องมีการเตรียมตัวเรื่องนี้แน่นอน
- วางแผนตรวจก่อนป่วย (primary prevention) ต้องยอมรับว่ามีการตรวจคัดกรองก่อนป่วยหลายอย่างที่มีประโยชน์
เพื่อตรวจโรคให้เจอในระยะต้น
การรักษาในระยะต้นจะหมดค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษาในช่วงปลายของโรค
การวางแผนเตรียมเงิน ใช้เงินเพื่อตรวจคัดกรองถึงแม้ไม่เจอโรค ก็จะยังคุ้มค่ากว่า
ค่าใช้จ่ายการรักษาโรคระยะปลาย (ก่อนการประกาศแนวทางจะมีการศึกษาเรื่องความคุ้มค่าคุ้มทุนออกมาแล้ว)
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการตรวจคัดกรอง
จะมากขึ้นตามอายุ ถ้าเราไม่วางแผนแต่เนิ่น ๆ
เราอาจจะมีค่าใช้จ่ายปริมาณมากเมื่อเราอายุมาก และอาจจ่ายไม่ไหวถ้าไม่เตรียมตัว
ในช่วงที่เราอายุน้อย หาเงินได้มาก
ค่าใช้จ่ายการตรวจที่ราคาไม่แพงอาจไม่ส่งผลกระทบมากนัก
แต่จะเป็นอีกเรื่องหากเราไม่มีรายได้เมื่อเกษียณ
- สิทธิพื้นฐานด้านการรักษาสุขภาพที่เรามีนั้น
ยังมีความไม่สมบูรณ์นักในเรื่องการ "ป้องกันก่อนเกิดโรค"
รวมถึงกำลังคนทางสาธารณสุขที่มียังไม่สามารถตอบสนองเรื่องการรักษาได้เพียงพอ
ดังนั้นการป้องกันโรค เราอาจต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น
การลงทุนตรงนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
-
ยกตัวอย่างการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยวิธีส่องกล้องลำไส้
กำหนดทำทุกสิบปี เริ่มตั้งแต่อายุ 45-50 แล้วแต่ประเทศ ค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลเอกชนระดับมาตรฐานทั่วไปประมาณ 20,000-30,000 บาท ถ้าเราเริ่มทำตอน 50 เราจะทำประมาณ 3 ครั้ง ตีกลม ๆ 100,000 บาท เราอาจไม่เจอมะเร็งก็ได้
แต่ถ้าเจอมะเร็งในระยะต้น การรักษาจะหายขาดและใช้เพียงการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว
-
แต่ถ้าเราไปเจอระยะท้ายแล้ว
ค่ายาเคมีบำบัดอย่างเดียวก็เกินแสนบาทแล้ว ยังไม่นับค่าอย่างอื่นอีก
- การวางแผนการตรวจคัดกรองก่อนเกิดโรคในแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ขึ้นกับพันธุกรรม ความเสี่ยงส่วนตัว สภาพการใช้ชีวิต
ท่านสามารถปรึกษาแพทย์ประจำตัวว่าตัวท่านต้องคัดกรองอะไร ทุกกี่ปี
ในแต่ละช่วงอายุควรคัดกรองอะไรบ้าง (เอาที่จำเป็นตามแนวทางก่อนนะครับ
ไอ้ที่ทำเกินเผื่อความสบายใจเรายังไม่นับ) เราจะได้วางแผนเตรียมเก็บเงิน
เอาเงินไปลงทุน
- ผมมีคนไข้ที่ต้องทำ mammogram ตรวจมะเร็งปากมดลูก เป็นประจำ
เธอไปซื้อสลากออมสินครับ ยังไงก็ต้องมาทำ ก็วางแผนลงทุนเลย
ครบกำหนดก็ไถ่ถอนและได้ดอกเบี้ย เธอก็ถูกรางวัลนะครับ แต่ครั้งละไม่มาก 300 บาทประมาณนี้
- และเมื่อได้ผลการคัดกรองหรือการตรวจสุขภาพ
จะต้องนำมาปรับใช้ให้เกิดมรรคผล เช่น เจอไวรัสตับอักเสบบี
ก็ใช้ปรึกษาหมอเพื่อรักษา เมื่อเจอไขมันสูง ก็ต้องเลิกเหล้า ควบคุมน้ำหนัก ถ้าเราตรวจแล้วไม่ทำอะไรเลย ก็ถือเป็นความสิ้นเปลือง
แถมยังขาดทุนหากเราไปพบโรคระยะปลายที่เราตรวจทราบในระยะแรกแต่เราไม่ทำอะไรกับมัน
การเตรียมเงินสำรองเพื่อสุขภาพ
การเตรียมเงินสำรองนี้ เผื่อไว้ในกรณีไม่คาดคิดครับ เรื่องการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่คาดคิด แทนที่เราจะปล่อยความเสี่ยงนี้เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้
มาปรับให้มาเป็นค่าใช้จ่ายที่พอคาดเดาและจัดการได้ครับ
- โดยทั่วค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน
จะคาดเดาที่เท่ากับ ค่าใช้จ่ายจำเป็นในแต่ละเดือน คูณ 6 เดือน (หรือบางคนคูณสิบสองเดือน)
ตรงนี้คือค่าใช้จ่ายนอกเหนือค่ารักษาพยาบาลในกรณีเราไม่มีรายได้ แต่ถ้าเรายังมีรายได้เข้ามาเรื่อย ๆ
เราอาจกันเงินตรงนี้บางส่วนไว้สำหรับค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายทางอ้อมต่าง ๆ
เกี่ยวกับความเจ็บป่วยได้
- ความเสี่ยงบางส่วนจะถูกจัดการด้วยสิทธิการรักษาพยาบาลพื้นฐานและประกัน
ถ้าเราลงทุนตรงนั้นแล้ว จะทำให้การจัดสรรเงินตรงนี้เพื่อความเจ็บป่วยทำได้คล่องขึ้น
มีเงินสำรองชีวิตเผื่อฉุกเฉินในทางต่าง ๆ มากขึ้น
- การจัดสรรเงินฉุกเฉินตรงนี้จะต้องมีการทบทวน
ปรับเปลี่ยนตามอายุและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เช่น อายุมากขึ้นก็เก็บในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเสี่ยงต่ำ
เช่นเงินฝาก แต่หากอายุน้อยอาจเก็บในสินทรัพย์ที่เสี่ยงมากกว่าได้ เช่น กองทุน หุ้น กรณีหากเรามีโรคแล้ว เช่น เบาหวาน
ก็ต้องจัดสรรทรัพย์สินส่วนนี้ใหม่ ให้ปลอดภัยมากขึ้น สภาพคล่องสูงขึ้น เพราจะมีโอกาสต้องนำเงินตรงนี้มาใช้มากขึ้น
เอาล่ะที่เรากล่าวมา
4 ข้อ จะมีเรื่องการเตรียมเงิน
เตรียมเวลาเผื่อสุขภาพที่ดี การรักษาระยะต้น และความมั่นคงเมื่อเจ็บป่วย
แต่ถ้าเราสุขภาพแข็งแรงดีคือ ไม่ต้องหยิบเงินตรงนี้มาใช้เลย
สินทรัพย์ตรงนี้จะทำให้เรามีกำไรมากมายถ้าเรารู้จักใช้
การจะแข็งแรงได้เราก็ต้อง
- ลงทุนเงิน เช่น ซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกาย
(ซื้อมาแล้วใช้มันด้วยนะ) สมัครฟิตเนส ซื้ออุปกรณ์และวัตถุดิบทำอาหาร ซื้อรองเท้าที่ปลอดภัยใส่ทำงาน สิ่งที่ได้กลับมา
มากกว่าที่เสียไปแน่นอน
- ลงทุนแรงกาย ต้องออกแรงเล่นกีฬา ต้องสม่ำเสมอเหมือนสะสมเงินรายเดือน
ต้องทำอาหารเอง สิ่งที่ได้กลับมา มากกว่าที่เสียไปแน่นอน
- ลงทุนเวลา ให้เวลาพักผ่อนมากขึ้นมาแทนที่โอทีเพื่อหนี้ฟุ่มเฟือย ให้เวลามากขึ้นกับการออกกำลังกาย นอนเร็วขึ้นตื่นเช้ามาทำอาหารกล่อง นอนก็มากขึ้น ประหยัดค่าอาหาร
ได้อาหารที่เราต้องการด้วย สิ่งที่ได้กลับมา มากกว่าที่เสียไปอย่างแน่นอน
- ลงทุนสติปัญญา มาทบทวนสิทธิการรักษา วางแผนการเงินเรื่องสุขภาพ ซื้อประกัน
อ่านหนังสือเพื่อช่วยจัดการการเงิน ศึกษาเรื่องสุขอนามัยที่ดี สิ่งที่ได้กลับมา
มากกว่าสิ่งที่เสียไปอย่างแน่นอน
ทุกคนสามารถปรับได้
จะต้นทุนมาก หรือมีต้นทุนน้อย ปรับให้เข้ากับชีวิตตัวเอง
สามารถลงทุนเพื่อสุขภาพหรือใส่หัวข้อสุขภาพไปในการจัดการชีวิตเสมอ
โดนจัดสรรให้มีความสุขร่วมกันทั้งการเงิน การงาน สุขภาพ ครอบครัว เพื่อนฝูง
สร้างความสมดุลและความสุขในการใช้ชีวิต
สามารถปรึกษาการเงินส่วนบุคคลได้ที่
Smart Money More Fun และ Avengers Team
สามารถติดต่อบรรยายเรื่องการจัดการการเงินได้ที่
Dr. Money
ส่วนใครอยากติดต่อลุงหมอ
ไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย แค่กาแฟดำหอม ๆ และรอยยิ้มน่ารักของน้องบาริสต้า
แค่นี้ก็พอครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น