31 มีนาคม 2559

Marie Antoinette Syndrome
เคยได้ยินว่า มีคนที่กลัวมากๆ จนผมหงอกขาวไปทั้งหัวในคืนเดียว บ้างไหมครับวารสาร JAMA dermatology ลงเรื่องนี้ เมื่อ2วันที่ผ่านมา น่าสนใจดีนะครับ

เรื่องมีอยู่ว่าบนหนังศีรษะ จะมีรากผม ซึ่งบริเวณรากผมจะมีเซลที่เรียกว่า melanocyte ที่คอยสร้างเม็ดสีให้กับผิวหนังและขนรวมทั้งเส้นผมด้วย เมื่ออายุมากขึ้นเจ้าเซลนี้ ก็จะเริ่มบกพร่องสร้างเม็ดสีผิดไปเราจึงเห็นผมหงอกแซมทั่วๆไปและบกพร่องมาก ก็จะหงอกทั้งหัวเป็นสีขาวโพลน และถ้าเซลเม็ดสีที่ผิดปกติไปเกิดที่ผิวหนังก็จะเห็นด่างขาว (vitiligo) โรคนี้เกิดจากมีภูมิคุ้มกันตัวเองที่ผิดปกติไปจับทำลายเซลเม็ดสีครับแต่ว่าปัจจุบันยังไม่มีบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าเกิดจากภูมิคุ้มกันแบบใดตัวใด อันว่าโรคแพ้ภูมิตัวเองอาการไปเกิดที่ใดก็ได้ชื่อตามนั้นมาครับ เช่นไปทำลายผิวข้อในโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทำลายเม็ดเลือดแดงในโรค เม็ดเลือดแดงแตก ทำลายผิวหนังในโรคหนังแข็ง ทำลายเม็ดสีในโรคด่างขาว

ปกตินั้นโรคแพ้ภูมิตัวเองมักจะเป็นโรคที่ดำเนินโรคช้าค่อยๆเป็นค่อยไป แต่ว่าบางครั้งเราก็พบการดำเนินโรคที่รวดเร็วมากๆได้ครับเช่น โรคแพ้ภูมิตัวเองเอสแอลอี (SLE) ที่มีผลต่อระบบประสาทก็จะเกิดอาการเพ้อสับสนได้ในหนึ่งคืนครับ โรคเม็ดเลือดแดงแตกจากแพ้ภูมิตัวเองนั้นก็ดำเนินโรคในหลักชั่วโมงเช่นกัน

ในวารสารนี้เขาบอกว่าพระนางมารี อังตัวเนต พระราชินีของหลุยส์ที่16 แห่งฝรั่งเศส ตอนนั้นพระนางอายุ 38 ปีนะครับ ถูกศาลตัดสินประหารชีวิตด้วยเครื่องตัดศีรษะกิโยติน คืนก่อนหน้าวันประหารนั้นทำเอาพระนางผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ #ซึ่งอาจอธิบายว่าความกลัวและความตึงเครียดตนถึงขีดสุด ในคนที่มีภูมิคุ้มกันตัวเองบกพร่องอยู่แล้วอาจกระตุ้นให้เกิดกาทำลายเซลเม็ดสีเฉียบพลันได้ครับ

ปัจจุบันเราเรียกภาวะนี้ว่า canities subita คือมีการเปลี่ยนสีผมเฉียบพลัน...เอ่อ ต้องไม่ได้มาจากชลาชล.. นะครับ เป็นหนึ่งในรูปแบบของ alopecia areata diffusa เคยมีการรีวิวผู้ป่วยและการศึกษา 196 ราย น่าสนใจมากครับลงพิมพ์ใน Int J Trichology. 2013 Apr-Jun; 5(2): 63–68 มี 44 รายเท่านั้่นที่รายงานโดยแพทย์ที่เห็นก่อนและหลังสีผมเปลี่ยน ที่เหลือจะเห็นก่อนหรือหลังหรือจากคำให้การของคนอื่น รายที่คลาสสิกที่สุดนั้น Schenkl ได้รายงานในปี 1873 เด็กผู้ชายที่สีขนตาเปลี่ยนจากขาวเป็นดำจากภาวะเจ็บปวดทรมานมาก มีการติดตามดูสุภาพสตรีม่ายท่านหนึ่งที่เกิดปรากฏการณ์นี้ พบว่าเกิดมีฟองอากาศเกิดขึ้นในส่วนบริเวณเซลเม็ดสีของเส้นผม และมีข้อมูลอันใหม่ใน PUBMED แต่ผมไม่มีวิธีเข้าฉบับเต็ม ใครมีวิธีอ่านแล้วมาบอกด้วยนะครับ International Journal of Dermatology
Volume 55, Issue 3, pages 362–364, March 2016

สรุปโดยรวมเขาคิดว่าเกิดจากภาวะตึงเครียดทั้งทางกายหรือทางใจเฉียบพลัน ในคนที่มีแนวโน้มจะเกิดโรคอยู่แล้ว คลิ๊กกก---ทำให้เกิดโรคขึ้นมาครับ ยังไม่ได้ศึกษาลึกลงไปในเชิงพันธุกรรมหรือสารโมเลกุล สารชีวเคมีอื่นๆ ว่ามีองค์ประกอบอย่างไรคงต้องรอการศึกษาต่อไป
ต่อไปนี้คงอธิบาย กลัวจนหัวขาวโพลน ในทางการแพทย์ได้นะครับ

29 มีนาคม 2559

หลอดเลือดสมอง หายไป

หลอดเลือดสมอง หายไป

เรื่องราววันนี้เป็นสิ่งที่บังเอิญหรือไม่ ท่านอ่านแล้วลองตัดสินใจเอานะครับเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวงล้อสองวง
ผมมีผู้ป่วยท่านหนึ่งอายุ 58 ปี มีอาการวิงเวียนบ้านหมุนอาเจียน ภาพซ้อนภาพวิ่ง พูดไม่ชัดตะกุกตะกัก ผลปรากฏว่าเส้นเลือดสมองตีบครับ ที่น่าตกใจคือการตีบของเส้นเลือดสมองเขารุนแรงมาก ประมาณว่าท่อส่งเลือดสามท่อ มันหายไปท่อหนึ่งเลย
สมองเรานั้นแสนมหัศจรรย์และขี้กลัวมาก กลัวจะขาดเลือดครับ ระบบหลอดเลือดแดงสมองจึงมีเส้นเลือดสามเส้น จากคอสองเส้นที่ใช้คลำชีพจรน่ะครับ (internal carotid) ที่แดร๊กคิวล่าชอบดูดเลือด และอีกเส้นไต่มาตามกระดูกสันหลังขนานกันขึ้นมา มาบรรจบรวมกันเป็นเส้นใหญ่อีกหนึ่งเส้น (basilar) ทั้งสามนี้มาต่อกันเป็นวงเวียนเพื่อไม่ให้เกิดการขาดเลือดขึ้น เส้นไหนตีบลงก็ยังมีอีกสองเส้นเข้ามาในวงเวียน เรียก วงเวียนนี้ตามชื่อผู้ค้นพบ หมอโทมัส วิลลีส ชาวอังกฤษ สมัยปี 1670 เรียกว่า "circle of Willis"

ผู้ป่วยรายนี้เราถ่ายภาพแล้วไม่พบเส้นเลือด basilar เลยนะครับ หายไปเลย..หาย และยังมีแขนงเล็กๆตันอีกด้วย สรุปว่าเขามีหลอดเลือดมาสมองแค่สองเส้นเท่านั้น โอกาสตีบตันขาดเลือดจึงง่ายมาก โอกาสเป็นอัมพาตซ้ำสูงมาก
การที่เรามีหลอดเลือดมาเลี้ยงแบบเป็นวงเวียนนั้นทำให้การขาดเลือดเรื้อรังเกิดยากและไม่ค่อยพิการเพราะมีกำลังสำรองนั่นเอง ถ้าเราไม่รักหลอดเลือดและทำลายมันทุกวัน เช่น สูบบุหรี่ ไม่รักษาเบาหวานให้ดี ตีบแคบทั้งสามเส้นจะเกิดปัญหาได้ ผู้ป่วยรายนี้เขากระดูกคอไม่ดีต้องบริหารโดยการหมุนคอ ก้มเงย เวลาทำเร็วๆจะหน้ามืดบ่อยเพราะท่าทางการบิดลำคอ จึงเป็นอุปสรรคมาก อยากบริหารกระดูกเส้นเลือดก็แคบลง ไม่อยากให้เลือดแคบไม่บริหารคอ ก็ปวดมาก เป็นที่มาของวงล้ออีกวงครับ

ผู้ป่วยเล่าให้ฟังว่าสมัยหนุ่มๆเขาเป็นลูกจ้างรับสังหารและหั่นงูเหลือมขาย โดยวิธีของเขานั้นจะทำให้งูอ้าปากโก่งคอ แล้วใช้คีมตัดสังกะสีล้วงไปตัดกระดูกคองูที่ปูดออกมาเห็นได้จากในปาก กระดูกนี้มีเส้นเลือดวิ่งขนานมาด้วย พอตัด..กรึ๊บบบ งูจะนิ่งไม่ติงไหว เลือดออกจนตายไป ทำแบบนี้วันละ 6-7ตัว ทำอยู่ 4ถึง5ปี แล้วเลิก หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สี่ห้าปีก่อนเริ่มปวดคอต้องบริหารโดยก้มๆเงยๆ ก็ทำได้ปรกติ จนเมื่อมามีอาการอัมพาตของเส้นเลือดที่ ขนานกับกระดูกสันหลังนี่แหละ ทรมานมาก

ผู้ป่วยยินดีให้นำเรื่องราวมาเล่า เพื่อเป็นอุทธาหรณ์ถึงวงเวียนวงที่สอง -วงเวียนกรรม- เป็นเรื่องวงเวียนสองวงที่มาหมุนทับซ้อนกันพอดี
เห็นเป็น scientist doctor แบบนี้ ผมเชื่อเรื่องกงเกวียนกรรมเกวียน สนิทใจ

28 มีนาคม 2559

alcohol hand rub

alcohol hand rub

ปัจจุบันมีการใช้ alcohol hand rub กันอย่างแพร่หลาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยที่เราต้องช่วยกันประหยัดน้ำประปา หลายๆองค์กรและหลายๆโรงพยาบาลก็ได้ยืนยันความสะดวกและประสิทธิภาพในการใช้ ผมลองค้นวารสารเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจออันนี้น่าสนใจและฉบับเต็มครับ พออ่านจบเลยมาเล่าสู่กันฟัง CID.oxfordjournals
เดิมทีการใช้เจลล้างมือนั้นเกิดมานานตั้งแต่ค.ศ.1847 ในเวียนนา ออสเตรีย พบว่าโรงพยาบาลหนึ่งแบ่งการดูแลออกเป็นสองส่วน เป็นโรงพยาบาลที่ดูแลสตรีตั้งครรภ์และคลอดครับ พบว่าส่วนการเรียนการสอนโดยอาจารย์แพทย์และนักเรียนแพทย์มีอัตราการติดเชื้อเสียชีวิต 18% แต่ในส่วนของโรงพยาบาลที่ใช้พยาบาลผดุงครรภ์นั้นมีอัตราการติดเชื้อเสียชีวิตแค่ 3% เมื่อมีการใช้ 4% chlorinated lime มาแทนการล้างมือ อัตราการตายลดลงจาก 18%เป็น 3%

แต่ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์เพิ่งออกมาในปี 1997 ว่า 4%chlorinated lime บดแบคทีเรียได้ดีกว่าการล้างมือด้วยสบู่หรือด้วยเจลแอลกอฮอล์เสียอีก เพียงแต่มันกัดผิว จึงได้มีการเริ่มใช้ alcohol handrub
การใช้เจลนั้นหวังผลแค่ "ลด" ปริมาณแบคทีเรียที่มาอยู่ชั่วคราว (transient flora) มากกว่าการ"เอาออก" หรือหวังผลไปถึงแบคทีเรีย ที่อยู่ถาวร (resident flora) แต่เนื่องจากสะดวก พกพาง่าย ทำให้อัตราการใช้สูง ง่าย ทรงพลังยิ่งนักในการป้องกันและลดการติดเชื้อในโรงพยาบาล โดยเฉพาะกับบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นพาหะที่มากที่สุด

โดยใช้สูตรผสมมาตรฐานประมาณ 3 ซีซี ถูมือประมาณ 30วินาที จนแอลกอฮอล์ระเหยไปหมด และกำจัดได้เฉพาะส่วนที่โดนแอลกอฮอล์เท่านั้นครับ โดยทั่วไปใช้ isopropanol and 1%–4% glycerin อาจจะผสมยาฆ่าเชื้อ chlorhexidine หรือ quaternary ammonium compound ก็ได้ครับ
แม้ว่าปัจจุบัน การล้างมือทั่วไปที่ไม่ใช่การสครับมือเข้าผ่าตัด จะแนะนำล้างมือด้วยสบู่อย่างน้อย 15 วินาที จะดีที่สุด แต่ว่าแค่นี้ก็ปรากฏว่าทำได้น้อยกว่าที่แนะนำ การใช้แอลกอฮอล์เจลจะช่วยลดเวลา เพิ่มอัตราการทำความสะอาดมือ --- ยกเว้นเลอะเทอะเปรอะดินนะครับ อันนั้นต้องล้างมืออย่างเดียว---

เจลนั้นลดแบคทีเรียได้ 60-70% เทียบกับการล้างมือมาตรฐานแต่ก็เพียงพอในการลดการติดเชื้อ สามารถลดเชื้อ ไมโคแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้ดี ใช้กับเชื้อราได้ดีพอควร โดยรวมแล้วถ้าเลือกส่วนผสมดี ถู 30วิ ให้ทั่ว ประสิทธิภาพสูงมากครับ
หลายๆประเทศในยุโรปใช้แอลกอฮอล์เจลเป็นมาตรฐานแล้ว ในอเมริกานั้นใช้แทนเมื่อล้างมือไม่ได้ ผลเสียที่พบบ้างคือ ผิวแห้ง ครับ เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำละลายไขมันเคลือบผิวได้

เรามา " rub " มือ กันนะครับ 👍👍

27 มีนาคม 2559

นโยบายสาธารณะ

นโยบายสาธารณะ คิดเองล้วนๆ

1. เป็นไปได้ไหมที่จะกำหนดปริมาณเกลือในอาหารบรรจุหีบห่อ กำหนดเลยนะครับ ไม่ใช่แค่แจ้งปริมาณ

2. เป็นไปได้ไหมที่จะกำหนดภาษีน้ำตาล น้ำตาลที่เกินที่กำหนดต้องคิดภาษีเพิ่ม ไปเก็บกับผู้บริโภค

3. ลดการผลิตและนำเข้าบุหรี่ จดแจ้งปริมาณการขาย คิดภาษีเป็นขั้นบันได ขายมากเสียมาก

4. กำหนดเขตดื่มเหล้า ห้ามดื่มนอกจุดที่กำหนด หากฝ่าฝืนผู้ดื่มถูกปรับ ร้านค้าถูกยึดใบอนุญาต

5. กำหนดยาที่ต้องใช้ใบสั่งยาที่ชัดเจน โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ กำหนดปริมาณที่จะจ่ายได้ในแต่ละครั้ง เกินไม่ได้ จะซื้อเพิ่มต้องสั่งใหม่

6. รัฐต้องลงมาดูแล emergency case อย่างจริงจังเสียที เป็นมาตรฐานขั้นต่ำต้องเท่ากัน โดยเฉพาะประเด็น การนำส่งผู้ป่วยและการเข้าถึงการบริการอย่างรวดเร็ว อนาคต fast tract จะสำคัญมาก

7. ทำ health data hub รักษาที่ไหนก็ลิงค์ข้อมูลได้ จะได้ไม่จ่ายยาซ้ำ ยาผิด เป็นฐานข้อมูลคล้ายๆเครดิตบูโร และมี QR code ติดบัตรประชาชนไว้เลย

8. ใช้ผู้บริหารที่จบบริหารและการจัดการหนี้สาธารณะเสียที เลิกให้หมอที่ไป อบรม หรือ มีประสบการณ์บริหาร มาเป็นผู้บริหาร โดยเฉพาะระดับรัฐมนตรี

9. ส่งเสริมสุขภาพที่ดีอย่างจริงจังเสียที อย่าเพียงแค่สปอตโฆษณาสวยๆ เช่น ถ้ารับวัคซีนครบ เวลาป่วยจะได้ลดราคา ถ้าเลิกบุหรี่ได้จะได้ลดภาษีเงินได้ ถ้าลดนน. รอบเอวได้ จะได้ส่วนลดค่าไฟ

10. ท่านต้องช่วยผม คิด ดัน และ ทำ ครับ

26 มีนาคม 2559

ไซนัสอักเสบ

ไซนัสอักเสบ

ไซนัสอักเสบ ผลข้างเคียงที่รุนแรงของโรคหวัด เรามารู้จักโรคนี้แบบง่ายๆกันครับ
ไซนัสคือโพรงกระโหลกที่มีทางติดต่อกับรูจมูกครับ มันมีเอาไว้ทำไมอันนี้ต้องไปดูจากวิชากายวิภาคเปรียบเทียบครับ เช่น ลดน้ำหนักกระโหลก เป็นกันชนกระแทก เพิ่มความชื้นในลมหายใจ คอยปรับสมดุลแก๊ส ทางเข้าและทางออกไซนัสมีทางเดียว ไม่ได้เป็นรางคู่แต่อย่างใด จึงเกิดปัญหาเวลาโพรงจมูกอักเสบและบวมก็จะไปปิดทางเข้าออก เกิดการอุดตัน อักเสบของไซนัสครับ คล้ายกับน้ำขังเน่าเสียครับ เชื้อโรคก็จะเพิ่มจำนวนจนเป็นปัญหาและถ้ายิ่งมีการติดเชื้อในโพรงจมูกและฟันอยู่แล้วก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสการติดเชื้อมากขึ้นครับ

ส่วนมากจะเกิดหลังจากติดเชื้อหวัดหรือแบคทีเรียในลำคอ หรือฟันผุเป็นระยะเวลาหนึ่ง 10-15 วัน จนเกิดการบวมและติดเชื้อลุกลามเข้าไปในไซนัส เชื้อโรคจึงมักเป็นเชื้อในปากและลำคอครับ เช่น Streptococcus, Hemophilus .... ปัจจุบันเรามีวัคซีนด้วยนะครับ
อาการที่พบบ่อยก็ น้ำมูกเสมหะจะมากขึ้นแปลกจากเดิม สีเปลี่ยนเป็นเหลืองเขียว กลิ่นเหม็น พอน้ำมูกมากก็จมูกบวม คอบวม เสียงเปลี่ยน อู้อี้ และบริเวณไซนัสจะปวดลองดูตามรูปนะครับ กว่า 60%จะปวดตรงโหนกแก้มข้างใดข้างหนึ่ง ตำแหน่ง maxillary sinus ถ้าเคาะหรือกดจะปวดมาก หมอจะตรวจโดยใช้นิ้วเคาะแก้ม หน้าผาก หลังหูครับ และถ้าสงสัยก็จะส่งถ่ายภาพเอ็กซเรย์กระโหลกหรือเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ ก็จะวินิจฉัยได้จะมีแต่บางรายที่จะต้องส่องกล้อง เจาะตรวจหรือเพาะเชื้อเช่น เบาหวาน ภูมิคุ้มกันไม่ดี กินยาขับเหล็กเป็นต้นเพื่อหาเชื้อราหรือเชื้อดื้อยา

ปัจจุบันแนวทางการรักษาใช้ยา amoxicillin เป็นหลักครับถ้าแพ้ยาอาจใช้ clarithromycinได้ ส่วนการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมกว้างเช่น amoxiclav หรือ quinolones ใช้เมื่อสงสัยเชื้อดื้อยาในบริเวณที่มีเชื้อดื้อยามากๆ หรือกลุ่มคนที่เสี่ยงติดเชื้อดื้อยา เช่นฟอกเลือด เบาหวาน ร่วมกับยาลดจมูกบวมและลดน้ำมูก บางรายก็ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือก็หายเร็วครับ
ผลข้างเคียงที่พบที่อันตรายในกรณีรักษาไม่ดีหรือไม่ได้รักษาที่แรงสุดคือลุกลามเข้ากระโหลกครับ กระดูกติดเชื้อ หรือทะลุเข้าสมอง เป็นฝีในสมองกันเลยครับ

เหมือนกับทุกโรคครับรักษาเร็วจะดีกว่า แต่ที่ดีที่สุดคือเมื่อเป็นหวัดต้องรีบดูแลตัวเองให้หาย อย่าให้เรื้อรังครับ
ที่มา CMDT., sanford guide antimicrobial 2015 ภาพจาก lasinus.com

25 มีนาคม 2559

ปัสสาวะปนเลือด

ปัสสาวะปนเลือด หนึ่งในอาการที่น่าตกใจสำหรับทุกคน ผมจะมาคุยเรื่องอาการเหล่านี้ ไม่ได้มาสอนการวินิจฉัยแยกโรคครับ แต่สำหรับคนทั่วไปเราควรสังเกตอาการนี้อย่างไร

  อย่างแรก ดูสีก่อนเลยครับ อ้าวก็สีเลือดสิหมอ ไม่เห็นต้องสังเกตอะไรเลย .. สีเลือดแดงสดที่หยดออกมา หรือ สีแดงๆจางๆปนมากับปัสสาวะ หรือว่าสีแดงคล้ำๆออกเกือบดำคล้ายเลือดหมูเข้มๆ จะช่วยบอกจุดที่เลือดออกได้นะครับ สีแดงเข้มเกือบดำส่วนมากก็จะเป็นสีของเม็ดเลือดที่แตกก่อนมาที่ไต  สีแดงเข้มหยดแหมะๆน่าจะออกจากส่วนปลายๆท่อปัสสาวะ แต่ถ้าแดงจางๆเหมือนน้ำหยดยาอุทัยทิพย์ ก็มักจะออกจากกระเพาะปัสสาวะครับ

  มีอาการเจ็บปวดร่วมด้วยหรือไม่ อาการเจ็บนั้นอยู่ช่วงใดของการขับปัสสาวะ เช่น ถ้าเจ็บตอนปัสสาวะใกล้สุดอาจจะหมายถึงมีการอักเสบหรือติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมากเป็นต้น แต่ถ้าเจ็บตั้งแต่เริ่มต้น ต้องเบ่ง อาจต้องมาดูว่ามีแผล หรือ เป็นนิ่วหรือไม่
   สิ่งเจือปนอื่่นๆ เช่นมีเลือดมีหนอง อันนี้น่าจะติดเชื้อแน่ๆ  มีฝุ่นทรายปน อาจจะหมายถึงนิ่วได้ครับ มีลิ่มเลือดออกมา ก็น่าจะมีเลือดอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ

  ยาที่ใช้ เช่น ยาวัณโรค ไรแฟมพิซิน จะทำให้ปัสสาวะมีสีส้มแดงได้  ยากดภูมิ ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) ก็จะมีการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะทำให้มีเลือดออกได้

   ถ้าเราได้สังเกตอาการร่วมต่างๆนี้จะเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยมากขึ้นครับ คุณหมออาจจะซักประวัติอื่นๆเช่น การผ่าตัดช่องท้อง การฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกราน ประวัติประจำเดือน เพื่อช่วยวินิจฉัย  หลังจากตรวจร่างกายแล้ว เมื่อมีการตรวจปัสสาวะท่านควรแจ้งให้แพทย์ทราบถ้ามีประจำเดือนครับ ไม่งั้นอาจจะต้องตรวจอื่นๆกันอีกยาว
  การเก็บปัสสาวะก็อย่างที่ทราบกัน ถ่ายส่วนแรกทิ้งไปก่อน เก็บส่วนกลางๆ เมื่อเก็บแล้วให้ส่งตรวจเลยครับ ทิ้งไว้อาจเกิดการผิดพลาดได้

  ส่วนมากจะวินิจฉัยได้จากประวัติและการตรวจร่างกาย ส่งตรวจปัสสาวะพื้นฐาน มีแค่ส่วนน้อยที่จะต้องส่งตรวจพิเศษ หรือส่องกล้องตรวจในทางศัลยกรรมครับ

  การสังเกตตัวเอง สามารถ ช่วยหมอวินิจฉัยได้มากเลยนะครับ

19 มีนาคม 2559

10 -ข้อ กับโรคเข่าเสื่อม

10 -ข้อ กับโรคเข่าเสื่อม

1. ต้องใช้การรักษาสองแบบเสมอคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการใช้ยา จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

2. การรักษานั้น จะคำนึงถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้ หมอต้องตกลงกับคนไข้ดีๆครับ แต่ละคนปวดข้อไม่เหมือนกัน
2.1 ปัจจัยเสี่ยง นน.ตัว การใช้ข้อผิดวิธี การรักษาต้องคิดถึงประเด็นนี้และแก้ไขให้ดี
2.2 ปัจจัยทั่วไป เช่นโรคประจำตัว การรักษาต้องไม่ไปทำให้โรคประจำตัวแย่ลง เช่นกินยาแก้ปวด COX2 แล้วอาจมีปัญหาในผู้ป่วยโรคหัวใจได้
2.3 ความรุนแรง อาจต้องเลือกใช้ยาที่บรรเทาปวดได้ดี แต่ผลข้างเคียงก็สูงตาม
2.4 มีข้ออักเสบ ปกติแล้ว เข่าเสื่อมมักจะไม่ค่อยอักเสบรุนแรง ถ้ามีการอักเสบรุนแรงอาจต้องคิดถึงโรคอื่นๆด้วย หรืออาจต้องเจาะข้อ
2.5 ตำแหน่งข้อ ก็จะออกแบบ ท่าทางการทำงาน ท่าทางการกายภาพที่ถูกต้อง

3. การรักษาแบบไม่ใช้ยา ต้องทำเสมอและตลอดไป ได้แก่ การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกาย ฝึกกล้ามเนื้อขา ที่หมอจะให้ นั่งหลังตรงบนเก้าอี้ เกร็งเข่า เหยียดตึงค้างไว้ครั้งละ 10 วินาที เซ็ทละ 10ครั้ง ครั้งละ 3-5 เซ็ท หรือจะเรื่องอย่ายกของหนัก หรือถ้าปวดมากก็ให้ใช้ สนับเข่าช่วยได้ครับ

4. ใช้ยาพาราเซตามอลก่อนเสมอ ใช้เวลาปวดครั้งละ 1 เม็ดก็พอ หรือถ้าท่านตัวใหญ่ ก็เม็ดครึ่ง กินมาก 15-20 เม็ดต่อวันก็อาจมีผลเสียได้ครับ การออกกำลังในข้อ 3 ก็จะช่วยลดอาการปวด ทำให้ใช้ยาลดลงได้

5. ยาทาภายนอก ทาถูๆ ก็ช่วยได้นะครับ มีผลข้างเคียงน้อยมากด้วย เช่น ยาหม่อง ครีมทาของพวกนักกีฬา น้ำมันมวย หรือสมุนไพร capsaicin cream ที่สกัดจากพริกครับ

6. การใช้ยาแก้ปวดลดการอักเสบ NSAIDs ใช้เมื่อลองพาราเซตามอลแล้วไม่ได้ผล (อย่าลืม ข้อ 1) โดยอาจใช้ยากลุ่ม COX-2 ที่มีผลต่อทางเดินอาหารน้อยกว่า คือยาแก้อักเสบกลุ่ม -coxib ทั้งหลาย หรือใช้ยากลุ่มเดิมและให้ยาลดกรดร่วมกัน

7. ยาแก้ปวดที่เสพติด เช่น ยามอร์ฟีน หรือ อนุพันธ์ของฝิ่น มอร์ฟีน เช่น ทรามอล เพทีดีน จะใช้เมื่อยาในข้อ 4-5-6 ใช้ไม่ได้ผลแล้วเท่านั้น และต้องระวังการติดยาด้วยครับ

8. ยากลุ่มที่ไปปรับเปลี่ยนตัวโรค (SYSADOA) เช่นที่โฆษณากันมาก ฉีดสารหล่อลื่น น้ำข้อเทียม คือยากลุ่ม chondroitin, glucosamine, hyarulonic ใช้ลดปวดได้ #แต่ต้องในช่วงระยะแรกๆของโรคครับ ถ้าเสื่อมมากๆก็จะได้ประโยชน์จากยาน้อยมาก และต้องใช้ร่วมกับการรักษาในข้อข้างบนด้วยครับ

9. ถ้ามีอาการอักเสบ ปวดมาก ข้อบวม จับดูร้อนมาก ขยับแล้วปวดมากๆ อาจพิจารณาฉีดยาสเตอรอยด์เข้าข้อได้ #แต่ต้องแยกจากข้ออักเสบติดเชื้อก่อน "เสมอ" นะครับ

10. ถ้าผิดรูปมาก ปวดมาก มีข้อห้ามการใช้ยา ก็ควรเข้ารับการผ่าตัดครับ ไม่ว่าจะเป็นการปรับผิวข้อ แต่งโครงสร้าง หรือใส่ข้อเทียม

จากบทความ ยาที่ใช้บ่อยในโรครูมาติก ของ อ.รัตนวดี ณ นคร ในตำราอายุรศาสตร์สัญจรเล่ม 2 นำมาปรุงให้เข่าใจง่ายๆครับ

18 มีนาคม 2559

แบบประเมินอาการโรคถุงลมโป่งพอง



แบบประเมินอาการโรคถุงลมโป่งพอง(COPD Assessment Test) หรือ CAT เป็นแบบทดสอบมาตรฐานที่ใช้ประเมินอาการผู้ป่วยในแต่ละครั้ง

ทำไมต้องใช้แบบทดสอบด้วย เพราะว่าผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองนั้น ไม่เคยมีใครเหนื่อย ไม่เคยมีใครหอบ ทุกคนทำงานหรือใช้กิจวัตรประจำวันของตนได้เป็นอย่างดี ที่ผมบอกแบบนี้เพราะว่าเวลาที่คุณหมอหรือคุณพยาบาลถามคนไข้นั้น คนไข้ใช้ความรู้สึกและประสบการณ์ของตัวเองที่ไม่ได้ออกแรงมาตอบครับ
คนไข้กลุ่มนี้จะไม่สามารถออกแรงได้มาก เลยไม่ออกแรง จำกัดกิจวัตรประจำวันของตัวเอง ทำให้เขาไม่เคยเหนื่อยเลยเวลามาตรวจที่รพ. แล้วได้รับคำถามว่าเหนื่อยไหม คำตอบที่ได้คือ ไม่เหนื่อยทุกครั้งไป

และกิจวัตรแต่ละช่วงของปีก็ไม่เหมือนกัน เวลาถามแต่ละช่วงของปีก็ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย เช่นช่วงสงกรานต์ก็เหนื่อยมากเพราะลูกหลานมาพาเดิน พาเที่ยวบ่อย ช่วงเข้าพรรษาก็ไม่เหนื่อยเพราะนั่งสมาธิอยู่แต่ในวัด ทำให้การสอบถามในแต่ละครั้งเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย เราจึงได้ใช้แบบสอบถามที่เป็นสากลทั่วโลกมาถามและเป็นอันเข้าใจถึง คะแนนความเหนื่อย ในโรคถุงลมโป่งพองนี้
แบบทดสอบมีสองแบบเลือกเอาแบบใดแบบหนึ่ง คือ CAT และ mMRC (modified Medical Research Council dyspnea scale) ใช้ได้พอๆกันครับ ถ้าท่านอ่านออกทำเองได้ก็นั่งทำก่อนจะไปคุยกับหมอ ในแต่ละนัด ผู้ป่วยหลายท่านอ่านไม่ออก มองไม่ชัด หรือ ไม่เข้าใจคำถามก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอำนวยความสะดวกให้ คำถามนี้ท่านสามารถทำเองที่บ้านเพื่อเป็นการติดตามอาการของตัวเองได้นะครับ ถ้าอาการดีขึ้นคะแนนก็จะลดลงๆ

เราใช้เกณฑ์ CAT มากกว่าหรือเท่ากับ 10 คะแนน หรือ mMRC มากกว่าหรือเท่ากับ 2 ในการจัดแยกผู้ป่วยอาการมากหรืออาการน้อย เป็นเครื่องมือง่ายๆที่ใช้ประเมินทั้งคุณหมอและตัวคนไข้เอง จริงๆแล้วการประเมินที่ละเอียดขึ้นไปก็จะต้องมีเรื่องของการวัดแรงลมและประวัติการกำเริบร่วมกันครับ
วันนี้ผมเลยเอาแบบทดสอบทั้งสองแบบมาฝากกัน CAT เป็นลิขสิทธิ์ของบริษัทแกล็กโซสมิทไคลน์ ต้องให้เครดิตเขาด้วยครับ ส่วน mMRC ผมเอามาจากสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทยครับ ท่านสามารถไปดาวน์โหลดมาได้ครับใช้กับคนไข้ก็ได้ หรือตัวคนไข้เอาไว้ใช้ประเมินอาการตัวเองก็ได้ ผมว่าง่ายดีและเป็นสากลพูดกันภาษาเดียวกันครับ

http://www.catestonline.org/
ที่มา : COPD GOLD guideline 2016
: บทความเรื่อง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ของ อ.เบญจมาศ ช่วยชู ในอายุรศาสตร์ทันยุค 2558 ศิริราช


17 มีนาคม 2559

ความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน

ความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน

หมอคะ..แย่แล้วคนไข้คนนี้ความดันโลหิต 200/100
ใช่ครับความดันโลหิตสูงมากแต่ก็อาจไม่ได้แย่หรือเร่งด่วนทุกคน ทางการแพทย์นั้นเราไม่ได้ใช้ค่าตัวเลขความดันเพียงอย่างเดียว เพียงแต่ว่ามันเป็นตัวเตือนที่จับต้องได้และง่ายที่สุด

ความดันโลหิตสูงฉุกเฉิน(hypertensive emergencies) คือความดันโลหิตสูงและผมขอใช้คำว่าสูงมากไปเลย ร่วมกับมีอวัยวะทำงานบกพร่องอย่างเฉียบพลัน คำนี้สำคัญมากนะครับถ้ายังไม่มีอวัยวะถูกทำลายหรือการทำงานบกพร่องเฉียบพลันยังไม่นับเป็น "ฉุกเฉินของจริง"
ส่วนมากเกิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตอยู่แล้ว น้อยรายมากที่จะเกิดเป็นอาการครั้งแรก และมักมีเหตุปัจจัยในการเกิดเช่นปรับยา ขาดยาหรือได้รับยาที่ทำให้ความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน เอาล่ะถ้าอยู่ในการดูแลของอายุรแพทย์มันก็ไม่ยากนัก แต่ที่จะมาบอกวันนี้คือ อาการต่างๆที่จะชักชวนให้คิดว่า เฮ้ๆๆ..นี่มันเร่งด่วนแล้วนะต้องรีบมาโรงพยาบาล ในกรณีที่ท่านมีเครื่องวัดความดันที่บ้าน

1. อาการของหลอดเลือดแดงใหญ่ คือเส้นเลือดเอ-ออร์ต้าที่ออกจากหัวใจ ขนาดเท่าท่อประปาครับอาจเกิดการฉีกขาดหรือโป่งพองได้ อาการที่จะพบคือ เจ็บปวดหน้าอกหรือช่องท้อง รุนแรงๆๆ ย้ำอีกครั้ง รุนแรงๆๆ มักจะร้าวทะลุหลังเหมือนโดนมีดเสียบ แทงหัวใจทะลุถึงข้างหลัง หรือ อาจคลำได้ก้อนในท้องที่เต้นตุบๆๆ

2. อาการของหัวใจ ก็จะมีอาการคล้ายๆเส้นเลือดหัวใจตีบครับ เจ็บอก แน่น เหงื่อกาฬไหลพลั่กๆ ใจสั่น ร้าวไปแขน (แขนข้างใดก็ได้นะครับ ยิ่งร้าวไปแขนขวา ยิ่งใช่) หรือเป็นมากก็จะหอบ เหนื่อยทันทีเป็นอาการของหัวใจห้องซ้ายวายลงเฉียบพลัน

3. อาการทางสมอง มีอาการซึมลง การรับรู้น้อยลงทันที ถามตอบไม่รู้เรื่อง และถ้ามีเลือดออกในสมองก็จะมีอาการแขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่เป็นภาษา ซึ่งอาการจะคล้ายๆอัมพาต คือ เส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลันนะครับ หรือถ้ามีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง ก็จะปวดศีรษะปานหัวจะระเบิด ก้มคอไม่ได้
อีกอาการที่อาจพบได้คือ การมองเห็นบกพร่องไปนะครับ ไม่ว่าจะมองไม่เห็นเลย ภาพไม่ครบส่วน หรือ มองเห็นแต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
**แต่ถ้ามองแอดมิน แล้วเห็นเป็น พี่ตูน บอดี้สแลม ล่ะก็ ไม่ผิดปรกติแต่อย่างใดนะครับ**

4. อาการทางไต ก็จะพบไตเสื่อมไตวายเฉียบพลันได้ แต่อาการมักจะไม่ค่อยมีครับ คงต้องอาศัยการเจาะเลือดตรวจการทำงานของไต ละถ้ามีค่าเดิมเทียบจะง่ายมาก ดังนั้นท่านควรนำสมุดประจำตัวผู้ป่วยความดันไปด้วยครับ หรือไปที่ รพ.ที่ท่านมีประวัติการรักษาอยู่เดิม

5. ในหญิงตั้งครรภ์ จะเกิดอาการครรภ์เป็นพิษและชักได้ อันนี้อันตรายสุดๆครับเพราะลูกในท้องจะขาดออกซิเจนได้ ต้องรีบที่สุดเลย

6. ภาวะอื่นๆที่พบประปราย เช่น เลือดกำเดาไหลมากๆ หรือ ตรวจตาพบจอประสาทตาผิดปกติ ซึ่งท่านก็ต้องไปพบจักษุแพทย์ก่อนจึงไม่ใช่อาการเตือนแรกเริ่มที่ดี หรือความดันโลหิตสูงยังไม่มีอวัยวะถูกทำลาย แต่อยู่ในสถานการณ์ดังนี้
-เลือดออกหลังผ่าตัด
-หลังการผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ
-หลังการผ่าตัดปลูกถ่ายไต

สำหรับการรักษานั้น นอกจากสืบหาสาเหตุและรักษาตามนั้นแล้ว ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและมักจะต้องอยู่ในไอซียู (ได้พบผมแน่ๆ) เพื่อให้ยาลดความดันทางหลอดเลือดดำและเฝ้าติดตามความดันตลอดทุก 10 นาทีครับ

16 มีนาคม 2559

โรคกระเพาะกับยาต้านซึมเศร้า

เรื่องน่าสะพรึงกลัว เรื่องจริงสดๆร้อนๆ เป็นอุทาหรณ์ครับ

มีสุภาพสตรีรายหนึ่งมาขอปรึกษาเรื่องอาการใจสั่น ตอนนั้นในใจคิดแยกโรคไปประมาณ สี่ห้าโรคแล้วจากประวัติ ท่าทางการเดิน เพศ อายุ เธอบอกว่าจะขอเล่าเรื่องก่อน ผมว่าก็ดีครับ เธอก็เล่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย บอกว่าเธอเป็นโรคกระเพาะมานานสามปีแล้ว เคยส่องกล้อง ตัดชิ้นเนื้อ ให้ยามามากมาย ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์สั่งทุกอย่าง พอย้ายงานจากกรุงเทพมาที่ต่างจังหวัด เธอเริ่มปวดจุกแน่นจึงไปพบแพทย์ คุณหมอให้ยาตัวนี้มา เธอไม่เคยกินมาก่อน...ชำเลืองดูยา Sertraline ยาต้านการซึมเศร้ากลุ่ม SSRI ...

อย่าเพิ่งคิดว่าเธอเป็นโรคซึมเศร้านะครับ ปัจจุบันมีการใช้ยากลุ่มต้านการซึมเศร้ามาใช้ในรายปวดท้องเรื้อรังแล้ว มีการศึกษาทางการแพทย์ชัดเจน เราคิดว่าจะไปออกฤทธิ์ที่ระบบประสาททำให้การรับรู้สัมผัสไม่ไวมากจนเกินไป ไม่งั้นก็ เอะอะปวดๆ แต่ส่วนมากใช้ยากลุ่ม tricyclic antidepressant เช่น amitriptyline มากกว่า ส่วนยากลุ่มใหม่ SSRI ยังไม่มีการศึกษากว้างขวางนัก
เธอบอกว่าก่อนหน้านี้เธอก็ดีๆอยู่ พอหมอมาให้ยาตัวนี้แล้วมีอาการ ปากแห้ง ใจสั่น กระวนกระวาย จนอยู่ไม่ได้ ผมถามดูก็น่าจะเป็นผลข้างเคียงของยา และอาจร่วมกับเธออาจเครียดกังวลต่อการรักษาด้วย จึงมีอาการแบบนี้และยังไม่ถึงขั้นเป็นพิษ serotonin syndrome เธอบอกว่ากลับไปหาหมอแล้วหมอหยุดยาให้ และปรึกษาแพทย์เฉพาะทางและได้รับ diazepam มาแทน จึงมาปรึกษาเรื่องนี้

ผมก็ควักกระดาษมาวาดรูป แผนภาพตามปกติว่า เกิดอะไรและรักษาอย่างไร โดยปกติจะไม่กล่าวถึงการรักษาของแพทย์ท่านอื่นอยู่แล้ว ส่วนเรื่องผลข้างเคียงก็อธิบายว่า มีโอกาสเกิดได้ คาดเดาลำบาก และคุณหมอเขาก็ดูแลดีอยู่แล้ว
พออธิบายจบ ..เธอบอกว่า..ที่เธอต้องทนทรมานกับอาการจากยานี้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยใช้ยานี้ และเธอก็ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า ต้องไปหาหมอซ้ำหลายครั้ง เสียสตางค์ จะไปร้องเรียนอะไรเขาได้บ้าง เลยมาปรึกษา !!!
อึ้งเลยครับ..เงิบ..เงิบ เธอใช้การอธิบายของผมไปผูกเรื่องเอาเองเสร็จสรรพ ผมเลยต้องอธิบายถึงหลักการการรักษาว่า ผลการรักษาอาจไม่เหมือนกันทุกคนก็ต้องปรับเป็นรายๆไปแล้วดูผลต่อเนื่อง แต่ใช้หลักการทางการแพทย์ที่แข็งแรงหนักแน่น ใช้ภาษาง่ายๆ จนเธอเข้าใจและเย็นลง จบท้ายด้วยเธอตกลงไปติดตามการรักษากับแพทย์ท่านเดิม เพราะจะได้ต่อเนื่อง ไม่สับสน

แอดมิน : ถอนหายใจฟู่ใหญ่มากๆ ขนาดเป่าประตูปลิว คิดว่าถ้าเรื่องนี้จบลงด้วยดี ขอบุญกุศลที่ทำนี้ ให้ผู้ป่วยรายนี้ได้มีดวงตาเห็นธรรม ไม่มีอวิชชา อคติ อีกต่อไป
เลยมาลงเรื่องนี้ บอกเราๆท่านๆครับ

15 มีนาคม 2559

ไอเป็นเลือด

ไอเป็นเลือด

ไอเป็นเลือด ไอมีเลือดปน หรือบางครั้งออกมาเป็นลิ่มเลือด ปัญหานี้น่าตกใจมากสำหรับเราๆท่านๆ เรามารู้จักอาการนี้ครับบางส่วนก็เร่งด่วน บางส่วนก็พอรอได้

เลือดในปอดนั้นมีสองระบบนะครับ เลือดดำจากหัวใจผ่านเข้าไปฟอกเลือดไปเอาออกซิเจนจากปอดแล้วกลับเข้าสู่หัวใจ เรียกว่าระบบเลือดพูลโมนารี ส่วนอีกระบบเป็นเลือดแดงที่มีออกซิเจนครบแรงดันสูงจากหัวใจไปเลี้ยงส่วนต่างๆของปอดเรียกว่าระบบ บรองเคียล (bronchial artery) ระบบนี้ทำให้เกิดอาการไอเป็นเลือด 95% ครับส่วนระบบพูลโมนารีทำให้เกิดเลือดออกแค่ 5% เท่านั้น (เป็นที่มาการรักษาเรื่องของการใส่กาวไปอุดหลอดเลือดแดง หรือตัดปอดกลีบที่มีหลอดเลือดแดงสายที่ฉีกขาดออก)

เราจะแยกว่าเลือดออกจากปอดนั้นจริงหรือไม่ คงต้องดูว่ามีเลือดออกจมูก เลือดออกปากหรือไม่แล้วสำลักลงไป และไอออกมาที่ว่าเป็นเลือดนั้นเป็นอาเจียนออกมาหรือเปล่าเพราะอาเจียนเป็นเลือดเมื่อขย้อนออกมาถูกคอหอยก็จะกระตุ้นอาการไอได้ครับ เราดูสีเลือดก่อนถ้าสีแดงสดมากๆ มีฟองอากาศปน น่าจะออกจากปอด แต่ถ้ามีสีคล้ำๆออกดำๆหรือมีเศษอาหารปนมักออกมาจากกระเพาะ พอถูกกรดในกระเพาะก็จะดำ แต่การใช้วิธีแบบนี้ก็ไม่ได้ 100% นะครับสงสัยมากๆอาจใส่ท่อหรือส่องกล้องไปดู

เลือดออกมันอันตรายตรงที่ถ้าออกมากๆก็จะไปท้นท่วมในหลอดลมจนแลกเปลี่ยนแก๊สไม่ได้และเกิดการสำลักเลือด ขาดอากาศ อวัยวะล้มเหลวในที่สุด ทางการแพทย์เราแยกว่าเลือดออกมากคือรวมๆปริมาณเลือดออกมาใน 24 ชั่วโมงนั้น มากกว่าหรือเท่ากับ 600 ซีซี ประมาณเกือบๆขวดน้ำปลาเลยนะครับ หรือปริมาณเลือดที่ไอออกมาไม่มากแต่ผู้ป่วยรายนั้นเกิดอาการขาดอากาศหรือมีภาวะหัวใจไม่ค่อยดีที่อาจเกิดอันตรายได้อย่างนี้ต้องรักษาในรพ.ครับ ส่วนถ้าเลือดออกไม่มากอาจรักษาแบบไปกลับได้
สาเหตุของเลือดออกที่พบบ่อยมากๆในท้องตลาดนั้น เกิดจากโรคเหล่านี้ที่ไปเกิดการฉีกขาดของหลอดเลือดเข้า คือ หลอดลมอักเสบ (tracheobronchitis), โรคหลอดลมโป่งเรื้อรัง (bronchiectasis), โรคมะเร็งปอด และวัณโรคปอดครับ สาเหตุอื่นก็มีนะครับแต่พบน้อยกว่ามาก

เมื่อท่านไปพบแพทย์คงต้องได้รับการซักประวัติตรวจร่างกายหาสาเหตุของโรค และอาจต้องส่งตรวจพิเศษบางอย่างแล้วแต่ว่าข้อมูลบ่งชี้โรคใด เช่นการตรวจเสมหะ การเอ็กซเรย์ปอด การตรวจส่องกล้องหลอดลมคอเพื่อหาสาเหตุและรักษาให้ตรงจุด แต่ถ้าเลือดออกมากและเร็วๆอาจต้องรักษาโดยหยุดเลือดและให้ปอดมีพื้นที่แลกเปลี่ยนแก๊สด้วย เช่นใส่ท่อทางคอไปเข้าไปในปอดข้างที่เลือดไม่ออก เพื่อใช้ปอดข้างนั้นหายใจและไม่ให้เลือดจากปอดอีกข้างสำลักผ่านเข้ามาได้ ( ใช้บอลลูนเข้าไปอุดทั้ง double lumen และ Fogathy catheter) หรือใส่สายเข้าไปในหลอดเลือดฉีดสีดูว่าเลือดออกจากจุดใด แล้วฉีดกาวอุดหลอดเลือดตรงนั้น หรือถ้าเร่งด่วนมากๆก็คงต้องผ่าตัดทรวงอกเพื่อเข้าไปหยุดเลือดหรือแม้กระทั่งตัดปอดส่วนที่เกิดปัญหาทิ้ง คนเรามีปอดข้างเดียวก็ยังอยู่ได้นะครับ

ตบท้ายด้วยคงจะเข้าใจเรื่อง "ฉันเป็นเลือด" มากขึ้นนะครับ ...... ฉัน-เป็นเลือด : ไอ-เป็นเลือด...ช่างกล้าเล่น

14 มีนาคม 2559

ยาโด๊ปเมลโดเนียม

ยาโด๊ปเมลโดเนียม

มาเรีย ชาราโปว่า ถูกตรวจโด๊ปยาเมลโดเนี่ยม ข่าวฮือฮาเมื่อสัปดาห์ก่อน เนื่องจากพิธีกรเล่าข่าวชื่อดังได้ยุติบทบาทไป ผมจึงขอเล่าใน อายุรศาสตร์เช้านี้ แทนที่เขานะครับ
ยาเมลโดเนียมนั้นเป็นยาที่ได้รับอนุมัติการใช้ในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก ยังไม่ได้รับการอนุมัติใน US FDA ซึ่งหินเอามากๆ ครับ ยาใช้ในการรักษาอาการเจ็บหน้าอกเนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และใช้ช่วยรักษาอาการหัวใจวายเรื้อรัง มีผลเพิ่มความทนทานในการออกแรง แต่ไม่ลดอัตราการตาย พูดตรงๆผมเองก็เพิ่งรู้จักเจ้า meldonium ก็จากข่าวนี้แหละครับ เรียกว่าใหม่ๆอย่าง ivabradine หรือ sacubutril ยังดังน้อยกว่าเจ้านี่เลย ตัวยามันออกฤทธิ์ซับซ้อนเกี่ยวกับการสังเคราะห์สาร L-carnitine ประมาณว่าช่วยให้เซลกล้ามเนื้อหัวใจใช้กลูโคสได้ดี ซึ่งปลอดภัยกว่าไปใช้กรดไขมันที่มีมลพิษสูงกว่า โดยเฉพาะในช่วงเวลาเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือด ส่วนมากเป็นงานวิจัยในเชิงชีวเคมีมากกว่าการทดลองในคน และส่วนมากก็อยู่ในประเทศรัสเซียหรือกลุ่มประเทศบอลข่าน

เอ..แล้วมันมามีผลต่อการโด๊ปอย่างไรล่ะ องค์กร world anti-doping agency ได้ประกาศเฝ้าติดตามยานี้มาประมาณ 1 ปีและได้ประกาศเป็นยาโด๊ปเมื่อ มกราคม 2016 นี่เองครับ องค์กรนี้เขาบอกว่ายาตัวนี้มันทำให้นักกีฬามีความทนทานมากขึ้น ฟื้นตัวเร็วขึ้น ทนต่อสภาพความตึงเครียดได้ดี และกระตุ้นการสั่งงานของสมอง และนักกีฬาที่ถูกตรวจโด๊ปนั้นเกือบ 90% มาจากรัสเซียที่เหลืออยู่ที่ยุโรปตะวันออก (ยาผลิตที่ประเทศลัตเวีย) ผู้ผลิตเองก็บอกว่า มันไม่เห็นมีข้อมูลชัดๆเลยว่ายาของเขาจะไปมีผลแบบนั้น เขาสร้างมารักษาโรคหัวใจนะ  แต่ยาของคุณก็ยังไม่ได้พิสูจน์ชัดเจนว่ามีประโยขน์ตามหลักการของการศึกษาเชิงประจักษ์เช่นกัน สรุปว่าใช้โด๊ปได้จริงไหมก็ยังไม่ชัดเจน
แต่แนวคิดของการตรวจโด๊ปกับการแพทย์ต่างกันนะครับ ทางการแพทย์เราต้องพิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยการทดลองที่เป็นรูปแบบชัดเจน จึงจะเอามาใช้ได้แถมใช้แล้วก็ยังต้องระวังผลเสียอย่างต่อเนื่อง แต่การตรวจโด๊ปนั้นแค่ตรวจพบ"ร่องรอย" การใช้สารแค่นี้ก็ถูกสอบสวนและถูก provisional banned หรือแบบราชการไทยก็ย้ายเข้ากรมไปก่อน แล้วค่อยรอผลการสอบสวน จะผิดจริงหรือไม่จริงยังไม่รู้แต่โดนแบนและอาจถูกกดดันจากสื่อต่างๆด้วย

และสารกระตุ้นก็มีเป็นกระตั้ก ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดัน ฮอร์โมนอินซูลิน ดูของจริงที่ wada-ama.org และมียาที่เราใช้กันบ่อยๆอยู่จำนวนมาก จำเป็นอย่างยิ่งที่นักกีฬาต้องทราบ หมอประจำตัวนักกีฬาก็ต้องทราบ

ปัญหาคือ ขาราโปว่าบอกว่า หมอของเธอให้กินยานี้มา 10 ปีแล้ว ชาราโปว่าเป็น coronary artery disease เป็นโรคหัวใจมาสิบปีแล้วหรือ ตอนนี้เธออายุ 28 ปีหมายความว่าเธอมีโรคหัวใจมาตั้งแต่ 18 ปี เคยมีข่าวไหมเนี่ย แล้วทำไมใช้ยาที่หลักฐานน้อยล่ะ นี่ชาราโปว่านะสตางค์ก็มี แถมเป็นนักเทนนิสท็อปไฟว์ หมอที่รักษาจะไม่สวนหัวใจใส่อุปกรณ์เชียวหรือ สำหรับคนดังๆที่เป็นโรคหัวใจในวัยรุ่นอย่างนี้ หมอเขาจะใช้ meldonium แทนยามาตรฐานกระนั้นเชียวหรือ ประเด็นนี้น่าคิด ผมไม่ได้ว่าชาราโปว่าไม่พูดความจริงแต่หลักฐานแวดล้อมมันชวนให้คิดครับ

แลนซ์ อาร์มสตรอง นักจักรยานทางไกลชื่อดังบอกว่า นักกีฬาก็โด๊ปกันทั้งนั้นขึ้นกับว่าจะจับใครได้เท่านั้น เหมือนคำพูดของดีเอโก้ มาราโดน่าที่ยืนยันว่าเขาถูกฟีฟ่าเล่นงาน แหมแต่น่าคิดดีนะครับ อีกมุมหนึ่ง ขยับจากยาที่ต้องเฝ้ามอง มาเป็นประกาศชัดเลยว่าเป็นสารกระตุ้น เมื่อมกราคม 2559 แล้วชาราโปว่าก็โดนเล่นงานในอีก 1 เดือนให้หลัง ผมไม่รู้ว่าเขากับทฤษฎีสมคบคิดไหมนะ ช่วงนี้การเมืองโลกเซซวนกว่าการเมืองไทยมากมายนัก หรือทั้งหมดผมดู mission impossible มากเกินไป

การใช้ยานั้นมีทั้งประโยชน์และโทษ เป็นทั้งศาสตร์และศิลปะ หลายๆท่านกล่าวว่าการใช้ยาไม่มีถูกผิด มีแต่เหมาะสมกับตัวเลือก เท่านั้น

ยาโด๊ป meldonium

มาเรีย ชาราโปว่า ถูกตรวจโด๊ปยาเมลโดเนี่ยม ข่าวฮือฮาเมื่อสัปดาห์ก่อน เนื่องจากพิธีกรเล่าข่าวชื่อดัวได้ยุติบทบาทไป ผมจึงขอเล่าใน อายุรศาสตร์เช้านี้ แทนที่เขานะครับ

     ยาเมลโดเนียมนั้นเป็นยาที่ได้รับอนุมัติการใช้ในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก ยังไม่ได้รับการอนุมัติใน US FDA ซึ่งหินเอามากๆ ครับ ยาใช้ในการรักษาอาการเจ็บหน้าอกเนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และใข้ช่วยรักษาอาการหัวใจวายเรื้อรัง มีผลเพิ่มความทนทานในการออกแรง แต่ไม่ลดอัตราการตาย พูดตรงๆผมเองก็เพิ่งรู้จักเจ้า meldonium ก็จากข่าวนี้แหละครับ เรียกว่าใหม่ๆอย่าง ivabradine หรือ sacubutril ยังดังน้อยกว่าเจ้านี่เลย ตัวยามันออกฤทธิ์ซับซ้อนเกี่ยวกับการสังเคราะห์สาร L-carnitine ประมาณว่าช่วยให้เซลกล้ามเนื้อหัวใจใช้กลูโคสได้ดี ซึ่งปลอดภัยกว่าไปใช้กรดไขมันที่มีมลพิษสูงกว่า โดยเฉพาะในช่วงเวลาเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือด ส่วนมากเป็นงานวิจัยในเชิงชีวเคมีมากกว่าการทดลองในคน และส่วนมากก็อยู่ในประเทศรัสเซียหรือกลุ่มประเทศบอลข่าน

   เอ..แล้วมันมามีผลต่อการโด๊ปอย่างไรล่ะ  องค์กร world anti-doping agency ได้ประกาศเฝ้าติดตามยานี้มาประมาณ 1 ปีและได้ประกาศเป็นยาโด๊ปเมื่อ มกราคม 2016 นี่เองครับ องค์กรนี้เขาบอกว่ายาตัวนี้มันทำให้นักกีฬามีความทนทานมากขึ้น ฟื้นตัวเร็วขึ้น ทนต่อสภาพความตึงเครียดได้ดี และกระตุ้นการสั่งงานของสมอง  และนักกีฬาที่ถูกตรวจโด๊ปนั้นเกือบ 90% มาจากรัสเซียที่เหลืออยู่ที่ยุโรปตะวันออก (ยาผลิตที่ประเทศลัตเวีย) ผู้ผลิตเองก็บอกว่า มันไม่เห็นมีข้อมูลชัดๆเลยว่ายาของเขาจะไปมีผลแบบนั้น เขาสร้างมารักษาโรคหัวใจนะ -- แต่ยาของคุณก็ยังไม่ได้พิสูจน์ชัดเจนว่ามีประโยขน์ตามหลักการของการศึกษาเชิงประจักษ์เช่นกัน--  สรุปว่าใช้โด๊ปได้จริงไหมก็ยังไม่ชัดเจน

  แต่แนวคิดของการตรวจโด๊ปกับการแพทย์ต่างกันนะครับ ทางการแพทย์เราต้องพิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยการทดลองที่เป็นรูปแบบชัดเจน จึงจะเอามาใช้ได้แถมใช้แล้วก็ยังต้องระวังผลเสียอย่างต่อเนื่อง  แต่การตรวจโด๊ปนั้นแค่ตรวจพบ"ร่องรอย" การใช้สารแค่นี้ก็ถูกสอบสวนและถูก provisional banned หรือแบบราชการไทยก็ย้ายเข้ากรมไปก่อน แล้วค่อยรอผลการสอบสวน จะผิดจริงหรือไม่จริงยังไม่รู้แต่โดนแบนและอาจถูกกดดันจากสื่อต่างๆด้วย
   และสารกระตุ้นก็มีเป็นกระตั้ก ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดัน ฮอรโโมนอินซูลิน  ดูของจริงที่  wada-ama.org และมียาที่เราใช้กันบ่อยๆอยู่จำนวนมาก จำเป็นอย่างยิ่งที่นักกีฬาต้องทราบ หมอประจำตัวนักกีฬาก็ต้องทราบ

  ปัญหาคือ ขาราโปว่าบอกว่า หมอของเธอให้กินยานี้มา 10 ปีแล้ว  ชาราโปว่าเป็น coronary artery disease เป็นโรคหัวใจมาสิบปีแล้วหรือ ตอนนี้เธออายุ 28 ปีหมายความว่าเธอมีโรคหัวใจมาตั้งแต่ 18 ปี เคยมีข่าวไหมเนี่ย แล้วทำไมใช้ยาที่หลักฐานน้อยล่ะ นี่ชาราโปว่านะสตางค์ก็มี แถมเป็นนักเทนนิสท็อปไฟว์ หมอที่รักษาจะไม่สวนหัวใจใส่อุปกรณ์เชียวหรือ สำหรับคนดังๆที่เป็นโรคหัวใจในวัยรุ่นอย่างนี้  หมอเขาจะใช้ meldonium แทนยามาตรฐานกระนั้นเชียวหรือ ประเด็นนี้น่าคิด ผมไม่ได้ว่าชาราโปว่าไม่พูดความจริงแต่หลักฐานแวดล้อมมันชวนให้คิดครับ

  แลนซ์ อาร์มสตรอง นักจักรยานทางไกลชื่อดังบอกว่า นักกีฬาก็โด๊ปกันทั้งนั้นขึ้นกับว่าจะจับใครได้เท่านั้น  เหมือนคำพูดของดีเอโก้ มาราโดน่าที่ยืนยันว่าเขาถูกฟีฟ่าเล่นงาน  แหมแต่น่าคิดดีนะครับ อีกมุมหนึ่ง ขยับจากยาที่ต้องเฝ้ามอง มาเป็นประกาศชัดเลยว่าเป็นสารกระตุ้น เมื่อมกราคม 2559 แล้วชาราโปว่าก็โดนเล่นงานในอีก 1 เดือนให้หลัง ผมไม่รู้ว่าเขากับทฤษฎีสมคบคิดไหมนะ  ช่วงนี้การเมืองโลกเซซวนกว่าการเมืองไทยมากมายนัก  หรือทั้งหมดผมดู mission impossible มากเกินไป

  การใช้ยานั้นมีทั้งประโยชน์และโทษ เป็นทั้งศาสตร์และศิลปะ หลายๆท่านกล่าวว่าการใช้ยาไม่มีถูกผิด มีแต่เหมาะสมกับตัวเลือก เท่านั้น

13 มีนาคม 2559

มีแฟนเป็นอายุรแพทย์

เมื่อมีแฟนเป็นอายุรแพทย์คุณจะเจออะไรบ้าง

เมื่อมีแฟนเป็นอายุรแพทย์คุณจะเจออะไรบ้าง หมอเมดก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มีรักโลภโกรธหลง มีที่ดี มีที่ไม่ดี การเรียนและการทำงานของอายุรแพทย์มักจะมีผลกระทบต่อชิวิตประจำวัน สิ่งที่เขียนนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ อ่านจากบล็อกของแพทย์ประจำบ้านต่างประเทศ เพจทางการแพทย์ ฮาๆมันๆ จากการสังเกตสมัยเทรนนิ่ง แต่ว่า..หลีกเลี่ยงเรื่องราวตัวเองครับ

1. จู้จี้ คุณเจอแน่ๆครับ คนจะมาเป็นอายุรแพทย์ได้จะย้ำคิดย้ำทำเล็กน้อย เพราะงานเรามีรายละเอียดปลีกย่อยมาก มันลามมาด้วยนะครับ เช่น แฟนคุณจะมีลิสต์เลย วันนี้ต้องทำอะไร แล้วจะถามความก้าวหน้าของงานเสมอๆ เหมือนเราทำ to do list ที่ต้องทำ แล้วไปจี้งานกับน้องนักเรียนแพทย์

2. มันจะละเอียดไปไหน งานที่ทำละเอียดครับ ผลเลือดแผ่นเดียว ในมือหมอเมด คำนวนนู่นนี่นั่นออกมาอีก 10 ค่า (ทั้งๆที่ก็ไม่ค่อยได้เอาไปใช้จริงๆนักหรอก) พอมาชีวิตจริงไปซื้อของซูเปอร์มาร์เก็ต ตามเรื่องต้นฉบับเขาบอกวอลล์มาร์ท แฟนของหมอผู้หญิงคนนี้นั่งหลับอยู่กับพื้น เพราะคุณเธออ่านฉลากยาสีฟันเกือบทุกยี่ห้อ...แล้วสุดท้าย..ใช้ยี่ห้อเดิม !!!

3. หาความสมเหตุสมผลอยู่เสมอ ตอนดีๆก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ พออารมณ์ขึ้น จะเอาชนะล่ะก็..เอาละ "..ทำไมทำแบบนี้ เพราะเหตุผลนี้เหรอ มันใช่ไม๊ !..." หรือไม่ก็ "..เหตุผลแค่นี้เหรอ มันไม่อธิบายเลยนะ..บลาๆๆๆ" แต่พอเวลาตรวจสอบบอร์ด อารมณ์นี้ไม่ค่อยมีนะเนี่ย

4. อดทน อายุรแพทย์มักจะมีความอดทนเป็นเลิศครับ เวลาเราทำงาน ซักประวัติ ต้องอดทนมากนะครับเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เราต้องการ พอมาเป็นชีวิตจริง คุณจะแปลกใจว่า แหม..ฉันทำขนาดนี้ เธอก็ทนได้แฮะ ไม่พูดสักแอะ สองครั้งสามครั้ง มีแฟนเป็นหมอเมดก็ดีนะ หารู้ไม่..เธอกำลังอดทนครับ พอคุณทำผิดครบเกณฑ์ที่เธอกำหนดปั๊บ...ผึงงงง เมิง ออกจากชีวิตกรูไปเลย

5. มีงานอดิเรกสุดขั้ว ใช่..ชีวิตอายุรแพทย์มันเครียดมาก ที่เห็นงานอดิเรกที่ไม่คิดว่า..เฮ้ยย หมอก็ทำแบบนี้เหรอเนี่ย ส่วนมากเป็นอายุรแพทย์ทั้งนั้น อาทิเช่น นั่งระบายสีเป็นชั่วโมงๆได้ทั้งๆที่ปกติเกรี้ยวกราดมาก หมอผู้ชายชอบไปเรียนจัดดอกไม้ แพทย์หญิงขี่บิ๊กไบค์ อินเทรนด์แฟชั่นแบบวิคทอเรีย เบ็คแฮมเลย ตีกอล์ฟได้น้องๆธงชัย ใจดี
มันคือตัวตนอีกแบบของเราครับ ได้ปลดปล่อย

6. sleep ready, easy wake up แพทย์ประจำบ้านทุกคนเป็นครับ บางทีติดมาจนจบแล้ว อันนี้เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่อายุรแพทย์มักจะไม่ีค่อยมีลูกครับ ยิ่งแฟนเป็นหมอเมดที่ทำงานหนักด้วยกันทั้งคู่ล่ะก็ จะมีลูกได้คงต้องอาศัยจังหวะนั่งรถไปทำงานพร้อมๆกันนั่นแหละ --ชอบ วลีภาษาอังกฤษนี้มาก อันนี้มาจากหมอที่ เมโยคลินิก เขียนลง reddit ครับ

ขำๆสนุกๆ พักในวันอาทิตย์ร้อนๆแบบนี้ครับ ใครว่างๆลองอ่าน

kevinMD, themedicalbag, .doctorshangout, forums.studentdoctor.net, reddit
ฮามากครับ

12 มีนาคม 2559

ภาวะลมแดด ร้อนจนอันตราย heat stroke

ภาวะลมแดด ร้อนจนอันตราย

Heat Stroke ภาวะร้อนเกินปกติ เข้ากับสภาพอากาศตอนนี้มากๆ กับเอลนิโนเดือนสุดท้าย หลายๆท่านคงเคยได้ยินเรื่องอันตรายจากความร้อนเกินไป วันนี้จะมาสรุปง่ายๆให้ฟังครับ
ร่างกายคนเราต้องใช้พลังงานในการสร้างอุณหภูมิกายให้คงที่และรับเอาความร้อนจากนอกร่างกายมาด้วยเช่น โดนแดดหรืออยู่ในภาวะที่อากาศร้อนมากๆ ในขณะเดียวกันก็มีการถ่ายเทความร้อนออกนอกตัว โดยกลไกหลักคือหัวใจปั๊มเลือดมากขึ้น ไปที่หลอดเลือดใต้ผิวหนังที่ขยายขนาด เอาความร้อนมาแผ่ออกนอกตัวและออกมาทางเหงื่อครับ ทั้งหมดควบคุมจากตัวรับอุณหภูมิที่ผิวหนังส่งข้อมูลให้สมองส่วน-ไฮโปทาลามัส-ส่งสัญญาณไปที่หัวใจและหลอดเลือด เพื่อทำการปรับอุณหภูมิกายให้คงที่ครับ (ยังกับเครื่องปรับอากาศเลยครับ) ดังนั้นถ้าเกิดสร้างความร้อนมากแล้วระบายไม่ทัน หรือ สร้างความร้อนปกติแต่ระบายไม่ได้ ความร้อนสะสมในตัวก็จะเพิ่มสูงจนอุณหภูมิกายสูงกว่า 41 องศาเซลเซียสครับ

สาเหตุที่เกิดมีมากมายนะครับ แต่ผมจะกล่าวถึงที่พบได้และมีโอกาสเกิดได้ก็แล้วกัน จากการสร้างความร้อนมากๆเช่น ออกกำลังกายหนักมากๆอย่างต่อเนื่อง, ได้รับความร้อนจัดจากภายนอก เช่น อยู่กลางแจ้งโดนแดดจัดนานๆ หรือมีคลื่นรังสีความร้อนในช่วงนั้น, จากภาวะที่กล้ามเนื้อกระตุกทั้งตัวพร้อมๆกันเช่น ชัก ได้รับยาพิษสตริกนิน โคเคน แอมแฟตามีน ยากระตุ้นระบบประสาท serotonin เช่นยาโรคซึมเศร้า, ภาวะบางอย่างเช่นติดเชื้อรุนแรง ไทรอยด์เป็นพิษ
ส่วนสาเหตุที่ทำให้การระบายความร้อนบกพร่องเช่น ผิวหนังไหม้ ,ยากลุ่ม anticholinergic antihistamine ทำให้การหลั่งเหงื่อผิดปกติไป, หัวใจบีบตัวไม่ดี หรือ ไม่สามารถปรับตัวเพื่อลดอุณหภูมิได้ สมองปรับไม่ดี เช่นเด็กมากๆหรือแก่มากๆ, ขาดน้ำ เพราะน้ำเป็นตัวพาความร้อนออกจากร่างกาย

อาการที่จะเกิด ก็ชัดเจนดีนะครับ ตัวจะร้อนๆๆ ร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อสังเกตอันหนึ่งที่แยกจาก "ไข้" เพราะไข้คือมีสิ่งอื่นๆมาทำให้สมองเราปรับอุณหภูมิตัวเราให้สูงขึ้น สมองเราสั่งเราเองเช่นการติดเชื้อหรืออุบัติเหตุ แต่อุณหภูมิกายที่สูงดังที่เรากล่าวมาข้างต้นเกิดจากสิ่งอื่นมาสร้างความร้อนโดยที่ศูนย์ควบคุมของเราตอบสนองปกติ ข้อสังเกตนั้นคือ ไข้นั้นมักจะตัวร้อน สั่น เหงื่อไม่ออกตอนไข้ขึ้นแต่จะออกตอนไข้ลง แต่ heat stroke มักจะเหงื่อออกมากตั้งแต่แรกๆ ทั้งๆที่ขับเหงื่อออกซะอย่างนั้นยังขับความร้อนออกไม่ทันเลย
และพอร้อนมากๆสิ่งมี่เกิดคือ ซึม เพ้อ หัวใจปั๊มเลือดเร็วมากจนหัวใจวาย เลือดไม่พอทั้งๆที่ปั๊มแรงดีเพราะน้ำระเหยจากตัวไปหมดแล้ว (high output heart failure) ไตเริ่มขาดเลือดเริ่มไตวาย มีการกระตุ้นการแข็งตัวของเลือดไปอุดตันเส้นเลือดทั้งตัว (DIC) สุดท้ายจะเกิดระบบอวัยวะล้มเหลวทั้งตัวครับ

รักษาอย่างไร การรักษาหลักคือเอาความร้อนออกครับ ที่ใช้ตอนนี้คือให้ถอดเสื้อผ้าออกแล้วใช้น้ำเย็นละอองฝอยพ่นตัวครับ เหมือนท่านฉีดผ้าก่อนรีดคล้ายๆกัน ให้ละอองน้ำพาความร้อนออกไป อย่าใช้ผ้าโปะไว้ตลอดนะครับเพราะความร้อนจะพาออกไปไม่ได้ หลักการนี้สามรถใช้ลดไข้อื่นๆก็ได้คือใช้น้ำเช็ดแล้วซับแห้งซ้ำๆกันครับ ส่วนวิธีอื่นๆเคยมีการศึกษาแต่ว่าทำยากมาก คือ การจุ่มตัวลงในน้ำแข็ง การใส่สายจมูกเอาน้ำเย็นล้างท้อง การใส่สายหน้าท้องล้างท้อง ปัจจุบันจึงไม่ค่อยใช้นะครับ

ไม่ควรใช้ยาลดไข้ครับเพราะ ไม่ได้เป็น"ไข้" และอาจจะใช้ยามากเกินจนเกิดพิษได้ ส่วนยาอื่นๆยังไม่พิสูจน์ชัดเจนว่าได้ผลนะครับ โดยเฉพาะยาที่เชื่อกันว่าใช้ได้คือ dantrolene และอย่าลืมแก้ไขมูลเหตุที่ทำให้ร้อนด้วยนะครับ

ว่าไงหาย "ร้อน" กันบ้างไหมครับ

11 มีนาคม 2559

การตรวจเลือดและการใช้ยารักษาไวรัสตับอักเสบบี

การตรวจเลือดและการใช้ยารักษาไวรัสตับอักเสบบี

มีแฟนเพจท่านหนึ่ง ถามเรื่องผลเลือดและการรักษาไวรัสตับอักเสบบี เป็นเรื่องที่ยากมากนะครับ เนื่องจากรายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างมาก เพียงแต่เพจของเรานั้นทุกคนทุกระดับต้องเข้าใจได้ ผมจึงขอปรับเนื้อหาสักเล็กน้อยให้ง่ายและเป็นภาษาชาวบ้านครับ ส่วนเชิงลึกคงต้องหลังไมค์ครับ
  เริ่มกันที่ผลเลือดก่อน ว่ากันตามจริงก็เจาะให้มากที่สุดเท่าที่สตางค์ท่านจะอำนวยครับ แต่ว่าถ้าจะเอาจำเป็น ง่ายๆก็ดูตัวแรกก่อนครับ HBsAg คือตัวเชื้อไวรัสเอง (จริงเป็นประมาณเปลือกนอกมันน่ะครับ) ว่าขณะนี้มีการติดเชื้อหรือเปล่า ถ้าไม่มีอาจเกิดจากไม่เคยติดมาก่อน หรือเคยติดแล้วหายแล้ว หรือเคยได้วัคซีน  แต่ถ้าพบก็มีการติดเชื้อครับอาจจะเฉียบพลันหรือเรื้อรังก็ได้  ต่อมาก็ตัวที่สอง HBeAg ประมาณว่าตรวจดูว่าเชื้อไวรัสหนุ่มรุ่นกระทงที่สามารถสืบลูกลืบหลานได้มันมากไหม ถ้าผลเป็นบวกคือเชื้อมากออกลูกได้มาก ยังไม่น่ากลายพันธุ์แต่ถ้าเป็นลบก็หมายว่าเชื้อน้อย แบ่งตัวเรื่อยๆไม่เร็ว แต่ไม่ค่อยหยุดเนื่องจากกลายพันธุ์ไปแล้ว โดยทั่วไป HBeAg นี่จะเอาไว้ตรวจขยายความเมื่อ HBsAg ผลเป็นบวกเสียก่อน

  ต่อมาคือตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ anti HBs anitbody ทั่วไปมันจะขึ้นเมื่อกำจัดเชื้อได้คือเจ้า HBsAg หายไปหมดแล้ว หมายถึงเรามีภูมิแล้วล่ะ จะเกิดจากเป็นแล้วหายจึงเกิดภูมิหรือเกิดจากการฉีดวัคซีนก็แล้วแต่ ถ้าเป็นลบคือไม่มีภูมิและตอนนี้ก็ยังไม่มีเชื้อ HBsAg ก็ควรรับวัคซีนครับโดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ ข้อพิเศษคือเจ้าภูมิคุ้มกันนี้สามารถป้องกันการติดเชื้อครั้งใหม่ได้ดีและอยู่กับเราไปตลอดชีวิตครับ สำหรับภูมิคุ้มกันตัวต่อไปคือ anti HBe antibody ก็จะขึ้นเมื่อหายจากโรค หายจากการติดเชื้อหรือการติดเชื้อสงบลงแต่โรคดำเนินไปช้าๆจนเชื้อกลายพันธุ์ (ไม่พบ HBeAg จะมีanti HBe antibody ขึ้นได้) และใช้ดูการตอบสนองต่อการรักษา  เริ่มงงแล้วสิสรุปดูว่าโรคสงบหรือเปล่า กลายพันธุ์หรือยัง
   ผลเลือดต่อมาที่มักตรวจคือ HBV DNA viral load คือวัดปริมาณไวรัสครับต่อเลือดหนึ่งซีซี ใช้บ่งชี้การรักษาและติดตามการรักษาว่าให้ยาไปแล้วไวรัสลดลงไหม ถูกกดได้ไหม

โดยทั่วไปก็รักษาเมื่อพบเชื้อ เชื้อมากพอ และมีการอักเสบของตับเรื้อรัง อีกประเด็นคือมีความเสี่ยงการเกิดมะเร็งตับหรือตับแข็งสูงครับ รายละเอียดนี้คงต้องปรึกษาอายุแพทย์ใกล้บ้านครับ ส่วน HBcAg และ anti HBc antibody บ่งบอกการติดเชื้อเฉียบพลันระยะต้นๆและภูมิคุ้มกันต่อโรคอันเกิดจากการติดเชื้อไม่ใช่จากวัคซีน  สองตัวนี้ท่านอาจไม่ค่อยได้ตรวจผมจะยกให้หมอที่สั่งตรวจท่านแปลให้ท่านฟังเองครับ ถ้าเราเข้าใจไม่ดีพออาจจะแปลผิดพลาดได้นะครับ


ต่อมามาดูยากันบ้าง ผมจะสรุปแบบผมเองนะครับ ยามีสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือยาฉีดเพื่อไปโมดิฟายภูมิคุ้มกันตัวเอง เหมือนใส่ผักโขมให้ป็อปอายประมาณนั้น ภูมิคุมกันตัวเองก็จะไปไล่ล่าเชื้อเอง มักใช้ในอายุไม่มาก ภูมิคุ้มกันยังดีอยู่ (คือการอักเสบจะมากครับ) คือยา interferon alpha ฉีดสัปดาห์ละสามครั้ง ยาวนานหกเดือน  ส่วนของใหม่คือ PEG-interferon alpha ฉีดสัปดาห์ละครั้งยาวนาน 1 ปี  ต้องระวังในกลุ่มโรคภูมิคุ้มกันตัวเองนะครับ เพราะอาจไปกระตุ้นภูมิตัวเองจนเกิดโรคได้  อัตราการตอบสนองถือว่าดี
  ส่วนยาอีกกลุ่ม คือ ยากินเพื่อไปยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสโดยตรง ไม่ได้มายุ่งอะไรกับภูมิคุ้มกันของเรา แบบนี้บางทีเชื้อมันปรับตัวทำให้ดื้อยาได้ครับ ยากินนั้นใช้ได้กับทุกกลุ่มอายุ อักเสบมากหรือน้อย ตับจะแข็งหรือไม่ก็ใช้ได้ แข็งมากแข็งน้อยก็เลือกใช้ได้ (ตับนะครับ..ตับ) ก็จะมียาที่ไม่ค่อยเหนี่ยวนำการดื้อยา เช่น tenofovir หรือ entecavir  ส่วนยาที่เหลือก็อาจเหนี่ยวนำการดื้อยาได้เช่น lamivudine, telbivudine โดยการกินยานั้นมักจะต้องกินนานและติดตามผลข้างเคียงของการใช้ยาอยู่เสมอๆครับ  ถึงแม้ตับแข็งการใช้ยาลดปริมาณไวรัสลงก็ยังเกิดประโยชน์นะครับ ลดการเกิดมะเร็งตับลงได้  ส่วนการเลือกใช้ยาอะไรนั้นจะไม่ลงในรายละเอียดนะครับ

อันนี้ ลิงค์เดิมที่เคยเขียนเมื่อต้นปีครับ https://www.facebook.com/medicine4l...

ที่มา : thai HBV,HCV guideline 2015
          harrison 19th

10 มีนาคม 2559

ความจริงเรื่อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

ความจริงเรื่อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

แฉความจริงอีกเรื่อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หนึ่งในอาหารที่เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจเลย เราเคยทราบว่ากินแล้วไม่ค่อยดีนะ ผมลองหาข้อมูลดู อ้าว..เป็นเรื่องราวทางอายุรศาสตร์ที่น่าสนใจ มาฟังกันเลยครับ
เริ่มเรื่องก่อน เรามาดูข้อมูลทางโภชนาการของบะหมี่ซองกันก่อน ดูเทียบกันหลายๆแบรนด์แล้วพอๆกัน ที่สำคัญตัวที่เอามาอ้างอิงในเว็บไซต์ทางโภชนาการใช้แบรนด์มาม่าซะด้วย ข้อมูลตรงกับข้างซองจริงนะครับ มาม่าหมูสับหนึ่งซองให้พลังงาน 280 แคลอรี่ พลังงานเกือบทั้งหมดมาจากไขมันอิ่มตัวครับที่เป็นไขมันตัวร้ายเลย ไขมันอิ่มตัว 25% ปกติไม่ควรเกิน 7-10% นะครับ โปรตีนและคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก เกลือ 1.32 กรัมเกือบครึ่งของที่ต้องการในแต่ละวัน ถ้าคุณกินบะหมี่ซองอย่างเดียวเลี้ยงชีพ คุณต้องกิน 5-6 ซองต่อวันซึ่งจะได้โปรตีนแค่ 40 กรัม ต่ำกว่าที่คุณควรได้รับครึ่งหนึ่ง

เอาล่ะสรุปว่าไม่ใช่ไม่ดี แต่ว่ามีสารอาหารไม่ครบและไขมันสูง เพราะบางครั้งเราต้องใช้ในช่วงปลายเดือนครับ อย่างที่เขาแนะนำควรใส่หมูใส่ไก่ใส่ไข่ใส่ผัก เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ (ถ้ามีตังค์ใส่หมูไก่ไข่ผัก ก็คงไม่ต้องมาโซ้ยบะหมี่ซอง..จริงไหม) แล้วกินเข้าไปแล้วมันเกิดโทษจริงๆหรือเปล่า
PubMed รวบรวมคำค้น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 26 คำค้นแต่มีวารสารนี้ที่ผมว่าตรงใจผมมากสุด มีคนทำการศึกษาผลของอาหารฟาสต์ทั้งหลาย รวมถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่าส่งผลก็โรคอ้วนลงพุงและโรคหัวใจหรือไม่ คืองี้..ทางมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเขาทำการศึกษากับร่วมประเทศเกาหลีใต้ ทำไมต้องเกาหลีน่ะหรือเพราะว่าปี 2554 ประเทศเกาหลีบริโภคบะหมี่ซอง 3400 ล้านซอง เป็นอันดับหนึ่งของโลก (ครั้งหน้าท่านไปเกาหลี อย่าลืมไปซื้อบะหมี่ซองกินนะครับ) และครองแชมป์มาหลายสมัย

การศึกษานี้สอบถามและติดตามเรื่องสุขภาพและภาวะโภชนาการของคนเกาหลีที่ยังสุขภาพดี การศึกษาดี มีสตางค์พอควร ว่าระหว่างกินอาหารดีๆตามคำแนะนำอาหารกับพวกที่กินบะหมี่ซอง ฟาสต์ฟู้ด แอ็คโอนัลด์ ว่าโอกาสเกิดโรคเป็นอย่างไร
--รายละเอียดเต็มและการวิเคราะห์เชิงสถิติไปหาอ่านเองนะครับ J. Nutr. 144: 1247–1255, 2014 --
ผลปรากฏว่าเฉลี่ยเขากินบะหมี่ซอง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์นะครับผู้ชายชอบกินมากกว่า หรือเพราะทำกับข้าวไม่เป็นก็ไม่รู้ และก็พบว่าการกินบะหมี่ซองแบบนี้นั้นเพิ่มความชุกของการเกิดโรคอ้วนลงพุง และเพิ่มความชุกของการเกิดเส้นรอบเอวมากขึ้น แต่ว่าความเป็นจริงนี้จะชัดเจนมากในสุภาพสตรีครับ (ทั้งๆที่โดยรวมกินน้อยกว่าผู้ชายด้วยนะครับ) แถมยังมีแนวโน้มเพิ่มโอกาสการเกิด ไขมัน LDL สูง ไตรกลีเซอไรด์สูง และไขมัน HDL ก็จะลดต่ำลง และความจริงอันนี้ก็สวนทางอย่างชัดเจนกับอาหารดีๆ ไฟเบอร์มากๆ กินผักกินปลา ซึ่งเมื่อปัจจัยเสี่ยงต่างๆเหล่านี้มากขึ้น โอกาสจะเกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือหัวใจก็จะเพิ่มตามไปด้วยครับ

โดยว่าบะหมี่ซองอย่างเดียวก็เสี่ยงเพิ่ม แล้วถ้านับรวม เฟรนช์ฟรายสุดหอมกรอบ แฮมเบอร์เกอร์ชีสหนานุ่มชุ่มซอส พิซซ่าขอบชีสแป้งบางโรยมายองเนส ก็จะยิ่งเสี่ยงเพิ่มไปอีกครับ แถมในเกาหลีใต้นั้นบะหมี่ซองเป็นแหล่งพลังงานอันดับสองรองจากข้าว และแหล่งไขมันอันดับสามรองจากหมูและน้ำมันถั่วเหลือง ถ้าการศึกษานี้ส่งผลต่อนโยบายการจัดการบะหมี่ซองของเกาหลีล่ะก็อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจเลยนะครับ หรือเขาจะมีการ "จำนำบะหมี่ซอง" "ประกันราคาบะหมี่ซอง" หรือเปล่า

ผลการศึกษานี้ก็ใช้อ้างอิงถึงผลของบะหมี่ซองโดยทั่วไปครับ อ้อ..การศึกษานี้ภายใต้ทุนของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของเกาหลีครับ ไม่มีผลประโยชน์ทางการค้าทับซ้อนอยู่ ครั้งหน้าถ้าท่านคิดจะกินบะหมี่ซอง ผมขอให้ทบทวนดูอีกสักรอบครับ

08 มีนาคม 2559

ปัญหาโทรศัพท์เคลื่อนที่กับเนื้องอกสมอง

ปัญหาโทรศัพท์เคลื่อนที่กับเนื้องอกสมอง

ยังกับเรื่องจริงผ่านจอนะครับ เผยความจริงรายวัน วันนี้กับปัญหาโทรศัพท์เคลื่อนที่กับเนื้องอกสมองครับ เรื่องนี้หลายท่านอาจทราบแล้ว แต่ผมเพิ่งได้หาข้อมูลจริงๆจังๆสองวันนี้เองครับ
ปูพื้นกันก่อนครับ คลื่นสัญญาณโทรศัพท์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่กระจายได้ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบ่งเป็นสองแบบนะครับคือ แบบแตกตัวเป็นประจุ กับ ไม่แตกตัว ( ionised และ non-ionised) คลื่นโทรศัพท์ที่เราสนใจอยู่นี้เป็นคลื่นไม่แตกตัว ซึ่งเป็นคลื่นพลังงานต่ำ ความถี่ต่ำ ด้วยความที่มันพลังงานต่ำนี้มันไม่สามารถไปปรับเปลี่ยนโครงสร้าง DNA สารพันธุกรรมของคนได้ ดังนั้นโอกาสทำให้เกิดมะเร็งจึงน้อยมากๆครับ แต่นี่คือข้อมูลโทรศัพท์สมัยก่อนนะครับ ไม่ใช่ iphone 6s ไม่ใช่ galaxy 7 ซึ่งตรงนี้เรายังไม่มีข้อมูล ว่ากันตามทฤษฎีจึงไม่น่ากลัว มากสุดก็แค่ "ร้อนหู"

ประกาศของ International Agency for Research of Cancer ที่ใช้ข้อมูลของการศึกษาหลักๆ 3 การศึกษา ( InterPhone, DANISH, Million Women) ที่ประกาศเป็นสากลว่า คลื่นโทรศัพท์มือถือนี้ อาจจะ เป็นความเสี่ยงการเกิดเนื้องอกสมองได้ ที่บอกว่าเป็นแค่อาจจะก็เพราะทั้งสามการศึกษานี้เป็นการศึกษาที่ผลออกมาว่า โดยรวมแล้วไม่พบความเกี่ยวพันกันของเนื้องอกสมองและการใช้โทรศัพท์ มีในบางรายที่พบว่าโอกาสเกิดเนื้องอก Gliomas จากการศึกษา InterPhone และพบเนื้องอก Acoustic Neuroma ในการศึกษา Million Women ซึ่งโอกาสก็เล็กน้อยมาก รายละเอียดนั้นถ้าใครสนใจไปหาอ่านเอาได้นะครับ
ทางการแพทย์นั้นผมว่าพอเชื่อได้ (Million Women เป็น prospective cohort ขนาด 790000 คน ส่วน InterPhone เป็น case-control) กลุ่มประชากร 800,000 นี่ยังไม่ถึง 15 % ของผู้ใช้มือถือทั้งโลกเลย

CNN เขาลงอธิบายการศึกษาทั้งสาม เป็นภาษาหมอและนักระบาด พระเจ้าจอร์จ !!! เมืองนอกเขาพูดการทดลองทางการแพทย์กันใน CNN แล้ว และยังรออีกการศึกษาที่ยังไม่เสร็จสิ้นคือ COSMOS study ที่จะบอกอัตราเสี่ยงและกลุ่มเสี่ยงได้ละเอียดขึ้น
คำแนะนำปัจจุบันก็ไม่ต้องตื่นตกใจเกินไปในตอนนี้ครับ ต้องรอการค้นคว้าต่อไป ระหว่างรอก็มีคำแนะนำจาก WHO อ้างอิงตาม IARC ข้างต้นในปี 2011 ว่า ใช้โทรศัพท์ให้สั้นที่สุด และเด็กๆก็ควรใช้ให้น้อยที่สุด
เนื่องจากคลื่นโทรศัพท์นี้มันจะส่งผลกับเนื้อเยื่อที่ใกล้ชิดกับเสาส่งเท่านั้น (จริงๆสามารถบอกได้นะครับแต่ละเครื่องว่า ส่งผลมากน้อย จากค่า SAR specific absorption rate)
การพิมพ์ การส่ง messenger หรือการใช้อุปกรณ์ Handfree ไม่ว่าจะมีสายหรือไร้สายจะปลอดภัยกว่าครับ ช่วยลดอุบัติเหตุด้วยครับ

ที่สำคัญการติดตามเพจนี้ทางเครื่องมือถือ หรือ tablet ไม่เกิดมะเร็งแน่นอนครับ

06 มีนาคม 2559

สมุด moleskine evernote

ผมเป็นคนที่ชอบจดบันทึกมากครับ พยายามใช้สมุดหลากหลายแบบ จับคู่กับปากกาหลายแบบ หลังๆนี้เปลี่ยนไอเดียมาใช้สมุดรีไซเคิลทั้งหมด เพื่อช่วยลดการใช้ทรัพยากร เดือนก่อนเดินไปดูร้านประจำ ก็พบสมุด moleskine เวอร์ชั่น ดิจิตอล เลยมาลองให้ดู

    เป็นสมุดมีเส้นนะครับ  ไม่ได้หมายความว่าใหญ่โตมาจากไหน แต่สมุดของเขามีทั้งแบบ ไม่มีเส้น แบบตาราง แบบออร์แกไนเซอร์ แต่อันนี้เป็นแบบมีเส้น พอซื้อมาก็จะได้ code สำหรับสมาชิกแบบพรีเมียม ของผมซื้อแบบเล่มเล็กได้พรีเมียมมาแค่ 1 เดือน แต่ถ้าแบบฟูลรู้สึกว่าจะสามเดือนครับ  ในสมุดจะมีของเล่นสุดฮิปคือ smart sticker ดูในรูปนะครับ เราติดสติกเกอร์แล้ว เมื่อถ่ายรูปอัพโหลด โปรแกรมจะจัดผมวดหมู่เรื่องให้ตามสติ๊กเกอร์เอง เป็นเหมือน tag จัดกลุ่มเลย

   คำแนะนำให้ใช้หมึกดำนะครับถึงจะถ่ายภาพแล้วชัด ตัดกับสีกระดาษรีไซเคิลชัดเจน ผมใช้หมึกดำจากปากกาเจลเพนเทล ไม่ซึมไปอีกด้านครับ
  และชื่อเป็น evernote moleskine ดังนั้นต้องใช้กับ แอปปลิเคชั่น evernote ครับได้ทั้งแอนดรอยด์ และ ไอโอเอส เราต้องโหลดแอพพลิเคชั่น evernote ก่อนนะครับ ผมเองเดิมใช้ onenote ครับ ที่เขียนเพจให้ทุกท่านอ่านทุกวันนี้แหละ พอมาใช้ evernote เลยไม่ค่อยคล่อง แล้วก็ใส่โค้ดสำหรับ premium ฟรีหนึ่งเดือน ผมไม่แน่ใจว่าเวอร์ชั่นฟรีจะใช้ได้ไหม ( ไอ้เจ้า page camera นี่หน่ะครับ)  พอได้แอปเรียบร้อยก็ลองกดถ่ายภาพ เห็นดังโพสต์เมื่อวานนี้ คือผมเริ่มขี้เกียจพิมพ์ หรือจะพูดให้ถูกคือ ขี้เกียจจิ้มคีย์บอร์ดนั่นเอง

   ส่วนตัวแล้วคิดว่ากลางๆนะครับ ไม่ได้ฉลาดมากจนอ่านลายมือได้ หลายๆคนบอกว่าลองใช้แกแลกซี่โน้ตดูสิ  แปลงลายมือเป็นตัวพิมพ์เลยนะ  น่าสนใจนะครับเพียงแต่แอดมิน ไม่มีสตางค์ซื้อโทรศัพท์หรูหราครับ ใช้แค่โทรเข้าออก ไอโมบายล์ก็พอแล้วครับ

  สบายๆนอกเรื่องวันอาทิตย์นะครับ ปอลิง. คัดรูปประกอบนานมาก

05 มีนาคม 2559

notable 2015 from NEJM

notable 2015 from NEJM

วันนี้มีเรื่องสองเรื่องครับ อย่างแรก ผมได้สรุปย่อสุดยอดวารสารประจำปี 2015 ของวารสาร New England Journal of Medicine ที่ลงมาตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว เป็นวารสารทางการแพทย์ที่มี impact factor หรือมีคนกล่าวถึง อ้างอิงมากที่สุดในโลก ที่ 55.873 คะแนน เทียบกับ จดหมายเหตุทางการแพทย์ของแพทยสมาคมไทยนั้น อยู่ที่ 0.092 คะแนนครับ

จริงๆสรุปไว้ในสมุดโน้ตมาสักเดือนแล้ว แต่ไม่มีเวลาพิมพ์ จนเมื่อได้ของเล่นชิ้นใหม่ จึงจัดการมาเป็นของขวัญคุณหมอและ บุคลากรทางการแพทย์ หรือ ผู้สนใจอื่นๆ ครับ
แต่ว่าผมใช้ลายมือตัวเองเขียนนะครับ ต้องขออภัยหากอ่านยากสักหน่อย

เรื่องที่สองคือ ภาพทั้งหมด ผมใช้สมุดบันทึก moleskine ที่เป็นสมาร์ทโน้ตบุ๊ก ใช้ร่วมกับแอปพลิเคชั่น evernote เมื่อเขียนบันทึกลงสมุดแล้ว ใช้สติกเกอร์ติดแบ่งหมวดหมู่ แล้วใช้ page camera ของแอป evernote ถ่ายภาพแล้ว จะบันทึกหมวดหมู่ใน evernote และบันทึกออนไลน์ให้เลย ออกมาเป็นภาพแบบนี้ครับ
เลยลองใช้ลายมือเขียน แล้วทดสอบด้วย application นี้ครับ

พรุ่งนี้ว่างๆวันอาทิตย์จะได้รีวิว moleskine evernote cahier journal สมุดที่ใช้ทำภาพนี้ครับ










04 มีนาคม 2559

ลำไส้ขาดเลือด

ลำไส้ขาดเลือด

เราคุ้นชินกับหัวใจขาดเลือด สมองขาดเลือด เราพอได้ยินปลายแขนปลายขาขาดเลือด วันนี้เราลองมาสัมผัส ลำไส้ขาดเลือด บ้างครับ

ลำไส้เป็นอวัยวะที่มีเส้นเลือดมาเลี้ยงถึงสามเส้น แต่ไม่ได้มาเท่ากันนะครับเนื่องจากลำไส้ยาวมากจึงต้องแบ่งเป็นสามส่วน โดยทั่วไปโอกาสขาดเลือดจึงน้อยเพราะสามเส้นนี้ก็มีร่างแหเชื่อมโยงกันด้วย แต่อย่างไรอวัยวะที่มีเลือดก็มีโอกาสขาดเลือดอยู่ดี การขาดเลือดนี้อาจเกิดแบบเฉียบพลันคือมีลิ่มเลือดไปอุดคล้ายๆเป็นอัมพาต หรืออาจเกิดเรื้อรังก็ได้ ทั้งสองแบบนี้ก็จะมีอาการต่างกันและเกิดในกลุ่มคนที่ต่างกันครับ
สั้นๆง่ายๆของเฉียบพลันก่อน คือปวดท้องรุนแรงมาก ถ้าปวดสักพักแล้วจนเนื้อเยื่อเริ่มตายจะมีถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ลำไส้ส่วนที่ตายจะไม่ขยับกลายเป็นจุดอุดตันลำไส้โดยปริยายครับ มีการการเยื่อบุช้องท้องอักเสบเฉียบพลันซึ่งคุณหมอผ่าตัดก็จะเอาไปผ่าหาสาเหตุทันที มักจะเกิดในผู้ป่วยที่มีประวัติหัวใจเต้นผิดจังหวะ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงเกิดลิ่มเลือดเช่นผ่าตัดลิ้นหัวใจ ภาวะนี้วินิจฉัยยากครับต้องระลึกเอาไว้ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ที่ปวดท้องรุนแรงมากๆๆๆ เฉียบพลัน

อีกส่วนที่อาจเกิดคือจากส่วนรอยต่อของเส้นเลือดทั้งสามเส้น ที่เป็นเขตแดนของเส้นเลือดนั้นมักจะมีเลือดไปน้อยกว่าปกติอยู่แล้ว ถ้าเกิดความดันโลหิตต่ำมากจนช็อก ก็อาจทำให้บริเวณนั้นขาดเลือดได้เช่นกัน
ส่วนการขาดเลือดเรื้อรัง มักเกิดจากก้อนลิ่มเลือดและไขมันที่ค่อยๆพอกขวางทางเดินเลือด เช่นอายุมาก ไขมันในเลือดสูง อ้วนลงพุง ไม่ออกกำลังกาย อาการก็จะปวดท้องแน่นๆ รุนแรงเป็นพักๆ เวลาที่ลำไส้ต้องการเลือดไปเลี้ยงมากๆแต่ส่งเลือดให้ไม่ทัน นั่นคือภาวะหลังกินอาหารนั่นเองครับ เป็นอาการที่เรียกว่า "intestinal angina" คล้ายกับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่มักเจ็บอกเวลาออกแรงครับ

ส่วยสาเหตุอื่นๆเช่นหลอดเลือดดำตัน เส้นเลือดอักเสบ พวกนี้พบน้อยครับ การวินิจฉัยส่วนมากจะได้จากประวัติและการตรวจร่างกาย ร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคและส่วนมากเมื่อเกิดอาการแล้วก็มักจะเป็นภาวะฉุกเฉินทางศัลยกรรมที่ต้องไปผ่าตัดด่วน ก็มักจะวินิจฉัยได้ตอนนั้น แต่ถ้าเรื้อรังนั้นอาจใช้การถ่ายภาพรังสีหลอดเลือดดูได้ เคยมีการศึกษาใช้สายสวน การใส่บอลลูนและขดลวดค้ำยัน แต่ผลการรักษาสู้ผ่าตัดไม่ได้ครับ
นี่คือหนึ่งในโรคที่วินิจฉัยยากที่สุดโรคหนึ่งนะครับ เพราะ ไม่ค่อยมีใครระลึกถึงภาวะนี้ ไปเทใจให้หลอดเลือดสมองและหัวใจกันหมด ทั้งๆที่อัตราการเสียชีวิตของโรคนี้ก็สูงเช่นกัน วัตถุประสงค์ของบทความนี้คือเตือนความจำหมอ และให้พวกเราๆท่านๆทราบว่าถ้าท่านปวดท้องรุนแรงและหาสาเหตุปรกติไม่พบแล้วอาจเป็นโรคนี้ได้นะครับ

03 มีนาคม 2559

วิธีการรักษาอาการสะอึก



วิธีการรักษาอาการสะอึก วันนี้จัดเรียงหนังสือใหม่ครับ เป็นที่คั่นหนังสือคั่นหน้านี้ไว้ปกติผมจะใช้ที่คั่นหนังสือเฉพาะหน้าที่ยังอ่านไม่จบ คิดว่าเรื่องนี้เรายังไม่ได้อ่าน และน่าสนใจดีจึงเอามาลงครับ จากอ.ภูริพงศ์ กิจดำรงธรรม หนังสืออาการวิทยาทางอายุรศาสตร์ มช.

อาการสะอึกเกิดจากกลไกการทำงานแบบรีเฟล็กซ์ คือ ไม่ผ่านสมองครับเป็นวงจรการทำงานของเส้นประสาทควบคุมกระบังลมและกล่องเสียง ส่วนมากเกดเองหายเองในเวลาชั่วคราว ถ้าเป็นเกิด 48 ชั่วโมง (persistent hiccups) ควรหาสาเหตุครับ สาเหตุหลักเกิดจากกระเพาะขยายขนาดหรือกรดไหลย้อน แล้วไประคายเคืองกระบังลมครับ
ส่วนมากหายเองครับ ในกรณีไม่หายเองเราใช้วิธี กระตุ้นบริเวณคอหอยเพื่อเกิดกระแสประสาทไปยับยั้งวงจรเดิม เช่น กลืนอาหารทั้งก้อน ดื่มน้ำเร็วให้โดนคอหอย อาจขย้อนเล็กน้อย หรือใช้การหายใจในถุงก็ช่วยได้ครับ

การใช้ยา หลักๆคือยาลดอาการท้องอืดและยาที่ทำให้การเคลื่อนที่ของอาหารเป็นจากบนลงล่างอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น ที่นิยมใช้ร่วมกันคือ ยา simethicone คือยาเม็ดเคี้ยวกลืนแก้ท้องอืด หรือ ยาธาตุน้ำขาว ร่วมกับ ยาdomperidone ครับ
ยาอื่นๆที่ใช้ต่อมาคือยาลดความไวของกระแสประสาท baclofen หรือจะใช้ gabapentin ก็ได้ แต่ส่วนมากนี้จะใช้หากอาการสะอึกเป็นมากๆ นานกว่า 12-24 ชั่วโมงครับ
เป็นมากๆอาจต้องเข้ารับการรักษาใน รพ. ได้รับยากันชักทางหลอดเลือดเช่น ยา midazolam

ส่วนถ้าเป็นมากกว่า 48 ชั่วโมงไปแล้วต้องหาสาเหตุแล้วเช่นโรคของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร โรคปอดส่วนล่าง ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งที่พบบ่อยคือ เกลือแร่ในเลือดผิดปกติ โดยเฉพาะเกลือแร่โซเดียม โปตัสเซียม
ยาที่ทำให้สะอึกได้ เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาคลายเครียด ยาความดัน methyldopa และยาลดการปวดพวกฝิ่นและมอร์ฟีน

ผมใช้วิธีให้คนไข้กลืนน้ำตาลทรายขาวหนึ่งช้อนโต๊ะพูนๆทันที รายไหนรายนั้นเลยครับ เจ๋งมากๆๆ

02 มีนาคม 2559

พิษของปลาหมึกวงน้ำเงินและปลาปักเป้า

พิษของปลาหมึกวงน้ำเงินและปลาปักเป้า

ช่วงนี้มีข่าวมีคนพบปลาหมึกวงน้ำเงิน ที่มีพิษร้ายแรงและพิษยังอยู่แม้ว่าจะต้มหมึกจนสุกแล้ว แต่ยังไม่มีใครเป็นพิษนะครับ เรามาทำความรู้จักกับเจ้าพิษ Tetrodotoxin กันเล็กน้อยครับ

คามจริงพิษอันนี้ชาวโลกและชาวไทยเรารู้จักกันมานานแล้วนะครับ เราทราบว่ามีสารพิษอยู่ใน ปลาปักเป้าทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม หอยบางชนิด (Japanese ivory shell, trumpet-shell) แมงดาทะเล (horseshoe crab) ปลาหมึกบางชนิด (blue-ringed octopus) ว่าเกิดพิษทำให้เกิดอาการชาและกล้ามเนื้ออ่อนแรงและบางครั้งรุนแรงไปจนกระทั่งเป็นอัมพาตทั้งตัว จริงแล้วตัวสัตว์ไม่ได้สร้างนะครับเป็นสาหร่ายบางชนิดที่สร้างขึ้นแล้วสัตว์พวกนี้กินหรือสะสมสาหร่ายไว้ในตัว เมื่อเรากินเข้าไปก็จะทำให้เกิดพิษครับ ในอดีตตำรับยาของจีน chinese pharmacopeia ใช้ปลาปักเป้าโดยเฉพาะไข่ปลาปักเป้า เอามารักษาอาการเกร็งไม่หาย หรือชักไม่หยุด

พิษค่อนข้างรุนแรงนะครับ เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เกิดอาการได้ บางรายงานบอกว่าภายใน 10 นาที แต่โดยส่วนมากจะเกิดตั้งแต่กิน 30 นาที อาการที่เป็นคือเริ่มมีอาการชารอบปาก ชาตามนิ้วมือนิ้วเท้า หลังจากนั้นจะเริ่มมีอาการอ่อนแรงที่เป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้คือ เริ่มมีอาการอ่อนแรงจากส่วนปลายมือปลายเท้าเข้ามาต้นแขนต้นขา (ascending paralysis) แล้วจะลุกลามเข้ามาที่กล้ามเนื้อส่วนกลางคือ เริ่มมีหนังตาตก หายใจลำบาก กลืนลำบาก สุดท้ายก็อาจทำให้เส้นประสาทอัตโนมัติเป็นอัมพาต มีอาการหัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตตกได้ ถ้ารุนแรงจริงบางทีก็เข้าอาการสมองตาย คือ ยังมีชีวิตอยู่เพียงแต่หัวใจเต้นตามกฎหมายแต่ระบบประสาทเสียไปหมดแล้ว เชื่อว่านี่คือพิษสำคัญในการทำซอมบี้ของหมอผีวูดู

พิษนี้เริ่มเกิดจนถึงเสียชีวิตได้ในเวลาแค่ 30-90 เลยนะครับ อาการจะคล้ายๆกับพิษจากโบทูลิซึ่มครับ ไม่มีการตรวจใดๆบอกได้นะครับ การวัดความเร็วเส้นประสาทนั้นคงจะทำไม่ทันครับ

ยังไม่มียาหรือสารต้านพิษตัวนี้นะครับ เราต้องประคับประคองให้ดี ช่วยหายใจ ให้สารน้ำทางหลอดเลือด ให้ยาพยุงความดัน รอให้ร่างกายขจัดสารพิษออกเองใน 2-3 วัน มีการใช้ยารักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมัยแอสทีเนียมาใช้รักษา คือ neostigmine และมีการศึกษาการสร้างสารต้านพิษนี้แล้วครับ ในขณะเดียวกันก็มีการศึกษาเอาพิษปักเป้านี้มาใช้ในการระงับปวด ระงับอาการลงแดงพิษเฮโรอีน

ปัญหาส่วนมากเกิดจากปลาปักเป้านะครับ ไม่ได้เกิดจากหมึกวงน้ำเงินแต่อย่างใด และปลาปักเป้านี้บางครั้งก็ปะปนมากับอาหารได้ถ้าผู้ทำอาหารนิสัยแย่ๆ ในญี่ปุ่นนั้นมีการอบรมเฉพาะทางเพื่อการปรุงอาหารด้วยปักเป้า หรือ "Fugu" ต้องได้วุฒิบัตรนะครับจึงจะประกอบอาหารด้วยปลาปักเป้าได้

ฟังข่าวด้วย "วิจารณญาณ" นะครับ

ที่มา บทความ พิษจากเตโตรโดท็อกซิน ของ อ.วินัย วนานุกูล ศูนย์พิษรามา
wikipedia
emedicine.com

บทความที่ได้รับความนิยม