10 ตุลาคม 2568

my last book : หนังสือเตือนสติ

 my last book : หนังสือเตือนสติ

คุณเคยจินตนาการไหมครับว่า…เมื่อคุณจากไป สิ่งต่าง ๆ ที่คุณทำไว้ มีอยู่ จะจัดการอย่างไร
หนังสือเล่มนี้เป็นกึ่งหนังสือแนวทางและกึ่งสมุดบันทึก ช่วยให้เราได้สำรวจตัวเอง อันนี้ยังไม่เพียงแค่เตรียมตัวจากไปนะครับ ยังสามารถช่วยเราตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นปัจจุบัน หรือถ้าเป็นนักการเมืองก็เตรียมยื่นบัญชีทรัพย์สินได้เลย
ประวัติส่วนตัว งานประจำ งานเสริม ที่ทำอยู่
บัญชีอีเมล โซเชียล มีกี่บัญชี จะจัดการอย่างไรเมื่อจากไป
บัญชีทรัพย์สิน หนี้สิน ประกัน หุ้น การลงทุนต่าง ๆ สิทธิประโยชน์เมื่อเสียชีวิต สิ่งของสะสม บ้าน รถยนต์
วางแผนงานศพตัวเอง งบประมาณเท่าไร
บุคคลที่ต้องให้การอุปการะมีกี่คน วางแผนจะจัดการอย่างไร สัตว์เลี้ยงมีกี่ตัว ยกให้ใคร
การจัดทำพินัยกรรม (ที่บันทึกในเล่มจะยังไม่ใช่พินัยกรรม) ในเล่มจะให้กรอกข้อมูล และสอนวิธีทำพินัยกรรมแบบต่าง ๆ
เรียกว่าได้เรียนรู้ตัวเอง รู้จักตัวเอง พร้อมจะจากไปอย่างไม่ห่วงจนเกินไป มีสติ กลับมาใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท
หนังสือปกสีเหลืองนวลเรียบ มีลายเหมือนยางรัดเล่ม (แต่มันเป็นลายนะ) ขนาดเอห้า หนา 180 หน้า ผลงานจากสำนักพิมพ์โอเพ่นดูเรียน ราคาปก 459 บาท อันนี้ผมสั่งซื้อจากสำนักพิมพ์โดยตรงครับ

วัคซีนโควิด-19 ในยุคปัจจุบัน ยังสามารถลดอันตรายจากโรคได้

 เมื่อโรคโควิด-19 ลดน้อยลง การให้วัคซีนยังมีประโยชน์อยู่หรือไม่ วันนี้มีการศึกษามาตอบคำถาม

งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร NEJM วันที่ 8 ตุลาคม 2025 คณะวิจัยจากเซนต์หลุยส์ สหรัฐอเมริกา ทำการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลของวัคซีนโควิด-19 ในแง่ลดการมาโรงพยาบาล ลดอาการป่วยรุนแรง และลดอัตราการเสียชีวิต เทียบกับการไม่ฉีด (ไม่ได้เทียบกับยาหลอกนะ) กลุ่มแรกประมาณ 164000 คนรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่พร้อมวัคซีนโควิดในวันเดียวกัน ส่วนอีกประมาณ 131000 คนรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่อย่างเดียว เป็นวัคซีนไข้หวัดใหญ่สามสายพันธุ์ประจำฤดูระบาด 2024-2025 ส่วนวัคซีนโควิดเป็น mRNA จากโมเดอนา 64% และจากไฟเซอร์ 35%
แต่ต้องบอกว่าส่วนใหญ่เป็นคนอายุประมาณ 70 ปีที่แข็งแรงดี มีโรคร่วม(ที่ไม่รุนแรงด้วยนะ) ประมาณ 20% เท่านั้น
เก็บข้อมูลในช่วงหกเดือน ผลออกมาว่าประสิทธิผลของวัคซีนภาพรวมประมาณ 28%
ลดการมาโรงพยาบาลแบบฉุกเฉิน 29%
ลดการเข้านอนโรงพยาบาล 39%
ลดอัตราการเสียชีวิตจากโควิด 64% แต่ความแตกต่างกับไม่รับวัคซีน ไม่มีนัยสำคัญ
น่าจะตอบคำถามได้ว่า วัคซีนโควิด-19 ในยุคปัจจุบัน ยังสามารถลดอันตรายจากโรคได้ แม้ว่าจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่และโรคลดความรุนแรงไปมาก คำแนะนำคือฉีดปีละครั้ง ในผู้สูงวัยหรือกลุ่มเสี่ยงเกิดโรครุนแรงครับ
อ่านเพิ่ม
Cai M, Xie Y, Al-Aly Z. Association of 2024-2025 Covid-19 Vaccine with Covid-19 Outcomes in U.S. Veterans. N Engl J Med. 2025 Oct 8. doi: 10.1056/NEJMoa2510226. Epub ahead of print. PMID: 41061231.

08 ตุลาคม 2568

ไตวายเฉียบพลัน สามารถฟอกเลือดทางช่องท้องได้

 ไตวายเฉียบพลัน สามารถฟอกเลือดทางช่องท้องได้ดีเช่นกัน ผู้ป่วยอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ มั่นใจได้กับการฟอกเลือดทางช่องท้อง

1.ประสิทธิผลสำหรับการแก้ไขภาวะไตวายเฉียบพลันไม่แย่ไปกว่าการฟอกเลือดทางหลอดเลือดเลย
2.ในประเทศหรือสถานที่ที่ไม่มีเครื่องฟอกเลือดเพียงพอ บุคลากรไม่พอ ไม่มีอุปกรณ์ CRRT ก็สามารถใช้การฟอกเลือดทางช่องท้องเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ดี ใช้ทรัพยากรไม่มากเท่าฟอกเลือดทางหลอดเลือด และทำได้หลายคนในเวลาเดียวกัน
3.ถ้าสามารถใส่สาย flexible catheter คือ tenckhoff catheter จะดีกว่าการใส่สายแบบ rigid แต่ว่าที่ไหนมีอะไรก็ใช้อันนั้น และใช้ตามความถนัดและมั่นใจครับ
4.การมีอุปกรณ์ฟอกเลือดทางช่องท้องและการเตรียมบุคลากรถือเป็นมาตรการที่ดี ไม่จำเป็นต้องเป็นเครื่องฟอกเลือดทางช่องท้องแบบอัตโนมัติ การบริหารด้วยคน การเปลี่ยนถุงน้ำล้างช่องท้อง ใช้ระบบปิดหรือแบบถอดเข้าออกก็ได้ ขอเพียงมีเทคนิคปลอดเชื้อที่ดี
5.แนวทางการรักษาระบุใช้สารละลายแบบสำเร็จรูปหรือผสมใช้เองได้ แต่ในประเทศไทยที่ไม่ถึงกับขาดแคลน การใช้สารละลายฟอกเลือดทางช่องท้องก็สมเหตุสมผล ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดเชื้อ สามารถเติมเกลือแร่โปตัสเซียมเพิ่มได้ หากต้องการ สิ่งที่ต้องติดตามสำหรับการฟอกเลือดทางหน้าท้องคือระดับโปตัสเซียมในเลือดต่ำ เพราะสารละลายไม่มีโปตัสเซียม
6.การประมาณค่าว่าฟอกเลือดเพียงพอหรือไม่ ตามปกติจะใช้ค่า Kt/V (urea) เอาล่ะถ้าใครสนใจให้ไปอ่านในแนวทางและตำราอายุรศาสตร์โรคไตเพิ่มเติมได้ สามารถใช้ค่า Kt/V ต่อสัปดาห์ที่ 3.5 ตามแนวทาง หรือหากอ้างอิงจากการศึกษาในคนไทย สามารถใช้ค่าที่ 2.1 ต่อสัปดาห์ก็ไม่ต่างจากการทำในขนาดสูง ประหยัดทรัพยากรมากกว่าด้วย
การศึกษาใช้ 1.5% PDF ถุงละ 1500 ซีซี บริหารเปลี่ยนรอบน้ำแบบทำมือง่าย ๆ รอบละ 2 ชั่วโมงใน 48 ชั่วโมงแรก อันนี้จะได้ Kt/V ที่ 2.1 เทียบกับมาตรฐานคือเปลี่ยนทุกชั่วโมง (Kt/V ที่ 3.5)
7.รอบการเปลี่ยนน้ำ จะเปลี่ยนบ่อยทุกชั่วโมงในกรณีวิกฤต เช่น uremia, hyperkalemia, fluid overload และเมื่ออาการควบคุมได้จะค่อย ๆ ลดรอบลงมาเป็นทุก 2-4 ชั่วโมงก็ได้ ถ้าว่ากันด้วยสารละลายสำเร็จรูปในบ้านเรา ช่วงแรกที่เปลี่ยนบ่อย ๆ จะใช้สารละลาย 1.5% dextrose และเมื่ออาการคงที่และเพิ่มระยะเวลาต่อรอบอาจใช้สารละลาย 4.25% dextrose แทนได้ เพื่อลดปัญหาภาวะน้ำตาลสูงเกินไป แต่อย่างไรก็ต้องติดตามภาวะน้ำตาลในเลือดเสมอ
8.ผลแทรกซ้อนสำคัญคือเรื่องติดเชื้อ สังเกตได้จากสีของน้ำล้างช่องท้องที่ขุ่น หรือตรวจเจอเม็ดเลือดขาวมากกว่า 100 ต่อไมโครลิตร ในแนวทางแนะนำใช้การตรวจด้วยแผ่นจุ่ม เพื่อหา leucocyte esterase (แผ่นจุ่มตรวจปัสสาวะก็ตรวจได้นะ) โดยตรวจทุกวัน ถ้ามีก็เริ่มรักษาได้
9.การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ มีความสำคัญมากในการรักษาผู้ป่วยวิกฤต และจำเป็นมากในผู้ป่วยฟอกเลือดทางช่องท้องเช่นกัน
10. จะเห็นว่าในระยะเวลา 24-48 ชั่วโมงแห่งภาวะวิกฤตไตวายเฉียบพลัน สามารถใช้การรักษานี้ประคับประคองได้ดีทีเดียว ทำได้เกือบทุกที่ เพียงแค่เรียนรู้และฝึกทำ มีเวลาเพื่อปรึกษาอายุรแพทย์โรคไตในวันต่อไปเพื่อกำหนดการรักษาขั้นต่อไป ช่วยชีวิตคนไข้ได้อีกมากมายเลยครับ
อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่

All reactions:
132

07 ตุลาคม 2568

sulfonylurea

 ยาเบาหวานขวัญใจมหาชนคนกระเป๋าเบา

metformin น่าจะครองตำแหน่งนี้ได้ยาว ๆ เพราะลดน้ำตาลได้ดี ราคาถูก ลดการเกิดโรคหัวใจได้ ข้อเสียคือ คลื่นไส้และต้องปรับตามการทำงานของไต
อีกตัวคือ sulfonylurea ที่ตอนนี้น่าจะเหลือแค่สามชนิด คือ gliplizide, gliclazide, glimepiride ลดน้ำตาลได้ดีมากเช่นกัน ราคาถูกอีกด้วย ไตเสื่อมก็ใช้ได้ แต่ข้อเสียสำคัญมากคือ ทำให้เกิดน้ำตาลต่ำได้
gliplizide ออกฤทธิ์เร็วแรง ดุดัน ทำงานในช่วงเวลา 6-8 ชั่วโมงก็จริง แต่มันกระตุ้นการหลั่งอินซูลินแรงมากในช่วงแรก อย่าไปประมาทว่าออกฤทธิ์สั้นแล้วจะปลอดภัย
gliclazide ออกฤทธิ์นุ่มนวลกว่า ค่อย ๆ ต้อยอินซูลินให้ทำงาน แต่ทำงานยาว 12-20 ชั่วโมงเลยทีเดียว มีโอกาสน้ำตาลต่ำได้จากการทำงานที่ยาวนานของมัน ยาตัวนี้ขับทางตับเป็นหลัก จึงน่าจะดีในผู้ป่วยไตเสื่อม
glimepiride น้องใหม่ ทำงาน smooth as slik ไม่กระชาก น้ำตาลต่ำได้นะแต่ก็ไม่มากเท่าพี่ gliplizide อยู่ในร่างกายและทำงานนานมาก เกิน 24 ชั่วโมง กินวันละครั้งได้ ขับออกทางตับมากกว่าไต เวลาน้ำตาลต่ำทีนึงก็เฝ้าระวังนานที่สุด
สรุปว่าใช้ได้นะครับ มองโดยรวมแล้วยังลดน้ำตาลได้ดี ราคาไม่แพง ไตเสื่อมก็ใช้ได้ ถ้าเราจัดตารางการกินอาหารให้ดี (ซึ่งต้องทำอยู่แล้ว) และรู้วิธีเฝ้าระวัง จัดการภาวะน้ำตาลต่ำ ก็สามารถใช้ได้ครับ
“ยาเหมือนดาบสองคม ถ้ารู้ทางลม อีกด้านของคม ไม่บาดมือ”

06 ตุลาคม 2568

รางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ปีนี้ 2568

 รางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ปีนี้

Mary E. Brunkow
Fred Ramsdell
Shimon Sakaguch
ทั้งสามท่านคิดค้นระบบ peripheral immune tolerance เอ๊ะ.. คืออะไร
เอาแบบสุดง่ายตามสไตล์ของเรา มันคือระบบที่ร่างกายสร้างมาเพื่อคอยยับยั้งเซลล์ภูมิคุ้มกันของเรา ตัวสำคัญคือเม็ดเลือดขาว T cell ไม่ให้ทำงานเกินสั่ง คือ ไม่ให้โจมตีตัวเอง
ปกติร่างกายเราจะสอนเซลล์ภูมิคุ้มกันให้รู้จักร่างกายเราเองและไม่ทำลายเนื้อเยื่อเราเอง ตั้งแต่เซลล์เล็ก ๆ หากมีเซลล์ที่เล็ดรอดโรงเรียนมาได้ ระบบนี้จะคอยยับยั้งปลายทางอีกที จึงเรียกว่า peripheral system
ถ้าระบบนี้บกพร่อง ก็เป็นสาเหตุอันหนึ่งของโรคภูมิคุ้มกันตัวเองทำงานผิดปกติ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ,โรคปลอกประสาทอักเสบ multiple sclerosis, โรค SLE, โรคเบาหวานชนิดที่ 1
และหากเราเข้าใจกลไกนี้ เราจะแก้ไขโรคภูมิคุ้มกันตัวเองได้อีกมาก และปัจจุบันก็มียาที่เกิดจากกลไกนี้แล้ว เช่น interleukin-2 และยังจะมียาที่กำลังออกมาช่วยผู้ป่วยจากกลไกออกมาอีกมาก เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยกลุ่มนี้จะได้ยาที่ตรงจุด พุ่งเป้าชัดเจน
สุดยอดมากครับ ใครสนใจกลไกนี้ให้ไปอ่าน immunology ของ abbas เล่มใหม่ล่าสุดครับ ยากได้ใจเลย

บทความที่ได้รับความนิยม