Final Solution ปลายทางแห่งความเกลียดชัง บทเรียนที่มนุษย์ทุกคนควรเรียนรู้
เด็กยุคใหม่อาจจะเลือนลางกับสงครามโลกครั้งที่สอง คนที่เคยอยู่ในยุคสงครามก็ล้มหายตายจากไป เหลือไว้แต่เรื่องเล่าขานและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ สำหรับผมแล้วสงครามโลกครั้งที่สองคือจุดเปลี่ยนจุดหนึ่งของสังคมโลก จุดที่ความขัดแย้งได้ทำลายความเป็นมนุษย์ไปอย่างที่สุด
ความรู้สึกนี้มันคล้ายกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ความแตกแยกมันร้าวลึกลงไปในใจของผู้คน แยกเหล่าแยกเขาแยกเรา ทั้ง ๆ ที่ทั้งหมดเป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น ใครที่ติดตามเพจมาตลอดจะรู้ว่าผมโยงเรื่องประวัติศาสตร์สงครามบ่อยครั้ง เพียงแต่ไม่ค่อยพูดเรื่องสงครามในบ้านเราเพราะอาจมีการไม่ยอมรับหรือข้ออคติที่เกิดได้ จึงมักยกตัวอย่างจากสถานการณ์ต่างประเทศ
ส่วนของสงครามโลกครั้งที่สองที่ผมสนใจมากที่สุดคือ การสังหารล้างเผ่าพันธุ์ของฮิตเลอร์และนาซี ที่เรียกว่าเป็น holocaust ที่สมบูรณ์แบบ หลายท่านคงคิดว่ามีการสังหารล้างเผ่าพันธุ์อีกมาก ไม่ว่าสังหารชาวทุตซีในรวันดา สังหารชาวเขมรของกองทัพเขมรแดง แต่การสังหารล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวนี้ ทำเป็นระบบตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ไม่ได้สังหารด้วยอาวุธร้ายแต่สร้างความจงเกลียดจงชังมาตั้งแต่วัยเด็ก จนทำให้ผู้คนแทบไม่รู้สึกเลยว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่คือ "การสังหารล้างเผ่าพันธุ์"
เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มหาอำนาจกลางคือ ออสเตรีย-ฮังการี เยอรมัน และออตโตมัน คือผู้แพ้สงคราม สนธิสัญญาแวร์ซายน์ที่ฝ่ายผู้ชนะเขียนให้ผู้แพ้ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง รวมทั้งค่าปฏิกรรมสงครามปริมาณมหาศาล รวมทั้งการแทรกแซงเศรษฐกิจ การเมือง สังคม เรียกว่าทำให้เยอรมันแทบสิ้นชาติ ตอนนั้นเปลี่ยนชื่อประเทศและระบบการปกครองเป็นสาธารณรัฐไวมาร์
เหล่าบรรดาผู้แพ้สงคราม นายทหาร ชนชั้นสูงของเยอรมัน ได้อธิบายสาเหตุหนึ่งของความพ่ายแพ้ว่า ผู้ควบคุมเศรษฐกิจชาวยิว ไม่ได้ช่วยทำสงครามสักเท่าไร ออกจะต้านกองทัพเยอรมันด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นชาวยิวมีมากมายทั่วยุโรปและมีสายสัมพันธ์ค่อนข้างดี โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีอิทธิพลทางการค้าและอุตสาหกรรม
เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสงบลงในปี 1918 เศรษฐกิจและสังคมของเยอรมันแย่มาก ความศรัทธาในชนชั้นปกครองแทบหมดสิ้น ความสิ้นหวังของประชาชน ทำให้ผู้ปกครองสมัยนั้นต้องใช้ลัทธิชาตินิยมมาเพื่อสร้างความหวังและรวมพลังชาติขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่แค่ในยุโรปแต่ลัทธิชาตินิยมแพร่ขยายไปทั่วโลก ประเทศไทยเองก็โดนเช่นกัน เช่นการประกาศรัฐนิยม การเปลี่ยนการเขียนภาษาไทย
แต่สำหรับประเทศแพ้สงคราม ความรู้สึกนี้รุนแรงและโดนใจ ประชาชนเริ่มหันมาสนับสนุนเพราะไม่มีความหวังอื่นใด ใครเล่าจะช่วยเราได้เท่าตัวเราเอง ผู้ที่จะขึ้นครองอำนาจชูประเด็นนี้ทุกคน รวมถึงอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แคนดิเดตผู้นำที่มาแรงมาก
มีข้อมูลหลายอย่างที่บอกว่า "ชาวยิวที่มีอิทธิพล" มีผลในสงครามจริง ฮิตเลอร์ชูประเด็นนี้เพื่อยึดครองอำนาจ ให้พวกเราอยู่ได้ด้วยตัวเอง หลุดพ้นจากการปกครองในเงามืดของยิว ได้รับการตอบรับมาก ฮิตเลอร์ได้สร้างจุดร่วมแห่งความโกรธแค้นของประชาชนเยอรมันได้แล้ว เขาเริ่มมองเห็นทางที่ประชาชนจะเห็นด้วยกับเขา และใช้ความเกลียดชังความยิวที่เขาสร้างขึ้น เป็นทางขึ้นสู่อำนาจ
นโยบายของนาซี เรียกว่าล้างสมองโดยใช้สื่อทุกรูปแบบที่รัฐมี ตอนนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีทางเลือกอื่น มีแต่วิทยุ ใบปลิว ประกาศ ข่าวโฆษณา ที่เกือบทั้งหมดออกมาจากพรรคนาซี โดยโจเซฟ เกิบเบิ้ล มนุษย์ผู้เชี่ยวชาญการโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda)
ประชาชนตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น คนทำงาน อยู่ในสังคมและโตมาทุกวันด้วยการโฆษณาเกลียดยิว ถามคนเฒ่าที่อยู่ในเหตุการณ์ก็โน้มเอียงว่ายิวทำให้เขาแพ้สงคราม ใครเล่าจะโทษตัวเอง ความเชื่อที่ฝังลึกทุกวันว่ายิวคือผู้ร้าย ยิวคือคนที่ไม่ควรอยู่ด้วย ยิวคือส่วนเกินที่กัดกร่อนเยอรมัน ความเชื่อลึกฝังในใจคนทุกคนแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐ
ไม่เพียงเท่านั้น การออกกฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิชาวยิว ยึดกิจการ ควบคุมพื้นที่ ก็ออกมาสอดคล้องกับความเชื่อที่ฝังให้ประชาชนมานาน ภาครัฐพูด ภาครัฐทำ เอกชนทำ (ถูกบังคับ) ชาวบ้านเชื่อ ถึงจุดที่ "ความเชื่อกลายเป็นความจริง"
เมื่ออกกฎควบคุมเข้มงวด ประชาชนเห็นด้วย รุกรานชาวยิว ด้วยการกระทำและสังคม ภาครัฐส่งเสริม ไม่ผิดนี่นา ! แต่เป้าหมายไม่ใช่ชาวยิวที่เขาอ้างว่าควบคุมการเงินการผลิตแล้วทำให้แพ้สงคราม แต่เป็นชาวยิวทุกคน !
ไม่แน่ใจว่าตอนแรก ฮิตเลอร์จะหวังผลแค่ยิวที่ขวางทางการเมืองของเขาหรือไม่ แต่ตอนนี้กระแสและความเชื่อของประชาชนไปทางนั้นเสียแล้ว ผมคิดว่าฮิตเลอร์คงต้องทำต่อเพื่อรักษาฐานอำนาจ รักษาความนิยมของประชาชน
ไหน ๆ ก็ทำมาถึงระดับนี้ แล้วถ้าทำต่อประชาชนก็นิยม กองทัพก็เห็นด้วย กำจัดศัตรูทางการเมือง กำจัดศัตรูทางเชื้อชาติไปพร้อม ๆ กัน ถ้าไม่ทำอารมณ์คนอาจจะเปลี่ยนไปเป็นฝั่งตรงข้ามก็ได้ เมื่อผู้นำสั่ง มีหรือลิ่วล้อจะไม่ตอบสนอง ทั้งเกิบเบิ้ล ,ฮิมม์เลอร์, ไอชคมานน์ ตอบสนองทั้งความต้องการตัวเอง ความต้องการของนาย เรื่องทั้งหมดก็เกิด
จำกัดสิทธิ ควบคุมกิจการ ครอบครองพื้นที่ทำกิน ยึดทรัพย์ ... นาซีออกกฎ ไร้การต่อต้านจากประชาชนและเจ้าหน้าที่ ผลจากการล้างสมองและ propaganda แถมยังเข้าร่วมด้วย ชาวยิวที่มีอิทธิพลน่าจะหนีไปได้หมด แล้วชาวยิวที่เหลือล่ะ ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่อง คือผู้รับเคราะห์
หลังจากนั้นเริ่มกักกันชาวยิวให้อยู่ในเขตกักกัน (ghetto) แออัด ขาดแคลนอาหารและอนามัย ควบคุมชีวิตตั้งแต่ตื่นจนนอนราวกับนักโทษ ที่ไม่ได้มีการพิพากษาและสอบสวนแต่อย่างไร ชาวบ้านที่ไร้ความผิด เด็ก ผู้สูงวัย ผู้ป่วย นักวิชาการ ครู แรงงานมีฝีมือ ผู้บริสุทธิ์ทั้งนั้น เข้าสู่กระบวนการบั่นทอนอิสรภาพในเขตกักกัน บั่นทอนความเป็นมนุษย์ ถูกทำลายความกล้าและแสงสว่างในชีวิต ไม่กล้าลุกสู้
เหล่าเจ้าหน้าที่เยอรมันก็รู้สึกว่ากลุ่มนี้ไร้ค่า หากถูกกำจัดก็ไม่มีผลใด ๆ
ต่อมาก็ส่งชาวยิวไปใช้แรงงานด้วยกฎที่ไร้มนุษยธรรมที่สุด ทำจนตาย ไม่ได้พัก อาหารเท่าแมวดม ตายในหน้าที่ได้แต่อู้งานไม่ได้ ด้วยความคิดที่ว่าชาวยิวไม่เท่าเทียมกับเยอรมัน ชาวยิวไม่คู่ควรในสังคมมนุษย์ การเสียชีวิตของแรงงานเป็นเรื่องที่ธรรมดายิ่ง ไร้คนสนใจ เจ้าหน้าที่เยอรมันไม่ใส่ใจ คนเยอรมันที่รู้ก็ไม่สนใจราวกับพวกเราไม่ใช่คน
นี่คือการทำลายค่าความเป็นคนจนหมดสิ้น แต่นั่นไม่ใช่ร้ายที่สุด
เมื่อนาซีมีชัยชนะในสงครามทั้งยุโรป แนวคิดการกำจัดยิวเริ่มขยายออกไปทั่วยุโรป ทั้งฮังการี เชคโกสโลวะเกีย โปแลนด์ ใหญ่ ๆ คือสามชาตินี้มีประชาชนยิวอาศัยอยู่มากมาย และยังลามไปถึงกลุ่มชนอื่น ๆ ที่นาซีคิดว่าเป็นปฏิปักษ์กับการสร้างชาติเยอรมันใหม่ ..อาณาจักรไรซ์ที่สาม เช่นพวกยิปซีเร่ร่อน กลุ่มรักร่วมเพศ
เมื่อมีมากขึ้นก็ยากต่อการควบคุม เยอรมันจึงเริ่มส่งชาวยิว ยิปซี รักร่วมเพศ นักโทษการเมือง เชลยสงครามไปไว้ที่ค่ายกักกัน (concentration camp) ที่นี่ห่างไกลจากสายตาประชาชน ห่างไกลจากสายตาชาวโลกและสายลับ
มีการขึ้นทะเบียน บันทึกรายชื่อ จดรายการทรัพย์สิน ของนักโทษ มีการแบ่งแยกกลุ่มนักโทษ จัดระเบียบภายในค่ายให้โหดเหี้ยม หวาดกลัว ภายใต้ความกดดันมหาศาล นักโทษเริ่มถูกกัดกร่อนชีวิต ความสุขและสุดท้ายคือความหวัง
มีการใช้มนุษย์เป็นเครื่องทดลอง ใช้แรงงาน สังหารอย่างสนุกสนานป่าเถื่อน ไร้กฎไร้ศีลธรรม สำหรับนักโทษ เรียกว่าทำการล้างเผ่าพันธุ์อย่างมีระบบระเบียบ ตั้งแต่แนวคิด ทฤษฎี จนถึงปฏิบัติ ไม่ได้สังหารอย่างเดียวเหมือนเขมรแดงหรือที่ยูโกสลาเวีย
จนท้ายสุดนักโทษมากขึ้น พรรคนาซีจึงเลือกใช้นโยบายสุดท้ายสำหรับชาวยิว "the final solution" คือการสังหาร ทั้งการยิงเป้า จุดไฟเผา จนมาถึงมาตรการที่ใช้การระดมสมองคิดและออกแบบ "การตาย" แบบสมบูรณ์ในความคิดของนาซี การรมแก๊สและเผาทำลาย
นำพาไปสู่การสังหารครั้งใหญ่ ชาวยิวกว่าหกล้านคน นักโทษสงครามโซเวียต รักร่วมเพศ ยิปซี นักโทษการเมือง รวม ๆ แล้วน่าจะประมาณสิบล้านคน มากกว่าทหารที่สูญเสียจากสงครามเสียอีก โดยใช้เวลาไม่นาน เพราะโรงงานสังหารตามค่ายมรณะทำงานตลอดทั้งวันทุกวัน
ที่ร้ายที่สุดและถือว่า โหดเหี้ยมคือ บรรดานักโทษต้องเผานักโทษด้วยกันเอง บางคนก็รู้จักกัน บางคนก็เป็นคนที่เคยรักกัน โดยที่ทุกคนก็รู้ว่าสักวันหนึ่งจะถึงคิวของตน
วินาทีที่ต้องโยนศพผู้ร่วมเชื้อชาติ ศาสนา ทั้งเด็กทารก วัยรุ่น ผู้ชรา ที่บางคนยังไม่เสียชีวิตเข้าเตาเผา (crematorium) มันคือการสังหารมนุษย์ทั้งกาย ทั้งใจ และจิตวิญญาณ
ผมอ่านเรื่องราวพวกนี้ และได้ไปสัมผัสที่เกิดเหตุ พูดคุยกับทายาท จึงได้เข้าใจว่า ทำไมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวของนาซีนั้นจึงเป็นความตกต่ำที่สุด ที่สุดของความเกลียดชัง ที่คนเราสร้างขึ้นมาสังหารคนด้วยกันเอง ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และไม่ควรจะเกืดขึ้นอีก..ตลอดไป
ปล. ทั้งหมดนี้เป็นการเล่าเรื่องของผมที่ต้องการสื่อให้เห็นความแตกแยกในใจคนและพาไปสู่หายนะ ลำดับเหตุการณ์อาจไม่ละเอียดหรืออาจมีบางส่วนที่เป็นมุมมองข้อคิดเห็นส่วนตัว