31 มีนาคม 2562

Final Solution ปลายทางแห่งความเกลียดชัง holocaust

Final Solution ปลายทางแห่งความเกลียดชัง บทเรียนที่มนุษย์ทุกคนควรเรียนรู้
เด็กยุคใหม่อาจจะเลือนลางกับสงครามโลกครั้งที่สอง คนที่เคยอยู่ในยุคสงครามก็ล้มหายตายจากไป เหลือไว้แต่เรื่องเล่าขานและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ สำหรับผมแล้วสงครามโลกครั้งที่สองคือจุดเปลี่ยนจุดหนึ่งของสังคมโลก จุดที่ความขัดแย้งได้ทำลายความเป็นมนุษย์ไปอย่างที่สุด
ความรู้สึกนี้มันคล้ายกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ความแตกแยกมันร้าวลึกลงไปในใจของผู้คน แยกเหล่าแยกเขาแยกเรา ทั้ง ๆ ที่ทั้งหมดเป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น ใครที่ติดตามเพจมาตลอดจะรู้ว่าผมโยงเรื่องประวัติศาสตร์สงครามบ่อยครั้ง เพียงแต่ไม่ค่อยพูดเรื่องสงครามในบ้านเราเพราะอาจมีการไม่ยอมรับหรือข้ออคติที่เกิดได้ จึงมักยกตัวอย่างจากสถานการณ์ต่างประเทศ
ส่วนของสงครามโลกครั้งที่สองที่ผมสนใจมากที่สุดคือ การสังหารล้างเผ่าพันธุ์ของฮิตเลอร์และนาซี ที่เรียกว่าเป็น holocaust ที่สมบูรณ์แบบ หลายท่านคงคิดว่ามีการสังหารล้างเผ่าพันธุ์อีกมาก ไม่ว่าสังหารชาวทุตซีในรวันดา สังหารชาวเขมรของกองทัพเขมรแดง แต่การสังหารล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวนี้ ทำเป็นระบบตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ไม่ได้สังหารด้วยอาวุธร้ายแต่สร้างความจงเกลียดจงชังมาตั้งแต่วัยเด็ก จนทำให้ผู้คนแทบไม่รู้สึกเลยว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่คือ "การสังหารล้างเผ่าพันธุ์"
เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มหาอำนาจกลางคือ ออสเตรีย-ฮังการี เยอรมัน และออตโตมัน คือผู้แพ้สงคราม สนธิสัญญาแวร์ซายน์ที่ฝ่ายผู้ชนะเขียนให้ผู้แพ้ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง รวมทั้งค่าปฏิกรรมสงครามปริมาณมหาศาล รวมทั้งการแทรกแซงเศรษฐกิจ การเมือง สังคม เรียกว่าทำให้เยอรมันแทบสิ้นชาติ ตอนนั้นเปลี่ยนชื่อประเทศและระบบการปกครองเป็นสาธารณรัฐไวมาร์
เหล่าบรรดาผู้แพ้สงคราม นายทหาร ชนชั้นสูงของเยอรมัน ได้อธิบายสาเหตุหนึ่งของความพ่ายแพ้ว่า ผู้ควบคุมเศรษฐกิจชาวยิว ไม่ได้ช่วยทำสงครามสักเท่าไร ออกจะต้านกองทัพเยอรมันด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นชาวยิวมีมากมายทั่วยุโรปและมีสายสัมพันธ์ค่อนข้างดี โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีอิทธิพลทางการค้าและอุตสาหกรรม
เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสงบลงในปี 1918 เศรษฐกิจและสังคมของเยอรมันแย่มาก ความศรัทธาในชนชั้นปกครองแทบหมดสิ้น ความสิ้นหวังของประชาชน ทำให้ผู้ปกครองสมัยนั้นต้องใช้ลัทธิชาตินิยมมาเพื่อสร้างความหวังและรวมพลังชาติขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่แค่ในยุโรปแต่ลัทธิชาตินิยมแพร่ขยายไปทั่วโลก ประเทศไทยเองก็โดนเช่นกัน เช่นการประกาศรัฐนิยม การเปลี่ยนการเขียนภาษาไทย
แต่สำหรับประเทศแพ้สงคราม ความรู้สึกนี้รุนแรงและโดนใจ ประชาชนเริ่มหันมาสนับสนุนเพราะไม่มีความหวังอื่นใด ใครเล่าจะช่วยเราได้เท่าตัวเราเอง ผู้ที่จะขึ้นครองอำนาจชูประเด็นนี้ทุกคน รวมถึงอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แคนดิเดตผู้นำที่มาแรงมาก
มีข้อมูลหลายอย่างที่บอกว่า "ชาวยิวที่มีอิทธิพล" มีผลในสงครามจริง ฮิตเลอร์ชูประเด็นนี้เพื่อยึดครองอำนาจ ให้พวกเราอยู่ได้ด้วยตัวเอง หลุดพ้นจากการปกครองในเงามืดของยิว ได้รับการตอบรับมาก ฮิตเลอร์ได้สร้างจุดร่วมแห่งความโกรธแค้นของประชาชนเยอรมันได้แล้ว เขาเริ่มมองเห็นทางที่ประชาชนจะเห็นด้วยกับเขา และใช้ความเกลียดชังความยิวที่เขาสร้างขึ้น เป็นทางขึ้นสู่อำนาจ
นโยบายของนาซี เรียกว่าล้างสมองโดยใช้สื่อทุกรูปแบบที่รัฐมี ตอนนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีทางเลือกอื่น มีแต่วิทยุ ใบปลิว ประกาศ ข่าวโฆษณา ที่เกือบทั้งหมดออกมาจากพรรคนาซี โดยโจเซฟ เกิบเบิ้ล มนุษย์ผู้เชี่ยวชาญการโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda)
ประชาชนตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น คนทำงาน อยู่ในสังคมและโตมาทุกวันด้วยการโฆษณาเกลียดยิว ถามคนเฒ่าที่อยู่ในเหตุการณ์ก็โน้มเอียงว่ายิวทำให้เขาแพ้สงคราม ใครเล่าจะโทษตัวเอง ความเชื่อที่ฝังลึกทุกวันว่ายิวคือผู้ร้าย ยิวคือคนที่ไม่ควรอยู่ด้วย ยิวคือส่วนเกินที่กัดกร่อนเยอรมัน ความเชื่อลึกฝังในใจคนทุกคนแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐ
ไม่เพียงเท่านั้น การออกกฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิชาวยิว ยึดกิจการ ควบคุมพื้นที่ ก็ออกมาสอดคล้องกับความเชื่อที่ฝังให้ประชาชนมานาน ภาครัฐพูด ภาครัฐทำ เอกชนทำ (ถูกบังคับ) ชาวบ้านเชื่อ ถึงจุดที่ "ความเชื่อกลายเป็นความจริง"
เมื่ออกกฎควบคุมเข้มงวด ประชาชนเห็นด้วย รุกรานชาวยิว ด้วยการกระทำและสังคม ภาครัฐส่งเสริม ไม่ผิดนี่นา ! แต่เป้าหมายไม่ใช่ชาวยิวที่เขาอ้างว่าควบคุมการเงินการผลิตแล้วทำให้แพ้สงคราม แต่เป็นชาวยิวทุกคน !
ไม่แน่ใจว่าตอนแรก ฮิตเลอร์จะหวังผลแค่ยิวที่ขวางทางการเมืองของเขาหรือไม่ แต่ตอนนี้กระแสและความเชื่อของประชาชนไปทางนั้นเสียแล้ว ผมคิดว่าฮิตเลอร์คงต้องทำต่อเพื่อรักษาฐานอำนาจ รักษาความนิยมของประชาชน
ไหน ๆ ก็ทำมาถึงระดับนี้ แล้วถ้าทำต่อประชาชนก็นิยม กองทัพก็เห็นด้วย กำจัดศัตรูทางการเมือง กำจัดศัตรูทางเชื้อชาติไปพร้อม ๆ กัน ถ้าไม่ทำอารมณ์คนอาจจะเปลี่ยนไปเป็นฝั่งตรงข้ามก็ได้ เมื่อผู้นำสั่ง มีหรือลิ่วล้อจะไม่ตอบสนอง ทั้งเกิบเบิ้ล ,ฮิมม์เลอร์, ไอชคมานน์ ตอบสนองทั้งความต้องการตัวเอง ความต้องการของนาย เรื่องทั้งหมดก็เกิด
จำกัดสิทธิ ควบคุมกิจการ ครอบครองพื้นที่ทำกิน ยึดทรัพย์ ... นาซีออกกฎ ไร้การต่อต้านจากประชาชนและเจ้าหน้าที่ ผลจากการล้างสมองและ propaganda แถมยังเข้าร่วมด้วย ชาวยิวที่มีอิทธิพลน่าจะหนีไปได้หมด แล้วชาวยิวที่เหลือล่ะ ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่อง คือผู้รับเคราะห์
หลังจากนั้นเริ่มกักกันชาวยิวให้อยู่ในเขตกักกัน (ghetto) แออัด ขาดแคลนอาหารและอนามัย ควบคุมชีวิตตั้งแต่ตื่นจนนอนราวกับนักโทษ ที่ไม่ได้มีการพิพากษาและสอบสวนแต่อย่างไร ชาวบ้านที่ไร้ความผิด เด็ก ผู้สูงวัย ผู้ป่วย นักวิชาการ ครู แรงงานมีฝีมือ ผู้บริสุทธิ์ทั้งนั้น เข้าสู่กระบวนการบั่นทอนอิสรภาพในเขตกักกัน บั่นทอนความเป็นมนุษย์ ถูกทำลายความกล้าและแสงสว่างในชีวิต ไม่กล้าลุกสู้
เหล่าเจ้าหน้าที่เยอรมันก็รู้สึกว่ากลุ่มนี้ไร้ค่า หากถูกกำจัดก็ไม่มีผลใด ๆ
ต่อมาก็ส่งชาวยิวไปใช้แรงงานด้วยกฎที่ไร้มนุษยธรรมที่สุด ทำจนตาย ไม่ได้พัก อาหารเท่าแมวดม ตายในหน้าที่ได้แต่อู้งานไม่ได้ ด้วยความคิดที่ว่าชาวยิวไม่เท่าเทียมกับเยอรมัน ชาวยิวไม่คู่ควรในสังคมมนุษย์ การเสียชีวิตของแรงงานเป็นเรื่องที่ธรรมดายิ่ง ไร้คนสนใจ เจ้าหน้าที่เยอรมันไม่ใส่ใจ คนเยอรมันที่รู้ก็ไม่สนใจราวกับพวกเราไม่ใช่คน
นี่คือการทำลายค่าความเป็นคนจนหมดสิ้น แต่นั่นไม่ใช่ร้ายที่สุด
เมื่อนาซีมีชัยชนะในสงครามทั้งยุโรป แนวคิดการกำจัดยิวเริ่มขยายออกไปทั่วยุโรป ทั้งฮังการี เชคโกสโลวะเกีย โปแลนด์ ใหญ่ ๆ คือสามชาตินี้มีประชาชนยิวอาศัยอยู่มากมาย และยังลามไปถึงกลุ่มชนอื่น ๆ ที่นาซีคิดว่าเป็นปฏิปักษ์กับการสร้างชาติเยอรมันใหม่ ..อาณาจักรไรซ์ที่สาม เช่นพวกยิปซีเร่ร่อน กลุ่มรักร่วมเพศ
เมื่อมีมากขึ้นก็ยากต่อการควบคุม เยอรมันจึงเริ่มส่งชาวยิว ยิปซี รักร่วมเพศ นักโทษการเมือง เชลยสงครามไปไว้ที่ค่ายกักกัน (concentration camp) ที่นี่ห่างไกลจากสายตาประชาชน ห่างไกลจากสายตาชาวโลกและสายลับ
มีการขึ้นทะเบียน บันทึกรายชื่อ จดรายการทรัพย์สิน ของนักโทษ มีการแบ่งแยกกลุ่มนักโทษ จัดระเบียบภายในค่ายให้โหดเหี้ยม หวาดกลัว ภายใต้ความกดดันมหาศาล นักโทษเริ่มถูกกัดกร่อนชีวิต ความสุขและสุดท้ายคือความหวัง
มีการใช้มนุษย์เป็นเครื่องทดลอง ใช้แรงงาน สังหารอย่างสนุกสนานป่าเถื่อน ไร้กฎไร้ศีลธรรม สำหรับนักโทษ เรียกว่าทำการล้างเผ่าพันธุ์อย่างมีระบบระเบียบ ตั้งแต่แนวคิด ทฤษฎี จนถึงปฏิบัติ ไม่ได้สังหารอย่างเดียวเหมือนเขมรแดงหรือที่ยูโกสลาเวีย
จนท้ายสุดนักโทษมากขึ้น พรรคนาซีจึงเลือกใช้นโยบายสุดท้ายสำหรับชาวยิว "the final solution" คือการสังหาร ทั้งการยิงเป้า จุดไฟเผา จนมาถึงมาตรการที่ใช้การระดมสมองคิดและออกแบบ "การตาย" แบบสมบูรณ์ในความคิดของนาซี การรมแก๊สและเผาทำลาย
นำพาไปสู่การสังหารครั้งใหญ่ ชาวยิวกว่าหกล้านคน นักโทษสงครามโซเวียต รักร่วมเพศ ยิปซี นักโทษการเมือง รวม ๆ แล้วน่าจะประมาณสิบล้านคน มากกว่าทหารที่สูญเสียจากสงครามเสียอีก โดยใช้เวลาไม่นาน เพราะโรงงานสังหารตามค่ายมรณะทำงานตลอดทั้งวันทุกวัน
ที่ร้ายที่สุดและถือว่า โหดเหี้ยมคือ บรรดานักโทษต้องเผานักโทษด้วยกันเอง บางคนก็รู้จักกัน บางคนก็เป็นคนที่เคยรักกัน โดยที่ทุกคนก็รู้ว่าสักวันหนึ่งจะถึงคิวของตน
วินาทีที่ต้องโยนศพผู้ร่วมเชื้อชาติ ศาสนา ทั้งเด็กทารก วัยรุ่น ผู้ชรา ที่บางคนยังไม่เสียชีวิตเข้าเตาเผา (crematorium) มันคือการสังหารมนุษย์ทั้งกาย ทั้งใจ และจิตวิญญาณ
ผมอ่านเรื่องราวพวกนี้ และได้ไปสัมผัสที่เกิดเหตุ พูดคุยกับทายาท จึงได้เข้าใจว่า ทำไมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวของนาซีนั้นจึงเป็นความตกต่ำที่สุด ที่สุดของความเกลียดชัง ที่คนเราสร้างขึ้นมาสังหารคนด้วยกันเอง ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และไม่ควรจะเกืดขึ้นอีก..ตลอดไป
ปล. ทั้งหมดนี้เป็นการเล่าเรื่องของผมที่ต้องการสื่อให้เห็นความแตกแยกในใจคนและพาไปสู่หายนะ ลำดับเหตุการณ์อาจไม่ละเอียดหรืออาจมีบางส่วนที่เป็นมุมมองข้อคิดเห็นส่วนตัว

30 มีนาคม 2562

สถาบันวัคซีนแห่งชาติ

สวัสดีตอนบ่ายที่แสนเย็นสบายนะครับ บ่ายวันเสาร์แบบนี้มีเรื่องเล่าให้ฟัง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้แอบไปงาน flu voice ที่คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล มีการระดมความคิดและมุมมองจากภาครัฐ นักวิชาการ สื่อมวลชน ประชาชน ผู้ป่วย เกี่ยวกับเรื่องไข้หวัดใหญ่ที่ตอนนี้ระบาดมาก และคาดว่าปีนี้น่าจะระบาดมาก (ระบาดมากคือระบาดในวงกว้างนะครับ)
หนึ่งในมาตรการป้องกันโรคคือวัคซีน ในอดีตกระทรวงสาธารณสุขซื้อวัคซีนเข้ามาไม่กี่หมื่นโด๊ส เหลือนะครับ ขนาดฟรีและไล่แจก แต่ตอนนี้วัคซีนเป็นล้าน ปีที่แล้วสามล้านกว่า ๆ หมดเกลี้ยง ยังไม่รวมถึงวัคซีนที่เรา ๆ ท่าน ๆ ซื้อฉีดเองยังเกลี้ยง และขาดตลาด
เพราะความเข้าใจเรื่องวัคซีนและการตื่นตัวมากขึ้น ผลที่ออกมาก็ป่วยลดและอันตรายลดลงจริง ๆ นะครับ ปีนี้เราน่าจะได้วัคซีนฟรีมาสักสี่ล้านโด๊ส กรมควบคุมโรคและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ดำเนินการเรื่องนี้แล้ว
แต่ในอนาคตข้างหน้า เมื่อเราตื่นตัวและต้องการใข้วัคซีนมากขึ้น เราต้องการความมั่นคงเรื่อง "วัคซีน" ในชาติของเรา เมื่อสักหนึ่งปีก่อน สนช.ได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ ปี 2561 เรียบร้อยและบังคับใช้เรียบร้อยเช่นกัน มีการจัดแผน จัดสรรงบประมาณและบูรณาการด้านความรู้และเทคโนโลยีด้านวัคซีน เพื่อให้คนไทยได้มีวัคซีนที่มีคุณภาพใช้ทั้งในเวลาปรกติและช่วงแห่งการระบาด
มีการจัดตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เพื่อเป็นจุดศูนย์รวมความรู้ด้านวัคซีน ทั้งการผลิต การจัดการ การให้ความรู้ ตอนนี้หน่วยงานก็ดำเนินการแล้ว มาเข้าร่วมและให้ความเข้าใจเรื่องวัคซีน ท่านสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ แฟนเพจ ของสนง.วัคซีนแห่งชาติได้
ล่าสุดได้ประกาศเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่คิดว่าจะระบาดในเขตซีกโลกเหนือ และวัคซีนจะได้ในช่วงเดือนตุลา
สำหรับเมืองไทย จะฉีดของซีกโลกไหนก็พอ ๆ กัน แต่ว่าเมืองไทยนั้นไข้หวัดใหญ่จะระบาดมากในช่วงเดือน มิถุนายนถึงสิงหาคม ซึ่งตรงกับวัคซีนของเชื้อฝั่งซีกโลกใต้ ที่เพิ่งออกวางจำหน่ายไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ สักพักภาครัฐจะประกาศให้มารับวัคซีนสามสายพันธุ์ฟรีครับ ส่วนใครมีกำลังพอก็ซื้อฉีดเองได้ แบบสี่สายพันธุ์ ราคาประมาณ 600-900 บาท
พูดตรง ๆ แต่ก่อนผมก็ไม่เชื่อเรื่องวัคซีนนะ เคยคุยกับเพื่อนหมอเด็กบอกว่า โรคที่เด็ก ๆ ฉีดวัคซีนกันน่ะ ผมเจอเยอะมากเลย หมอเด็กไม่เจอเพราะมาเกิดโรคตอนเป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อลองศึกษาแบบวิชาการ ทบทวน ประมาณครึ่งปี ที่อ่านเป็นร้อย ๆ เปเปอร์ วิเคราะห์แบบเป็นกลาง ไม่ให้มีอิทธิพลของผู้ผลิตและผู้ต่อต้านมาเกี่ยวข้อง ก็พบว่า
ที่โรคมันไม่ลดลงก็เพราะมีหมอแบบเราในสมัยก่อนนี่ไง ที่ไม่สนใจเรื่องการป้องกัน คิดแต่เรื่องรักษา ตั้งแต่นั้นก็สนใจเรื่องการป้องกันมากขึ้น และใช้วัคซีนเพื่อป้องกันมากขึ้น ตามเกณฑ์ของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ฯ ครับ
นี่ฉันอยู่เมืองไทยหรือทะเลทรายเนี่ย !

กินไข่

"กินไข่ตั้งแต่สามฟองต่อสัปดาห์ขึ้นไป เพิ่มโอกาสการเกิดโรคหัวใจและตายเร็วขึ้น" พาดหัวข่าวจาก CNN หนึ่งในกับดักค่า p-value และการอ่านงานวิจัยแค่บทคัดย่อ !!
ท่านคงยังจำได้กับหลายการศึกษาที่ผมเคยนำเสนอไป ไม่ว่าระดับไขมันโคเลสเตอรอลจากอาหารส่งผลน้อยมากต่อโคเลสเตอรอลในเลือด การกินไข่วันละ 1-2 ฟองต่อวันหรือประมาณ 10-14 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ส่งผลเพิ่มระดับไขมันและอัตราการเสียชีวิต เป็นการศึกษาแบบการทดลองและควบคุมเลยนะครับ (randomized controlled trials) ข้อมูลงานวิจัยต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศออกมาทางเดียวกันทั้งสิ้น
แต่เมื่อไม่นานมานี้สำนักข่าว CNN, BBC, เว็บไซต์ Medscape ได้ลงพาดหัวโดยอ้างอิงจากการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน JAMA เมิ่อสองสัปดาห์ก่อน ย่อมสะกิดใจผมมาก คิดว่า โห...มีข้อมูลใหม่ที่ล้มข้อมูลเดิมได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ
บทความสรุปจากที่ต่าง ๆ ยึดถือเอาความมีนัยสำคัญทางสถิติ p < 0.05 มาแปลผลสมมุติฐานอันนั้นว่า เออ..เมื่อคิดทางสถิติแล้วมันจริงนะ โอกาสพลาดหรือจริงโดยบังเอิญนั้นน้อยมากน้อยกว่า 5% แสดงว่า การตัดสินสำคัญกว่าคะแนนจริงหรือ เพราะสถิติไม่ใช่การแพ้ชนะ
เหมือนการตัดสินการนับคะแนนบางอย่าง ได้คะแนน 50,001 ชนะ แต่ได้ 49,999 คือแพ้ เพราะเกณฑ์เรานับที่ 50,000 คะแนนตัดสินแพ้ชนะ จริงตามข้อกำหนดไหม ก็ถือว่าจริง แต่ถามว่าการแพ้แค่ 2 คะแนนมันหมายถึงที่สองมันไม่ดี หรือความต่างกันแค่สองคะแนนมันยิ่งใหญ่เพียงใด ด้วยเพียงคำกล่าว "นัยสำคัญทางสถิติ"
1.การศึกษานี้เป็นการรวบรวมข้อมูลจากการเก็บข้อมูลชุดอื่น ๆ ที่ทำอยู่เดิม ผู้วิจัยขอดูว่ามีเก็บเรื่องอาหารโคเลสเตอรอลและการกินไข่หรือไม่ และมีตัวชี้วัดที่ผู้วิจัยต้องการคืออัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมองหรือไม่ ถ้ามีก็ขอดึงข้อมูลมาวิเคราะห์ ...มันต่างจากการศึกษาที่ออกแบบมาตอบคำถามตรง ๆ เพื่อควบคุมตัวแปรต่าง ๆ และเจตนาดูผลของปริมาณการกินไข่กับการเกิดโรคเลย
2.ตัวแปรที่เขาสนใจคือการบริโภคไขมันโคเลสเตอรอลที่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวันทุกวัน หรือกินไข่มากกว่าวันละครึ่งฟองต่อวันทุกวัน (ถ้าไม่ทุกวันก็ประมาณ 3-4 ฟองต่อสัปดาห์ขึ้นไป) ไม่ใช่แค่ไข่อย่างเดียวตามที่พาดหัวครับ เวลาคิดรวมการกินไข่มากหรืออาหารโคเลสเตอรอลมาก จะเพิ่มการเกิดโรคหัวใจและอัตราตาย แต่ถ้ามาดูแยก น้ำหนักจะไปเทที่อาหารโคเลสเตอรอลมากกว่าการกินไข่
3.ชุดข้อมูลหกชุดที่เขาขอข้อมูลมารวมกันเพื่อวิเคราะห์นั้น ไม่ได้มีเกณฑ์ที่เหมือนกันเลย การกระจายของข้อมูลมากมาย และเขาใข้วิธีการจัดกลุ่มและจัดโมเดลการคิดวิเคราะห์ ใช้ตัวกรองซ้อนกันหลายชั้น ๆ เพื่อตัดตัวแปรปรวน เพื่อพยายามให้การคำนวณมาจากกลุ่มที่ใกล้เคียงกันมากที่สุดที่จะมาเทียบกัน บางโมเดลมีการตัดตัวกรองถึง 6-7 ขั้น การคิดเช่นนี้จะบีบข้อมูลให้ใกล้เคียงกัน ไม่กระจายก็จริง แต่จะเพิ่ม type I error หรือผลบวกปลอมมากขึ้น (ในที่นี่คือ การกินไข่และโคเลสเตอรอลมีผลจากการศึกษา แต่จริง ๆ มันไม่มีผล เพราะเราใส่ "กระบวนการ" มากเกินไป)
3.แม้จะมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ทุก ๆ ค่าวัดไม่ว่าอัตราตายรวม อัตราตายจากโรคหัวใจ การเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หัวใจวาย อัมพาต ชนะกันเฉียดฉิวมาก ในทุก ๆ ค่า ขอยกตัวอย่างอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดนะครับ
สำหรับอาหารโคเลสเตอรอลที่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน เกิดโรคมากกว่ากินโคเลสเตอรอลน้อยเพียง 3.3% (ถ้าคิด hazard ratio คือ 1.17 95%CI คือ 1.09-1.26)
สำหรับกินไข่มากกว่า 3-4 ฟองต่อสัปดาห์ เกิดโรคมากกว่ากินไข่น้อยเพียง 1.1% (ถ้าคิด hazard ratio คือ 1.06 95%CI คือ 1.03-1.10)
4.ถามว่าในประชากรในการศึกษากระจายตัวดีหรือไม่ ตอบว่าไม่ ส่วนใหญ่เกือบ 90% ของการศึกษานั้นกินโคเลสเตอรอลแค่ 241 มิลลิกรัมต่อวัน และกินไข่ 0.1 ฟองต่อวัน เพราะขณะทำการศึกษามีแนวทางอย่ากินโคเลสเตอรอลเกิน 300 มิลลิกรัมต่อวันอยู่แล้ว จะหาคนกินเกินยากมาก ดังนั้นผลการศึกษาจึงไม่ได้กระจายตัวตามปรกติ แม้จะใช้ค่าทางสถิติคำนวณว่ามีนัยสำคัญ แต่ถ้าไปดูตัวเลขจริง กราฟจริงจะพบว่าคนที่กินไข่เกินหรือโคเลสเตอรอลเกินกำหนดมีน้อยมาก
วิทยาลัยแพทย์โรคหัวใจอเมริกาลงความเห็นการศึกษานี้ว่า "inconclusive" ส่วนบทบรรณาธิการบอกว่า "น้ำหนักไม่เพียงพอ" แม้จะสรุปได้ว่าอัตราการเกิดโรคและเสียชีวิตเพิ่มจริงตามการคำนวณทางสถิติ แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาแล้ว ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนครับ
บอกได้แค่ว่าไข่ยังเป็นแหล่งอาหารโภชนาการสูงและราคาถูกของคนไทย แต่หากกินมากไปพลังงานมากเกิน โคเลสเตอรอลที่ได้รับมากเกินก็คงไม่ดีนัก ยึดทางสายกลางไว้ 1-2 ฟองต่อวันก็พอครับ ไม่ได้จำกัดไข่แดงไข่ขาวนะครับ และอย่าลืมวิธีประกอบอาหารด้วยยิ่งทอดหรือผัดก็จะได้น้ำมันเข้าไปเพิ่มขึ้นอีก
ส่วนตัวแล้วยังไม่ "ซื้อ" ข่าวนี้นักครับ และหากอ่านข่าวแบบพาดหัวโดยไม่ได้พิจารณาเนื้อในให้ดีหรือฟังความเห็นด้านอื่นด้วย ท่านอาจจะเลิกกินไข่ไปแล้ว
ที่มา
1.Zhong VW, Van Horn L, Cornelis MC, et al. Associations of Dietary Cholesterol or Egg Consumption With Incident Cardiovascular Disease and Mortality. JAMA.2019;321(11):1081–1095. doi:10.1001/jama.2019.1572

29 มีนาคม 2562

กินยาฮอร์โมนไทรอยด์แยกจากอาหาร

กินยาฮอร์โมนไทรอยด์แยกจากอาหาร ...จะดีนะ
ยาฮอร์โมนไทรอยด์ เป็นฮอร์โมนไทรอยด์สังเคราะห์ ต่างจากฮอร์โมนธรรมชาติเล็กน้อย (เป็นการหมุนโมเลกุลชีวเคมีขวาเป็นซ้าย ..ช่างมันเถอะครับ) เราใช้ยานี้ด้วยข้อบ่งชี้หลายประการ สำคัญที่สุดคือ ชดเชยฮอร์โมนไทรอยด์
ผู้ป่วยหลายคนเคยเกิดปัญหากินยาแล้วระดับยาไม่ถึงขั้น ปรับยาหลายหน ด้วยความที่ยาตัวนี้ออกฤทธิ์ยาวกินยาสามสี่วันต่อสัปดาห์ยังได้ หยุดไปสักพักระดับยาในเลือดก็ยังคงอยู่ ก็ดูไม่น่ายากนะ แต่นี่คือเส้นผมบังภูเขาจริง ๆ
ควรกินยาแยกจากมื้ออาหาร เพราะเกลือแร่หลายอย่างในอาหารอาจบดบังการดูดซึมยาได้ โดยเฉพาะอาหารแคลเซียมสูง ๆ เช่นนม ชีส มีการศึกษากินตอนเช้า กินก่อนมื้ออาหาร (เหอะ..ต้องกินอาหารเป็นมื้อนะ ไม่ใช้กินทั้งวัน) หรือกินก่อนนอน เรียกว่าท้องว่างแน่ล่ะ ปรากฎว่าประสิทธิภาพพอ ๆ กัน
และควรแยกจากยาหลายชนิด โดยเฉพาะยาที่เป็นเกลือแร่ประจุบวก เช่นยาเสริมธาตุเหล็ก (Fe2+) ยาธาตุเคลือบกระเพาะ (Al3+) ยาแคลเซียม (Ca2+) ยา sucralfate ยา cholestyramine
ถ้าไม่แน่ใจก็กินตอนตื่นนอนก็ได้ ยกเว้นใครละเมอมากินหมูกะทะก่อนนอนครับ บางทีแก้ไขประเด็นนี้นิดเดียว การควบคุมฮอร์โมนก็ดี ระดับยาได้ตามที่ต้องการ ไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเพราะการใช้ levothyroxine ในขนาดสูงขึ้นอาจต้องระวังหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหลอดเลือดหัวใจตีบได้ครับ

28 มีนาคม 2562

ไต่ถามกันมามากมายกับข่าวการเรียกคืนยา losartan เพราะพบสารก่อมะเร็ง

ไต่ถามกันมามากมายกับข่าวการเรียกคืนยา losartan เพราะพบสารก่อมะเร็ง
ใครตามเรื่องนี้มาตลอดจะทราบได้ว่าเป็นมาตรการการรักษาความปลอดภัย คล้ายกับการเรียกคืนรถยนต์ไปปรับการทำงานนั่นแหละครับ ทางผู้ผลิตและผู้ตรวจสอบเขาพบจุดบอดที่ "อาจจะ"เกิดอันตราย จึงขอแก้ไขก่อนที่จะเกิดเรื่อง ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้เกิดมะเร็งขึ้นแล้วนะครับ
มีประกาศการเรียกคืนยาลดความดันกลุ่ม angiotensin receptor blocker สามชนิดคือ valsartan, irbesartan และล่าสุดคือ losartan ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ บางล็อตการผลิตมีการใช้วัตถุดิบที่มีการปนเปื้อนสาร NDMA ที่มีรายงานการก่อมะเร็งในสัตว์ทดลองและมีโอกาสที่อาจจะก่อมะเร็งในคน ตามการจัดสารก่อมะเร็งขององค์กร IARC องค์กรที่จัดกลุ่มสารก่อมะเร็ง รายละเอียดนั้นผมทำลิ้งก์บทความเดิมที่เคยเขียนมาให้ด้านล่างแล้ว
บางล็อต ..หมายถึงไม่ใช่ทุกยี่ห้อ และแม้แต่ยี่ห้อนั้นก็ไม่ใช่ทุกล็อต ต้องตรวจสอบเลขล็อตการผลิตที่แผงยาและเอกสารกำกับยา ถ้าดูไม่เป็นไปให้ร้านขายยาหรือแผนกเภสัชกรรมช่วยตรวจให้
ใช้วัตถุดิบที่ปนเปื้อน.. คือมีแค่บางส่วนเท่านั้น ตัวยายังทำงานได้ดี ไม่ได้เกิดจากการผลิตยา
รายงานการก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง .. ย้ำว่าในสัตว์ทดลองคือมีการให้สาร NDMA หรือติดตามสัตว์ที่สัมผัสสาร NDMA ไม่ได้เป็นสถานการณ์ที่เกิดจริงในชีวิตปรกติ
ยังไม่พบการก่อมะเร็งในคน .. ยังไม่มีการรายงาน แค่น่าจะเกิดตามกลไกทางชีววิทยา แต่เนื่องจาก IARC ได้ตั้งเกณฑ์ขั้นต่ำที่จะประกาศว่าสารใดเข้าเกณฑ์และสารนี้มันเข้าเกณฑ์
จากคำอธิบายสี่ประการเห็นได้ว่าเป็นระดับการเฝ้าระวังเท่านั้น ถามว่าน้ำหนักการกินยาต่อไป กับหยุดยาไปเลย อะไรเลวร้ายกว่ากันก็ต้องตอบว่าหยุดยาไปเลยอันตรายกว่าเพราะโรคความดันสูงกลับมาคุมไม่ได้แน่ หรือโรคไตโรคหัวใจกลับมาคุมไม่ได้แน่ มะเร็งจะเกิดหรือเปล่ายังไม่รู้ ดังนั้นถ้าตรวจสอบแล้วว่าเราเกิดกินยาไปบ้างก็ยังไม่ต้องตกใจหรือเครียดนะครับ หรือถ้ายังไม่ได้ตรวจสอบหรือไม่สามารถไปตรวจสอบตอนนี้ได้ ก็กินไปก่อนได้ครับ อย่าเพิ่งตกใจโยนยาทิ้งไป จนเราสามารถไปเปลี่ยนล็อตใหม่มากิน เพราะการขาดยาเกิดอันตรายแน่นอนชัดเจนกว่าหลายเท่า
ยา losartan เป็นยาที่ใช้กันมานานและบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ การใช้ยาแพร่หลายในทั่วทุกจังหวัด ราคายาไม่แพง เป็นยากลุ่มนี้ที่อัตราการใช้สูงสุดในบ้านเรา ทั้งยาเดี่ยวและยาเม็ดรวมกับยาลดความดันตัวอื่น แต่ที่ประกาศเตือนคือยาเม็ดเดี่ยวยี่ห้อ LANZAAR ขนาด 50 มิลลิกรัมและขนาด 100 มิลลิกรัม ในบางล็อตตามที่ลงไว้ให้นะครับ ถ้าตรวจสอบแล้วไม่ใช่ก็กินต่อไป แต่ถ้าใช่ก็ไปเปลี่ยนล็อตใหม่มากิน
1. LANZAAR 50 ทะเบียนตำรับเลขที่ 1A 20/53 (NG) รวม 81 รุ่นการผลิต (Lot) ได้แก่
รุ่นการผลิตที่ 1800670 – 1800697, 1800839 – 1800850, 1800927 – 1800942, 1801034 – 1801041, 1801135 – 1801143, 1803285 – 1803291 และ 1803841
2. LANZAAR 100 ทะเบียนตำรับเลขที่ 1A 3/58 (NG) รวม 61 รุ่นการผลิต (Lot) ได้แก่
รุ่นการผลิตที่ 1800698 – 1800707, 1800788 – 1800797, 1800943 – 1800958, 1800994 – 1801009, 1801236, 1803622 – 1803629
จริง ๆ เรื่องการเรียกคืนยานี่มีมานานแล้ว เยอะมากด้วย ไม่ใช่ตัวนี้ตัวแรกนะครับ และสิ่งที่เกิดขึ้นแสดงถึงมาตรการที่ดีขึ้นของการควบคุมและความรับผิดชอบของผู้ผลิตจำหน่ายครับ
ปัญหาเรื่องปนเปื้อนสารก่อมะเร็งนี้น่ากลัวน้อยกว่า ขาดยา กินยาเกิน ปฎิกิริยาระหว่างยา เก็บยาไม่ดีทำให้ยาเสื่อมอีกมากมาย แต่ด้วยความเป็น "มะเร็ง" มันกระชากอารมณ์และความกลัวเรามาก
"ข้อเท็จจริง" แล้วโรคความดันโลหิตสูงคร่าชีวิตมนุษย์มากกว่ามะเร็งหลายสิบเท่า เพียงแต่มันไม่น่ากลัวใน "ความรู้สึก" ของเราเท่านั้นเอง
เรื่องยา irbesartan กับสารเกิดมะเร็ง
https://medicine4layman.blogspot.com/2018/11/irbesartan.html
เรื่องยา valsartan กับการเกิดมะเร็ง
https://is.gd/ffwiXV

27 มีนาคม 2562

ข่าวสั้น สเต็มเซลล์ในการรักษาหัวใจวาย

ข่าวสั้น ทันสมัย ง่ายนิดเดียว
รายงานการศึกษาลงใน JAMA วันนี้กับความหวังการรักษาด้วยการฉีดสเต็มเซลล์
การศึกษาทำที่ประเทศแคนาดาโดยศึกษาในผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวที่ต้องใช้เครื่องช่วยบีบหัวใจ (Left Ventricular-Assisted Device : LVAD) แบ่งกลุ่มมาฉีด mesenchymal precursor cells เซลล์ต้นทางที่สามารถพัฒนาไปเป็นกล้ามเนื้อหัวใจ โดยฉีดเข้าไปฝังในกล้ามเนื้อหัวใจ เทียบกับอีกกลุ่มที่ฉีดเหมือนกัน แต่ไม่ได้ฉีดเซลล์นะ ประมาณยาหลอก เรียกการควบคุมแบบนี้ว่า Sham Control (ฉีดจริง เจ็บจริง แต่ไม่ได้ฉีดเซลล์)
แล้วติดตามผลว่าสามารถที่จะหย่าเครื่องช่วยบีบตัวบางครู่ชั่วคราวได้มากขึ้นไหม พบว่ากลุ่มที่ฉีดเซลล์ทำได้ 61% กลุ่มควบคุมได้ 58% อัตราการเสียชีวิตและแทรกซ้อนที่หนึ่งปี ไม่ต่างกัน
แม้ผลการศึกษาจะแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติและวัดอัตราความสำเร็จก็ยังไม่ได้สูงเท่าที่ต้องการ การศึกษาก็ขนาดเล็กมาก เป็นแค่ phase 2 แต่ก็เป็นการจุดประกายความหวังในการใช้สเต็มเซล์ในการรักษาโรคได้
อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่ ฟรี
https://jamanetwork.com/journals/jama/fullarticle/2728925…

26 มีนาคม 2562

เมื่อตาชั่ง...ไม่ธรรมดา : กับความลับของ ลิบร้า โดโก

เมื่อตาชั่ง...ไม่ธรรมดา : กับความลับของ ลิบร้า โดโก
แอดมินยังอยู่ในอารมณ์เซ็งครับ เลยขอเล่าเรื่องแทนบรรยายวิชาการนะ วันนี้จะมาพูดถึงตาชั่งที่ไม่ตรง คือ ความเหนือเมฆของการ์ตูน ที่ทำให้ฝ่ายพระเอกได้เปรียบนิด ๆ กับการ์ตูนสุดสวย เซนต์เซย่า
การ์ตูนเรื่องนี้เป็นสงครามระหว่างธรรมะกับอธรรม โดยใช้เรื่องราวของเทพเจ้ากรีกต่อสู้กัน ฝ่ายพระเอกคือเทวีอธีนาและลูกสมุน นักรบแต่ละคนจะมาจากเรื่องเล่าขานของหมู่ดาว ตำนานของเทพสมุทรโปเซดอน ณ รัชดา และบรรดาทูตนรกเจ้านรกเฮเดส นักรบจะใส่ชุดเกราะตามหมู่ดาวหรือนิยายประจำตัว นักรบขั้นเสนาธิการของฝ่ายธรรมะคือ นักรบทองคำทั้งสิบสอง ตามจักรราศีทั้งสิบสอง ที่ว่ากันว่าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง (โม้ได้ใจมาก แต่ตอนนั้นรู้สึก เท่สุด ๆ)
หนึ่งในสิบสองราศีคือราศีตุลย์ (Libra) ที่ชุดเครื่องรบเป็นรูปตาชั่งที่เป็นอาวุธหกอย่าง อย่างละสองชิ้นเพื่อเป็นอาวุธให้กับนักรบทองคำทั้งสิบสองคน (คนคิดพล็อตเทพไหมล่ะ) ว่ากันว่าคนที่จะครอบครองชุดนี้ได้ต้องมีคุณธรรมสูง มีความยุติธรรม เพราะจะปล่อยให้ยืมอาวุธไปใช้ ก็ต้องสืบประวัติผู้ยืมว่าจะไปใช้เพื่อคุณธรรม สุดยอด ยังกะเปาบุ้นจิ้น แต่นักรบลิบร้าคนล่าสุด แอบเอียง
เมื่อสงครามระหว่างอธีนากับเฮเดสครั้งที่แล้ว 243 ปีก่อน ประมาณปี พ.ศ. 2319 สมัยที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทำสงครามรวบรวมอาณาจักรกลับมายิ่งใหญ่หลังเสียกรุง คุณนักรบทองคำที่ชื่อโดโก เขาเป็นฮีโร คือรอดมาได้นั่นแหละ เทพเจ้าอธีนาจึงให้พรว่า ...ต่อไปนี้นะ ขอให้หัวใจเจ้าเต้น 100,000 ครั้งต่อปี เพื่อจะได้เฝ้ากองทัพนรกอสูรว่าจะกลับมาเมื่อไร (สงสัยยุคนั้นไม่มีวงจรปิด)...
เด็ก ๆ อ่านตอนนั้น คนแปลบอกว่า หัวใจคนเราเต้นแสนครั้งต่อวัน ถ้าคุณโดโกเต้นแสนครั้งต่อปี ดังนั้น หนึ่งวันของคุณโดโกเท่ากับหนึ่งปีของพวกเรา ผ่านมา 243 ปี คุณโดโกก็แค่ 243 วัน ประมาณแปดเดือน ... นี่มันชายชราหน้าหนุ่มในตำนานคนนั้นชัด ๆ ไม่เล็กนะครับ.. ตอนนั้นยังเด็ก ๆ ก็เออออไปไม่เข้าใจหรอก
ถ้าไปคำนวณ หัวใจคนเราก็เต้น 100,800 ต่อวันจริง ๆ หากคิดคงที่ที่ 70 ครั้งต่อนาที แต่...แต่ นี่จะไม่ให้ท่านโดโกโกรธ พุ่งไปที่ 160 ครั้งต่อนาทีเลยรึ โกรธมาก ระบบประสาททำงานมาก ใจเต้นเร็ว ทุ่มโพเดี้ยมได้ ..ไม่เผื่อท่านโดโกไปจ๊อกกิ้งเลย คนอะไรจะคงที่ตลอด 70 ครั้ง ...คำตอบมีสถานเดียว
อธีนาใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจให้ท่านโดโก...ครับ เป็น permanent pacemaker ที่ตั้งอัตราเร็วที่ 70 ครั้งต่อนาที โดยไม่ยอมให้กระแสไฟฟ้าหัวใจที่กระตุ้นตัวเองมาเปลี่ยนแปลงการทำงานของเครื่อง อ้าว...แล้วหัวใจท่านโดโกจะไม่มาทางเต้นเองชนะ 70 ครั้งต่อนาทีเลยรึ ในกรณีนี้ ท่านโดโกจะต้องมีปัญหาการเต้นหัวใจ ที่ห้องล่างไม่ฟังห้องบน และห้องล่างเต้นเองแต่อัตราต่ำมาก (ปรกติให้ห้องล่างเต้นเองโดยไม่มีคำสั่งจากห้องบน ก็ประมาณ 20-40 ครั้งต่อนาทีเอง) น่าจะเป็น infranodal complete AV block อย่างแน่นอน
แล้วอธีนาตั้งเครื่องกระตุ้นหัวใจอัตรา 11.4 ครั้งต่อชั่วโมง (ปรกติเราตั้ง 50-60 ครั้งต่อนาที หรือชั่วโมงละ 3000 กว่าครั้ง) จะได้แสนครั้งต่อปี ผ่านมาแค่ 8 เดือนกว่า ๆ แบตไม่หมดแน่นอน
แต่นั่นแค่หัวใจ ไม่คิดถึงระบบฮอร์โมนรึ แล้วจะหายใจกี่ครั้งต่อวันมันถึงจะพอดีกับการส่งออกซิเจนไปฟอกที่ปอด เลือดไหลช้าขนาดนั้นมันไม่แข็งหมดรึ หรืออธีนาให้ยากันเลือดแข็งกับท่านโดโกด้วย สมองจะใช้ออกซิเจนกับกลูโคสอย่างไร ...สรุป ฝ่ายพระเอกก็อธิบายไม่ได้ แต่รู้ว่า เออน่ะ อยู่นานก็แล้วกัน อย่ามาตรวจสอบ จะได้อยู่ยาว ๆ ไง
ถ้าสังเกตดี ๆ ฉากที่ผู้เฒ่าโดโกกลับร่างเป็นหนุ่ม ผิวหนังลอกออก จะเห็นเครื่อง pacemaker หลุดออกมาด้วย (ไม่มีสายเพราะใช้ leadless pacemaker ตามสมัยนิยม)
ขนาดนักรบทองคำผู้ทรงความยุติธรรมยังขอไม่ตรงไปตรงมาเรื่องอายุ นับประสาอะไรกับ....
..บ่นเฉย ๆ จากพรุ่งนี้จะวิชาการต่อแล้วล่ะ

25 มีนาคม 2562

apple heart study มีเครื่องมือดี แต่ใช้ไม่เป็น

นั่งอ่าน Apple Heart Study แล้วได้สัจธรรมบางอย่าง
Apple Heart Study เป็นการศึกษาที่ล้ำสมัยมากคือใช้ wearable device อุปกรณ์ที่เราใข้กันพื้นฐานทั่วไป ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเป็นอุปกรณ์การแพทย์ คนที่เข้ารับการศึกษาก็ไม่ได้เป็น atrial fibrillation มาก่อน ผลปรากฏว่าเราสามารถตรวจจับคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติได้มากขึ้น ...สำหรับคนที่นาฬิกามันเตือนแล้วมาตรวจยืนยันเท่านั้น
มีอีกหลายคนที่นาฬิกาเตือนว่า ตู๊ด....หัวใจคุณเต้นผิดปกตินะ กรุณาไปเข้ารับการตรวจที่.... ซึ่งเราส่งข้อมูลอันนี้ไปแล้วล่วงหน้า เพื่อเป็นการยืนยันความถูกต้อง ขอบคุณที่ใช้บริการนาฬิกาของเรา....
แต่...ตรูไม่ไป ไม่เป็นไรนี่นา ไม่มีเวลา ไว้คราวหน้า ฯลฯ ซึ่งคนเหล่านี้มีมากกว่าคนที่ไปเข้ารับการตรวจยืนยันเสียอีก สัจธรรมที่ได้คือ ถ้าคุณครอบครองเทคโนโลยีโดยไม่เข้าใจ มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ใดขึ้นมา อย่าลืมว่า Wearable Device ออกแบบมาเพิ่มโอกาส เพิ่มความไวในการตรวจจับ มันก็มีผิดบ้างถูกบ้าง แต่สิ่งที่มันทำคือเตือนเราให้เราตื่นตัวและไปตรวจสอบ ดีกว่าไม่มีอาการแล้วกลัวมากไปตรวจสอบที่โอกาสเจอน้อยมาก นี่ขนาดมีเครื่องช่วย ยังมีตัวเลขเข้าตรวจสอบน้อยมากเลย
หรือจะต้อง ผูกจิ้งจกไว้ที่ข้อมือ จิ้งจกทักมัน significant กว่า ?
ในขณะที่ IPED study ทำในอังกฤษ นำคนที่เคยมีอาการใจสั่น หวิว ๆ แต่คลื่นไฟฟ้าไม่สามารถวินิจฉัยได้มาใช้เครื่อง AliveCor mobile เครื่องจับคลื่นไฟฟ้าหัวใจเคลื่อนที่อีกแบบ พบว่าเมื่อตรวจจับความผิดปกติได้ กลับเข้ามาตรวจยืนยันมีสัดส่วนมากกว่า Apple Heart ชัดเจน (และก็พบความผิดปกติมากกว่า) เพราะเขาเริ่มที่เคยมีอาการมาก่อน
บางทีความรู้สึกว่าป่วย มันก็ช่วยให้เข้ามาตรวจมากกว่า (มองทางสถิติก็มี selection bias) ตกลง เราควรโฟกัสที่เทคโนโลยีที่ดี หรือ "สติ" ที่ดีมากกว่า หรือว่าเราควรใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติและรู้เท่าทันดี
แอดมินโหมดหงุดหงิด...ไม่มี Apple Watch 4.0 ไม่มี AliveCor Mobile
..
มีแต่เครื่องคิดเลขเก่า ๆ เครื่องนึง ใช้มาตั้งแต่เรียนแต่โคตรแม่นยำเลย
..
บ่นเฉย ๆ

น้ำด่าง (alkaline water)

น้ำด่าง (alkaline water)
น้ำด่างเกิดขึ้นจากแนวคิดที่ว่าอาหารและยาในโลกยุคปัจจุบัน ทำให้ร่างกายมีสภาพความเป็นกรดมากขึ้น รวมทั้งโรคต่าง ๆ ก็จะมีผลลัพธ์ให้เลือดเป็นกรดและเนื้อเยื่อเป็นกรดเช่นเดียวกัน จึงมีแนวคิดจะใช้ด่างมาทำสมดุลกับกรดให้เป็นกลาง ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่เน้นความเป็นด่างและน้ำที่เป็นด่างอ่อน ๆ pH ประมาณ 8 เพราะมีข้อพิสูจน์บ้างว่าเมื่อสภาพร่างกายเป็นกรดจะทำให้เอนไซม์ต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ กระดูกพรุน การทำลายแอนติออกซิแดนท์ได้ไม่ดี (แต่เป็นหลักฐานที่อ่อนมาก)
น้ำด่างที่ว่าอาจจะเป็นน้ำแร่ในธรรมชาติที่อาจจะมีค่า pH สูงกว่าปรกติเล็กน้อย หรือเกิดจากกระบวนการทางไฟฟ้าเคมี electrolysis ทำให้น้ำแยกส่วนไปตามขั้วไฟฟ้าแล้วดูดกรองเอาส่วนที่เป็นกรดออก เหลือแต่ส่วนที่เป็นด่าง แล้วดื่มน้ำด่างนี้ไปรักษาสมดุลของร่างกาย
อันนี้คือแนวคิด ต่อมาเรามาดูข้อเท็จจริงตามสรีรวิทยาและชีวเคมีของร่างกายรวมถึงหลักฐานเชิงประจักษ์ดูบ้าง
ร่างกายของเรามีระบบควบคุมกรดด่างที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ร่างกายจะทำงานได้ดีที่ระดับ pH 7.35-7.45 เห็นว่าช่วงนี้แคบมากนะครับ หมายถึงความแม่นยำในการตรวจจับและการจัดการจะสูงมาก เราจะมีโปรตีนและไออน "ไบคาร์บอเนต" ในเลือดตลอดเพื่อคอยรักษาสมดุล ถ้ากรดเพิ่มหรือกรดลดจนเป็นด่าง ร่างกายจะใช้โปรตีนและไบคาร์บอเนต เปลี่ยนแปลงสภาพกรดให้คงที่ทันทีตามสมดุลเคมี
หลังจากนั้น กรดและไบคาร์บอเนต จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นแก๊ซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ขับออกทางลมหายใจ เช่นคนที่เลือดเป็นกรดมาก ระบบปรับสมดุลจะจับกรดและสร้างแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น ขับออกทางลมหายใจทำให้หายใจลึกและยาวขึ้น เมื่อขับส่วนเกินออกระบบปรับสมดุลก็คืนสภาพเดิมพร้อมใช้งานต่อไป
หลังจากนั้น กรดและไบคาร์บอเนต และไปถูกขับออกที่ไต ขับส่วนเกินทั้งกรดและด่าง หากขาดก็ดูดกลับเพื่อสมดุล ทำให้ระบบปรับสมดุลที่ดูดซับส่วนเกินได้รับการปรับเป็นปรกติ พร้อมจะไปรับส่วนเกินต่อไป
เห็นไหมว่าอย่างไรร่างกายก็ควบคุมได้ถ้าหายใจได้ดี ไตดี โภชนาการปรกติ จะมีปัญหาในกรณีช็อก ไตวายหรือมีการสร้างกรด รับกรด มากเกิน หรือเสียด่าง รับด่างมากเกิน หรือภาวะไตผิดปกติบางอย่าง ที่ต้องใช้ยาช่วยหรือฟอกเลือด
การดื่มน้ำที่เป็นกรดอ่อนหรือด่างอ่อน ร่างกายก็จะปรับสมดุลน้ำนั้นอยู่ดีครับ ไม่ใช่ตัวน้ำที่เข้าไปปรับสมดุล อีกอย่างกรดในกระเพาะก็จะสมดุลน้ำด่างนั้นอยู่แล้ว ร่างกายจะไม่ยอมให้ด่างหรือกรดที่เข้าไปไปเปลี่ยนสมดุลกรดด่างครับ และถ้าใช้กรดหรือด่างเข้มข้น ก็มีการทำลายเนื้อเยื่อและระคายเคืองเป็นกลไกการป้องกันร่างกายอยู่แล้วอีกเช่นกัน
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์พบว่า แม้ในสภาพเป็นกรดร่างกายอาจจะมีการขับสารบางอย่าง ดูดซึมสารบางอย่างบกพร่องไปบ้าง แต่ไม่ได้ส่งผลกับความสมบูรณ์หลักของร่างกายเพราะระบยการรักษาสมดุลที่กล่าวไปนี้เอง และการกินอาหารด่างหรือน้ำด่างที่เข้าใจว่าจะไปสมดุลกรดนั้น ผลการศึกษาออกมาว่าไม่ได้ส่งผลต่อกันหรือแก้ไขการดูดซึมและการขับเกลือแร่ที่บกพร่องเล็กน้อยในสภาพเป็นกรดแต่อย่างใด การศึกษาที่บอกว่ารักษาสมดุลต่าง ๆ มีพื้นฐานทางการทดลองในสัตว์ทดลองเป็นหลักครับ
สรุปว่า น้ำด่าง ไม่ได้เกิดผลดังที่ตั้งสมมติฐานแต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายจนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตแต่อย่างใด (ในระยะสั้นที่ศึกษา) ส่วนเรื่องราคาหรือความคุ้มค่าคุ้มทุน ผมไม่ได้วิเคราะห์ตรงนี้ครับ
รายการที่ไปค้นมาจากวารสารวิชาการ เว็บไซต์ของสถาบันดัง สรุปข่าวที่มีลิ้งก์ไปอ้างอิงครับ ผมอ่านอ้างอิงหมดทุกอันแล้ว จริง ๆ มีมากกว่านี้ แต่คัดมาที่ระดับความน่าเชื่อถือดีครับ
1.Fenton TR, Huang T Systematic review of the association between dietary acid load, alkaline water and cancer BMJ Open 2016;6:e010438.
2.Bone Volume 44, Issue 1, January 2009, Pages 120-124
3..Nutrition Journal201110:41
4..Emma Wynn, Marc-Antoine Krieg, Jean-Marc Aeschlimann, Peter Burckhardt,Alkaline mineral water lowers bone resorption even in calcium sufficiency:: Alkaline mineral water and bone metabolism,Bone,Volume 44, Issue 1,2009,Pages 120-124,

24 มีนาคม 2562

ความลับของชายผู้มีแผลเป็นที่หน้าอก

ความลับของชายผู้มีแผลเป็นที่หน้าอก ผู้สืบทอดหมัดอุดรเทวะ
ในปี 2xxx โลกถึงกาลสับสน ผู้คนแก่งแย่ง สงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้น เกิดยุคเข็ญ โลกต้องการผู้กอบกู้ ผู้เฒ่าแห่งกาลเวลาได้เอ่ยทำนายในคืนที่ดาวหางมาเยือนว่า "ชายคนนั้น ชายคนที่มีแผลเป็นที่หน้าอก พวกเจ้า พวกเจ้า ต้องค้นหาเขามาให้ได้ ข้ามีความลับที่จะต้องบอกเขา"
หลังจากนั้นกองทัพฝ่ายพิทักษ์โลก ได้ส่งกำลังออกไปค้นหาชายในตำนานผู้นั้น แต่การทำงานไม่ได้ง่ายเพราะกองทัพของราโอ ผู้ฉวยโอกาสนี้ยึดครองโลกและกำจัดกบฏ ได้ไล่บี้พวกเขาอย่างหนัก เหล่าผู้กล้าที่หาญกล้าสู้รบ ไม่ว่าจะเป็น โทคิ เรย์ หรือ ซู ต่างก็ต้องดับสูญเพราะแสนยานุภาพของกองทัพราโอ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน หากเคนชิโรได้พบผู้เฒ่ากาลเวลา ได้ทราบความลี้ลับแห่งหมัดอุดรเทวะ เคนชิโรน่าจะปราบยุคเข็ญลงได้
ทำให้กองทัพฝ่ายพิทักษ์โลก มีความหวังในการค้นหาผู้สืบทอดหมัดอุดรเทวะ ที่ปัจจุบันรักสงบ ปลีกวิเวก อ่านหนังสือท่ามกลางความเงียบสงัดของขุนเขา อยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งในโลก หาได้ใส่ใจสู้รบปรบมือกับผู้ใด
และวันหนึ่ง อีเจี๊ยบเลียบด่วน แนวหน้าคนสุดท้ายในกองกำลังได้พาสังขารที่บอบช้ำของตัวเอง ตับรั่ว หัวปูด ตูดเป็นริ้ว นิ้วต้องดาม ม้ามเหี่ยวและ ....เล็ก มาถึงตัวเคนชิโรด้วยลมหายใจรวยริน บอกว่าทั้งโลกกำลังต้องการท่าน ขอท่านได้ไปพบผู้เฒ่ากาลเวลาโดยเร็ว อายุผู้เฒ่ากำลังจะสิ้นลง หากผู้เฒ่าสิ้นลม ความลับแห่งหมัดอุดรเทวะและความหวังในการดับยุคเข็ญจะสูญสิ้น ขอท่านผู้เป็นผู้สืบทอดช่วยด้วยเถิด...และอีเจี๊ยบก็สิ้นลม ..(เฮ !!!)
ที่ปราสาทกาลเวลา เวลาของของท่านผู้เฒ่านั้นกำลังจะหมดไป บรรดาผู้ที่สวดมนต์ขอความหวังมารวมตัวกัน
..
ทันใดนั้น ประตูเปิดปัง ร่างของชายผู้มีแผลเป็นที่หน้าอกปรากฏตัวขึ้น เดินฝ่าบรรดาผู้สิ้นหวังอย่างองอาจ ทุกคนดีใจมากที่ผู้สืบทอดหมัดอุดรเทวะมาถึง เขานั่งลงข้างกายท่านผู้เฒ่า
"ข้ามาถึงแล้ว ท่านผู้เฒ่ามีเรื่องอันใด ประสงค์จะบอกแก่ข้ารึ"
ผู้เฒ่าลืมตา มืออันสั่นเทาเลื่อนไปที่หน้าอกของชายคนนั้น ตาเปิดกว้าง เห็นแผลเป็นที่หน้าอก ใช่แล้ว นี่แหละชายที่ข้าตามหามานาน หวังจะบอกความลับกับเขา ณ บัดนี้เขามาอยู่ตรงหน้า
"เข้ามาใกล้ ๆ ซิ" เคนชิโรเข้าไปติดชายชรา "ข้าอยากบอกเจ้าว่า...."
..
..
ทีหลังเวลาเจ้าเป็นงูสวัด เจ้าอย่าไปเป่าอีกนะ มันจะติดเชื้อจากช่องปากคน ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่ออักเสบ เพราะเชื้อโรคในปาก (normal flora) มันมากมาย หากไปอยู่ตรงพื้นที่เป็นงูสวัด ผิวหนังอักเสบและเปิดลอก จะติดเชื้อได้ ลุกลามเป็นแผลเป็นได้
ความลับที่อยากจะบอกเจ้าคือ หากเริ่มมีอาการเจ้าจงไปบอกผู้คนว่าให้รีบไปหาหมอเพื่อพิจารณาให้ยาต้านไวรัสใน 72 ชั่วโมงแรกและยาสเตียรอยด์เพื่อลดการเกิดเส้นประสาทอักเสบ จะได้ไม่ปวดต่อเนื่อง และทำแผลแบบใช้น้ำสะอาดประคบบ่อย ๆ และอย่าเป่าเด็ดขาด และถ้าอายุถึงห้าสิบ ให้ไปฉีดวัคซีนงูสวัดด้วย ไม่ว่านะเคยเป็นหรือไม่....ข้า ข้า ต้องลาเจ้าล่ะ"
เมื่อเคนชิโรได้ทราบความลับว่าแผลเป็นที่หน้าอกเขามาจากที่ใด เขาก็หมดสิ้นคำถามแห่งชีวิต ที่ทำให้เขาเพียรอ่านตำราค้นคว้ามาตลอด เกิดตาสว่างและมีความมั่นใจ หันกลับไปสู้เพื่อกอบกู้โลกและชนะราโอได้ในที่สุด ทุกครั้งที่ต้องการพลัง ท่านจะเห็นเคนชิโรเบ่งพลังจนเห็นแผลเป็นที่อก เป็นการรำลึกถึงเฒ่ากาลเวลา ผู้ไขความลับตลอดกาลอันนั้น
...
...
ส่วนผู้เฒ่ากาลเวลา ไม่มีใครพบร่องรอยเขาอีก มีเพียงเคนชิโรเท่านั้นที่เห็น หลังจากเหลียวหลังไปดูอีกครั้ง ร่องรอยสุดท้ายคือ ชุดผู้เฒ่าที่กองกับพื้น และมีชายหนุ่มหน้าตาคมสันสวมเสื้อยืดสีขาว ตรงหน้าอกมีลายสกรีนสีน้ำเงินว่า "อายุรศาสตร์ ง่ายนิดเดียว" โบกมืออำลาเขาและลับตาหายไป ชั่วกาลนาน

23 มีนาคม 2562

กลั้นปัสสาวะกับการติดเชื้อ

เพิ่งไป กทม. มาครับ รถติดมาก กว่าจะถึงปั๊ม กระเพาะปัสสาวะเต็มถึงยอดอก นี่คนกทม. เขาอดทนเก่งมาก แต่เอ๊ะ กลั้นฉี่มาก ๆ ทำให้ติดเชื้อไหมนะ

การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง คือที่ตัวท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ อาการสำคัญที่พบบ่อยคือ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะขุ่น กลิ่นฉุนมาก หรือบางคนปัสสาวะแล้วแสบขัดโดยเฉพาะช่วงใกล้จะสุด  สาเหตุหลักของการติดเชื้อที่ติดเชื้อย้อนขึ้นมาจากปากท่อ ... ไม่ใช่ที่ราชบุรี แต่คือปากท่อรูทางออกปัสสาวะ (urethral orifice)

ผู้หญิงจะติดเชื้อง่ายเพราะว่าท่อปัสสาวะสั้นมาก แถมทางออกยังอยู่ติดกับช่องคลอดและทวารหนัก เวลาที่บริเวณนั้นเสี่ยงต่อเชื้อโรคเช่น มีประจำเดือน ตกขาว เพิ่งประกอบกิจกรรมทางเพศ หรือการเช็ดก้นจากหลังมาด้านหน้า จะมีโอกาสที่เชื้อโรคมาปนเปื้อนปากรูเปิดท่อปัสสาวะและย้อนขึ้นด้านบน หรือขนาดรักษาอนามัยดี ๆ ก็ยังติดเชื้อได้ นี่คือประเด็นหลักของการติดเชื้อ พอมาอ่านศึกษาเรื่องนี้พบว่าคำแนะนำการเช็ดก้นจากหน้าไปหลังนี่เป็นคำแนะนำระดับโลกเลยนะเนี่ย

ส่วนผู้ชายจะติดเชื้อยากกว่า เพราะท่อปัสสาวะยาวววว ..แฮ่ม  และยื่นออกมานอกลำตัว  โอกาสปนเปื้อนน้อยกว่ามาก เวลาถ่ายอุจจาะก็ไม่โดน เวลาปัสสาวะก็สะบัดได้ โอกาสปนเปื้อนเชื้อจากปากทางเข้าไปก็น้อยกว่า  เวลาที่เราใส่สายสวนปัสสาวะเราจึงต้องระวังขั้นตอนการสวนย้อนเข้าไปนี่แหละให้ปลอดเชื้อที่สุด  ผู้ชายที่ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะต้องค้นหาสาเหตุอย่างจริงจังเลยนะครับ ว่าตีบตันรั่วหรือไม่

ส่วนการกลั้นปัสสาวะ หรือประเด็นการมีอะไรไปอุดไปขวางให้ปัสสาวะออกลำบาก เป็นเพียงปัจจัยเสริมในการติดเชื้อ ไม่ใช่ประเด็นหลักครับ แต่คงไม่ได้หมายความว่าให้อั้นแข่งกันตามใจ การอั้นทำให้ปัสสาวะขังค้างมันก็ทำให้ติดเชื้อง่ายขึ้น และมีผลเสียอื่น ๆ อีก

  ปวด..อันนี้แน่ ๆ บางคนความดันขึ้นเลยนะ ผมเคยมีคนไข้ในไอซียู ปวดมากเหงื่อออก นึกว่าหลอดเลือดหัวใจตีบ ที่ไหนได้ปัสสาวะค้างจากหูรูดเกร็ง   การกลั้นนาน ๆ บ่อย ๆ ทำให้หูรูดและกระบังลมเชิงกรานมันเสื่อม นาน ๆ ไปจะกลั้นไม่อยู่และปัสสาวะเล็ดได้
  ถ้ามีปัญหาเรื่องปัสสาวะไม่ออกบ่อย ๆ อาจต้องปรึกษาแพทย์เพื่อดูเรื่องอะไรตันหรือหูรูดผิดปกติหรือไม่

  ทางที่ดีคือ อย่าอั้นนาน เมื่อได้โอกาสให้ปล่อย และรักษาความสะอาดอนามัยช่องคลอดและอุ้งเชิงกรานที่ดีด้วย เท่านี้การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะก็ลดลง

  ส่วนผู้ชายท่อสั้น จะติดเชื้อมากขึ้นไหม อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเป็นคนละกลุ่มกับแอดมินครับ

22 มีนาคม 2562

rectal cancer

ภาพมะเร็งไส้ตรง rectal cancer
ภาพเอ็กซเรย์ช่องท้องด้านล่าง ท่านดูส่วนที่ผมเขียนกรอบสีเหลืองส่วนบนสีดำ คือลมที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย กำลังจะต่อไปที่ไส้ตรง (rectum) ก่อนออกสู่ทวารหนัก แต่ว่าลมนั้นหายไป ท่อถูกบีบให้แคบมากด้วยก้อนเนื้อหนารอบท่อไส้ตรง (circumferential mass) นี่คือมะเร็งไส้ตรง
มะเร็งไส้ตรงจัดกลุ่มคล้ายกันกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ การตรวจคัดกรองจะใช้วิธีเดียวกัน คือการตรวจอุจจาระ การส่องกล้อง หรือการถ่ายภาพเอ็กซเรย์พิเศษ การรักษาจะยุ่งยากกว่ามะเร็งไส้ใหญ่เล็กน้อยคือ อาจจะตัดต่อลำไส้ได้ยาก บางคนต้องเปิดลำไส้มาถ่ายอุจจาระทางหน้าท้องแทน
การรักษาโดยการใช้ยาเคมีบำบัดและฉายแสงจะคล้าย ๆ มะเร็งลำไส้ใหญ่
จากตำแหน่งที่เป็นใกล้ทวารหนัก อาการที่พบจึงมักจะเป็นเรื่องของปัญหาการขับถ่าย ปวดถ่ายตลอด ถ่ายไม่ออก เจ็บมากหรือมีเลือดออก
แล้วผมไปยุ่งอะไรกับการผ่าตัด..คือได้รับปรึกษาเรื่องผู้ป่วยรายนี้เพราะเขาเป็นโรคหอบหืดอยู่เดิม ควบคุมได้ไม่ดีนัก หลังผ่าอาจจะต้องมาอยู่ในไอซียู
มะเร็งลำไส้เป็นอีกหนึ่งโรคมะเร็งที่คัดกรองได้ครับ

กำจัดเชื้อ Helicobacter pylori .. ความเข้าใจแบบชาวบ้าน

กำจัดเชื้อ Helicobacter pylori .. ความเข้าใจแบบชาวบ้าน
เชื้อนี้คืออะไร ??
เชื้อนี้คือตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ติดต่อทางการกิน ใช่แล้ว..แผลในกระเพาะเกิดจากเจ้านี่เป็นเหตุหลัก ล้างความเชื่อเดิม ๆ จนได้รางวัลโนเบลจากการค้นพบเจ้าเชื้อนี่
ทำไมต้องไปกำจัด ??
เพราะมันทำให้เกิดแผล เพราะมันเป็นปัจจัยเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารหลายประเภท เพราะมันเพิ่มโอกาสการเกิดแผลเลือดออกอีกหลายเท่าถ้ามีปัจจัยอื่นร่วมอยู่ด้วย เช่นต้องใช้ยาแก้ปวด NSAIDs
ต้องกำจัดทุกคนไหม ใครควรต้องรับการตรวจ ??
1.กำลังเป็นแผลในกระเพาะหรือเคยเป็นแผล (เพื่อตรวจว่าถูกกำจัดหรือยัง)
2.ส่องกล้องตรวจชิ้นเนื้อแล้วพบเป็นเนื้องอกกระเพาะ (โดยเฉพาะ MALToma)
3.ปวดจุกแสบท้อง ในกรณีที่ไม่มีข้อบ่งชี้ต้องส่องกล้อง (ถ้ามีข้อบ่งชี้ส่องกล้อง หมอจะตรวจให้อยู่แล้ว)
4.คนที่ต้องใช้ aspirin ระยะยาว หรือคนที่ต้องใช้ยาแก้อักเสบ NSAIDs ในระยะยาว
5.โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กโดยไม่ทราบสาเหตุ
6.โรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกัน (immune thrombocytopenia)
7.เพื่อยืนยันการกำจัดเชื้อ
แล้วจะตรวจอย่างไร ??
หลัก ๆ ในประเทศไทยคือการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบนแล้วตัดชิ้นเนื้อไปทดสอบ แต่ต้องส่องกล้อง วิธีที่ไม่ต้องส่องกล้องคือ การวัดสารที่เชื้อโรคนี้จะปล่อยออกมาหากกินเม็ดยาทดสอบ ตรวจหายูเรียทางลมหายใจ ส่วนอีกวิธีนั้นหลายสมาคมให้น้ำหนักน้อยกว่าสองวิธีแรกคือการตรวจหาแอนติเจนของเชื้อโรคทางอุจจาระ
สองวิธีหลังจะใช้เมื่อไม่มีข้อบ่งชี้ส่องกล้องหรือตรวจติดตามการหาย การกำจัดเชื้อโดยไม่ต้องส่องกล้องซ้ำ (ตรวจลมหายใจต้องหยุดยาลดกรดมาไม่น้อยกว่า 15-30 วัน)
รักษาอย่างไร ??
ในเมื่อมันคือเชื้อแบคทีเรียก่อโรค ก็ต้องใช้ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย คุณหมอจะให้ยาฆ่าเชื้อประมาณสองสัปดาห์ คู่กับยาลดกรดขนาดสูงป็นเวลาสองสัปดาห์ ยาลดกรดไม่ได้ฆ่าเชื้อแต่ทำให้สภาวะแวดล้อมของเชื้อไม่เหมาะกับการเจริญเติบโต
ยาที่นิยมใช้มากจึงออกมาสามตัว เรียกว่า tripple therapy (ยาลดกรด + amoxicillin + clarithromycin)
แพ้เพนิซิลลินทำอย่างไร ??
ใช้ยา methronidazole แทนได้ หรือจะใช้สูตรยาสี่ตัวคือยาลดกรด ร่วมกับ ยา bismuth และร่วมกับยาฆ่าเชื้อสองตัวคือ tetracycline และ metronidazole
เชื้อดื้อยาหมดหรือยัง ??
นี่คือประเด็นครับ เพราะการใช้ยาฆ่าเชื้อพร่ำเพรื่อ และ "การแพ้ยา penicillin" ที่ไม่ได้แพ้จริงทำให้ต้องไปใช้ยากลุ่ม clarithromycin เพิ่มมากขึ้นโอกาสดื้อยาจึงมากขึ้น สถานการณ์การดื้อยาที่เชื้อดื้อยา clarithromycin มากกว่า 25% แนวทางของอเมริกาเขาไม่ให้ใช้สูตรที่มียา clarithromycin ก็ไปใช้สูตรยาบิสมัท หรือหากไม่สำเร็จยังมีสูตรอื่น ๆ อีกสามสูตรด้วยเช่นใช้ยา levofloxacin สูตร concomitent สูตร sequential คุณหมอจะเลือกให้ ในสถานการณ์บ้านเราการดื้อยายังไม่ถึงนั้น แต่ถ้าเราใช้ยาฆ่าเชื้อพร่ำเพรื่อต่อไปก็ไม่แน่
ต้องทดสอบไหมว่ากำจัดเชื้อได้หมด ??
ถ้าทำได้ก็ดีครับ (จริง ๆ ก็ควรทำตามแนวทางนะ) จะส่องกล้องซ้ำหรือใช้วิธีไม่รุกล้ำเช่นตรวจทางลมหายใจหรือตรวจอุจจาระก็ได้ เพื่อจะได้ทราบว่ากำจัดได้จริงหากกำจัดไม่ได้ต้องใช้สูตรอื่นต่อไป
ที่มาจากรีวิวในวารสาร New England Journal of Medicine
N Engl J Med 2019; 380:1158-1165 ที่อ้างอิงส่วนใหญ่จาก
American College of Gastroenterology (ACG)14 และจากการประชุม The Maastricht V–Florence Consensus. อันนี้ถือเป็นคัมภีร์หลักในการรักษา H.pylori ครับ