31 ธันวาคม 2560

Mary Toft

เมื่อคนคลอดลูกเป็นกระต่าย ไม่น่าเชื่อว่ามีจริงและมีตีพิมพ์ลงวารสารการแพทย์ด้วย เรื่องราวนี้เคยมาเล่าเป็นภาษาไทยบ้างในเว็บในบล๊อก แต่ทุกๆคนบอกว่านี่คือเรื่องโกหก ความจริงที่เกิดขึ้นตอนนั้นมันซับซ้อนกว่าแค่ โกหก
ปี 1726 ที่ประเทศอังกฤษ ตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย การแพทย์สมัยนั้นก็ก้าวหน้าไประดับหนึ่งแล้ว การพยาบาลและผดุงครรภ์ก็ก้าวหน้าพอสมควร ที่เมืองเซอรรีย์ ทางใต้ของลอนดอนมีข่าวอึกทึกครึกโครมว่า Mary Toft หญิงสาวเกษตรกรได้คลอดบุตรเป็น....กระต่าย
ใครๆที่ได้ยินข่าวก็คงคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร หลอกลวงกันแน่นอน แต่เรื่องนี้มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ รูปวาด เรื่องราวที่เกือบๆตรงกันจากทุกๆสำนักทุกมหาวิทยาลัย และที่สำคัญที่ลงในวารสารทางการแพทย์สมัยนั้นด้วย
เรื่องมันมีอยู่ว่าแมรี่ ท๊อฟต์นี้ตั้งครรภ์และก็ออกไปทำงานในทุ่งนากับเพื่อนบ้านและแม่สามีตามปกติ อยู่ๆก็เจ็บครรภ์ และคลอดออกมาเป็นชิ้นส่วนต่างๆของกระต่าย และเป็นกระต่ายสมบูรณ์ก็มี และใช้เวลาคลอดออกมาทีละชิ้นทีละส่วนในสามวัน ในตอนนั้นก็ได้ตามหมอประจำเมืองคือ คุณหมอ John Howard มาช่วยดู แน่นอนตอนแรกคุณหมอจอห์น ก็คิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร แต่หมอจอห์นก็ไปดูแล้วพบกระต่ายดังว่าจริงๆ
คุณหมอจอห์นได้ส่งจดหมายไปหา คุณหมอ Nathanial St Andre แพทย์ของราชสำนัก ซึ่งรู้จักกันให้รู้ถึงปรากฏการณ์นี้
สมัยนั้นคุณหมอ Andre ถือว่ามีอิทธิพลสูงมากในราชสำนักอังกฤษ เพราะเป็นคุณหมอที่มีวาทะศิลป์ดีและสามารถพูดภาษาเยอรมันได้คล่องปรื๋อ ทำให้กษัตริย์จอร์จที่หนึ่งชื่นชอบและให้อำนาจมาก ด้วยเหตุที่กษัตริย์จอร์จที่หนึ่งก็เป็นลูกครึ่งอังกฤษเยอรมัน ใช้ชีวิตเกือบทั้งหมดก่อนหน้านี้ที่เยอรมัน
ไม่ต้องตกใจสมัยก่อนราชวงศ์ในยุโรปเขามักจะส่งลูกหลานไปแต่งงานกับกษัตริย์หรือเจ้าหญิงเจ้าชายต่างเมืองเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์เป็นสุวรรณปฐพีเดียวกัน เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเมือง การทหาร เศรษฐกิจและสังคม ข้ามไปตั้งแต่สเปนยันรัสเซีย จนเกิดโรคที่พบในยีนด้อยอันหนึ่งในราชวงศ์ยุโรป คือ Hemophillia B , the Royal Disease ต้นสายความล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซีย
คุณหมอ Andre ก็ได้ทราบข่าวและส่งข่าวกับคุณหมอ Howard อย่างลับๆ ก่อนหน้าที่ข่าวนี้จะแพร่สะพัดออกไปอย่างเร็ว เรื่องราวของหญิงสาวที่คลอดบุตรเป็นกระต่าย และยังคลอดออกมาอีกเรื่อยๆ !! จนทางราชสำนักอังกฤษทราบข่าว ก็ได้ส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสองท่านคือ Samual Molyneux และ คุณหมอ Andre นั่นเอง
คุณหมออองเดรและคุณหมอโฮเวิร์ด ได้ทำการตรวจชิ้นส่วนต่างๆว่าเป็นกระต่ายจริงนะ บางชิ้นส่วนยังมีชีวิตอยู่ และอยู่ดีๆชิ้นส่วนบางชิ้นส่วนก็ตายไป มีกระต่ายครบสมบูรณ์ออกมาด้วยแต่ว่าไม่มีชีวิต
คุณหมออองเดรได้นำแมรี่ ท๊อฟต์เข้ามาในลอนดอนเพื่อดูแลและตรวจอย่างละเอียด หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีนักวิทยาศาสตร์และผู้คนมากมายมาทำการตรวจชิ้นส่วนและดูปรากฏการณ์ประหลาดนี้ ภายใต้การควบคุมจัดการดูแลของอองเดร
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเรียกว่า กรรมบ่งชี้การกระทำของจริง คือ ครอบครัวท๊อฟต์ที่เดิมเป็นครอบครัวยากจน ได้รับเงินมากมายจากงานโชว์นี้ แค่นั้นยังไม่พอคุณหมออองเดร ได้ตีพิมพ์ผลงานร่วมกับคุณหมอที่รู้จักกันเรื่องทฤษฎีที่ว่าด้วยหากหญิงตั้งครรภ์เห็นภาพใด และคิดฝังใจเรื่องใดก่อนคลอด ภาวะตึงเครียดทางจิตใจนั้นก็จะทำให้ทารกที่คลอดออกมามีสภาพเหมือนสิ่งที่คิดเอาไว้
ทฤษฎีนี้เคยมีการพูดมานานแล้วแต่ไม่มีข้อพิสูจน์ มีความเชื่อต่อเนื่องกันมาว่าให้หญิงตั้งครรภ์ไม่ไปพบสิ่งที่ไม่ดี ไม่งั้นลูกจะมีความผิดปกติ แต่คุณหมออองเดรและเพื่อนได้ใช้เหตุการณ์นี้สร้างความฮือฮาและออกมาเป็นอนุสาร 40 กว่าหน้าเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีนี้
St André's A Short Narrative of an Extraordinary Delivery of Rabbets (in Hunterian Aa.7.20)

หลายๆบันทึกโดยเฉพาะบันทึกจากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ แจ้งไว้ว่าครอบครัวท๊อฟต์และคุณหมอโฮเวิร์ด คุณหมออองเดร เก็บสตางค์ค่าพิสูจน์และเข้าชมซากกระต่ายด้วย
เช่นเดียวกันกับคนที่เชื่อ คนที่ไม่เชื่อก็มีมาก หลายคนก็คิดว่าโกหกแหกตาประชาชน คำซุบซิบนินทามีมากมายมากขึ้น จนกระทั่งกษัตริย์จอร์จที่หนึ่งและราชวิทยาลัยแห่งลอนดอน ได้จัดทีมพิเศษมาเพื่อตรวจสอบทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักกฎหมาย อัยการ ตำรวจ สูตินรีเวช ศัลยแพทย์ มาเพื่อพิสูจน์
อย่าลืมว่าคุณหมออองเดรมีอิทธิพลมากในราชสำนัก ตอนแรกๆก็ใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของคณะพิสูจน์ แต่สุดท้ายด้วยอำนาจของกษัตริย์ที่ให้นำแมรี่ท๊อฟต์ มาพิสูจน์ในสถานที่กลาง ให้เป็นที่ประจักษ์ ก็พบความจริงดังนี้
ในท้องของกระต่ายที่พบหลายๆตัวนั้น มีเมล็ดพืช เศษฟาง และละอองเกสร ซึ่งเป็นพยานวัตถุที่สำคัญบอกว่า กระต่ายที่เกิดไม่ได้เกิดจากในท้องแมรี่ บางครั้งที่แพทย์ไปพิสูจน์ก็พบว่าแมรี่ "หนีบขา" ไม่ยอมให้ตรวจ (เพราะพื้นที่ที่แมรี่อยู่เดิมนั้น อยู่ในอิทธิพลของคุณหมออองเดร)
และพยานปากสำคัญคือ Thomas Howard เด็กรับใช้ในบ้านที่หมออองเดรพาแมรี่ท๊อฟต์มาอยู่ในลอนดอน ให้การสารภาพว่า ครอบครัวของแม่รี่ท๊อฟต์ พี่สะใภ้ แม่สามี ให้เขาไปหากระต่ายตัวเล็กๆมาให้หลายครั้ง
สืบต่อไปว่าสามีของแมรี่ท๊อฟต์ ก็ไปหาซื้อกระต่ายตัวเล็กๆมาหลายครั้ง
และสุดท้ายคณะทำงานก็สามารถเข้าถึงตัวแมรี่ท๊อฟต์ ซึ่งขณะนั้นปวดท้องมาก คณะทำงานขู่ว่าถ้าไม่พูดความจริงก็จะไม่รักษาให้ แมรี่ท๊อฟต์ให้การสารภาพหมดเปลือกดังนี้
ประมาณเดือนสิงหาคม ครรภ์ของเธอเริ่มแก่ขึ้น เริ่มปวดท้องเธอเคยฝันว่ากินเนื้อกระต่าย และเธอเคยพูดเรื่องนี้กับคุณหมอท้องถิ่นนั้น (ไม่มีบทที่บอกว่าเป็นคุณหมอ โฮเวิร์ด แต่หลักฐานแวดล้อมชี้ว่าน่าจะใช่) จนเมื่อเดือนพฤศจิกายน เธอไปทำงานแล้วเกิดปวดท้องคลอดและเด็กออกมาแต่เสียชีวิต แม่สามีและคุณหมอได้วางแผน นำกระต่ายและเศษอวัยวะใส่เข้าไปในช่องคลอดและมดลูกของเธอ และทำเสมือนว่าเธอคลอดกระต่ายออกมาเพราะเธอหมกมุ่นคิดถึงแต่เรื่องกระต่าย
ตอนที่เธอมาที่ลอนดอนของหมออองเดร ก็มีการลวงโลกนี้อีกสองสามครั้ง แต่หลังจากที่ทุกคนให้ความสนใจ เธอก็ไม่สามารถทำเช่นนั่นได้อีก เพราะคนมากมายกระทำการได้ยากแม้แต่อยู่ในอิทธิพลของอองเดรก็ตาม
จนกระทั่งเธอปวดท้องรุนแรง ทุกคนคิดว่าจะคลอดอีก แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ตามนั้น หมอมาตรวจและคิดว่ามีการติดเชื้อ คุณหมออองเดรและโฮเวิร์ดเริ่มรู้ว่าอาจต้องส่งเธอไปรักษาและความลับอาจจะแตกออก ทั้งคู่จึงหยุดการเคลื่อนไหวและหนีออกไปนอกเมือง
จนเมื่อชิ้นเนื้อกระต่ายได้รับการพิสูจน์ ข้อเท็จจริงด้านพยานวัตถุชัดเจน ต่อมาด้วยพยานบุคคลและคำสารภาพของตัวเธอเอง
เมื่อเรื่องราวนี้ไขกระจ่าง แมรี่ติดคุก หลังจากออกมาสภาวะบ้านของเธอก็บ้านแตกสาแหรกขาด แมรี่ต้องติดคุกอีกหลายรอบจากลักขโมย คุณหมอโฮเวิร์ดไม่มีบทบาทใดๆทางการแพทย์อีก อองเดรยังมีอิทธิพลอยู่บ้าง อิทธิพลนั้นเกิดจากเมียใหม่ของเขาคือ เมียเก่าของ Samuel Monlyneux คนที่ถูกส่งมาพิสูจน์ความจริงในตอนแรก เขารู้ความจริงแต่ไม่ได้เห็นด้วย หลังจากนั้นไม่นาน Samuel Monlyneux ก็ถูกวางยาพิษจนเสียชีวิต ตามมาด้วยการแต่งงานใหม่อย่างรวดเร็ว และชื่อเสียงเงินทองที่เขาทั้งคู่หาได้จากกรณีลวงโลก แมรี่ ท๊อฟต์
หลังจากนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการแพทย์ที่สำคัญคือ การประกาศทฤษฎีใดๆ จะต้องมีการพิสูจน์ความจริงให้เปิดเผย ตรวจสอบได้ กระจ่างชัด ไม่ใช่งุบงิบเขียนแล้วเชื่อได้อีกต่อไป
เหตุการณ์นี้เกิดในปี1726 เกิดขึ้นกว่า 300 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงความเชื่อมาเป็นหลักฐานอันพิสูจน์ได้ชัดเจน แต่ในประเทศบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังมีความเชื่อหลายอย่างที่ปราศจากการพิสูจน์ ส่งต่อกันอย่างแพร่หลายในโลกโซเชียล และบางทีมีคนออกมาพิสูจน์ชัดๆ ก็ยังไม่สามารถล้างความเชื่อผิดๆ และยังส่งต่อความเชื่อผิดๆนั้นต่อไป

มาดูว่าหมอเมดมีอะไรเล่นบ้าง

อายุรแพทย์มักจะถูกมองว่า low tech และ Nerd คือวันๆไม่ทำอะไร ตรวจคนไข้ อยู่เวร กิน นอน อะไรคือไฮเทค ไม่รู้จัก .. แต่จริงๆพวกเราก็มืของไฮเทคเหมือนกันนะ มาดูว่าหมอเมดมีอะไรเล่นบ้าง
1. ไอโฟน อันนี้ถือเป็นยอดฮิตเลย เรียกว่าติดตัวมากกว่าหูฟังอีก ใช้สารพัด โทร รับส่งข้อความ ถ่ายรูป เล่นโซเชียล ดูหุ้น แต่ผมไม่ค่อยเห็นเล่นเกมนะ ยิ่งสาวๆนะควักออกมา ไอโฟนล่าสุดทั้งนั้นไม่รู้ว่าของเก่ามันเสียหรือว่าติดเชื้อไวรัส แปลกนะ ไวรัสไอโฟน มักจะระบาดก่อนไอโฟนรุ่นใหม่ออกจำหน่ายไม่นาน และติดเชื้อรุนแรงจนต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่ๆเสมอ
2. ไอแพด ตระกูลไอถือว่านิยมมาก ไอแพดนั้นเท่าที่ผมเห็นจะไม่ได้ใช้สื่อสาร แต่จะใช้บันเทิง ดูหนังฟังเพลงเล่นเกมอีบุ๊ก หรือใช้เรียนเช่นพกตำรา ลงแอปทางการแพทย์ ถ่ายภาพสไลด์ ใช้ keynote ยุคนี้มีกันทุกคน แปลกดีที่แท็บเล็ตแอนดรอยด์ไม่ค่อยพบมากนัก
3. ซัมซุง อันนี้เป็นแอนดรอยด์ที่นิยม แปลกดียี่ห้ออื่นไม่ค่อยมี มักจะเป็นซัมซุงและมักเป็นรุ่นท๊อปๆ S7 S8 หรือ โน๊ต ซื้อมาสองหมื่นใช้ประมาณสามพัน ใช้มากเพราะซื้อหาง่าย โปรโมชั่นเพียบ และน่าจะเป็นเพราะหาเคสง่ายมากกว่าครับ พวกเราง่ายๆสบายๆ
แต่ผมไม่ง่ายนะ
4. โน๊ตบุ๊ค มีทุกคนและมักจะมีติดมาจากสมัยเรียนเฟลโลว์หรือเด้นท์ เพราะต้องพิมพ์งาน ทำพาวเวอร์พ๊อยต์นำเสนอ หรือใช้เอกเซล SPSS ทำวิจัย หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ส่วนมากแค่นี้ตัดต่อภาพ เวกเตอร์ เขียนโค้ด...ไม่รู้จักกันหรอกครับมีน้อยราย และเกือบทั้งหมดเป็นวินโดว์ก๊อปปี้ จะหาคนใช้ลีนุกซ์ยากมาก ผมสนับสนุนให้ใช้ซอฟต์แวร์แท้นะครับ
บางคนก็นิยมใช้ แมคบุ๊ค แต่ว่าน้อยกว่าเพราะจอยกับเพื่อนๆไม่ค่อยได้
ส่วนตัวนั้นเครื่องใหม่ที่ซื้อมาใช้ของแท้ครับ แฮ่มมม
5. กล้องดิจิตอล ส่วนมากเป็น Hi-end compact เอาไว้ถ่ายสวยๆลงเฟสบุ๊ก ถ่ายวิว และเอาไว้ถ่ายภาพสไลด์เวลาประชุม มีบางรายเล่นจริงจังขึ้น เริ่มเก็บเป็นงานอดิเรกก็ขยับเป็น mirrorless ส่วน ดีเอสแอลอาร์ ยังมีคนใช้น้อยยกเว้นพวกที่ชอบจริงจัง พวกที่ใช้มักจะเป็นหนุ่มๆและถ่ายอะไร..ถ่ายแฟนตัวเองเป็นหลักทั้งนั้น..ด้วยเงื่อนไขถูกบังคับและไปถ่ายแฟนคนอื่นไม่ได้
ผมก็ใช้คอมแพ็กต์เพราะง่ายดี ถ่ายวิดีโอก็ได้ เอาไว้ถ่ายคลิปหวิวๆ
6. เกมคอนโซล ผมเพิ่งรู้ว่าไม่ได้มีแต่หนุ่มๆนะครับ สาวๆเมดนี่แหละ เกมเมอร์เลยนะ วินน่งวินนิ่ง ฮาโล ไฟนอล กดกันไม่แพ้หนุ่มๆเลย แต่ถ้าเทียบกับห้าข้อที่ผ่านมาหรือกับสาขางานอื่นถือว่าน้อยมากครับ ส่วนมากเล่นเกมมือถือ เกมแบบเด็กๆนี่แหละ candy crush, angry bird
7. สมาร์ทวอชท์ ส่วนมากใส่ไว้นับก้าวเดินในแต่ละวัน หรือเวลาเข้าฟิตเนส เพราะเรานั่งทำงานเป็นหลักต้องคอยนับว่าวันนึงๆ เกินกี่ก้าวที่ต้องการ หรือออกกำลังได้อย่างที่ต้องการไหม มันก็ดูดีนะแต่พูดจริงๆสัดส่วนคนที่ใส่มีไม่มากนัก ไม่รู้ทำไม หรือเป็นเพราะต้องถอดบ่อย ล้างมือบ่อย ส่วนตัวผมเองถอดใส่ถุงมือ ล้างมือบ่อยมากจึงไม่ได้ใช้ครับ ...สาเหตุจริงๆคือ แพง งก
ส่วน ริชาร์ด มิลล์ อันนี้ละเอาไว้
8. เครื่องอ่านอีบุ๊ค หูฟังพระกาฬระดับหูฟังมั่นคง เครื่องเล่นเพลงความละเอียดสูง อันนี้น้อยมากเลยนะครับ ต้องชอบจริงๆและมักจะทำเป็นงานอดิเรก มีเวลามากพอ ผมมีครบเลยเพราะอายุมากแล้ว เวลาเริ่มมากขึ้น ..ไหนใครมีครบบ้างยกมือซิ
ไม่ว่าจะมีของเล่นของใช้ใดๆ ใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและคนไข้ เป็นประโยชน์กับสาธารณชน ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ก็เป็นสิ่งที่ดีและคุ้มค่าเสมอครับ

30 ธันวาคม 2560

Angle of Louis

ตามหา "หลุยส์"
ชื่อต่างๆทางการแพทย์ มีที่มาที่ไปชัดเจน ก็เห็นจะมีอันนี้แหละครับที่ยังคลุมเครือ คือ Angle of Louis หรือ sternal angle ผมไปพบบทความที่น่าเชื่อและสนุกสนานชิ้นหนึ่ง กล่าวถึงการตามหากาลิเลโอ...ไม่ใช่ล่ะ..การตามหา "หลุยส์"
มารู้จัก sternal angle กันสักหน่อย ผมนำรูปมาให้ดูกันด้วย กระดูกหน้าอกประกอบด้วยกระดูกย่อยๆสามชิ้นไล่จากบนลงล่างคือ Manubrium ตามด้วย Strenum ต่อด้วย Xiphoid แต่ละชิ้นมาต่อกันและทำมุมเล็กน้อยและทั้งสามชิ้นก็ทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อของซี่โครง มุมที่ทำระหว่างกระดูก manubrium และ sternum นี่แหละครับที่เรียกว่า sternal angle
ตำแหน่งนี้ถือเป็นจุดสำคัญที่ใช้ในการกำหนดตำแหน่งต่างๆทางกายวิภาค เช่น เป็นจุดต่อของกระดูกซี่โครงซี่ที่สอง เป็นจุดแบ่งพื้นที่ส่วนระหว่างปอดที่เรียกว่า mediastinum เป็นบนและล่าง เป็นจุดอ้างอิงในการวัดความสูงของหลอดเลือดดำที่คอในการประเมินสารน้ำของร่างกาย เราเรียกชื่อจุดนี้มุมนี้ว่า angle of Louis
แล้วหลุยส์คือใคร
นักกายวิภาคและศัลยแพทย์คณะหนึ่งได้ทำการสืบค้นว่าหลุยส์คือใคร โดยทำการสืบบันทึกต่างๆและชื่อของคนที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นหลุยส์ คือต้องอยู่ในช่วงเวลานั้นๆที่ชื่อเริ่มปรากฏ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่น่าจะตั้งชื่อได้ แน่นอนคงไม่หยิบหลุยส์มาทั้งโลก หลุยส์ ซัวเรซ, หลุยส์ สก็อต เขาก็ได้รายชื่อคนที่น่าจะเป็นหลุยส์มาทั้งหมดสามคนดังนี้
- Wilhelm Friedrich von Ludwig
- Antoine Louis
- Pierre Alexandre Louis
ท่านคิดว่าเป็นใคร หนึ่งเยอรมัน สองฝรั่งเศส น่าสนใจนะ จริงๆผมไปค้นมาเพิ่มเติมแล้วล่ะ หลายเอกสารเป็นภาษาฝรั่งเศสครับ เอาไว้ปีหน้าผมจะไปหาแฟนเป็นสาวสวยฝรั่งเศสแล้วจะเอามาเล่าให้ฟังนะครับ
คนแรกก่อน Ludwig น้องๆหมอน่าจะรู้จักกันดี ในชื่อ Ludwig's angina (angina ludovici) การติดเชื้อแบคทีเรียที่บริเวณเนื้อเยื่อใต้คอใต้ลิ้น จะลุกลามเร็วมากจนอุดกั้นทางเดินหายใจ มีอาการเจ็บปวดมากเวลากลืนน้ำลาย แองไจน่าคือปวดนั่นเอง ท่านเป็นศัลยแพทย์ชาวเยอรมัน สมัยก่อนศัลยแพทย์ต้องเรียนอายุรศาสตร์ด้วยนะครับ ท่านจบแพทย์แล้วเข้าร่วมกองทัพนโปเลี่ยน แพ้สงครามถูกจับติดคุก และได้รับการปล่อยตัวออกมามาเป็นอาจารย์แพทย์ที่ Tubingen เยอรมัน
เรื่องของเรื่องคือ ในหนังสือกายวิภาคสมัยก่อนเขียนมุมนี้ว่า "angulus Ludovici" ...อุ๊ยๆๆ คุ้นๆไหม ไปดูชื่อ Ludwig's angina ข้างบนซิ คือคำว่า ludovici ...มันแปลมาผิดนั่นเองครับ ไปจับแพะชนแกะว่าคงเป็น Louis เดียวกัน ทั้งๆที่งานเขียนทั้งหลายของ Ludwig ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับ sternal angle เลยแม้แต่นิดเดียว
สรุปว่า ผิดตัวไปแล้วหนึ่งคน
คนที่สอง Antoine Louis ชาวฝรั่งเศส คราวนี้มีชื่อ Louis แบบห้าตัวเต็งๆ ไม่มีโต๊ดเลย เป็นศัลยแพทย์ของกองทัพเช่นกัน งานวิจัยที่โด่งดังคือการค้นพบการติดต่อของมาเลเรีย ได้เป็นศาสตราจารย์ทางสรีรวิทยา และอีกหนึ่งงานที่ไม่รู้เรียกว่าน่าพอใจดีหรือไม่ คือ เป็นผู้ร่วมคิดค้นเครื่องประหาร "กิโยติน" ร่วมกับ Joseph Ignace Guillotin ซึ่งชื่อเครื่องประหารตอนแรกคือ "Louisette" ตามชื่อ หลุยส์นั่นเอง
แม้ว่าอังตวน หลุยส์ จะดูเหมือนมากแต่ทว่าไม่มีบทความใดๆ หรือรายละเอียดใดๆเลยที่มาเกี่ยวข้องกับ sternal angle แถมการใช้คำว่า angle of Louis เริ่มใช้ประมาณ 60 ปีหลังจาก Antoine เสียชีวิตไปแล้ว
สรุปว่า หลุดไปอีกหนึ่ง
คนที่สาม Pierre Alexandre Louis มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด (แหงล่ะ ก็หลุดไปสองแล้วนี่นา) เป็นชาวฝรั่งเศสศึกษานิติศาสตร์ เรียนไปเรียนมาจบแพทย์ หลังจากนั้นไปทำงานที่รัสเซียและยูเครน จนได้เป็นแพทย์ของ Tsar ซาร์นี่คือ อาณาจักรของรัสเชียที่เรียกว่า Tsardom นับสมัยที่ไปอยู่คือในปีค.ศ. 1813-1822 น่าจะเป็นซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่ 1 สมัยนั้นเขาได้ศึกษาระบาดวิทยาของโรคคอตีบ จนได้เป็นผู้คิดค้น Numerical Method การวิเคราะห์ตัวเลขในเชิงสถิติ ถือเป็นต้นธารของ evidence-based medicine
ด้วยความที่ชื่อ Louis และ อยู่ในช่วงเวลานั้นรวมทั้ง Pierre ได้เอ่ยถึง มุมที่ต่อระหว่างกระดูก manubrium และกระดูก sternum และได้บรรยายตอนที่เขาศึกษาเรื่องวัณโรคปอดและถุงลมโป่งพอง เขาสังเกตว่ามุมที่เกิดจากกระดูกสองชิ้นต่อกันนี้มันเด่นชัดและนูนขึ้นกว่าปกติ เป็นจุดที่บ่งชี้ว่าน่าจะมีโรค (เขาคิดว่าตรงนี้ผิดปกติ เกิดในคนเป็นโรค) แต่ปัจจุบันพิสูจน์แล้วว่าเป็นมุมปกติ ซึ่งไม่มีใครเอ่ยถึงมุมนี้มาก่อนหน้านี้เลย
คณะทำงานจึงได้อนุมานทั้งจากวิธีนิรนัยและอุปนัยว่า sternal angle หรือ Angle of Louis น่าจะมาจาก Pierre นี่เอง เพราะไม่มีหลักฐานปฐมภูมิที่ชี้ชัดว่าใช่ แต่จากหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมดก็น่าจะสรุปได้เช่นนี้
ปริศนาทั้งหมดไขกระจ่างแล้ว...หลุยส์...ในที่สุดเราก็พบคุณ

29 ธันวาคม 2560

พันธุกรรมของโรคไขมันในเลือดผิดปกติ

เรื่องบังเอิญ...
คุณหมอคนหนึ่งบังเอิญรักษาคนไข้คนหนึ่ง
คนไข้ได้รับการเจาะเลือดจากพยาบาลคนหนึ่ง
คุณหมอเดินไปหยิบหลอดทดลองอันหนึ่ง
นำเลือดใส่หลอดทดลองปริมาณหนึ่ง
ตั้งทิ้งไว้เฉยๆช่วงเวลาหนึ่ง
บังเอิญตอนเย็นแวะไปดู
บังเอิญเห็นว่าเลือดตกตะกอน
บังเอิญเห็นว่าชั้นที่ลอยแยกอยู่ขุ่นมาก
บังเอิญดูคล้ายไขมันลอยอยู่
แอบแวะไปดูผลเลือด cholesterol 1038, triglyceride 1320, HDL 65, LDL 289
แอบมองอายุคนไข้ 40 ปี
แอบไปดูพยานเซ็นรับนอนโรงพยาบาล เป็นน้องชาย
แอบๆไปคุยกับน้องชาย ว่าต้องไปตรวจเลือดนะ
เพราะนี่คือพันธุกรรมของโรคไขมันในเลือดผิดปกติ

เดินทางปลอดภัย จากใจแอดมิน

เดินทางปลอดภัย จากใจแอดมิน
1. พักผ่อนให้เต็มที่ในคืนก่อนเดินทาง อย่าคิดว่าทนได้ ไหว จริงอยู่อาจจะไม่หลับใน แต่ประสาทการรับรู้จะไม่เฉียบไว โอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
2. งดเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด กินตอนแรกอาจรู้สึกคึกคักแต่ว่าผลจะไม่นาน หลังจากนั้นจะซึมและง่วง ยิ่งดื่มมากปฏิกิริยาการตอบสนองจะลดลง เกิดอุบัติเหตุได้
3. ง่วง มีวิธีแก้อย่างเดียวคือ พักและนอน แค่งีบ 15-20 นาทีก็สดชื่นได้ อาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ตั้งจุดบริการนอนพักอยู่ตลอดเส้นทาง ปลอดภัย (แอดเคยมาแล้ว ปลอดภัยดี มีกาแฟดื่มด้วย มีห้องน้ำสะอาด) ไม่ไหวจริงๆก็หาที่พักดีกว่าฝืน
4. ชา กาแฟ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง อาจสดชื่นแค่ชั่วคราวจากคาเฟอีน แต่จะหมดฤทธิ์เร็ว และอาจมีอาการเพลียหรือหลับตื่นผิดปกติได้ ใช้แค่ช่วยเท่านั้น ถ้าง่วงจริงๆให้นอน
5. จิบน้ำบ่อยๆ ลดการขาดน้ำ ยิ่งอากาศหนาวและแห้ง โอกาสขาดน้ำ อ่อนเพลีย หรืออาจเกิดลิ่มเลือดดำอุดตันที่ขามากขึ้น น้ำเปล่านะครับไม่ใช่น้ำเมา
6. หยุดพักเป็นระยะ เพื่อพักร่างกาย ปัสสาวะ (ก็ดื่มน้ำบ่อยๆนี่นะ) ยืดเส้นยืดสาย ในผู้สูงวัยนี่สำคัญนะครับ นั่งนานๆลิ่มเลือดดำอุดตันที่เท่้าได้ พอลุกแล่นไปอุดหลอดเลือดที่ปอด เสียชีวิตมากมาย
7. กินพอสมควร อย่าอด สมองใช้กลูโคส แต่กินมากเกินไปอาจง่วงก็ได้ กินแต่พอดีๆ อาจแบ่งหลายมื้อ และไม่ควรกินบนรถจะขาดสมาธิ อาจมีแค่ช็อกโกแลตสักสองแท่งเผื่อไว้เวลาหิวแต่ยังไม่มีร้านค้า
8. งดใช้โทรศัพท์ แชท ให้ตั้งค่าจีพีเอส บลูทูธ เสียบไมค์เอาไว้ก่อน สมาธิสำคัญมาก
9. มีเพื่อนนั่งไปด้วย คุยกัน ไม่ง่วงและประหยัดน้ำมันไม่ต้องไปหลายคัน หรือเปิดรายการวิทยุที่มีการพูดคุย หรือเปิดเพลงก็ได้ จะทำให้อาการง่วงเหงาลดลง
แต่แก้เหงาใจไม่ได้นะจ๊ะ
10.แว่นกันแดด การใช้สายตามากๆโดยเฉพาะเมื่อสู้แดดจะทำให้ล้า และอาจมีการมองเห็นที่ด้อยลงชั่วคราวได้ ควรสวมแว่นกันแดด
11. ยาที่ใช้ประจำ เตรียมไปด้วยเผื่อรถติดมากๆ ข้ามวันข้ามคืน จะได้ไม่ขาดยา
12. ใจเย็นๆ อย่าใจร้อน เอื้ออาทรเพื่อนร่วมทาง ทำตามกฎจราจรและคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อาสาสมัครและตำรวจ เพื่อความปลอดภัยของท่าน ผู้โดยสาร เพื่อนร่วมทางและคนที่ท่านรัก
สามารถดาวน์โหลดแอป DOH to Travel ของกรมทางหลวงมาตรวจสภาพการจราจร หรือสายด่วน 1586
ส่วนแอดฯ เดินเล่นอยู่ในเมืองนี่แหละ ใครเข้ามาทักถูกตัว อาจได้ดื่มกาแฟฟรีนะ ปีใหม่..ลงเรื่องราวเบาๆเนอะ

รวบรวม the online avengers

รวบรวม the online avengers
เพจทางการแพทย์ ที่เหล่าบรรดาแอดมินมาให้ความรู้ถึงปลายนิ้วและหน้าจอ
ไม่ใช้เงิน ไม่มีโฆษณา ใจล้วนๆ
1412 Cardiology สุดยอดเพจการแพทย์ไทย ความรู้เรื่องโรคหัวใจที่หาได้ยากจากตำรา ไม่มีในกูเกิ้ล แต่ใช้ได้จริง
Infectious ง่ายนิดเดียว รวบรวมโรคและภาพสวยๆของโรคติดเชื้อ อ่านได้ทุกคน เจอในชีวิตประจำวัน จุดเด่นคือ แอดมินแต่ละท่านจะมาเผากันเอง
Neurologist P ความรู้ระบบประสาทวิทยาที่จัดสรรให้ผู้อ่านได้เลือกเสพตามลำดับความยากง่าย อ่านครบจบได้บอร์ดเลย
อ.ทัดดาว สอนนิวโร ราวด์ข้างเตียงให้ฟัง สอนแบบเบสิกจับมือเลย และได้อารมณ์ราวด์จริงๆ มีครบ เม้ามอย แฟชั่น กินหัวน้อง และบางทีมีเหน็บสามี
ต้อง ตรวจ ต่อม กระตุกต่อม CUEZ endocrine สามเทพต่อมไร้ท่อ ฉีดฮอร์โมนกันกระฉูด ผลัดกันสร้างสีสัน สนุกสนานมาก อัพเดตเร็วด้วย
@Endocrinology by Prof. Chatlert Pongchaiyakul เพจของปรมาจารย์โรคต่อมไร้ท่อ อ.ฉัตรเลิศ นำแนวทาง เคสสวยๆและข้อผิดพลาดที่เราพบบ่อยๆมาอธิบายกัน
หนอนน้อยอ่านเปเปอร์ เจาะ ชอนไช วารสารน่าอ่านมาเล่ากันทุกสุดสัปดาห์ แถมใจดี ขอได้ อยากอ่านอะไร ขอได้ ... แต่จะได้หรือไม่ แล้วแต่ลูกอ้อน
PureYo's Journal Club ไม่มีที่ไหนในโลกสอนอ่านวารสารทางการแพทย์ได้ง่ายเท่านี้อีกแล้ว สมศักดิ์ศรี Rookie of the Year
Thai Heart สมาคมแพทย์โรคหัวใจ มีข้อมูลที่เรียกว่า โลกรู้เมื่อไร เพจนี้ลงเมื่อนั้น (โรคหัวใจนะ) โดยแอดมินที่คุณก็รู้ว่าใคร
PMK cardiology review GI PMK - แผนกโรคทางเดินอาหารและตับ รพ.พระมงกุฎเกล้า PMK PCCM เพจจากค่ายอนุเสาวรีย์ชัย มีบทความมีสไลด์สอนจากอาจารย์แพทย์มาฝากกันประจำ
Med info ความรู้ทางการแพทย์ฉบับง่ายๆแบบอนิเมชั่นประกอบเสียงเพลง ฟังจบหนึ่งเพลงได้หนึ่งตอน สั้นๆกระชับ
Cancer Precision Medicine พันธุศาสตร์ ยีน โครโมโซม ศาสตร์แห่งพรุ่งนี้ เข้ามาถึงตัวเราได้เร็ว จะออกเชิงลึกสักหน่อย แต่ไม่ยากเกินไปครับ
Rama Dermatology โรคผิวหนังน่ารู้ มีรูป มีคำแนะนำ จากตัวจริงเสียงจริงของหมอผิวหนังจากรามาธิบดี
จับฉ่าย อายุรศาสตร์ รวบรวมเรื่องราวทางอายุรศาสตร์แบบจับฉ่าย น่ารู้และใช้ได้จริง ไม่ลึกเกิน
Internal Medicine, Uttaradit hospital อาจารย์แอดมินโรคข้อคนสวย แต่ไม่ได้มีแค่โรคข้อนะครับ มีครบ แนวทางใหม่ๆที่ออกสอบบ่อยๆหาได้จากที่นี่
Gal Gadot อันนี้ฝากเป็นพิเศษ
จริงๆมีอีกมากทั้งภาษาไทยและต่างประเทศ ผมรวบรวมมาระดับหนึ่ง ให้พี่น้องแพทย์ เพื่อร่วมอาชีพสาธารณสุข คนไข้ ผู้สนใจ ได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลและเทคโนโลยีให้เต็มที่
ขอบคุณแอดมินเพจที่กล่าวมาทุกท่านที่ได้สรรสร้างความรู้แก่คนไทยสมดังคำสอนของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม ได้พระราชทานไว้ว่า
True success is not the learning, but in its application to the benefit of mankind
ใครมีเพจหรือบล็อก หรือเว็บไซต์ใดเพิ่มเติม ที่ผมอาจตกหล่นไป เขียนต่อเติมเข้ามาเลยครับ

28 ธันวาคม 2560

อย่าได้ประมาทภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย

ปกติจะไม่ค่อยเอาเคสจริงมาให้ดูนะครับ แต่ว่าอยากมาให้เป็นอุทธาหรณ์
ชายอายุ 48 ปี เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ร่างกายแข็งแรงดี เคยตรวจสุขภาพหนึ่งครั้งเมื่อสองปีก่อนปกติดี ออกกำลังกายบ้าง ไม่มีใครในบ้านในครอบครัวเป็นโรคหัวใจเสียชีวิต ดำเนินชีวิตปกติสุข ครอบครัวสุขสันต์ เตรียมต้อนรับปีใหม่
เมื่อเช้านี้ขณะตัดกิ่งไม้ ผู้ป่วยมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก แน่นๆตรงกลาง เค้นมาก เหงื่อออกใจสั่น แทบจะร่วงลงกับพื้น ไม่มีอะไรมากระแทก ไม่เคยเจ็บปวดแบบนี้เลย
คนไข้มาปรากฏตัวที่ห้องฉุกเฉินในอีก 1 ชั่วโมง อาการเจ็บยังไม่ดีขึ้น แต่ยังไม่หอบเหนื่อย ผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจก็เป็นดังภาพ และหลังจากทำหัตถการสวนหลอดเลือดหัวใจขยายหลอดเลือดและใส่ขดลวด อาการดีขึ้น คลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นดังภาพ
หลอดเลือด left anterior descending artery หลอดเลือดหลักที่เลี้ยงผนังด้านหน้าของหัวใจห้องล่างซ้าย ตันเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ หลังแก้ไขก็กลับคืนสภาพเดิม ตอนนี้คนไข้ไม่เจ็บหน้าอก นอนหลับสบายอยู่บนเตียง
สิ่งที่อยากจะบอกว่าแม้พื้นฐานสุขภาพจะดีเพียงใดก็ตาม อย่าได้ประมาทภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากหลอดเลือดหัวใจตีบตัน อย่าคิดว่าจะไม่เป็น อย่าประมาทว่าแข็งแรงดี อย่าเชื่อแนวทางการรักษาผิดๆ ที่แชร์กันมากมาย การแพทย์ยุคปัจจุบันช่วยท่านได้ ถ้ามาเร็วพอ
**รีบมาโรงพยาบาล คิดอะไรไม่ออกโทร 1669**

พยาธิใบไม้ในปอด (Paragonimus)

พยาธิใบไม้ในปอด ปีใหม่นี้การเลี้ยงฉลองย่อมเกิด ส้มตำปูย่อมมี..แล้วพยาธิจะมีด้วยไหม
พยาธิใบไม้ในปอด (Paragonimus) พยาธิที่มีแหล่งที่อยู่ในคน โดยมีแหล่งที่อยู่ชั่วคราวในหอยน้ำจืดและปูน้ำจืด ปูนา ปูน้ำตก เครย์ฟิช ติดต่อทางการกินปูที่ไม่สุก สุกนี่คือปรุงด้วยความร้อนมากกว่า 63 องศาเซลเซียส
เมื่อเรากินเนื้อปูที่มีพยาธิเข้าไป พยาธิก็จะถูกปลุกให้ตื่น (คิดถึงภาพเอเลี่ยนโผล่ออกมาจากตัวเหยื่อ) รูปแบบของพยาธิที่ออกมาคือ metacercaria เจ้าระยะนี้มันสามารถชอนไชได้ มันจะชอนไชออกจากผนังลำไส้ ออกมาในช่องท้อง (เคยมีรายงานพบที่ผนังหน้าท้อง) สามารถไชไปอยู่ที่ชอบที่ชอบของมันที่ใดก็ได้ แต่ที่ที่นิยมมากสุด ราคาต่อตารางเมตรแพงมาก เจ้าเมตาเซอคาเรียของ paragonimus โดยเฉพาะ Paragonimus westermani ...พื้นที่ทองคำ คือ ที่ปอด
เมื่อถึงปอด มันก็จะเริ่มจับจองที่สร้างบ้าน ออกลูกหลาน การสร้างบ้านและเพิ่มจำนวนของมันทำให้เกิดปัญหาขึ้น คือ มีการอักเสบ เกิด ปอดอักเสบเรื้อรัง พังผืดในปอด หลอดลมโป่งพอง เคยมีรายงานว่าเหมือนมะเร็งปอดเลย แต่พอผ่าออกมาแล้วกลายเป็น paragonimus
ไอเป็นเลือด หรือ มีเสมหะปนเลือดเก่าๆ สีสนิมเหล็กที่เราท่องกันนั่นเอง ปัญหารุนแรงของมันคืออาจไปสู่อวัยวะอื่นได้ โดยเฉพาะในสมอง มีอาการชักเกร็ง เลือดออก อัมพาตได้
ด้วยความที่ครอบครัวมันอยู่ที่ปอด มันจึงมีบุตรที่นี่ ออกลูกเป็นไข่เสียด้วย ไข่พยาธิก็จะออกมาทางเสมหะลงสู่สิ่งแวดล้อม หรือ ลงมาในลำไส้ออกไปกับอุจจาระ ไปสู่หอยน้ำจืดและปูตัวต่อไป เป็นวงรอบชีวิตของมัน
เวลาตรวจเราก็จะตรวจเสมหะ ส่องกล้องหลอดลม ถ้าโชคดีอาจเจอในอุจจาระ เอาเสมหะไปตรวจก็จะพบไข่พยาธิ ส่องกล้องอาจไปเจอตัวเต็มวัยได้...บรึ๋ยยยย มีการตรวจทาง serology ที่แม่นยำด้วย แต่เนื่องจากเจ้า paragonimus มันมีหลายสปีชี่ส์ จึงต้องดูความเฉพาะเจาะจงของน้ำยาตรวจด้วย
แล้วจะป้องกันรักษาอย่างไร อย่างแรกสำคัญมากคือ ปรุงสุก กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ไปเที่ยวไหนๆ ต้องระมัดระวังการกินอาหารที่มีปู กุ้งน้ำจืดไม่สุก หรืออาหารที่ปรุงไม่สุกทุกประเภท
ส่วนการรักษาจะทำเมื่อ มีข้อพิสูจน์ว่าเจอ ภายใต้ข้อสงสัยว่ามีโรคเกิดขึ้น เช่นเจอพยาธิในเสมหะในคนที่ไอเป็นเลือดเรื้อรัง มีก้อนในปอดส่องกล้องไปเจอ ไม่ได้แนะนำเอาเสมหะมาตรวจคัดกรองทุกคน เพราะเราอาจติดเชื้อได้จริงแต่ร่างกายเราก็ไม่ยอมให้ใช้ปอดเป็นฐานที่มั่น ในการแพร่เชื้อและโจมตีร่างกาย เชื้อปริมาณไม่มากเราพอกำจัดได้ แต่ถ้าร่างกายอ่อนแอ หรือเชื้อมาก ก็คงต้องใช้ยา
ยาที่ใช้คือ praziquantel ขนาด 25 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม วันละสามเวลาติดต่อกันสองวัน แล้วค่อยตรวจซ้ำ
ไม่มีบทบาทของการกินยาเพื่อป้องกันนะครับ ห้ามคิดว่างั้นกินปูดิบใส่ส้มตำต่อไปแล้วใช้ยากินฆ่าพยาธิกินกันไว้ ไม่มีข้อมูลสนับสนุนการใช้แบบนี้นะครับ วิธีป้องกันคือ การปรุงสุกครับ
** แต่ถ้าเป็น ปู ไปรยา ใช้ยาอะไรก็ไม่หายนะครับ ต้องตามแอดมินเพจนี้ไปจัดการเท่านั้น !! **
ข้อมูลจาก
CDC
wikipedia
Songkla Med J 2010;28(5):287-293
SOUTHEAST ASIAN J TROP MED PUBLIC HEALTH ;Vol 38 (suppl 1) 2007
Harrison 19th ed
CMDT 2016

27 ธันวาคม 2560

การรักษา ITP immune thrombocytopenic purpura

ความกลัวที่สัมผัสได้
วันนี้วารสาร JAMA internal medicine ได้ลงบทความเรื่องการรักษา ITP immune thrombocytopenic purpura เกล็ดเลือดต่ำจากการถูกจับทำลายของภูมิคุ้มกันตัวเอง สะท้อนให้เห็นว่าบางครั้ง โลกแห่งความจริงไม่เหมือนในตำรา
โจทย์ให้มาว่า หนุ่มใหญ่อายุ 56 ปีคนหนึ่ง กินยา metformin ก็ควบคุมเบาหวานได้ดี มีปัญหาที่มาหาหมอวันนี้คือ แปรงฟันแล้วเลือดออกที่เหงือกและไรฟัน (น้องๆหมอ ห้ามใช้คำว่า bleeding per gum นะครับ เพราะ per คือต้องออกมาจากรูทางออกอันใดอันหนึ่ง ไม่ใช่ที่เปิดเช่น เหงือก) ไม่มีเลือดออกที่อื่นๆใด ตามมาตรฐานก็ไล่เรียงยาที่ใช้ ตรวจร่างกายก็ปรกติดี ตรวจเหงือกและฟันก็แข็งแรงดี คุณหมอก็เลยส่งเลือดตรวจหาเลือดออกผิดปกติ .. โป๊ะเชะ .. เกล็ดเลือดต่ำเหลือ 59,000 ค่าปรกติก็ 150,000 ถึง 400,000
ถึงตรงนี้ทุกคนก็คิดว่า เอาล่ะ น่าจะเป็นสาเหตุล่ะนะ...ว่าแต่ ทำไมถึงต่ำ คุณหมอก็ไปดูฟิล์มเลือด พบว่ามีเกล็ดเลือดตัวอ่อนออกมาเยอะมากขึ้น ก็เข้าได้กับเกล็ดเลือดถูกทำลายแล้วต้องสร้างมาชดเชย การทำงานของตับไตอื่นๆ ปกติหมด สรุปว่าเป็นโรคนี้ล่ะแน่ๆ --- ITP
คำถามคือ ...จะทำอย่างไรต่อไป
American Society of Hematology บอกว่า ถ้าเกล็ดเลือดต่ำกว่า 100,000 โดยไม่มีเหตุอื่นอธิบาย เราก็คิดถึง ITP นะ จะรักษาเมื่อมีเลือดออกอันตรายหรือเกล็ดเลือดต่ำกว่า 30,000 เพราะมีโอกาสเลือดออกได้เองเลย และข้อมูลจากทางสมาคมบอกอีกว่า โอกาสเลือดออกรุนแรงนั้นน้อยมากๆนะสำหรับโรคนี้แม้เกล็ดเลือดจะต่ำกว่าสามหมื่นก็เถอะ โอกาสเลือดออกแค่ 16.2-38 รายต่อผู้ป่วยพันรายเมื่อติดตามหนึ่งปี เรียกว่าน้อยมากเลย
ส่วนมากก็เลือดออกเล็กน้อย หยุดได้เอง เป็นจ้ำๆ ส่วนเลือดออกมากๆจนอันตรายมักจะเกิดถ้าเกล็ดเลือดน้อยกว่า 10,000
ถามทั้งหมอและคนไข้
1. จะรับยาไหม
2. ถ้าเกล็ดเลือดต่ำกว่า 30,000 จะรับยาไหม
ข้อมูลเพิ่มเติมจากสมาคมบอกว่า เราไม่แนะนำรักษาเพื่อให้เกล็ดเลือดกลับมาเป็นปรกติ แต่รักษาเพื่อหยุดเลือดออกหรือป้องกันเลือดออกในกรณีเกล็ดเลือดต่ำมากเท่านั้น เอาละสิ
คนไข้...หมอจะรอให้เลือดออกหรือ เกล็ดเลือดต่ำลงแล้วนะ เดี๋ยวเลือดออกในสมอง ตายพอดี
หมอ... จะไม่ให้ยาหรือ วินิจฉัยก็ชัดๆ จะรอติดตามแบบที่แนวทางบอก เกิดเลือดออกก็ซวยดิ
แล้วยาที่ใช้รักษาล่ะ มันมีพิษไหม...เริ่มคิดแล้วนะ จะคุ้มไหม เพราะเลือดออกไม่มาก เกล็ดเลือดก็ไม่ต่ำมาก
ยาที่ใช้หลักคือ สารสเตียรอยด์ขนาดสูง แน่ละ มีโทษบ้าง บวม ความดันขึ้น ยิ่งคนไข้คนนี้เป็นเบาหวานอาจน้ำตาลขึ้น ติดเชื้อ
ยาที่ใช้ในกรณีเลือดออกรุนแรงและออกฤทธิ์เร็วคือ intravenous immunoglobulin แพงมากและอันตราย ต้องดูแล้วคุ้มจึงให้ และถ้าไม่ตอบสนองจริงๆก็ใช้การตัดม้ามหรือให้สารชีวภาพ rituximab การให้เกล็ดเลือดให้เฉพาะเลือดออกรุนแรงเท่านั้น เพราะสุดท้ายก็ถูกทำลายและกระตุ้นการเกิด alloimmune มากขึ้น
เอาล่ะสิ ...จะทำอย่างไร ให้ยาเลย หรือรอดูไปก่อน
มีข้อมูลจากสมาคมมาอีกว่า จากการศึกษาแบบติดตาม จากข้อมูล 245 คนที่ป่วย 96% แทบไม่มีอาการ ในกลุ่มที่ไม่มีอาการและเกล็ดเลือดมากกว่า 30,000 ได้รับสเตียรอยด์ถึง 43%
ในอีกการศึกษาพบว่าในคนที่ได้รับการวินิจฉัยใหม่ 153 ราย พบว่ากลุ่มได้รับสเตียรอยด์โดยไม่จำเป็นจะเข้านอนโรงพยาบาลมากขึ้น 5 เท่าและความจริงคือ 90% ได้รับสเตียรอยด์อย่างน้อยหนึ่งปี กลุ่มนี้มีผลข้างเคียงติดเชื้อรุนแรงและเสียชีวิตมากกว่ากลุ่มที่เลือดออกเสียอีก (3 คน เทียบกับ 1 คน เห็นตัวเลขน้อยๆเพราะกลุ่มศึกษาไม่มาก ขนาดกลุ่มศึกษาไม่มากและอัตราการเกิดโรคไม่มากยัง "เห็น" ความแตกต่าง)
มาถึงตรงนี้เราจะเห็นว่าแม้ว่าข้อมูลเชิงประจักษ์ออกมามากมายว่าความจำเป็นแห่งการรักษาไม่มากนัก แต่กลับมีการรักษาเกิดขึ้น 50-90% เลยทีเดียว ผมไม่ทราบว่าจริงๆแล้วเกิดจากอะไร แต่ส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือความกลัว หมอเองก็กลัวว่าจะถูกฟ้องหรือพลาดหากไม่ให้ยาจึง playsafe ปลอดภัยไว้ก่อน คนไข้เองก็เห็นตัวเลขเกล็ดเลือดก็ตกใจ ยิ่งไปเทียบกับค่าปรกติ ค่าปรกติของคนปรกติ ไม่ใช่ค่าปรกติของคนเป็น ITP ก็กลัวและตกใจ
จะเห็นว่า ปัจจัยเรื่องความกลัว มีผลมากๆ ยิ่งยุคปัจจุบันนี้ข้อมูลข่าวสารไหลบ่ามากมาย ความรู้บนปลายนิ้ว ซึ่งมีทั้งถูกและผิดยิ่งพาให้เกิดความสับสนเข้าใจผิด ยิ่งยุคที่การร้องเรียนการฟ้องร้องมากมาย ความสัมพันธ์อันดีระหว่าง หมอกับคนไข้ กลายเป็น ผู้ให้บริการและผู้รับบริการ
แม้จับต้องไม่ได้ แต่คุณก็ "สัมผัส" มันได้
สุดท้ายคนไข้คนนี้ได้รับการรักษาด้วย prednisolone 80 มิลลิกรัมต่อวัน (16 เม็ดต่อวันนะครับ กินเม็ดครึ่งก็เริ่มเกิดผลข้างเคียงแล้ว) อีกหนึ่งสัปดาห์เลือดก็หยุดและเกล็ดเลือดเพิ่มเป็น 120,000 ต้องปรับยาไปประมาณ 2 ปี เป็นผมก็คงให้ยาเช่นกัน
และ...
....
....ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้เลย
เอาล่ะ..อ่านจบแล้ว "สัมผัส" ได้หรือยัง

อาการแฮงค์ และวิธีป้องกันแก้ไข

มันเป็นวิ่นๆเซ็งๆ มันเป็นจึ๊กกึ๊กจั๊กกั่ก🎶🎶 บทเพลงของปอยฝ้าย บ่งบอกถึงอาการ "แฮงค์" วันนี้เรามาเข้าใจอาการแฮงค์ และวิธีป้องกันแก้ไข ตามแบบของ NIAAA หน่วยงานเรื่องเหล้าระดับโลก
อาการแฮงค์ คือ อาการไม่พึงประสงค์ทั้งทางกาย ทางใจ ทางอารมณ์ หลังจากดื่มเหล้าและระดับแอลกอฮอล์ในเลือดลดลง จะรู้สึก ปวดหัว เวียนหัว ไม่สบายกาย กระสับกระส่าย ใจสั่น เหงื่อออก อาเจียน เหม่อๆ เศร้าๆ นอนไม่หลับ มักจะเกิดหลังจากการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากๆ และเมื่อระดับแอลกอฮอล์ในเลือดหมดไป เช่นกินเหล้าเมาหลับ ในไม่กี่ชั่วโมงก็จะเกิดอาการเหล่านี้ และอาจมีอาการค้างอยู่ 8-24 ชั่วโมงก่อนจะหายไป
ต่างจากอาการถอนเหล้าอยู่เล็กน้อย คือ อาการถอนเหล้าจะเป็นในเวลาหลัก หนึ่งถึงสามวันหลังหยุด มักจะเกิดกับคนดื่มเหล้าประจำแล้วหยุดมากกว่าที่นานๆดื่มทีนึง และอาการจะรุนแรงไปจนรบกวนระบบประสาท เห็นภาพหลอน ชักและหลง ส่วนแฮงค์จะอยู่ในระดับเริ่มๆเท่านั้น
hangover มีหลายสาเหตุหลายปัจจัยมาร่วมกันทำให้เกิด และมีความหลากหลายมากในแต่ละคน สมมติฐานจึงยังไม่ชัด แต่ข้อมูลที่พอบอกได้ก็มี
1.แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนแฮงค์ง่าย บางคนไม่มีเลย ขึ้นกับพันธุกรรมและการกำจัดสารพิษของแอลกอฮอล์ด้วย คือ aldehyde dehydrogenase มันทำงานไม่ดี แทนที่จะกำจัดได้เร็วๆก็ช้ามาก จึงเกิดอาการ ใจสั่น หน้าแดง วูบวาบ ปวดหัว จากพิษ acetaldehyde
2.เหล้าแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน เหล้าที่มีแอลกอฮอล์บริสุทธิ์มากจะแฮงค์น้อย เช่น วอดก้า แต่เหล้าที่ใส่สารต่างๆในกระบวนการผลิตมากๆ (congeners) จะแฮงค์มาก เช่นวิสกี้ บางชนิดผสมเมธานอลซึ่งอันตรายมาก
3. ปริมาณการดื่ม ส่วนมากดื่มมากก็แฮงค์มาก
4. แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ สังเกตว่าดื่มเหล้ามากจะปัสสาวะบ่อย และยับยั้งฮอร์โมนที่ให้เก็บน้ำ Antidiuretic hormone เวลาแฮงค์ส่วนหนึ่งคือขาดน้ำและเกลือแร่นั่นเอง
5. แอลกอฮอล์ทำให้น้ำตาลต่ำอย่างที่เขียนไปเมื่อวันอังคาร สมองจะเบลอๆ เพราะน้ำตาลที่เป็นเชื้อเพลิงหลักมันน้อย
6. แอลกอฮอล์ ทำให้วงจรหลับตื่นผิดปกติไป แม้กินแล้วจะออกง่วงๆ แต่พอระดับแอลกอฮอล์ลดลงจะทำให้การหลับตื่นรวนหมด ยิ่งมากินก่อนนอนด้วยแล้วยิ่งแย่ หลังหยุดต้องปรับสองสามวันเลย การพักผ่อนไม่พอก็ทำให้แฮงค์
7. สารอื่นๆ บางคนผสมสารอื่นๆด้วย เช่น กัญชา ยาบ้า ก็จะทำให้ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทำให้แฮงค์มากขึ้น
8. แอลกอฮอล์ ระคายเคืองกระเพาะ ทำให้ตับอ่อนอักเสบ ปวดท้อง อาเจียน กินอะไรไม่ได้ ขาดน้ำขาดอาหาร อาการก็แย่ลงไปอีก
9. อารมณ์คนที่มันจะแฮงค์อยู่แล้ว พอได้เหล้าเข้าไปมันก็แฮงค์เลย ..ผัวเสีย เมียเท เกย์หนี หนี้เงินผ่อน บอลแพ้ แม่ด่า จ่าจับ นับวันเลือกตั้ง
วีธี ผ่อนหนักเป็นเบา ก็ตามนั้น ดื่มน้ำมากขึ้น กินผลไม้ กินอาหารอ่อนๆไม่ระคายท้องไส้ นอนพักผ่อนและตั้งเวลาตื่นตามเดิม บางคนก็ดื่มกาแฟ บางคนก็ดื่มน้ำขิง
อาเจียนมากอาจต้องกินยา ปวดหัวมากก็ใช้ยา ระวังยาแก้ปวดระคายเคืองกระเพาะ และ พาราเซตามอลก็อย่ากินมากไป ตับไม่ดีจากเหล้าก็อย่าไปซ้ำด้วยพาราเซตามอล
วิธีป้องกัน ...อย่าดื่ม ก็ไม่แฮงค์ ..แต่ถ้ามันจำเป็นจริงๆ !!! ก็ดื่มแต่น้อย รู้ข้อจำกัดของตนเองที่ไม่เท่ากัน ชนิดเครื่องดื่มที่เคยดื่มแล้วแฮงค์ก็อย่าไปดื่ม กินข้าวกินปลาก่อนดื่ม ดื่มน้ำชดเชยด้วยเพราะจะฉี่บ่อย อย่ากินจนหมดสติเดี๋ยวจะสูญสิ้นความสาว
"เมาเหล้าแฮงค์เป็นวัน แต่ถ้าเมาฉัน..มันส์ทั้งคืน"
Alcohol Health & Research World :Vol. 22, No. 1, 1998

26 ธันวาคม 2560

ใช้วิธีนี้รับรอง ไม่เมา ไม่เปลือง

ใช้วิธีนี้รับรอง ไม่เมา ไม่เปลือง
1. ซื้อแอลกอฮอล์ที่เราชอบมาหนึ่งขวดเล็ก
2. ซื้อกระบอกน้ำที่เป็นกระบอกแก้วมีฝาปิด ถ้าเป็นแบบเก็บความร้อนได้จะดี
3.เทแอลกอฮอล์จากขวดเดิมลงกระบอกน้ำของเรา แค่ครึ่งขวด
4. เขย่าให้แรงที่สุด ให้ทั่วๆ
5. เทแอลกอฮอล์ที่เหลือลงในกระบอกน้ำ แช่ทิ้งไว้หนึ่งคืน
6. ตื่นเช้า มาให้เทแอกอฮอล์จากกระบอกกลับใส่ขวดเหล้าเดิม
7. ประเด็นนี้สำคัญเลย ให้รีบปิดฝาทั้งสองขวดพร้อมๆกัน ให้เร็วที่สุด
8. นำเหล้าที่เทคืนใส่ตู้เย็น
9. เอากระบอกน้ำที่เราทำไว้ ติดตัวไป เวลาอยากเหล้าก็เอามาเปิดฝา ดมไปเรื่อยๆ
10. ถ้าต้องการแบบพกพาง่ายให้ใช้กระบอกเล็กๆ พกใส่กระเป๋าเสื้อได้ง่าย
รับรอง ไม่เมา ไม่เปลือง เก็บเหล้าไว้ใช้ได้อีกหลายคน หลายปี
เมาไม่ขับ !!!

เรื่องเหล้ากับการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ

ใกล้เทศกาลปีใหม่แล้ว ผมมีคำเตือนเรื่องเหล้ากับการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำมาเตือนกันนะครับ
อย่างที่ทุกคนทราบดื่มเหล้าก็จะขาดสติ อุบัติเหตุ ในภาพนั่นทุกคนอาจจะมองว่าเมาแบบหัวราน้ำ แต่ความเป็นจริงการดื่มเหล้าปริมาณไม่มากก็เกิดปัญหาได้ในภาวะน้ำตาลต่ำ ใครอยู่เวรห้องฉุกเฉินจะทราบดี ปีใหม่ ออกพรรษา สงกรานต์ นอกจากกินเหล้าเมาอาละวาด ก็เมาจนสลบ น้ำตาลต่ำนี่แหละ
😲😲 ทำไมกินเหล้าแล้วน้ำตาลต่ำ😲😲
มันก็ต้องมีหลายองค์ประกอบพร้อมๆกัน ที่สำคัญคือ ดื่มในขณะท้องว่างและไม่กินกับแกล้มด้วย ร่างกายคนเราเวลาไม่กินอะไร น้ำตาลลดต่ำ ก็จะมีกลไกสลายเอาพลังงานสำรองมาใช้คือ สลายไกลโคเจนจากกล้ามเนื้อมาใช้ และถ้ายังไม่ได้เติมพลัง สลายไปเรื่อยๆสัก 6-12 ชั่วโมงก็เริ่มหมด ก็จะต้องสร้างน้ำตาลขึ้นมาใหม่จากตับ (hepatic gluconeogenesis)
การดื่มเหล้ามันจะไปยับยั้งการสร้างน้ำตาลจากตับครับ เรียกว่า ดื่มแต่เหล้า ข้าวไม่กิน น้ำตาลก็ต่ำมาก พอร่างกายจะสร้างน้ำตาล เหล้าก็ไปยับยั้งอีก
จึงเกิดปรากฏการณ์น้ำตาลต่ำมากๆได้
🤤🤤แล้วต่ำมากๆ มันเป็นอย่างไร 🤤🤤
ต่ำมากๆ ก็จะมีอาการดังนี้ มีอาการทางสมองเช่นสับสน กระสับกระส่าย อาจถึงขั้นสลบ เพราะสมองใช้น้ำตาลเป็นหลัก ร่วมกับมีอาการเหงื่อออก ใจสั่น หวิว หิว(แต่สับสนเลยบอกไม่ได้) พอไปตรวจน้ำตาล(ตามคำนิยามต้องตรวจแบบเจาะเลือดนะครับ แต่ใช้ปลายนิ้วจะเร็วกว่า สรุปเจาะสองอย่างพร้อมกัน) พบน้ำตาลต่ำ ตัวเลขนี้หลายค่ายไม่เท่ากัน ต่ำกว่า 50 บ้าง 54 บ้าง 45 บ้าง แต่ก็วนเวียนอยู่แถว 50 นี่แหละ อย่างที่สามพอให้น้ำตาลแล้วดีขึ้นทันที อาการหายวับ
อย่าลืมนะครับ สลบมาก สวอยมา ได้กลิ่นเหล้า ตรวจน้ำตาลนิดนึง
อาการสามอย่างนี้เราเรียกว่า Whipple's Triads
😢😢แก้ไขอย่างไร😢😢
ก็ให้กลูโคสครับ ฉีดเร็วๆและให้ทางหลอดเลือดหยดต่อไป ตรวจติดตามด้วย ระยะนี้ไม่ควรให้กินเพราะจะสลบและสำลักลงปอดได้ ถ้าให้แล้วไม่ฟื้น น้ำตาลขึ้นแล้วก็อย่าลืมมองดูเหตุอื่นด้วย
และในคนที่ดื่มเหล้ามาก หรือดื่มมานานๆ อาจมีปัญหาขาดวิตามิน B1 ที่เป็นส่วนสำคัญในการจัดการพลังงานกลูโคส ต้องให้วิตามิน B1 ร่วมด้วยเสมอ
เพราะการให้กลูโคส ทันทีโดยไม่มีวิตามิน B1 อาจกระตุ้นอาการ Wernicke Encephalopathy ในกลุ่มที่เป็นคนขาดสารอาหารและดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรัง
😓😓กินเหล้าผสมมิกซ์เซอร์ น้ำอัดลม ช่วยไหม😓😓
หรือแอลกอฮอล์ที่ผสมน้ำหวานช่วยไหม ความจริงคือน้ำหวานจะมี Glycemic index สูง หมายถึงดูดซึมดี ระดับน้ำตาลพุ่งสูงแต่หมดเร็ว กระตุ้นการหลั่งอินซูลินมากกว่าอย่างอื่น ดังนั่นเวลาเราดื่มเหล้าผสมน้ำหวานหรือน้ำอัดลม อินซูลินจะออกมามากเพื่อเก็บน้ำตาล และน้ำตาลก็จะถูกเก็บเร็วมาก แต่อินซูลินยังไม่หมดหน้าที่ คราวนี้พอไปร่วมกับน้ำตาลต่ำจากแอลกอฮอล์และไม่กินข้าว มันจะทำให้น้ำตาลต่ำมากขึ้นได้
แต่ว่าจะเกิดช้ากว่า ไม่ผสมประมาณ 3-4 ชั่วโมง ดังนั้นอย่าย่ามใจ ว่าตอนนี้ไม่เมา
😈😈แล้วจะกันอย่างไร กลัวก็กลัว ตื๊ดๆก็ต้องไป😈😈
กำปั้นทุบดินก็อย่าดื่มแอลกอฮอล์ เบาลงหน่อยก็ดื่มน้อยๆ พอได้กลิ่น และควรกินอาหารให้เรียบร้อย ไม่ใช่กระดกล้วนๆเพียวๆ กับแกล้มไม่สน นอกจากเมาสลบ น้ำตาลต่ำ อาจมีอุณหภูมิกายต่ำมากๆได้ อย่าลืมนะครับ เกิดเหตุน้ำตาลต่ำบ่อยๆ เซลสมองจะถูกทำลายลงเรื่อยๆ บางทีน้ำตาลต่ำบ่อยๆไม่รู้ตัว รู้อีกทีกลายเป็นสมองพิการ สมองเสื่อมไปแล้ว
🕯🕯🕯สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ

24 ธันวาคม 2560

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวเรื่อง การตรวจสุขภาพ ตอนที่ 2

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวเรื่อง การตรวจสุขภาพ ตอนที่ 2
สำหรับคนที่ป่วยนะครับ ไม่แนะนำให้ไปตรวจสุขภาพเพื่อหาความผิดปกติเพื่อวินิจฉัยโรค สิ่งที่จะได้คือการตรวจที่เกินความจำเป็น และไม่สามารถแปลผลได้อย่างแม่นยำ เพราะเมื่อป่วย ร่างกายจะผิดปกติหลายประการ การไปจับเอาข้อที่ไม่สำคัญยกมาเป็นประเด็นสำคัญ นอกจากไม่ช่วยอะไร และยังพาไปสู่ความกังกลใจและการตรวจที่เกินความจำเป็น
เช่นปวดจุกแน่นท้องแสบท้อง หลังกินยาแก้ปวด แทนที่จะไปตรวจซักประวัติตรวจร่างกายกลับไปตรวจสุขภาพ เกิดมีอะไรผิดปกติขึ้นมาสักอย่างเช่น คลื่นไฟฟ้าหัวใจเต้นแทรกขึ้นมาเล็กน้อย (PVCs) ก็จะถูกหยิบยกมาเป็นข้อวินิจฉัย ถูกจับตรวจสารพัดโดยไม่ได้แก้ไขเรื่องการกินยาแก้ปวดหรือให้ยาเพื่อปกป้องเลย และเจ้าคลื่นไฟฟ้านั่นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย สุดท้ายอาจจะจบท้ายด้วยกระเพาะอาหารทะลุก็ได้
ดังนั้นถ้าป่วย ไม่ว่าป่วยมานานแล้ว หรือเป็นการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยตามกระบวนการทางการแพทย์นะครับ ไม่ควรเลือกการตรวจสุขภาพเพื่อ..วินิจฉัย
สำหรับผลเสียที่จะเกิดได้ ผมคิดว่ามีความสำคัญอยู่สองอย่างคือ คิดมากเกินไป และ ไม่คิดอะไร มาดูแต่ละอันกัน
ตัวอย่างที่เป็นประเด็นร้อนเมื่อสองปีก่อน คือ การตรวจเลือดวัดค่า PSA (prostatic specific antigen) ที่นิยมตรวจในโปรแกรมสุขภาพ ด้วยประโยค คัดกรองโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
ความเป็นจริงคือ นอกจากไม่เฉพาะเจาะจงอะไรกับมะเร็งเลย ยังทำให้เกิดความกังวลและเครียดกับคนที่ได้รับการตรวจ ต้องไปหาคำตอบว่าเกิดจากอะไร อาจต้องไปตัดชิ้นเนื้อ เอกซเรย์ อัลตร้าซาวนด์ และเกิดค่าใช้จ่ายกับอันตรายจากการผ่าตัด โดยที่ค่า PSA ที่สูงนั้น ไม่ได้หมายถึงโรคมะเร็งเท่านั้น
หมอที่ได้รับปรึกษาเองก็กังวล ถ้าเกิดไม่ทำอะไรแล้วเกิดคนไข้เป็นอะไรขึ้นมา ก็อาจเกิดปัญหาได้อีก หลายๆคนจึงเลือกจะทำการตรวจต่อไป ในขณะที่อีกหลายคนก็ไม่ตรวจต่อไปท่ามกลางข้อสนเท่ห์ของผู้ป่วยว่า มันเกิน"ค่าปกติ" นะ
ส่วนที่ว่าไม่คิดอะไร ก็คือ ประมาท เช่น ไปตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจพบว่าปรกติ จึงมั่นใจและประมาทว่าไม่เป็นโรคและจะไม่เป็นโรค เมื่อเกิดอาการเจ็บหน้าอกก็คิดว่าเคยตรวจคลื่นไฟฟ้ามาแล้วว่าปกติ หรือเคยเดินสายพาน เคยทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์มาแล้วว่าปกติ จึงไม่ไปตรวจซ้ำ
อันนี้อันตรายมากๆ เพราะคลื่นไฟฟ้าหัวใจมันแปลผล ณ ปัจจุบันตอนที่ทำการตรวจเท่านั้น มันไม่ได้คาดเดาอนาคตว่าจะไม่เกิดอีก
หรือตรวจพบ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ตรวจครั้งใดก็พบมาตลอดห้าครั้งห้าปี ตัวเองก็ปรกติดี จึงไม่ได้สนใจอะไร ไม่มีการตรวจประเมินเรื่องการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีต่อไป ว่าเป็นแบบใด ขั้นใด ต้องรักษาหรือไม่ เพราะส่วนมาก ส่งผลไปให้ที่บ้านและแนะนำไปพบแพทย์
...เมื่อปกติดีจึงไม่ไปพบแพทย์...
มันจึงสับสนไปหมด อะไรที่ควรตรวจ ไม่ได้ตรวจ ...อะไรที่ไม่น่าตรวจ ก็ได้รับการตรวจมากมาย...อะไรที่แปลผลไม่ได้ ก็ถูกแปลผลอย่างเกินเลย...อะไรที่สำคัญก็ไม่ได้รับการใส่ใจ...
ทำให้การตรวจสุขภาพประจำปี ดูไม่มีความจำเป็นมากนัก ตรวจมากมายมหาศาลแต่ว่าใช้ได้น้อย
ถ้าจะยกตัวอย่างที่ชัดๆ คือ การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยการทำ Pap Smaer กลับละเลยกันทั้งๆที่ประโยชน์สูงมากและคุ้มค่า แต่คนกลุ่มเดียวกันกลับเลือกตรวจ tumor marker ทุกปี ทั้งๆที่มันไม่ได้มีการศึกษาและข้อบ่งชี้ในการตรวจเพื่อคัดกรองเลย
ยิ่งเราหลงในเทคโนโลยีที่ดูว่าดี แล้วเอามาจับแพะชนแกะ เอาการตรวจที่ใช้วินิจฉัยมาตรวจเพื่อคัดกรองเพียงเพราะมันดูดี ละเอียดดี ชอบเลย เอาละเอียดๆเลยนะ ตัวอย่างที่ดีคือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือดหัวใจ (CTA coronary and Coronary Calcium Score) ในคนที่ไม่มีอาการใดๆ มันไม่มีข้อมูลสนับสนุนเลยว่าเกิดประโยชน์ !!
แต่มันหรู ดูดี จำเพาะสูงในคนที่มีอาการและความเสี่ยง ไม่ใช่คนที่ไม่มีอาการ ทุกๆสมาคมแพทย์ไม่เคยแนะนำการตรวจแบบนี้เพื่อ "คัดกรองในคนปรกติที่ไม่มีอาการและความเสี่ยง" แต่อย่างใด
ผ่านมาสองตอน ผมจะสรุปว่า การตรวจโรคเพื่อคัดกรองมีไม่กี่อย่างเท่านั้นที่เกิดประโยชน์ ไม่ควรใช้การทดสอบมากมายมหาศาลเพื่อคัดกรอง ควรทำตามประวัติและความเสี่ยงที่มี
คนที่มีความผิดปกติหรือป่วย ให้เข้ารับการตรวจรักษาปรกติไม่ใช่การตรวจสุขภาพ
และถึงแม้ตรวจแล้วก็ต้องใช้ทักษะการแปลผล และสติสัมปชัญญะในการแปลผล ทั้งผู้ตรวจและผู้ให้การตรวจครับ

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวเรื่อง การตรวจสุขภาพ ตอนที่ 1

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวเรื่อง การตรวจสุขภาพ ตอนที่ 1
หลายๆคนคิดว่า การตรวจสุขภาพจะสามารถรู้ทุกอย่างของร่างกาย จะสามารถรู้และอธิบายความผิดปกติของตัวเองได้ เหมือนการ "สแกน" ตรวจเจอสิ่งแปลกปลอมและผิดปกติทุกอย่าง ทำให้หลายๆคนเลือกจะใช้การตรวจสุขภาพแทนการเข้ารับการตรวจทางการแพทย์ หรือ ใช้การตรวจสุขภาพเพื่อบอกตัวเองว่าปรกติดี
อยากจะบอกว่า การตรวจร่างกายโดยใช้ battery of test ทำการทดสอบด้วยการเจาะเลือด การตรวจเอกซเรย์ ตรวจปัสสาวะอุจจาระ คลื่นไฟฟ้าต่างๆ ถ่ายภาพส่องกล้อง มันไม่ได้บอกโรค มันบอกแค่ผลการตรวจตามกรรมวิธี ส่วนจะเป็นโรคหรือไม่ ส่วนจะต้องสนใจหรือไม่ ส่วนจะต้องทำอะไรต่อหรือไม่ ต้องใช้ทักษะการแปลผลมากๆ
การตรวจแต่ละอย่างมีข้อจำกัดของมัน มีความไวและความจำเพาะของมัน ซึ่งไม่สามารถใช้ได้กับทุกๆโรค ทุกๆภาวะ เราจะตรวจเมื่อ "มีข้อบ่งชี้" และส่งเพื่อยืนยันหรือคัดค้าน สมมุติฐานที่เราคิดจากอาการ ประวัติและการตรวจร่างกาย
ถ้าหากร่างกายปรกติ และ ไม่มีข้อบ่งชี้ ไม่มีข้อสงสัยใดๆ แต่กลับเลือกใช้ battery of test ก็ต้องขอบอกว่ามันจะมีข้อจำกัดมาก ประโยชน์ของการทดสอบจะลดลงมาก มีแค่การทดสอบบางอย่างเท่านั้นที่ถูกออกแบบมาเพื่อคัดกรองหาโรคในคนปรกติ
อาทิ เช่น การตรวจคัดกรองหาหลักฐานของเลือดมนุษย์ในอุจจาระ ในคนที่อายุตั้งแต่ 50 ปีหรือมีโอกาสการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงกว่าคนปกติ ... สังเกตนะครับ ต้องเป็นรูปแบบการตรวจที่เฉพาะ ในกลุ่มคนที่จำเพาะ จึงสามารถคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ได้ หากตรวจในคนอายุน้อยก็ต้องระมัดระวังผลบวกปลอมจากเหตุอื่น
อาทิเช่น การตรวจคัดกรองเพื่อหามะเร็งปากมดลูกโดยการตรวจ Pap Smear ในสุภาพสตรี มีความไวในการวินิจฉัยสูง และถ้าหากพบก็สามารถให้การรักษาตั้งแต่แรก และลดอัตราการตาย ลดค่ารักษาและความทรมานลงได้มาก
ถ้าเราใช้วิธีอื่น เช่น ในโปรแกรมตรวจสุขภาพ มีการตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็ง CEA ซึ่งบอกต่อๆกันว่าใช้คัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ !!! ถ้าเราเลือกใช้วิธีนี้คัดกรองก็ต้องบอกว่าผิด เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อติดตามการรักษามะเร็งหลังจากผ่าตัดหรือให้ยาไปแล้วว่ามีโอกาสเกิดซ้ำมากน้อยเพียงใด ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อคัดกรองมะเร็ง
เวลาตรวจพบว่าสูง จึงไม่สามารถแปลผลได้ว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
เวลาตรวจพบว่าไม่สูง จึงไม่สามารถแปลผลได้ว่าไม่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
เรียกว่า ไม่มีความไว ไม่มีความจำเพาะ ในการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่เอาเสียเลย การตรวจจึงไม่มีประโยชน์มากนัก นอกเหนือจากนี้เมื่อตรวจออกมาแล้ว เมื่อไม่แน่ใจแปลผลไม่ได้ก็จะส่งผลให้มีการตรวจอื่นๆที่ไม่จำเป็นต่อไปๆ มากขึ้นๆ โชคร้ายอาจเกิดผลข้างเคียงจากการตรวจนั้นๆอีกต่างหาก
หลายๆคนก็บอกว่า เนี่ย..ถ้าไม่มาตรวจก็ไม่รู้เลยนะว่าเป็นตับอักเสบ (AST และ ALT ขึ้นสูงกว่าค่าที่กำหนดสักสองเท่า) ก็ต้องบอกว่า การตรวจสุขภาพหลายๆครั้งจะไปตรวจจับความผิดปกติที่ไม่เป็นโรค หากเราไม่ไปตรวจส่วนใหญ่ความผิดปกตินั้นก็ไม่ได้ส่งผลอะไร หายไปเองหรือไม่ได้แปลผลถึงความผิดปกติใดๆเลย
จริงอยู่ หลายๆคนก็อาจจะพบโรคจากความผิดปกติเล็กน้อยพวกนี้ เช่นติดตามไปเรื่อยๆ แล้วพบว่าตับอักเสบที่เกิดเกิดจากโรควิลสัน โรคที่มีทองแดงในเลือดผิดปกติทางพันธุกรรม เพราะว่าการมีตับอักเสบเป็นแค่สิ่งตรวจพบอันหนึ่งของโรค ไม่ใช่อาการหลักหรือผลเลือดที่สำคัญแต่อย่างใด
หมายความว่า เป็นการตรวจพบได้โดยไม่ได้เจตนา คนกลุ่มที่จะเกิดแบบนี้มีไม่มากครับ เรียกว่าน้อยมากก็ได้ การจะมาตรวจทุกๆคนเพื่อหวังผลแบบนี้จึงสิ้นเปลืองและไม่มีประโยชน์
การตรวจที่ไม่เฉพาะเจาะจง มักไม่เกิดประโยชน์ใดๆ (เพราะเราไม่ได้เจตนาตรวจตามข้อบ่งชี้) และแปลผลยากเช่น CBC, liver function test, เอกซเรย์ปอด, คลื่นไฟฟ้าหัวใจ คือ แปลผลอะไรได้ไม่ชัดเจนนั่นเอง ไม่ต่างจากไม่ตรวจเท่าไร
สำหรับคนที่ป่วย มีอาการผิดปกติ หรือเป็นโรค และอันตรายจากการตรวจสุขภาพ ติดตามตอนต่อไป
เส้นผมบังภูเขา !!! วารสาร JAMA Internal Medicine 9 ตุลาคม 2017 ลงรูปภาพคลื่นไฟฟ้าหัวใจแต่สอนสัจธรรม
เรื่องราวของชายหนุ่มอายุ 30 ปี ร่างกายแข็งแรงดีมาตลอด เพิ่งมาป่วยเป็นโรคปอดอักเสบติดเชื้อ ชีพจร 65 ครั้ง ความดันปรกติ หายใจเร็วนิดนึง 16 ครั้งต่อนาที ตรวจร่างกายระบบทางเดินหายใจเข้าได้กับปอดอักเสบ ตรวจร่างกายระบบไหลเวียนโลหิตก็ปรกติ
ได้รับการรักษาด้วยยา bactrim .. จริงๆยานี้ก็ยังรักษาได้ดีนะ เพียงแต่ตัวยา sulfa เราพบแพ้ยามากมายเลยใช้น้อย
คืนนั้นคุณหมอเวรได้รับการปรึกษาว่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจของชายหนุ่มคนนี้ดูแปลกๆ !!!
ภาพที่เห็นเป็นภาพคลื่นไฟฟ้าหัวใจจากเครื่องติดตามการเต้น ที่ใช้ขั้วต่อติดที่หน้าอกสามจุด อกสองข้างและชายโครงขวา แปลความเป็นคลื่นไฟฟ้าหัวใจออกมาเป็นแผ่นยาวๆ แสดงให้เห็นแค่ lead II หนึ่งใน 12 lead ของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เราสามารถกดบันทึกออกมาเป็นแผ่นยาวๆได้ทันทีด้วยกระดาษเทอร์มัล เรียกภาษาง่ายๆว่า สตริ๊ปอีเคจี
ก็จะเห็นว่า ใน lead II นี้ ไม่มี p waveที่หัวชี้ขึ้นด้านบน แต่กลับชี้ลงด้านล่าง และ p wave ไม่ได้เกิดก่อน QRS complex แต่เกิดหลัง QRS complex ทุกครั้งไป (retrograde (negative) p wave)
...
...
....คุณหมอเห็น strip EKG อันนี้ก็สามารถวินิจฉัยปานสายฟ้าว่า เป็น junctional rhythm with 1:1 retrograde ventriculo-atrial (VA) conduction แปลเป็นไทยว่า จุดกำเนิดการเต้นของหัวใจมันอยู่ผิดที่ ที่เดิมมันไม่ทำงาน หัวใจเลยเชื่อฟังจุดกำเนิดสำรองนี้ แถมจุดกำเนิดสำรองยังมีไฟฟ้าย้อนกลับไปกระตุ้นจุดเดิมให้เชื่อฟังตัวเองแทน ...หัวใจกำลังจะถูกยึด ผู้ควบคุมเดิมกำลังจะถูกยึดอำนาจ
เช้าวันรุ่งขึ้น คุณหมอเวรก็ตามทีมที่ปรึกษามา เห็นว่า ใช้โค้ด 1412..อะไรสักอย่างนี่แหละที่เพิ่งกลับมา ทีมก็ทำคลื่นไฟฟ้าหัวใจด้วยท่า "มาตรฐาน" คือทำออกมา 12 lead แผ่นสีชมพูๆ (ผมใส่ไว้ในคอมเม้นท์นะครับ) ทีมที่ปรึกษาก็ยิ้มออกมาแล้วประกาศเสียงดัง "ปริศนาทั้งหมดได้ถูกคลี่คลายแล้ว"
ปรากฏว่าด้วยการตรวจมาตรฐาน พบว่ามันไม่ใช่อย่างที่เห็นใน "สตริ๊ปอีเคจี" ภาพที่เห็นคือ right bundle branch block ซึ่งจะตรวจได้ดีใน lead V1 V6 ไม่ใช่จาก lead II
เจ้า retrograde P ที่เห็นมันคือ S wave ที่ไม่สวยที่เรียกว่า Slurred S wave ของ right bundle branch block นั่นเอง หาใช่การยึดอำนาจหรือผู้มีอำนาจเดิม และ sinus node หาได้อ่อนแอไม่
ยังดีที่เรื่องราวนี้จบลงด้วยดี เพราะชายหนุ่มไม่ได้มีอาการใดๆรุนแรง เพราะหากเกิด right bundle branch block ที่เพิ่งเกิดใหม่ๆร่วมกับอาการแน่นหน้าอก คงต้องคิดถึงภาวะฉุกเฉินคือ หลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน หรือ ลิ่มเลือดดำอุดตันที่ปอด ใช้แค่ สตริ๊ป คงไม่พอ ต้อง 12 leads
ส่วนสาเหตุก็คงต้องหากันต่อไป อาจเป็นความแปรปรวนที่พบได้ หรือเกิดจากแรงดันในปอดสูง กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ หรือผิดปกติที่ตัวนำไฟฟ้าของหัวใจ
และสอนให้เรารู้ว่า เกณฑ์การวินิจฉัยต่างๆของโรคหัวใจ มันมาจากคลื่นไฟฟ้าหัวใจมาตรฐาน 12 leads ดังนั้นก่อนจะลงความเห็นวินิจฉัยอะไร ควรใช้ "ท่ามาตรฐาน" เสมอ ห้ามใช้ "ท่าเดียว" แล้วมาบอกว่าผิดปกติเด็ดขาด อย่าเอาง่ายเข้าว่านะครับ

23 ธันวาคม 2560

30 anniversary final fantasy

ขอคุยนอกเรื่องนะ 30 anniversary final fantasy
ใครเป็นคนเล่นเกม ไม่ต้องถึงเป็นคอเกมหรอกคงจะพอรู้จักเกมอมตะ final fantasy มาบ้าง ผมเองไม่ได้เป็นคนติดเกมอะไรนะครับ เล่นบ้างเพราะชอบในเทคโนโลยี สมัยเด็กๆ ก็เล่นเอามัน โตขึ้นมาเล่นเพราะอยากเห็นความทันสมัย ตั้งแต่ เครื่องฟามิคอม ซูเปอร์แฟมิคอม เพลย์สเตชั่น 1-2-4 เอ็กซบ็อกซ์360 พีเอสพี ลองมาหมด
ตอนนี้กำลังเล็งคิเน็กต์
ไฟนอลแฟนตาซี เป็นเกมที่สามารถเติมความสนุก สามารถอินไปกับเรื่องราวได้ รู้สึกเหมือนตัวเราดำเนินเรื่องได้เอง อยากเล่นแบบไหน แบบลุย แบบใจเย็น แบบเก็บพลัง ยิ่งเครื่องใหม่ขึ้น ภาพยิ่งสมจริงเนื้อเรื่องยิ่งเข้ม (แต่ผมว่าสนุกน้อยลง)
การต่อสู้กับศัตรู ที่เป็น มอนสเตอร์ ในนิทาน การใช้เวทย์มนตร์ การเลือกใช้อาวุธ การลุ้นสุดตัวเวลาเจอบอสโหดๆ ใครเคยเล่นและพอเข้าใจ ผมรับรอง ติด..ทุกราย
อันแรกที่เคยเล่นคือ FF3 อันนี้เล่นแบบเดาสุ่มรอบนึง เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ จนได้เจอหนังสือคู่มือจึงกลับมาเล่นใหม่ สนุกขึ้น แล้วจึงหาตลับภาคเดิมมาเล่น
ในเครื่องซูเปอร์แฟมิคอม ตอนนั้น ใช้เครื่องแปลงสัญญาณ เล่นกับแผ่น ฟลอปปี้ดิสก์ 3.5 นิ้ว เพราะตลับจริงแพงโหดมาก เล่นทั้ง FF4 และ FF5 รู้สึกเหมือนเราอยู่ในเทพนิยายมากกว่านิทานสนุกๆ ไม่เหมือนภาคสาม
อันที่เล่นแล้วติดงอมแงมจริงๆ คือ FF 7 ...พี่คล้าว ของพวกเรา สนุกมากทั้งเนื้อเรื่อง ทั้งปริศนา เกมย่อย แต่เล่นไม่จบหรอกครับ ไม่สามารถพอ หลังจากนั้นก็หยุดเล่นไปพักใหญ่ ไม่งั้นไม่จบแพทย์แน่ และกลับมาติดใจอีกครั้ง คราวนี้ถือว่าผมเจอ final fantasy ที่ผมถือว่า แฟนตาซีที่สุด สนุกที่สุด เล่นหลายรอบมาก คือ final fantasy 9 ...ได้ใจที่สุดครับ
หลังจากนั้นก็เล่นบ้าง พอรู้จักไม่ได้จริงจังนัก กับ FF10 และ FF12 ..รู้สึกมันยากและยาวมาก
ส่วนมากระยะหลังๆจะเล่นเกมเน้นสนุกมากกว่า ภาพสวย จริงจังครับ โดยเฉพาะ "วินนิ่งมั้ยสาส" ติดมากกว่า FF หลายเท่าครับ
ใครเคยเล่น ใครเล่นอยู่ มาย้อนอดีตกันได้นะครับ

ตกลงอุณหภูมิกายปกติของมนุษย์มันเท่าไรกันแน่

สาวที่ฮอตที่สุดในโลก คือ african-american girls .... มีงานวิจัยสนุกๆมาให้ทราบเป็นเกร็ดความรู้
คุณหมอสองท่านและนักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เกิดความคิดเจ๋งๆในการนำเอา big data ข้อมูลที่ได้จากการเก็บต่างๆ มาประมวลผลทางการแพทย์ เพื่อตอบคำถามว่าตกลงอุณหภูมิกายปกติของมนุษย์มันเท่าไรกันแน่และแปรปรวนมากไหม
คณะที่ศึกษาจึงใช้ข้อมูลจากการเก็บข้อมูลมหาศาลตอนที่คนมารักษาผู้ป่วยนอกที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องไข้ ซึ่งต้องบันทึกอุณหภูมิ เพศ อายุ เชื้อชาติ เวลาที่วัด ฤดูกาล เอาข้อมูลที่มีมาวิเคราะห์ เพื่อหาคำตอบ
แต่ว่าได้ความจริงตามข้อมูลหลายประการ เอามาเล่าสนุกๆนะครับ อย่าถือเป็นจริงจังมากเพราะเป็นขั้นตอนการเก็บ cohort จาก big data ของระบบคอมพิวเตอร์ และจากแค่โรงเรียนแพทย์แห่งเดียวเท่านั้น
ผลที่พบดังนี้
1. จากการวัดกว่าสองแสนราย เป็นหญิงชายพอๆกัน ส่วนมากเป็นคนผิวขาวอายุประมาณ 50 ปี อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 36.6 องศาเซลเซียส เป็นการวัดทางปากเสียเกือบหมด
2. อุณหภูมิที่วัดจากทางปากจะสูงกว่าจุดอื่นทั้งรักแร้ หรือหูชั้นกลาง แต่มันก็แปรปรวนมากนะ เทคนิค ความชื้น..ฯลฯ ก็เอาเป็นว่าที่ต่างกันน่ะเป็นจุดทศนิยมสองตำแหน่งครับ 0.05 0.03 ประมาณนี้ อาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงการจัดการมากนัก
3. ความแปรปรวนอุณภูมิมีหลายอย่าง แต่พยายามใช้การคำนวนเพื่อลดความแปรปรวน แต่ก็ยังพบว่า สภาพอากาศ ความชื้น การสวมเสื้อผ้าแบบต่างๆ เชื้อชาติ ขนาดตัว มีผลต่ออุณหภูมิกาย "ปรกติ" ของแต่ละเชื้อชาติจริงๆ
4. ค่ากลางประมาณ 36.6 แปรปรวนไม่มาก 35.7-37.3 องศา
5. เวลาที่ฮอตที่สุด บ่ายสามถึงบ่ายสี่ อย่าไปทำให้ใครโกรธตอนนี้ล่ะ เวลาที่เย็นที่สุดที่เจ็ดโมงเช้า น่าจะเป็นการตื่นนอนใหม่ๆ กิจกรรมไม่มาก แต่ก็เปลี่ยนแปลงบวกลบจากเดิมสูงสุดต่ำสุดแค่ 0.04 องศา ส่วนเดือนที่ฮอตที่สุดของอเมริกาเขาคือ กรกฎาคม ของเราน่าจะทั้งปี
6. คนที่ฮอตที่สุดคือหญิงเชื้อชาติแอฟริกันอเมริกัน ... ฮอตขึ้น 0.052 องศา บียองเซ่, รีฮานน่าห์, เซเรน่า วิลเลียมส์ ส่วนคนที่คูลที่สุด คือที่คนประสบการณ์ทางอายุสูง เย็นลง 0.02 องศา ..ตรงนี้เขาถึงกับตั้งข้อสังเกตเลยนะ ว่าถ้าเราลดอุณหภูมิกายลงได้ เราจะอายุยืนขึ้น..(แต่รูปแบบการศึกษามันไม่ได้ทำมาตอบคำถามแบบนี้นะ อย่าไปนั่งเล่นในตู้เย็นเพราะข้อสังเกตเขาล่ะ)
7. ภาวะร่วมที่ทำให้ฮอตมากขึ้น มากที่สุดคือ มะเร็ง !! เพิ่ม 0.02 ส่วนภาวะร่วมที่คูลที่สุดคือ ไทรอยด์ต่ำ ลงมา 0.01 และอีกนั่นแหละ ห้ามไปแปลความเพิ่มว่า มะเร็งพบว่าอุณหภูมิกายสูงกว่าปกติ อย่ากระนั้นเลย เปลือยกายลงสระเย็นๆซะเลย... ไม่ได้นะครับ
อุณหภูมิสูงขึ้นก็ยังสัมพันธ์กับชีพจรเร็ว ความดันขึ้น และมันผ่านระบบประสาทอัตโนมัติ ซิมพาเธทิก เหมือนกัน เลยมีการตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าระบบประสาทซิพพาเธทิก ที่ทำงานมากตลอดเวลาอาจจะทำให้เราชีวิตไม่ยืนยาวเท่าพวกที่ เย็นๆ คูลๆ ชิกๆ ซึ่งต้องพิสูจน์อีกมากนะครับ
8. บอกเราว่าอุณหภูมิกายของแต่ละคน แต่ละเชื้อชาติแตกต่างกันจริงๆ แต่ระดับความแตกต่างมันน้อยมากๆ จนไม่น่าจะเกิดปัญหาที่แตกต่างกัน (ข้อมูลนี้เก็บจากอเมริกานะครับ มาเก็บเมืองไทยเมืองร้อน ผมว่า ป้าๆน้าๆพี่ๆในนี้อาจจะ "ฮอต" กว่า ดาราฮอลลีวูด)
9. มีความแปรปรวนและปัจจัยอีกมากมายที่ส่งผลต่ออุณหภูมิกาย เพียงแต่ระดับการเปลี่ยนแปลงมันน้อยมาก น้อยกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงการดูแลรักษา เช่น ไข้ขึ้น 38.5 องศา แต่ถ้าใส่เสื้อหนา อ้วน แอร์เสีย อุณหภูมิอาจเพิ่มเป็น 38.52 องศา ก็คงรักษาไม่ต่างกัน เอามาใช้ทางคลินิกได้ยากครับ วัดวิธีเดิมต่อไปได้เพียงแต่ต้องวัดให้ถูกต้องเท่านั้น
10. เจอบริสตอลซิตี้ยังไม่รอดสันดอน อย่าคิดไปต่อกรกับพญาหงส์อัคคี
ที่มา BMJ 2017;359:j5468 

Bell-Magandie Law

ภาพนี้คือภาพเส้นประสาท เส้นประสาทที่นำกระแสประสาทจากสมองและไขสันหลังออกไปสั่งงานร่างกาย สีแดง เรียก ventral root (ventral ด้านท้อง คือด้านหน้าลำตัว) ส่วนเส้นประสาทรับความรู้สึก สีน้ำเงิน เรียก dorsal root (dorsal ด้านกระดูกสันหลัง) วางแนวแบบนี้ตั้งแต่คอไปจนถึงเอว ตามแนวกระดูกสันหลัง เพื่อส่งกระแสประสาทและรับความรู้สึกระหว่างสมองกับหน่วยทำงานทั้งร่างกาย
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อมัดต่างๆ และการรับสัมผัสบริเวณต่างๆ สามารถจัดกลุ่มของเส้นประสาทที่รับผิดชอบส่วนนั้น และบ่งชี้ตำแหน่งโรคได้ว่าผิดปกติที่เส้นประสาทใด ระดับใด แยกการรับสัมผัสและการสั่งงานออกจากกัน เรียกว่า Bell-Magandie Law
ในปี 1811 Charles Bell ได้ศึกษากายวิภาคศาสตร์ของคนและสัตว์ โดยเฉพาะระบบประสาท การผ่าศพศึกษาในสัตว์ที่ตายแล้ว คนที่ตายแล้วทำให้รู้จักเส้นประสาท และสามารถไล่เรียงไปสู่ ventral root ว่ากล้ามเนื้อแต่ละมัด ความผิดปกติแบบต่างๆเกิดจากเส้นประสาทเส้นใด
ทว่าไม่สามารถรู้ถึงระบบสัมผัสของร่างกายได้เลย ว่ามันอยู่ในเส้นประสาทเดียวกันหรือต่างๆกัน เพราะ sir Charles Bell ผ่าตัดแต่สิ่งมีชีวิตที่ไร้ชีวิต แน่นอนเมื่อไม่มีชีวิตไม่มีความรู้สึก ย่อมไม่สามารถพิสูจน์ทางเดินการรับสัมผัส ร้อนเย็นเจ็บปวดได้
เขารู้ว่า ventral root น่าจะรับผิดชอบการสั่งการแน่ๆ แต่ไม่แน่ใจเรื่อง dorsal root และการรับสัมผัส
Sir Charles Bell ไม่ได้ตีพิมพ์ความรู้นี้เพียงแต่เขียนเป็นอนุทินและเผยแพร่ในหมู่เพื่อนๆถึงระบบประสาทควบคุมกล้ามเนื้อ หลานชายของเขาย้ายไปทำงานที่ปารีสฝรั่งเศสและไม่ลืมที่จะพกอนุทินนั้นไปด้วย
ที่ฝรั่งเศส Francois Magadie ก็สนใจศึกษาเรื่องนี้เช่นกัน
ในปี 1822 Francois Magandie ได้ลงพิมพ์ผลการทดลองอันหนึ่ง ที่เขาคิดว่าน่าจะตอบปัญหาที่ค้างคาเอาไว้ของ Sir Charles Bell เมื่อ 11 ปีก่อนได้ เขาทำอะไร
Magandie คิดว่าหากเขาจะพิสูจน์เรื่องการรับสัมผัสได้ เขาจะต้องทำ vivisection คือการชำแหละในขณะยังไม่ตาย !! ใช่แล้วเพื่อพิสูจน์ถึงความรู้สึกนั่นเอง เขาทดลองโดยใช้ลูกสุนัข อายุไม่มากเพราะอายุขนาดนี้ กระดูกสันหลังจะยังไม่แข็งแรงพอ เขาสามารถผ่าเอาไขสันหลังออกมาได้ในขณะที่ยังไม่เสียชีวิต
และ เขาได้ทำการตัด root แต่ละอันเพื่อดูปฏิกิริยาที่เกิด กล้ามเนื้อจะอ่อนแรงไหมตามที่ Bell อ้างไว้ และได้ทำการตัด dorsal root ว่าสัตว์นั้นจะหมดความรู้สึกไหม
ผลออกมาคือ เขาสามารถพิสูจน์ได้ว่า เจ้า dorsal root นี่แหละคือทางเดินเส้นประสาทรับความรู้สึกที่แยกออกจากเส้นประสาทสั่งการ นำพากระแสประสาทไปสู่สมอง เรียกว่าครบถ้วนวงจรการสั่งการ รับความรู้สึก ส่งกระแสประสาท แปลผล ส่งกระแสประสาทมาควบคุม กล้ามเนื้อทำงาน
แต่การศึกษาของ Magandie ไม่เป็นที่ชื่นชมของนักอนุรักษ์ และบางรายงานบอกว่า Magandie ทรมานสัตว์ถึงขั้นตรึงสุนัขเอาไว้ด้วยตะปู เพื่อดูการตอบสนอง โดยเป็นการชำแหละลูกสุนัขที่ยังไม่ตาย และเมื่อตัดเส้นประสาทไป ลูกสุนัขนั้นก็คง....
หลังจากนั้นก็มีการบัญญัติ พรบ.การทรมานสัตว์, การควบคุมงานวิจัยในสัตว์ เพราะการวิจัยของ Magandie แม้สร้างการค้นพบยิ่งใหญ่ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยชีวิต
เช้านี้กับเรื่องราวของ Bell-Magandie Law

บทความที่ได้รับความนิยม