27 มกราคม 2568

27 มกราคม : International Holocaust Remembrance Day

 27 มกราคม : International Holocaust Remembrance Day

วันนี้เป็นวันระลึกถึงการทลายค่ายกักกันเอาชวิตช์-เบียคานาว ที่ประเทศโปแลนด์ โดยกองทัพโซเวียต ในปี 1945
โลกได้เห็นความทารุณโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การลดทอนความเป็นมนุษย์ ความคิดเห็นต่างแล้วประหัตประหารกัน
ผมรู้จักการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งแรกจากหนังเรื่อง killing field เป็นการสังหารหมู่ชาวกัมพูชาของเขมรแดง หลังจากนั้นก็ตามศึกษา การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยูโกสลาเวีย การสังหารหมู่ในรวันดา
แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่ามันยังไม่อธิบาย พฤติกรรมด้านมืดของใจคน มันยังเต็มไปด้วยการเมือง อำนาจ อิทธิพล โดยมีประชาชนเป็นเหยื่อ
แต่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่สองมันต่างออกไป มันคือการทำงานอย่างเป็นระบบ ปลูกฝัง ตอกย้ำ ชวนเชื่อ ทำให้เห็น ว่าเราจะเกลียดและชิงชังอีกกลุ่มคน และมองเขาไม่ใช่คน ทำให้มีกระแสการเกลียดชังจนถึงขีดสุด ขุดเอาด้านมืดที่สุดของมนุษย์มาทำลายกัน
สำหรับผม นี่คือ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในอารยธรรมของคน
จริง ๆ แล้วอ่านหลายเล่ม ไม่ต่ำกว่า 20 เล่ม ทั้งไทยและอังกฤษ ดูและฟังบทวิเคราะห์เยอะมาก ไปยืนในสถานที่จริงมาเกือบหมด
ห้าเล่มนี้อยู่บนโต๊ะ ยังไม่ได้เก็บหรือขาย เป็นห้าเล่มที่จบในสองปีที่ผ่านมา (ปีที่แล้วไปอินที่ฮิโรชิมา อีกด้วย)
การศึกษาด้านมืดของใจคน มันทำให้ผมยังมองเห็นด้านที่ดีของใจคน และเข้าใจ ให้อภัย ผู้คนมากขึ้นด้วยครับ



ใช้กัญชาในบ้าน เด็กก็ได้รับกัญชานะครับ

 ใช้กัญชาในบ้าน เด็กก็ได้รับกัญชานะครับ

มีการศึกษาลงใน JAMA Network Open ทำการเก็บข้อมูล ณ จุดเวลาหนึ่ง เพื่อดูว่าเด็กที่อาศัยในบ้านที่มีการสูบกัญชา จะเจอสารอนุพันธ์ของกัญชาหรือไม่
พบว่าเด็ก 275 รายในอเมริกา อายุประมาณ 3.5 ปี ในจำนวนนี้มีถึง 10.6% ที่พบว่ามีการ “สูบกัญชา” ในบ้าน
แต่มีเด็กถึง 27% ที่พบกัญชาในปัสสาวะ แสดงว่า ได้รับจากนอกบ้านด้วย
ถ้าไปคิดเด็กที่มีการสูบกัญชาในบ้าน จะพบสารกัญชาในปัสสาวะถึง 69%
เอาล่ะ ผมขอยกรายละเอียดมาเท่านี้ ใครสนใจไปอ่านเพิ่มฟรีได้ แต่แค่นี้ก็เพียงพอที่จะบอกแล้วว่า ควันกัญชามือสอง ก็ส่งถึงเด็กนะครับ ยิ่งสูบในบ้าน เด็กโดนกัญชาไปด้วยนะครับ
JAMA Netw Open. 2025;8(1):e2455963.

26 มกราคม 2568

คุณหมอ คุณพยาบาล คุณต้องแข็งแรง … คู่มือหลีกเลี่ยงความปวกเปียก

 คุณหมอ คุณพยาบาล คุณต้องแข็งแรง … คู่มือหลีกเลี่ยงความปวกเปียก

ก่อนอื่นผมขอเล่าและอวยตัวเองก่อน ผมเป็นคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดูแลตัวเองและผิวหน้ามาตลอด แต่ผมเคยป่วยจนดูแลคนไข้ไม่ไหวและน้อง ๆ ไล่กลับบ้านมาหนหนึ่ง หลังจากนั้น นอกจากการดูแลสุขภาพตามมาตรฐานทั่วไป ผมยังเพิ่มการดูแลตัวเอง "เฉพาะส่วน" เพิ่อให้ตัวเองมีสุขภาพกายที่ดีพอ เพื่อการรักษาคนไข้ และทำให้ตัวเองมีความสุข
ทุกวันนี้ผมยังซีพีอาร์ ใส่ไลน์ ใส่สายสวน ยืนเอคโค่ ยืนอัลตร้าซาวนด์ ยืนเจาะปอด ใส่ท่อระบายทรวงอก ยังทำได้ดี แต่รู้เลยว่าทำได้น้อยลงแน่ ไม่สามารถทำได้เหมือนตอนเรียน ซึ่งก็น่าจะมาจากมาตรการต่าง ๆ ที่ใช้มาตลอด ใครอ่านแล้วเอาไปใช้ได้ครับ
1.เพิ่มการออกกำลังกายแบบต้านแรง เช่น ยกเวต ใช้ที่บีบเพิ่มกล้ามแขน แพลงก์ หรือตั้งโปรแกรมเพิ่มกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแกนกลาง หน้าอก และแขน เพราะนี่คือส่วนที่ต้องทำงานมาก คุณลองใส่ท่อช่วยหายใจคนไข้ดิ้นมากสักสองคน ต่อด้วยใส่สายระบายทรวงอก ถ้าไม่ออกกำลังเพิ่มกล้ามเนื้อ รับรองมีล้า มีหลอย
2.ยิ่งอายุมาก ต้องยิ่งออกกำลังมากขึ้น ถือเป็นวินัย ทำให้สามารถเดินราวด์ นั่งตรวจ ทำหัตถการ ได้ตลอดวัน ไม่เหนื่อยแม้ขึ้นลงหลายตึก ผมออกกำลังกายแบบแอโรบิก แบบทั่วร่างกาย สัปดาห์ละ 200-250 นาทีเป็นพื้นฐาน สมัยก่อนไม่ได้ทำสม่ำเสมอ แต่ตอนนี้ปรับเป็นสม่ำเสมอ กระจายเท่า ๆ กันทั้งสัปดาห์เพื่อลดการบาดเจ็บ ไม่มีคำว่าไม่มีเวลา คุณจัดหาเวลาได้เสมอ ทำงานต่อกัน ผมยังหาเวลาไปเดินรอบสนามโรงพยาบาล 10 นาทีได้เลย
3.นอน อันนี้สำคัญ พยายามอย่าอดนอน มันจะเพลียสะสม สมองล้า คิดช้า พลาดง่าย หมุนวนเป็นวงจรอุบาทว์ทำร้ายตัวเอง ไม่ต้องนอนเยอะ แต่ต้องพอ คือตื่นมาแล้วไม่งัวเงีย ใครทำงานอยู่เวรยิ่งสำคัญ มีเวลาให้นอน ใครไม่ได้อยู่เวร เมื่อจัดเวลาได้ ต้องนอน ให้ความสำคัญกับมันมาก ๆ อย่าเล่นโซเชียลมาก อย่าติดเกม อย่าติดซีรีส์ เวลานอนก็ต้องซื่อสัตย์เหมือนออกกำลังกาย
4.รักษามือยิ่งชีพ ผมเชื่อว่าแพทย์พยาบาลทุกคนใช้มือเป็นเครื่องมือหลัก ผมเลี่ยงกีฬาหรือกิจกรรมเกือบทุกชนิดที่มีโอกาสบาดเจ็บต่อมือ ขี่มอเตอร์ไซค์ผมก็สวมถุงมือแบบหนา ตัดเล็บต้องระวังเล็บขบ จะใช้มีดใช้ตะหลิว จะไม่ใช้ท่าที่จะเกิดอันตรายกับมือเลย ทาแฮนด์ครีมเป็นประจำ เพราะมือแห้งล้างบ่อย
5.อันนี้เทคนิคส่วนตัว ผมไม่กินหนักแต่ผมกินบ่อยขึ้น ปริมาณอาหารไม่มากกว่าเดิมแต่กระจายพลังงาน ต้องเคร่งครัดไม่งั้นจะอ้วน เพื่อให้ตัวเองมีแรงเพียงพอในการตรวจรักษา ไม่อด ไม่โหย ถ้าอดหรือโหย มื้อต่อไปจะกินหนักขึ้น และจะนำอาหารขยะเข้าตัวมากขึ้น ยกตัวอย่างสักวันแล้วกันนะครับ เช้า..ไข่ต้ม โอ๊ตมีล กาแฟดำ สาย..แซนด์วิชไก่ชิ้นเล็ก บ่าย..กาแฟดำ ขนมจีบสี่ลูก ผลไม้สามสี่ชิ้น เย็นมาก..สลัดผัก หมูย่าง กับนมสด อันนี้คือวันเบา ๆ เดินราวด์ ตรวจคนไข้นอก ทำหัตถการเบา ๆ ไม่หิว ไม่อ้วน เอาอยู่
6.ลงทุนกับรองเท้า เดินยืนทั้งวัน รองเท้าที่กระชับ นุ่มสบาย ไม่กัด ไม่รัด เป็นเรื่องสำคัญ แล้วจะเดินได้ทั้งวัน ไม่ทรมาน ไปลองหลาย ๆ คู่เลยครับ ส่วนตัวผมสวมรองเท้ากีฬาสีดำ ใส่ทำงานสบาย เดินออกกำลังกายระหว่างวันได้ด้วย
7.จิบน้ำบ่อย ๆ ทั้งวัน ทำให้ร่างกายไม่ล้า ใครลองตรวจคนไข้ทั้งเช้าโดยไม่ดื่มน้ำ รับรองเหนื่อยและล้าพอควร แต่ถ้าได้จิบน้ำบ่อย ๆ ชั่วโมงละสองสามอึกก็ได้ ผมทำและพบว่ามันช่วยให้ "อึด" ไม่ล้าง่าย ดื่มตอนไหน ก็ตอนเดินไปล้างมือ ใช้เจลแอลกอฮอล์ นี่แหละครับ มีขวดใส่หลอด สองสามอึกก็ชื่นใจ (อ้อ..ผมใช้แต่น้ำเปล่านะครับ)
ลองไปปรับใช้ดู หรือพี่น้องหมอพยาบาลใครมีเทคนิคดี ๆ มาแชร์กัน เพื่ออายุงานที่ยาวนาน ปฏิบัติงานอย่างแข็งแรง มีความสุข ไม่ล้มป่วยง่าย และช่วยคนไข้ได้เยอะขึ้นครับ

25 มกราคม 2568

PM 2.5 ข่าวเท็จ

 มีข้อความชุดนี้ส่งมาให้ผมทางอินบ็อกซ์ บอกว่าขอให้ช่วยเผยแพร่ เพราะคนไทยและรัฐบาลไทยกำลังหลงทางกับฝุ่น PM 2.5 ว่ากำลังหลงทาง

ได้ครับ เผยแพร่ให้ แต่ไม่เห็นด้วยนะ
บทความบอกว่าเป็น "ข้อคิดเห็น" จากอดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดลท่านหนึ่ง บอกว่า PM2.5 ไม่อันตราย
ไม่จริงนะครับ
PM 2.5 และมลพิษต่าง ๆ เพิ่งมามากจนเกิดปัญหาในยุคอุตสาหกรรมใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่สองนี้เอง ในอดีตเราอาจมีฝุ่นนี้แต่ไม่เกิดปัญหาเพราะปริมาณไม่มากและชาวโลกไม่เยอะ
แต่ปัจจุบัน มันเป็นปัญหาระดับโลกที่แท้จริง
ฝุ่น PM 2.5 มันลงลึกไปถึงระดับ small airways ก็จริง แต่ไม่ได้ย้อนกลับออกมาทั้งหมด มีการซึมเข้าผนังถุงลม แทรกเข้าหลอดเลือดฝอยที่ปอด ไปสู่หัวใจและไปสู่อวัยวะต่าง ๆ ได้
ส่วนที่ว่าบริษัทต่าง ๆ ประโคมข่าวเพื่อขายอุปกรณ์กรอง มันไม่ได้เกิดจากแผนอุบาทว์ทางการตลาดแบบนั้น. มีหลักฐานเชิงประจักษ์มากมายจนเป็นที่ยอมรับว่า PM 2.5 เป็นอันตรายต่อร่างกายจริง
และอุปกรณ์กรองต่าง ๆ ป้องกันได้ระดับหนึ่ง ในเขตปิดล้อมมิดชิดเท่านั้น การแก้ไขมันต้องบังคับเชิงกฎหมาย และมาตรการทางสังคม
ดังนั้น ใครได้รับข้อความแบบนี้ แชร์มาทางไลน์ อย่าไปเชื่อนะครับ
PM 2.5 มีจริง เจ็บจริง ไม่ควรละเลยหรือไม่ป้องกันตัวเองนะครับ






ดูแลผู้สูงวัยที่บ้าน ควรมีอะไรบ้าง

 ดูแลผู้สูงวัยที่บ้าน ควรมีอะไรบ้าง (ใครมีหัวข้อเพิ่มเติม ก็เสริมมาได้นะครับ)

▪เครื่องวัดความดันโลหิต ความดันโลหิตขึ้นลงไม่มีอาการนะครับ ต้องวัดจึงทราบ ควรซื้อแบบที่วัดตรงต้นแขน ขนาดแถบพันให้รัดได้หนึ่งรอบครึ่ง ควรตรวจสอบถ่านไฟฉายว่าไม่อ่อน หรือใช้เสียบปลั๊ก เวลาบันทึก แยกสามค่านะครับ systolic/diastolic และ ชีพจร
▪เทอร์โมมิเตอร์ แบบใช้ง่ายก็มีสองอย่างคือแท่งเสียบรักแร้ จะใช้แบบดิจิตอลหรือปรอทก็ได้ แบบดิจิตอลก็ง่ายดี ระวังแค่ถ่านหมดกับเสียบไม่แนบรักแร้ อีกแบบคือก้านส่องรูหู อันนี้แพงกว่ามาก แต่แม่นยำ แปรปรวนต่ำ จะได้ทราบเลยว่ามีไข้หรือไม่ สูงหรื่อไม่สูง รักษาแล้วตอบสนองดีหรือเปล่า
▪กระโถน, bed pan, กระบอกฉี่ เพื่อขับถ่ายบนเตียง ผู้สูงวัยหลายท่านลุกนั่งยาก หรือติดเตียง การมีกระโถนแบบแบน สอดให้ขับถ่ายได้จะสะดวกมาก จะใช้แบบพลาสติกหรือแบบอลูมิเนียมก็ได้ทั้งนั้น แต่จากประสบการณ์แบบอลูมิเนียมจะทำความสะอาดง่ายกว่า
▪ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ใส่เวลาเดินทาง เวลานอน จะได้ไม่ขัดจังหวะการนอนหรือเดินทาง เลือกแบบใดก็ได้ แต่ต้องหมั่นตรวจสอบ ถ้าเต็มก็เปลี่ยน อย่าปล่อยค้างให้อับชื้น
▪ชุดทำแผลแบบใช้แล้วทิ้ง ผ้าพันแผล ผู้สูงวัยมีแผลง่าย หากเป็นแผลถลอก กระแทก เลือดซึม ก็ทำแผลได้เลย ใช้เบตาดีนเช็ดรอบ ใช้น้ำเกลือล้าง ผ้าก๊อซปิด แนะนำใช้ผ้าพันแผลพัน เพราะพลาสเตอร์มักมีผื่นแพ้หรือติดไม่อยู่
▪อุปกรณ์บดยา กระบอกฉีดยา ที่ตัดเม็ดยา ผู้สูงอายุมันมีปัญหาการเคี้ยวกลืน บางคนต้องบด ใช้มือหักยาไม่ได้แน่ การตวงยาน้ำควรใช้กระบอกฉีดยา และมีอีกอันเอาไว้ป้อนยาช้า ๆ ทางปากได้ หาซื้อได้ตามร้านขายยา
☆☆การจัดสภาพแวดล้อม☆☆
▪ทางเดินทางผ่านผู้สูงวัย ควรไม่มีสิ่งกีดขวาง หรือส่งที่จะทำให้ลื่นล้ม
▪ไฟฟ้าทางเดินต้องสว่างพอ มีจุดเกาะยึด
▪จุดยึดจับในห้องน้ำ พื้นห้องน้ำต้องไม่ลื่น
▪ปรับโถขับถ่ายเป็นแบบนั่งเก้าอี้ ห้ามนั่งยอง
▪ขึ้นลงบันได ให้น้อยที่สุด หากต้องขึ้น อย่าลืมทำราวยึดเกาะให้ดี ติดแถบกันลื่น
▪ควรมีขวดน้ำดื่มไว้ใกล้ตัวใกล้มือ การลุกไปดื่มน้ำลำบาก จะทำให้เขาไม่ดื่มน้ำเพียงพอ
☆☆เตรียมล่วงหน้า☆☆
▪สมุดประจำตัวผู้ป่วย จะโรคอะไรก็แล้วแต่ มีไว้ข้างตัวพร้อมหยิบไป รพ.
▪ถ่ายภาพซองยา ฉลากยาที่ใช้ล่าสุดเอาไว้ เผื่อต้องใช้
▪เบอร์โทรศัพท์ รพ.ที่รักษาประจำ รพ.ใกล้บ้าน และเบอร์ฉุกเฉิน ถ้าไม่ทราบให้โทร 1669
▪ทางติดต่อญาติที่มีอำนาจการตัดสินใจหรือทายาทโดยธรรม
การเตรียมตัวที่ดีที่สุด คือ การเตรียมตัวคุณเอง คือ ผู้ดูแล ให้พร้อมเสมอ
เพราะการวิธีการดูแลคนที่เรารักที่ดีที่สุด คือ การดูแลตัวเองให้แข็งแรงพร้อมจะดูแลคนที่เรารักได้

23 มกราคม 2568

เรื่องเล่าจากคลินิก :เตือนภัย เตือนใจ : 18++

 เรื่องเล่าจากคลินิก :เตือนภัย เตือนใจ : 18++

เรื่องเล่านี้ผมขอเล่าเป็นการบรรยาย เพราะบทพูดมันติดเรตเหลือคณา อยากเตือนให้ทุกคนระวัง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
มีหญิงชายคู่หนึ่งอยู่ด้วยกันแบบสามีภรรยา แต่ไม่ได้จดทะเบียน เดินเข้ามาปรึกษาพร้อมกันทั้งคู่ เพื่อประเมินโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เนื่องจากทั้งสองคนมีรสนิยมทางเพศแบบ "มากกว่าหนึ่งคู่พร้อมกัน" โดยผู้ที่มาร่วมกิจกรรม มีทั้งคู่เหมือนกัน มีทั้งชายที่มาคนเดียว (วงการเรียก "ชายเดี่ยว") ซึ่งก็ป้องกันโดยสวมถุงยางอนามัยมาตลอด แต่ทว่า..
เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ก็มีความสัมพันธ์กิจกรรมกลุ่มระหว่างคู่และชายหนุ่มอีกคน ซึ่งชายหนุ่มคนนี้ทางคู่เขาบอกว่ารู้จักกันมาสักพัก และประวัติสะอาด คราวนี้จึงชวนมีกิจกรรมแบบ "สด" คือไม่สวมถุง โดยมีผลตรวจเลือดไวรัสเอชไอวียืนยันทั้งสามคน ว่าไม่พบการติดเชื้อ และจากคำบอกเล่าของคู่นี้เล่าว่า 'อุปกรณ์' ของชายหนุ่มคนนี้ดูปรกติ ไม่มีแผล … และเขาเอารูปถ่าย 'อุปกรณ์' อันนั้นมาให้ผมดูด้วย OMG !!
สรุปว่าวันนั้น มีกิจกรรมแบบ 'สด'
วันนี้ผู้ชายมีแผลที่อวัยวะเพศ ตรวจดูเป็นแผลซิฟิลิส ส่วนผู้หญิงมีตุ่มเริม ทั้งคู่จึงมาปรึกษาว่าจะตรวจเลือดหรือตรวจอะไรดี เมื่อไร จะรักษาอย่างไร คราวนี้ความสนุกชั่วคืน กลายเป็นต้องฝืนทนยาวนาน ผมจึงต้องส่งตัวไปตรวจเลือด รวมทั้งตรวจเอชไอวีซ้ำ ตับอักเสบ และเฝ้าระวังอีกสารพัด แนะนำให้บอกชายหนุ่มคนนั้น แต่ก็ไม่รู้เขาจะไปบอกหรือไม่..เฮ้อ
1.ความสัมพันธ์นอกคู่ มีความเสี่ยงสูงมาก ยิ่งถ้าไม่ได้ป้องกัน ไม่ว่าจะช่องทางใด (สามคนนี้มีเกือบทุกช่องทาง)
2.การตรวจเอชไอวีไม่พบเชื้อ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย โรคอื่นอีกเพียบ แถมตรวจเอชไอวีไม่พบก็อาจอยู่ในระยะที่ตรวจไม่ขึ้นก็ได้
3.นี่โชคดี (หรือเปล่า) ที่คู่นี้เขามาด้วยกัน รู้ด้วยกัน ถ้าเกิดสมมติเกิดกับฝ่ายใดไปแอบกินโดยที่อีกคนไม่รู้ ก็จะนำโรคมาสู่อีกคนได้ ..กรรม.. เรื่องยาว
4.ส่วนมากเราจะไม่สามารถเอื้อมมือไปปกป้อง "คนแปลกหน้า" ได้เลย หลายครั้งไม่บอก หลายครั้งโกรธแค้นว่าเขาโกหก (พอถามจริง ๆ เค้นจริง ๆ จะพบว่าประวัติไม่สะอาด) หลายครั้งติดต่อไม่ได้อีกเลย เขาก็ไปแพร่เชื้อต่อไป
5.ผมเคยรู้มาว่ามีกลุ่มรสนิยมแบบนี้ แต่นี่เจอกับตัว ได้ถามจนรู้ไส้พุง รายละเอียดจริงวาบหวิวกว่านี้มาก แต่ก็บอกเลยว่า อันตรายและเล่นกับไฟ
เกิดคลินิกให้คำปรึกษาโรคทางอายุรกรรม ช่างเจอเรื่องราวมหัศจรรย์มากมายจริง ๆ

มะเร็งปอด สรุปแบบง่ายให้ทุกคนเข้าใจ

 มะเร็งปอด สรุปแบบง่ายให้ทุกคนเข้าใจ

1.มะเร็งปอด ต้องมีผลการตรวจชิ้นเนื้อเพื่อการวินิจฉัย จะเป็นชิ้นเนื้อจากปอดด้วยวิธีการต่าง ๆ หรือชิ้นเนื้อจากส่วนแพร่กระจายอื่นที่เชื่อว่ามาจากปอด
2.ผลชิ้นเนื้อสำคัญมาก เพราะจะบ่งชี้การรักษา การตรวจชิ้นเนื้อในปัจจุบันนอกจากดูด้วยตาเปล่าและย้อมสีทาง immunohistochemistry เพื่อแยก small cell กับ non-small cell ออกจากกัน เพราะการรักษาต่างกัน ยังจะส่งเพิ่มไปถึงระดับโมเลกุล เพื่อตรวจสอบโปรตีนและยีนที่กลายพันธุ์ ตรงนี้เอามาใช้เลือกยาพุ่งเป้าที่ทำงานเฉพาะโปรตีนตัวนั้น การกลายพันธุ์ตัวนั้น
3.หลังจากยุ่งกับชิ้นเนื้อมะเร็ง การออกแบบการรักษาจะต้องกำหนดระยะของโรค เช่นตำแหน่งใด มีต่อมน้ำเหลืองโตไหม การทำงานของปอดดีพอจะตัดออกได้ไหม อันนี้จะเป็นการตรวจขั้นรองลงมา เช่นการเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ทรวงอก การวัดสมรรถภาพปอด
4.การรักษาหลักของ small cell คือ การฉายแสงและการให้ยาเคมีบำบัด อาจให้พร้อมกันหรือเรียงลำดับก็ได้ ยาเคมีบำบัดมีทั้งสูตรมาตรฐาน และยาพุ่งเป้าแห่งทศวรรษ anti-PD และอาจต้องฉายแสงที่ศีรษะเพื่อป้องกันการกระจายไปสมอง มะเร็งนี้ชอบสมอง
5.การรักษาหลักของ non small cell คือ การผ่าตัด ไม่ว่าจะผ่าแล้วหายเลยหรือผ่าแล้วให้ยาต่อฉายแสงต่อ คือให้ยาฉายแสงก่อนผ่าตัด ต้องพยายามตรวจสอบให้ดีว่าผ่าได้ไหม ถ้าผ่าได้ควรผ่า การผ่าได้ขึ้นกับตัวโรคและตัวคนไข้เอง
6.non small cellในกรณีที่ผ่าตัดไม่ได้ ไม่ว่าจะไม่เหมาะสมต่อการผ่าตัด หรือเป็นระยะที่ผ่าไม่ได้ หรือแพร่กระจาย ก็จะมีบทบาทของ ยาเคมีบำบัดและการฉายแสง ยังแนะนำใช้ยาเคมีบำบัดแบบมาตรฐานก่อนคือ platinum-based ส่วนการใช้ยาพุ่งเป้าสามารถใช้เสริมได้ในระยะนี้
7.สำหรับยาพุ่งเป้า จะมีบทบาทในกรณีระยะสามที่ต้องให้ยาต่อ หรือระยะแพร่กระจาย โดยเราจะใช้ยาตามการกลายพันธุ์ของยีน ในมะเร็งปอดจะมีการกลายพันธุ์ได้หลายยีน ก็จะเลือกตัวที่ส่งผลต่อการควบคุมโรคที่ดีที่สุด (driver mutation) เช่นตรวจหา EGFR mutation, ALK fusion, KRAS mutation เมื่อพบก็จะเลือกยาพุ่งเป้าตามยีนนั้น ๆ ยาที่ได้ยินบ่อย ๆ เช่น erloninib, gefitinib, crizotinib
8.การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด ย่อ ๆ คือ เซลล์มะเร็งมันจะสร้างตัวหลอกระบบภูมิคุ้มกันของเรา ปกติเซลล์แปลกปลอมจะถูกระบบภูมิคุ้มกันกระตุ้นให้ตัวเองตาย (programmed cell death) แต่มะเร็งมันฉลาด มันสร้างตัวมาหลอกระบบภูมิคุ้มกันเรา ถ้าหากเราพบ เราก็เลยไปจัดการตัวหลอกของมะเร็ง ยาที่ใช้คือ pembrolizumab, atezolizumab, nivolumab, ipilimumab
9.การรักษาในข้อ 7 และ 8 บอกเลยว่าแพงมาก ไม่รู้จะตายจากมะเร็งหรือตายจากค่ายา แม้ประสิทธิภาพจากการศึกษาจะพบว่า "ในทางสถิติ" ดีกว่าให้ยาเคมีบำบัดอย่างเดียว แต่เมื่อมาพิจารณาในชีวิตจริงแล้ว progression-free survival คือ ระยะเวลาที่มีชีวิตต่อโดยโรคไม่กำเริบ อาจไม่ได้ต่างกันมากเท่าไร เมื่อคิดประโยชน์-โทษ-ความคุ้มค่า ก็ยังแนะนำเป็นทางเลือกเพิ่มจากยาเคมีบำบัดมาตรฐานและฉายแสง (ในอนาคตน่าจะเป็นทางเลือกแรก)
10.ปัจจัยเสี่ยงที่เราคุมได้ ก่อนที่จะมาคิดข้อ 1-9 คือการสูบบุหรี่ ดังนั้น เลิกบุหรี่เสียเถิดครับ
All reactions:
672

19 มกราคม 2568

ยารักษา HIV

 "อํานาจที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง" หากเราไม่ทราบความเป็นมา เป้าประสงค์ ของพลังอำนาจ อาจนำไปใช้ในทางที่ผิดเป้าประสงค์ : ยารักษา HIV

ผมมีโอกาสได้สนทนากับผู้ป่วยรายหนึ่ง เป็นผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีที่รักษากันมานานตั้งแต่ผู้ป่วยยังเป็นเด็กหนุ่ม ได้รับเชื้อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จนปัจจุบันเป็นเอเจนซี่บริษัทส่งออก เดินทางไปหลายประเทศ แต่ก็ยังมารับยาและติดตามกับผมมาตลอด กดไวรัสได้ดี สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
ลุงหมอ : ผมถามสักหน่อยสิ ตั้งแต่อดีตตอนที่รักษากัน มาตอนนี้ สังคมเปลี่ยนไป ยอมรับผู้ป่วยแบบนี้มากขึ้น คุณมีความเห็นอย่างไร
ชายหนุ่ม : สำหรับตัวผม ผมดีใจ ที่เราได้รับการยอมรับมากขึ้น ไม่เหมือนอดีต ที่มีแต่คนไม่อยากเข้าใกล้ ปัจจุบันนี้คนเข้าใจ และยอมรับมากกว่าเดิมมากครับ
ลุงหมอ : แต่สำหรับผม การที่ทุกคนรู้จักและเข้าใจโรคและการรักษามากขึ้น ยอมรับได้มากขึ้น มันก็มีผลเสียนะครับ
ชายหนุ่ม : น่าจะดีขึ้นนะครับ ตอนนั้นคุณหมอต้องพูดอยู่นาน กว่าที่พ่อแม่ผมจะเข้าใจ
ลุงหมอ : แต่ก็ทำให้คนไม่ระวังตัว ไม่ป้องกัน ทุกวันนี้มีคนมารับยาต้านก่อนติดเชื้อ และยาต้านหลังสัมผัสเชื้อ มากขึ้นกว่าเดิม และละเลยการป้องกันพื้นฐานโดยสวมถุงยางอนามัย
ชายหนุ่ม : อันนี้จริงครับ ผมเคยเจอกับตัวเองด้วย ผมบอกว่าต้องป้องกันนะ เพราะผมกินยาต้าน คู่คนนั้นเขาก็ถามว่า กินยาต้านสม่ำเสมอนะ โอเค เดี๋ยวเขาจะได้ไปกินยาต้านหลังเรามีอะไรกัน
ลุงหมอ : อย่างไรก็ต้องป้องกันนะ ถ้าเรารับเชื้อใหม่มาเพิ่ม ก็อาจจะเป็นเชื้อดื้อยาได้
ต้องยอมรับว่าหลังจาก PrEP และ PEP ได้รับการเผยแพร่ออกมาอย่างแพร่หลาย จะมีความเชื่อแนวคิดว่า ทุกวันนี้พลังการรักษาและป้องกันสูงมาก จนไม่ต้องสวมถุงยางอนามัยกันแล้ว บางรายมารับ PEP ทุกสามเดือนก็มี
เป็นแนวคิดและปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง เพราะเปิดช่องโหว่มากมาย เปรียบกับฟุตบอลก็คือปล่อยให้กองหน้าเขาเลี้ยงลูกบอลไปถึงหน้าประตู แล้วไปลุ้นกับผู้รักษาประตูของเราที่เก่งมาก แต่โอกาสเสียประตูก็สูง สู้เราช่วยกันสกัดตั้งแต่แรก โอกาสทำประตูก็ลดลง อุดช่องโหว่ให้หมด
การมียาต้านไวรัสประสิทธิภาพสูง ไม่ว่าจะป้องกัน (ก่อนและหลังสัมผัสโรค) หรือรักษา เป็นเพียงมาตรการอันหนึ่งเท่านั้น ออกแบบมาเพื่อควบคุมเชื้อเอชไอวี ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อ "ลดการ์ด ลดการป้องกัน" ถ้าเราคิดแบบนั้นก็ถือว่า เราใช้พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ไปในทางที่ผิด และบุคลากรทางการแพทย์ที่อาจจะแนะนำไม่ครบถ้วนหรือผิดจุด ก็อาจจะใช้พลังอำนาจนั้นไปผิดทางได้
ลุงหมอ : สรุปแล้ว คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้
ชายหนุ่ม : ในฐานะที่ติดเชื้อผ่านยุคสมัยที่พูดไม่ได้มาจนพูดได้เสรี กินยาวันละหลายเม็ด จนมากินยาวันละเม็ด ก็ต้องบอกว่าป้องกันขีดสุดดีกว่า การติดเชื้อมันไม่มีความสุขแม้จะควบคุมรักษาได้ แต่ถ้าไม่ติดมันดีกว่ามากเลยล่ะครับ ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องเสียสุขภาพจิต ไม่ต้องลำบากใจและลุ้นทุกครั้งเวลาบอกแฟนทุกคนว่า "ผมกินยาต้านอยู่นะ"
และเรื่องนี้น่าจะมีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น PET-CT, liquid gene biopsy, high specificity but low sensitivity test, การรักษาไวรัสตับอักเสบบีหรือซี, การตรวจและรักษาหนองในที่เร็วและง่าย ...
with Great power comes Great responsibilities

12 มกราคม 2568

ข้อมูลคลาดเคลื่อน อย่าเพิ่งเชื่อ และอย่าแชร์ งูสวัด กับ ยางกล้วย

 ข้อมูลคลาดเคลื่อน อย่าเพิ่งเชื่อ และอย่าแชร์

เขาบอกงูสวัดและเริม ใช้ยางกล้วยทา
1.เริมและงูสวัดเป็นเชื้อคนละตัวกัน แม้จะใช้ยาตัวเดียวกันรักษา
2.เริมและงูสวัด หายเองอยู่แล้ว แต่แนะนำรักษา เพราะจะได้ลดความรุนแรงและผลแทรกซ้อน
3.การใช้ยางไม้ ยางกล้วย ไม่แนะนำครับ เพราะอาจสกปรก ปนเปื้อน เชื้อรา บาดทะยัก แนะนำให้ผ้าสะอาดชุบน้ำหมาด โปะแผลสัก 15 นาทีแล้วเอาออก ทำแบบนี้บ่อย ๆ
4.ทายางกล้วยรอบแผลแค่ไหน ก็ขังงูสวัดไม่ได้ เพราะมันกระจายตามแนวเส้นประสาทใต้ผิวหนัง
5.ผู้ป่วยสูงวัย ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันไม่ดีเช่น เบาหวาน ใช้ยากดภูมิ ปลูกถ่ายอวัยวะ อันนี้ควรใช้ยาต้านไวรัสรักษานะครับ
May be an image of text that says "วิธีแก้พิชงสวัด (เริม) ช่วยแชร์!! เพื่อเป็น เป็น วิท ยา วิทยาทาน ทาน ใครแชร์ขอให้ได้บุญ ถูกหวย างวัลที่ 1 !! #ใครเป็นหรือมีญาติเป็นโรคนี้ ต้องอ่าน!! สมัยตอนเป็นเด็กวัด ที่วัดท่าเรือ แกลง เป็นเริมขึ้นเอว บอกว่า "ไอ้หนู มึงไปหาลูกกล้าย ปหาลูกก ยครับ แล้ว ก็บอกต่อผู้ค ไม่หายก็มาหาย ไม่จริง ย บางราย รักษาที่โรงพย นระยอง าว้าที่อ่อน ที่อ่อน อ่อนนะครับ ะครับ หลัก รกษา นพ. นพ.ฉลอง ควรหา ว่า ทำไมม้า เด๋ผล ท่านบอกว่า เชื้อ ไวรัส มันตายเอง ยางกล้วยมัน ไปช่วยยืดไม่ ให้เชื้อกระจาย เมื่อมันกระจายไม่ได้ มันก็ตาย บอกไว้เป็นวิทยาทาน เชื่อไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ใครแชร์ต่อไปขอให้ได้บุญครับ!! แชร์ต่อ (ปล.ทา วันละครั้ง จนหายนะครับ)"
Boost
All reactions:
78

สดชื่น พร้อมลุยงาน : ประสบการณ์ชีวิต

 สดชื่น พร้อมลุยงาน : ประสบการณ์ชีวิต

ผมเป็นคนตื่นเช้า ทำอาหาร ออกกำลังกายตอนเช้า เนื่องจากต้องการความสดใสในตอนเช้า ช่วงเช้าเป็นช่วงที่ต้องใช้พลังสมองและพลังกายมากสุด
หาอ่านหลายวิธีและลองใช้กับตัวเอง ทั้งตำราแพทย์ หนังสือสุขภาพ คำบอกเล่าของหน่วยซีล ประสบการณ์ลามะธิเบต จึงนำมาแบ่งปัน เพื่อทุกคนเอาไปใช้ตามความเหมาะสม
1.เริ่มต้นด้วยการลุกจากที่นอน และเก็บที่นอนทันที มีหนังสือเขียนด้วยนะ ถ้าคุณอยากเปลี่ยนโลก ทำสิ่งนี้ก่อน .. ส่วนตัวผมมัยคือ ความสำเร็จก้าวแรก เพิ่มความตื่นตัว หายง่วง และบอกตัวเองว่าหมดเวลานอนและงัวเงียแล้ว
2.สิ่งแรกที่ทำคือ แปรงฟัน ผมเลือกใช้ยาสีฟันมินต์ที่ซ่ามาก ในตอนเช้า มันช่วยให้สดชื่น ตื่นตัว และ การรักษาสุขภาพช่องปากเสมอ ๆ ลดโอกาสการติดเชื้อในช่องปากและลำคอได้ดี
5.กายบริหารง่าย ๆ 5-10 นาที โดดตบ แตะสลับ ลุกนั่ง สควอท วิ่งกับที่ ยกเข่าสูง นอกจากจะกระตุ้นร่างกายแล้ว เป็นการออมการออกกำลังกายเพิ่มเติมในแต่ละสัปดาห์
4.อาหารตอนเช้า ต้องมีโปรตีน อันนี้สำคัญ จะทำให้มีพลังต่อเนื่องไปถึงเที่ยงโดยไม่โหย และอิ่มนาน ปกติผมทำโอ๊ตมีลด้วย นมสดและโยเกิร์ตอยู่แล้ว และทุกเช้า จะมีไข่ต้มหรือไข่ลวกเสมอ ทำให้เช้าวันนั้นคุณพลังดี
5.ผลไม้แช่เย็นสองสามชิ้น จะช่วยเพิ่มความสดชื่นได้ ผมปอกผลไม้แช่ในกล่องเก็บอาหารเอาไว้เสมอ หยิบมาสองชิ้น กินหลังอาหารเช้าเสร็จ มันช่วยสดชื่นและนำน้ำตาลตรงนั้น มาบูสต์พลังงานที่จำเป็นในสองสามชั่วโมงได้ มีส้มเขียวหวาน แอปเปิ้ล ชมพู่ เลือกที่เปรี้ยวหวาน สดชื่นดี
6.อาบน้ำเย็น ไม่ได้หมายถึงใช้น้ำเย็นตลอดนะครับ อากาศหนาวแบบนี้ก็ทำได้ คุณจะเลือกใช้น้ำเย็นตลอด หรือ ใช้น้ำอุ่นก่อน แล้วตบท้ายด้วยน้ำเย็นก่อนอาบเสร็จ อันนี้อ่านมาจากเคล็ดลับหน่วยซีล ทำให้ตื่นตัวและกล้ามเนื้อสดชื่น
7.กาแฟเช้า สำหรับผม มันช่วยมาก ผมดื่มกาแฟดำร้อน หนึ่งถ้วยทุกวัน คาเฟอีนจะช่วยระบบประสาทตื่นตัว ช่วยให้หายงัวเงียได้
8.ครีมบำรุงผิวหน้า มีเหตุผลสองอย่างคือหนึ่ง เพิ่มความชุ่มชื้น ป้องกันแดด ถ้าเลือกกลิ่นที่เราชอบจะช่วยให้เราสดชื่น อีกเหตุผลคือการนวดคลึงใบหน้าและรอบตาเบา ๆ ทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าผ่อนคลาย สดชื่นครับ (เคล็ดลับหน้าหนุ่ม)
ทั้งหมดนี้อาจจะดูเสียเวลา แต่ถ้าทำประจำจะเร็วมาก และพร้อมลุยงานทุกเช้า
สุดท้ายถ้าคุณสุภาพสตรีท่านใดคิดว่าทำยาก คุณก็รับคุณหมอสูงวัยท่านนึง หน้าตาหนุ่ม ๆ ความรู้บ้าน ๆ แต่อธิบายดีมีเรื่องเล่าให้ฟังทั้งวัน รับไปให้เขาดูแลคุณ แค่นี้ก็สดชื่นทุกเช้าล่ะครับ..แฮ่ม

บทความที่ได้รับความนิยม