มีข่าวเล่าเรื่อง : ความคืบหน้าเรื่องการรักษาโควิด 19 จากสองวารสารชื่อดัง การใช้ซีรั่มในการรักษาโรครุนแรงลงในวารสาร JAMA และความคืบหน้าเรื่องวัคซีนจาก mRNA ในวารสาร New England Journal of Medicine
ส่วนที่สอง เล่าเรื่องวัคซีนแบบสรุปจาก NEJM
มีการศึกษาทดลองการผลิตวัคซีนมาใช้เพื่อป้องกันโรคโควิดมากมาย ที่เราต้องติดตามเพราะวัคซีนที่ศึกษาอาจมีผลที่เกิดได้หลายอย่าง อาจจะไม่ได้อย่างที่หวัง หรือเมื่อศึกษาในคนอาจจะผลแตกต่างออกไป ไม่ว่าจะแปรปรวนเพราะเรื่องสายพันธุ์ตามธรรมชาติ เชื้อชาติ หรือพื้นที่การระบาด
วารสาร NEJM ลงตีพิมพ์เรื่องการใช้ชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมชนิดหนึ่งคือ messenger RNA ของไวรัส SARS-CoV 2 มาใช้เพื่อผลิตวัคซีน ในขั้นการทดลองให้วัคซีนที่ผลิตจาก mRNA นี้ในลิง Rhesus Maceque ลิงผู้มีพระคุณของมนุษยชาติ เมื่อทิ้งเวลาให้สร้างภูมิคุ้มกันแล้ว ใส่เชื้อซารส์เข้าไป ดูซิว่า แอนติบอดีที่เกิดขึ้น จะปกป้องเนื้อเยื่อได้ไหม จะลดการติดเชื้อไหม จะทำลาย (neutralize) เชื้อไวรัสได้ไหม
ทำไมต้องใช้ mRNA .. ปกติวัคซีนอาจจะใช้ส่วนต่าง ๆ ของไวรัสมาฉีดเข้าไปเพื่อให้ร่างกายกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน แต่หากชิ้นส่วนมีที่มาหลากหลายส่วน อาจเกิดการกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันไม่ตรงจุด หรือสร้างข้ามสายจุด เกิดอันตรายมากกว่าผลดี หากใช้ mRNA ที่เฉพาะเจาะจงต่อการสร้างโปรตีนหนึ่งอย่าง เราจะสามารถดีไซน์ได้เลยว่าจะสร้างวัคซีนเพื่อมาทำลายที่โปรตีนใดของเชื้อจึงชะงักงัน เรียกว่า "วัคซีนนี้ดีไซน์มาเพื่อเรา"
*** วิธีนี้เรียก "active immunization" คือ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเอง ร่างกายจะจดจำตัวเชื้อได้ดี วันหลังสร้างเองได้ แต่ต้องดูว่าวัคซีนที่ฉีดเข้าไปมันจะดีพอไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันหรือไม่ ส่วนวิธีการให้ซีรั่ม คือการให้ภูมิคุ้มกันที่เรารู้แล้วว่าทำลายเชื้อได้ เข้าไปทำลายเชื้อโดยตรง เรียกว่า "passive immunization" แต่จะไม่ได้กระตุ้นให้ร่างกายเราสร้างภูมิได้เอง และร่างกายเราอาจต่อต้านภูมิคุ้มกันจากคนอื่นได้ ***
คำตอบจากวารสาร ที่ผมเห็นว่าสมเหตุผลคือ mRNA-1273 นี้มันคือต้นตอของการสร้างโปรตีนที่เรารู้จักกว่าเป็นส่วนหนามของไวรัส มีความแม่นยำในการเกิดภูมิต้านทานต่อส่วนนี้สูงมาก หากเราใช้โปรตีน(ที่มาจากกรดอะมิโนและ mRNA หลายชนิด) อาจจะมีความไม่บริสุทธิ์ของวัคซีน อาจไม่ได้กระตุ้นภูมิคุ้มกันแบบตรงจุดนัก ดังนั้นการใช้ mRNA จึงแม่นยำ (precise) ต่อภูมิคุ้มกันที่จะสร้างมาก
อีกอย่างคือด้วยเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมในปัจจุบัน หากมี mRNA ต้นแบบเราสามารถใช้ผลิตวัคซีนที่บริสุทธิ์และตรงจุดการออกฤทธิ์ได้เร็วมาก ง่ายมากด้วย
เอาล่ะผมจะข้ามในส่วนวิทยาศาสตร์บริสุทธิที่แสนยากไป สรุปว่า เอา mRNA ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิด neutralizing antibody คือจับทำลายเชื้อโควิดให้สิ้นสูญไป มาผลิตเป็นวัคซีนในสองขนาดคือ 10 ไมโครกรัม และ 100 ไมโครกรัม และวัคซีนหลอก นำไปฉีดให้กับลิงทดลองที่ไม่ได้ป่วย 24 ตัว ไม่เคยติดเชื้อโควิดมาก่อน สองเข็มห่างกัน 4 สัปดาห์
เว้นระยะไปอีกสี่สัปดาห์ แล้วใส่เชื้อโควิดขนาดสูง (เพราะต้องมั่นใจว่าทำให้เกิดโรคแล้วภูมิคุ้มกันจะได้ทำงานของมัน) เข้าไปทางเดินหายใจ หลังจากนั้นดูผลที่เกิดว่า ระดับภูมิคุ้มกันขึ้นเพียงพอจะป้องกันการติดเชื้อได้ไหม ปริมาณไวรัสถูกกำจัดได้ไหม และสามารถปกป้องเซลล์ระบบทางเดินหายใจไม่ให้เสียหายจากเชื้อโควิดได้ไหม (จากการนำเนื้อเยื่อจากจมูกและน้ำล้างหลอดลมไปตรวจ)
- พบว่าลิงที่ได้วัคซีนสามารถจำกัดเชื้อโควิดได้มากกว่าและเร็วกว่าลิงที่ไม่ฉีดวัคซีนอย่างมีนัยสำคัญ
- พบว่าลิงที่ได้วัคซีนโด๊สสูง มีระดับภูมิคุ้มกันที่สามารถปกป้องโรคได้ สูงกกว่าการให้วัคซีนโด๊สต่ำ
- พบว่าลิงที่ได้รับวัคซีนมีระดับไวรัสในเซลล์ทางเดินหายใจ ต่ำกว่าลิงที่ไม่ได้วัคซีนอย่างมากมาย
- พบว่าลิงที่ได้วัคซีนมีการอักเสบของทางเดินหายใจเล็กน้อยเท่านั้นส่วนลิงที่ไม่ได้รับวัคซีนจะอักเสบรุนแรงมาก
จากผลการทดลองนี้พอบอกได้ว่า วัคซีนที่ผลิตจาก mRNA-1273 นี้ สามารถกระตุ้นให้เกิด neutralizing antibody ได้จริงและเป็นของดีด้วย สามารถใข้งานได้จริงในตัวลิงที่จำลองการติดเชื้อแบบจริง ไม่ใช่ในหลอดทดลอง แต่จะเป็นจริงกับคนหรือไม่ อันนี้ต้องศึกษาต่อไป
ฟังแล้วอาจจะดูโหดร้ายกับลิงนะครับ แต่นี่คือกระบวนในการศึกษาตามระเบียบวิธีวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาสาธารณสุข หากมีโอกาส ก็ขอให้พวกเราอุทิศส่วนกุศลให้สัตว์ทดลองเหล่านี้ด้วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น