"อะมีบาสยอง กินสมองคน" ข่าวรายงานจาก CNN ว่าหนุ่มน้อยอายุ 29 ชาวนิวเจอร์ซี่ ไปเที่ยวลุยตามประสาชายหนุ่ม เล่นเคเบิลเซิร์ฟ ดำนำ ตกปลาที่ทะเลสาบแถวรัฐเท็กซัส แต่กลับมาแล้วป่วยหนัก ปวดหัวรุนแรง สับสนและเสียชีวิต สิ่งที่แพทย์พบคือเขาป่วยเพราะมี brain-eating amoeba อะมีบากินสมอง ไปกินสมองของเขา
เจ้าอะมีบา เป็นสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เซลล์เดียวสามารถอยู่ได้เดี่ยว ๆ ตามธรรมชาติ ตัวเล็กมากต้องมองด้วยกล้องจุลทรรศน์เท่านั้น อะมีบาที่ก่อเรื่องนี้ชื่อ Naegleria fowleri เป็นอะมีบาเพียงไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้นที่จะก่อโรคในคน ชอบอาศัยในน้ำจืด โดยเฉพาะน้ำที่อุ่น ๆ ระดับอุณหภูมิ 40-45 องศาเซลเซียส เช่นทะเลสาบน้ำอุ่น บ่อน้ำพุ หรือน้ำที่ออกมาจากอุตสาหกรรม สระว่ายน้ำที่ไม่ได้รับการดูแลที่ดี ในน้ำทะเลไม่มีอะมีบานี้
เจ้าอะมีบานี้มันก็อยู่เฉย ๆ ดี ๆ นี่แหละแต่ถ้าหากมนุษย์เราไปทำให้มันเข้าตัวโดยบังเอิญ มันก็จะก่อโรคได้ แล้วเข้าตัวทางไหน ... ทางจมูกครับ ด้านบนของโพรงจมูกจะมีแผ่นกระดูกบาง ๆ พรุน ๆ กั้นระหว่าจมูกกับสมองไว้ เรียกว่าใกล้กันมาก เวลาผ่าตัดต่อมใต้สมองก็ผ่านทางด้านหลังจมูกนี่แหละ หรือเวลาทำมัมมี่โบราณก็ล้วงสมองออกทางนี้
นั่นคือมีการสูดสำลักน้ำที่มีเชื้ออะมีบานี้เข้าไปทางจมูก แล้วอะมีบาก็ไชผ่านแผ่นกั้นนี้ไปก่อโรค ชอนไช ทำลาย สมองและเยื่อหุ้ม ทำให้อักเสบ บวม มีอาการต่าง ๆ ทางสมองและระบบประสาท ความดันในกะโหลกสูงและเสียชีวิต
จะเห็นว่าติดต่อยากมาก ใช่ครับ อุบัติการณ์โรคนี้ทาง CDC เรียกว่าพบยากมาก แต่จริง ๆ ผมว่าอาจมีมากกว่านี้นะ เพราะการวินิจฉัยมันไม่ง่ายเลย ไม่ติดต่อจากคนสู่คนด้วย ที่ผ่านมามีรายงานผู้ป่วยบ้างประปราย
ระยะเวลาการก่อโรคประมาณ 1 สัปดาห์หลังติดเชื้อและมักจะเสียชีวิตในสองถึงสามสัปดาห์หลังมีอาการ เนื่องจากอาจไม่ได้ประวัติสัมผัสโรค และการตรวจหาอะมีบาไม่ง่ายเลย ต้องเจอตัวในน้ำไขสันหลัง หรือตรวจหาแอนติเจน หรือทำการตรวจสารพันธุกรรม ทาง CDC เขามีบริการตรวจ ตลอด 24 ชั่วโมง (กว่าจะไปถึง กว่าจะได้ผล)
การรักษาต้องรักษาเรื่องความดันในกะโหลกสูง อาการข้างเคียงทางระบบประสาทเช่นซึม ชัก โคม่า การทำให้ร่างกายเย็นลง ส่วนยาที่ใช้มีเพียงรายงานการใช้ว่าบางรายได้ผลคือยา miltefosine รายงานจาก CDC พบว่ามีรอดสามรายจากการใช้ยานี้ จึงยังไม่มีการศึกษาแบบ randomized controlled trials ได้แน่ ๆ เพราะโอกาสพบโรคน้อยมาก หลักฐานแบบรายงานผู้ป่วยจึงเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดในตอนนี้
สำหรับการป้องกันนั้นแสนจะยาก คำแนะนำให้อย่าดำน้ำหรืออย่าสำลักเข้าจมูก ในน้ำที่เสี่ยงกับการมีเชื้อคือน้ำจืดในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยเฉพาะหากอุณหภูมิน้ำค่อนข้างอุ่น #การดื่มน้ำทางปากจะไม่ติดเชื้อและในน้ำทะเลไม่มีเชื้ออะมีบานี้ น้ำประปาหรือน้ำในสระว่ายน้ำจะผ่านกระบวนการกำจัดเชื้อมาแล้วครับ
ผมว่าข่าวลวง ข่าวมั่วในโลกออนไลน์ ปั่นหัวคนได้รุนแรงกว่าเจ้าอะมีบา Naegleria fowleri เยอะเลย ติดต่อจากคนสู่คนด้วย สยองกว่าเยอะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น