26 ตุลาคม 2568

พิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้า ในพระบรมราชูปถัมป์ ตอนที่ 2

 21 วันที่เชียงใหม่ : ตอนที่ 2


ตอนที่สอง พิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้า ชั้นบน

ก่อนที่เราจะไปชั้นที่สอง เพื่อไปดูห้องที่ประทับของพระราชบิดา ผมจะเล่าเรื่องความเสียสละของพระองค์ท่านก่อนครับ


สมเด็จพระราชบิดาเสด็จไปเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ดในปี 1917 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลังจากนั้นโลกประสบความถดถอยทางการเงินอย่างรุนแรงที่เรียกว่า the great depression รัฐบาลของในหลวงรัชกาลที่ 6 ต่อไปถึงต้นรัชกาลที่ 7 จำเป็นต้องลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งเงินของพระบรมวงศานุวงศ์ด้วย 


แม้ว่าพระราชบิดาทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นหลักในการศึกษาและอยู่อาศัยในต่างแดน (พระองค์เป็นน้องต่างพระมารดาของในหลวงรัชกาลที่ 6 ได้รับพระราชทานทรัพย์มาพอสมควร) 


แต่เมื่อวิกฤตทางการเงินมาถึง เงินพระบรมวงศานุวงศ์ลดลง และมีความลักลั่นระหว่างเงินในส่วนของสำนักพระราชวัง เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่พระราชบิดาตัดสินใจมาใช้วิชาแพทยที่ร่ำเรียนมา และทั้งที่สภาพคล่องทางการเงินลดลงแต่พระองค์ก็ยังบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างหอพักแพทย์ เป็นทุนการศึกษา บำรุงการศึกษาแพทย์และพยาบาล รวมถึงครุภัณฑ์สำคัญในการรักษาคนไข้ที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิคนี้ด้วย


อย่าลืมว่า ครอบครัวพระองค์ท่านคือสมเด็จพระบรมราชชนนีศรีสังวาลย์และครอบครัวยังพักอาศัยที่สหรัฐอเมริกา ต้องจัดสรรเงินเพื่อดูแลครอบครัวอีกทางหนึ่ง


เป็นความเสียสละและเป็นหัวแถวในการบุกเบิกวงการแพทย์ไทย


ทางขึ้นชั้นสองได้จัดแสดงผลงานอีกด้านของพระองค์ท่าน คือ ผลงานทางศิลปะ รูปภาพนกฮูกนั้น ทางผู้บรรยายได้บรรยายว่าเป็นภาพที่พระองค์วาดสมัยเรียนทหารเรือ เป็นรูปหม้อความดันแล้วเติมอวัยวะจนเป็นนกฮูก 


ส่วนโปสการ์ดด้านซ้ายเป็นภาพวาดลงสี ประดิษฐ์ขึ้นเองเพราะในสมัยนั้นกระดาษเป็นสินค้าที่ราคาแพงมาก


 รูปวาดแบบ urban sketching สมัยที่พระองค์ท่านไปยุโรป ถ้าผมจำไม่ผิด (จากผู้บรรยาย) ภาพซ้ายจะเป็นโบสถ์แหางหนึ่งในโปรตุเกส ส่วนภาพซ้ายเราน่าจะคุ้นตากัน คล้ายหมู่บ้านไอเซลต์วาลด์ในสวิสเซอร์แลนด์ แต่ผู้บรรยายแจ้งว่า ไม่มีบันทึกว่าจริงแล้วภาพนี้วาดสถานที่ใด เคยมีคนพยายามไปตามรอยแต่ก็ไม่พบ 


ขออภัยที่กล้องมือถือผมชัดแค่นี้ ในตู้จัดแสดงนี้เก็บบันทึกที่คุณหมอที่ทำงานกับพระราชบิดา เขียนบันทึกการทำงานของพระองค์ ทัศนคติต่อผู้ป่วย ความอดทนและไม่ย่อท้อต่อความลำบาก และยังมีม้วนเทปคาสเซ็ตต์ที่สัมภาษณ์คุณหมอต่าง ๆ และเทปวิดีโอวีเอชเอส บันทึกเรื่องราวของพระองค์ผ่านผู้ร่วมงาน ทั้งหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ รวมไปถึงผู้ป่วย บันทึกรวบรวมข้อมูลมาประกอบการทำพิพิธภัณฑ์ และวิดีโอเรื่องหมอเจ้าฟ้า ความยาว 25 นาที ที่ทำให้เราเห็นพระราชบิดาในแง่หมอชนบท เข้าใจ เข้าถึง ประชาชนทุกชนชั้น ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา


มุมระเบียงก่อนเข้าห้องนอน จะมองเห็นโรงพยาบาลแมคคอร์มิคชัดเจน บริเวณนี้คุณหมอคอร์ทจะมาเฝ้าดูความเรียบร้อยของโรงพยาบาลเป็นประจำ ในอดีตพื้นที่บริเวณนี้จะเป็นบริเวณโล่ง สงบ


สะท้อนความเป็นแพทย์ประจำบ้าน (resident) อย่างชัดเจน คือ พักอาศัยกินอยู่หลับนอนในโรงพยาบาล โดนตาม โดนปลุก และนี่คือหนึ่งในความตั้งใจของพระราชบิดาคือ ออกมาสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของชาวบ้าน จึงเสด็จออกมาจากศิริราช ต่อจากศิริราชแล้วโรงพยาบาลหัวเมืองที่ได้มาตรฐานและน่าจะช่วยคนไข้ได้อย่างที่นึกฝัน ก็คือแมคคอร์มิคที่นี่


ที่ศิริราช มีหลายแผนกช่วยกันทำงาน และด้วยพระอิสริยยศในเวลานั้นย่อมไม่สามารถ ‘’จัดเต็ม’ กับทุกงานได้แน่ แม้แต่มาที่นี่ทุกคนก็ยังเกรง อย่าลืมว่าตอนนั้นยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง เจ้านายและพระราชวงศ์ยังมีบทบาทและบารมี แต่พระองค์ท่านมีท่าทีสุภาพ ให้เกียรติ และปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนหมอประจำทุกคน 



เข้ามาในห้องนอนนี่คือห้องจริง นี่คือเตียงจริงครับ ขนาดเดิม มีการซ่อมแซมบ้าง แต่นี่คือเตียงนอนพระองค์ท่านของจริง ในชีวิตผมนี่คือครั้งแรกที่เข้าใกล้สิ่งของเครื่องใช้ของจริงของพระองค์ท่าน ผู้บรรยายแจ้งว่ามาดามคอร์ทจัดทำตามความสูงของพระองค์เลยครับ 


และถึงคุณหมอทุกคน คุณสามารถใกล้ชิดพระองค์ได้ทุกขณะจิต เพียงแค่ทำตามคำสอนของพระองค์


จงยึดประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ผู้ป่วยเป็นที่หนึ่ง


ฉันไม่ต้องการให้เธอเป็นแพทย์เพียงเท่านั้น แต่ต้องการให้เป็นคนด้วย



อันนี้ห้องแต่งตัวครับ ของใช้ต่าง ๆ เป็นของร่วมสมัยในยุคนั้น ก็ประมาณยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง 


พระราชบิดากลับจากเรียนที่ฮาร์วาร์ด ตอนนั้นสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์และครอบครัวยังอยู่ที่สหรัฐอเมริกาครับ เนื่องจากตอนนั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 ยังทรงพระเยาว์มาก และตราบจนพระราชบิดาสวรรคตในปี 2472 ครอบครัวมหิดล ก็ยังไม่ได้กลับประเทศไทย ยาวจนถึงสิ้นสุดสงครามโลกซึ่งตอนนั้นในหลวงรัชกาลที่แปดขึ้นครองราชย์แล้ว (รับทูลเสด็จขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ขณะประทับอยู่ต่างประเทศ)



ตะขอแขวนในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าคือของจริง ดั้งเดิม ตำแหน่งเดิม แค่ทาสีทับ ทางพิพิธภัณฑ์พยายามจำลองและย้อนวันเวลาให้มากที่สุด คงสภาพเดิมและทรงคุณค่า  นับว่าใส่ใจในรายละเอียดมาก 


พอพูดถึงใส่ใจในรายละเอียด ตอนฟังวิดีทัศน์เรื่องราวของพระราชบิดา ก็มีตอนหนึ่งที่ทางพิพิธภัณฑ์ใส่ใจรายละเอียดจากคำบอกเล่าของคุณหมอที่ปฏิบัติงานในช่วงเวลาเดียวกัน นำมาสร้างเป็นวิดีทัศน์ เล่าถึงตอนที่พระราชบิดาเข้าเคสผ่าตัดกับคุณหมอคอร์ท ผู้ป่วยสงสัยฝีในตับ 


ดล่าว่าในตอนแรกนั้นพระองค์ท่านไม่กล้าเจาะ ด้วยว่าไม่เคยเจาะมาก่อน ไม่รู้จะเจาะตำแหน่งใด น่าจะเก้เก้กังกัง แต่คุณหมอคอร์ทก็สอนว่าคนไข้เจ็บตรงไหนก็เจาะตรงนั้น พระองค์ท่านจึงเจาะตามที่หมอคอร์ทบอก จนได้หนองสีแดงคล้ำออกมา รักษาคนไข้ไว้ได้ ในวิดีทัศน์เล่าละเอียดแบบบทหนังเลยครับ



ทางปลายเตียงมีโต๊ะทำงาน เครื่องพิมพ์ดีด ปากกาหมึกซึม เช่นกันโต๊ะตัวนี้ก็เป็นของจริง คุณคิดดูว่าผมตื่นเต้นแค่ไหน สมัยนักเรียนแพทย์ปีสอง ผมเคยเข้าแถวเพื่อถวายบังคมที่ลานสมเด็จพระราชบิดา ใจกลางโรงพยาบาลศิริราช ท่ามกลางรุ่นพี่และครูบาอาจารย์ที่เป็นสักขีพยาน 


ความใกล้ชิดเดียวคือพระรูปของพระองค์ที่เฝ้ามองตลอดที่อยู่ศิริราช แต่นี่ได้มาเห็นโต๊ะทำงาน เตียงนอน ห้องนอน อุปกรณ์เครื่องใช้ที่พระองค์เคยใช้ แถมจัดแสดงแบบ elegance อีกด้วย



อันนี้ห้องอาบน้ำ ถัดออกมาจากห้องนอน มาดามคอร์ทต่อท่อจากโรงพยาบาลเข้ามาห้องนี้ อ่างอาบน้ำนี้ ท่านผู้บรรยายเล่าให้ฟังว่า เดิมทีนั้นมีคราบเหลืองสกปรก แต่มาดามคอร์ทก็ได้คิดค้นหาวิธีมาขัดถูจนเหมือนใหม่ และทำด้วยตัวเอง เพื่อพระราชบิดา


อันนี้หลายคนคงคุ้นตาแล้ว ส้วมสมัยร้อยปีก่อน เป็นที่มาของคำว่าชักโครก คือต้องใช้มือดึงคันชัก และมีเสียงดังโครก แต่ผมไม่แน่ใจว่าอันนี้เป็นของเดิมหรือไม่ ดูจากร่องรอยแล้วเหมือนถังน้ำเคยต่อกับโถมาก่อน 


เคยเห็นของดั้งเดิมที่พิพิธภัณฑ์มฤคทายวัน ของดั้งเดิมของในหลวงรัชกาลที่หก ดูหรูหราและแยกชิ้นมากกว่านี้


ถ้าใครมาถึง ก็อย่าลืมดูวิดีทัศน์เรื่องราวของพระองค์ท่านในช่วง 21 วันที่มาอยู่นี่ โดยถ่ายทำจากเรื่องราวจริง บอกเล่าโดยคุณหมอคอร์ท มาดามคอร์ท หมอ พยาบาลและคนไข้ ที่เคยสัมผัสพระองค์ท่านจริง ๆ


และเมื่อลงมาจากตัวอาคารหลัก เราก็จะเดินมาทางขวาของตัวอาคาร จะเป็นคาเฟ่ชื่อเมเบิล คอร์ท เดิมทีเป็นโรงรถของหมอคอร์ท ที่นี่มีกาแฟหอมและขายคุ้กกี้สูตรของมาดามคอร์ท ที่ทำถวายพระราชบิดาด้วยนะครับ



อันนี้คือบ่อน้ำเก่าและลานซักล้าง ปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้วครับ อยู่ด้านหลังคาเฟ่ สร้างมาตั้งแต่ก่อนหมอคอร์ทมาที่นี่


พื้นที่บริเวณนี้เดิมทีเป็นลานโล่ง มีการปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างเป็นสถานพยาบาลทีละน้อย และเนื่องจากเริ่มต้นด้วยมิชชันนารี แม้บุคคลระดับเจ้าเมืองและข้าราชการชั้นสูงจะยินดี เพราะมาช่วยรักษาและดูแลชาวบ้าน แต่ยังมีความต่อต้านจากชาวบ้านพอสมควร เนื่องจากวิธีการรักษา แนวคิด ต่างจากแพทย์พื้นบ้าน


ในยุครัชกาลที่ 6-7 ในกรุงเทพมหานครเริ่มมีความเจริญทางการแพทย์พอสมควรแล้ว แต่ในหัวเมืองต่างจังหวัดแม้จะพัฒนาแล้ว แต่การเดินทางไปหาหมอยังยากลำบาก สุขอนามัยไม่ดี ไฟฟ้าไม่มา แน่นอนข่าวสารและ health literacy ยังไม่ดี


ด้านหลังของพิพิธภัณฑ์ เป็นอาคารสำนักงาน เวลาที่คุณมาเช้าชมพิพิธภัณฑ์จะได้รับการเข้าฟังบรรยายเบื้องต้นเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ แต่วันที่ผมไปเยือนเขาใช้ห้องประชุมกันจึงไม่ได้ฟังบรรยายเบื้องต้นอันนี้


ผมได้เข้าไปห้องข้าง ๆ เป็นห้องจัดแสดงภาพของแพทย์มิชชันนารีที่เข้ามาสร้างประโยชน์และความเจริญ เช่น หมอบลัดเล หมอเฮ้าส์ และหมอที่มาสร้างความเจริญในหัวเมืองเหนือ ในภาพนี้คือหมอคอร์ทนั่นเอง รักษาคนไข้ สร้างโรงพยาบาล สอนนักเรียนแพทย์…ซึ่งมีเรียนแค่รุ่นเดียวครับ 


และสอนนักเรียนพยาบาล ที่พัฒนาต่อมาเป็นวิทยาลัยพยาบาลแมคคอร์มิค มหาวิทยาลัยพายัพ 


กล้องตรวจตา slit lamp ของจริงในยุคนั้น คือกล้องตรวจตาที่เวลาเราไปพบจักษุแพทย์ หมอจะให้เราเอาคางวางบนแป้นและหน้าผากทางบนแป้นอีกเช่นกัน หมอก็จะหมุนแสงส่องตรวจตา


ด้วยความที่ผมมักจะค้นประวัติแต่อายุรแพทย์ ประวัติวิชาอายุรศาสตร์ ก็ไม่ได้ค้นเรื่องจักษุแพทย์และอุปกรณ์มากนัก รู้สึกทึ่งมากทีเดียว 


เครื่องอัดยาเม็ดควินิน คุณหมอยุคนี้อาจจะรู้จักแต่อาร์ทีซูเนต เมโฟลควิน ใช้ในการรักษามาเลเรีย แต่ในยุคนั้นยาเดียวที่พลิกโฉมไข้ป่าคือควินิน สารสกัดจากเปลือกต้นซิงโคนา 


ที่เมืองเชียงใหม่ในสมัยที่พระราชบิดามาที่นี่ โรคมาเลเรียระบาดมากทีเดียว ยาควินินจากกรุงเทพก็ไม่พอและไม่ทัน ที่นี่เลยซื้อเครื่องตอกเม็ดยามาเอง ทางภัณฑารักษ์แจ้งว่าเครื่องยังใข้งานได้ พร้อมใช้ให้ดูด้วย ทั้งตอกเม็ด อัดเครื่องหมายตราบนเม็ดยา


เตียงที่เห็นคือ เตียงเอ็กซเรย์ เครื่องขวาบนสุดคือเครื่องถ่ายเอ็กซเรย์และหลอดเอ็กซเรย์ สมเด็จพระราชบิดาบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 3000 ดอลล่าร์สหรัฐ ซื้อเครื่องเอ็กซเรย์นี้ให้โรงพยาบาลแมคคอร์มิค 


อันนี้คือคุ้กกี้สูตรมาดามคอร์ท ที่ทำถวายพระราชบิดาครั้งมาประทับที่แมคคอร์มิคแห่งนี้


รสชาติไม่หวานครับและหนึบ ไม่ร่วนเหมือนคุ้กกี้ทั่วไป


รู้สึกมีความสุขมากครับ ได้มาตามรอยเดินก้าวเดียวกัน เห็นเตียง กินคุ้กกี้สูตรเดียวกัน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม