21 วันที่เชียงใหม่ : ตอนที่ 1
พิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้า ในพระบรมราชูปถัมป์ คือเป้าหมายหลักในการเดินทางครั้งนี้
พวกเราทุกคนรับรู้แน่นอนว่า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก คือ บิดาแห่งการแพทย์ไทย ท่านเสียสละไปเรียนและพัฒนาวิชาแพทย์แผนปัจจุบันของไทย
ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้มาปฏิบัติงานเป็นแพทย์ประจำรพ.แมคคอร์มิค จ.เชียงใหม่
หลายคนไม่ทราบถึงเหตุการณ์ 21 วันที่พระองค์ท่านอยู่ที่นี่ ผมเองก็ไม่ทราบ จึงได้ลัดฟ้ามาหาคำตอบ ที่นี่ พิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้า รพ. แมคคอร์มิค
พิพิธภัณฑ์ตั้งตะหง่านชัดเจนอยู่ริมถนนแก้วนวรัฐ ภายในวิทยาลัยพยาบาลแมคคอร์มิค ม.พายัพ และตรงข้ามรพ.แมคคอร์มิค หนึ่งในรพ.สังกัดคริสตศาสนาที่ไม่แสวงผลกำไร
ความสำคัญของพิพิธภัณฑ์นี้คือ เป็นที่ตั้งและอาคารดั้งเดิมที่เป็นที่พักของนายแพทย์เอ็ดวิน ชาร์ลส์ คอร์ท แพทย์มิชชันนารีอเมริกันประจำ รพ. เป็นอาจารย์แพทย์ อาจารย์พยาบาล และที่สำคัญ ที่นี่คือที่พักของสมเด็จพระราชบิดาครั้งมาปฏิบัติงานที่ รพ แมคคอร์มิค
อาคารนี้ได้รับการปรับปรุงโดยรักษาสภาพเดิมมากที่สุด อาคารเป็นอิฐทั้งหลัง มีช่องโปร่งสองชั้นเพื่อระบายอากาศ โครงสร้างคล้ายห้องสมุดนิสสัน เฮยส์ ที่กรุงเทพ
สาเหตุที่ทาสีเหลือง เพราะพบว่าตอนซ่อมแซม สีของอาคารเดิมเป็นสีนี้ โครงสร้างอิฐเดิมยังอยู่ใต้ผนังสีเหลืองนวลนี้
ตัวบ้าน เคยเป็นทั้งที่เรียน ที่พักของหมอคอร์ทและมาดามคอร์ท มีห้องนอนของพระองค์ท่านอยู่ชั้นบน ทางพิพิธภัณฑ์มีความตั้งใจจะรักษาสภาพเดิมให้มากที่สุด
จำลองกลไกโครงสร้างต่าง ๆ ให้เหมือนเดิมที่สุด ไม่ว่าจะกลอนประตู ตะขอแขวน ลูกบิด แม้แต่ห้องใต้หลังคา
เราจะมีเจ้าหน้าที่คอยพาชมครับ
เปิดเข้ามาจะพบหุ่นจำลองคุณหมอคอร์ท โต๊ะทำงานและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในยุคสมัยนั้น สมัยไหนก็อยู่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งครับ นี่คือห้องทำงานจริงของคุณหมอคอร์ทและพระราชบิดา อุปกรณ์เครื่องใช้ทั้งหูฟัง ตราประทับ เครื่องพิมพ์ดีด ตะเกียง (สมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้าครับ)
ในตู้มีตำราแพทย์ของจริงที่เก็บรักษาไว้ตั้งแต่ยุคสมัยนั้น และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่หมอคอร์ทได้รับเอาไว้ด้วย แต่โซนนี้เขากั้นพื้นที่เอาไว้นะครับ เข้าไปดูไม่ได้
พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ทำงานจริงของพระองค์ท่านครับ ก็จะเห็นว่ามาทำงานเสมือนคุณหมอโดยทั่วไป ไม่ได้มีสิทธิพิเศษใด ๆ แม้จะดำรงตำแหน่งเจ้าฟ้าก็ตามที
พระองค์ยังกำชับผู้ร่วมงานว่า ดึกดื่นแค่ไหนก็ตามมาดูคนไข้ได้ ให้ปฏิบัติเหมือนพ่อเลี้ยงคอร์ท (คุณหมอคอร์ท) ทุกประการ
ห้องโถงกลาง จัดแสดงถาพถ่ายและข้าวของเครื่องใช้ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง พัดลม โต๊ะ เครื่องเล่นแผ่นเสียง ที่เป็นสิ่งพบในบ้าน
พระราชบิดา เดิมทีพระองค์ท่านจบวิชาการทหารเรือ แต่ด้วยความจำเป็นและการเมืองภายใน จึงไปเรียนวิชาแพทย์ที่สหรัฐอเมริกา ตอนที่พระองค์ท่านมาเยี่ยมหัวเมืองฝ่ายเหนือ เคยปรึกษาหมอคอร์ทว่าจะไปเรียนที่ไหนดี คุณหมอคอร์ทเป็นศิษย์เก่า Jefferson School of Medicine ไม่รู้คุยกันอย่างไร พระราชบิดาจึงเลือกไปเรียนที่โรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด
หลายท่านอาจจะสงสัยว่านี่ผมกล่าวถึงหมอคอร์ทและ รพ.แมคคอร์มิค มากกว่าพระองค์ท่านเสียอีก ขออธิบายแบบนี้ครับ ในยุคสมัยปลายรัชกาลที่หกต่อรัชกาลที่เจ็ด เป็นยุคเริ่มของการจัดตั้งระบบการแพทย์แผนตะวันตก โดยความเจริญเริ่มต้นที่โรงพยาบาลศิริราช โดยคุณหมอจากอเมริกามาเป็นหมอและครูแพทย์ แต่โรงพยาบาลตามภูมิภาคยังไม่พัฒนา รักษาโรคง่าย ๆ ตามแต่ทรัพยากรจะมีเช่น อยุธยา นครราชสีมา ส่วนโรงพยาบาลเอกชนทั้งหมดมาจากมิชชันนารีอเมริกัน
โรงพยาบาลแมคคอร์มิคในเวลานั้นคือตัวท้อปของโรงพยาบาลฝ่ายภูมิภาค ที่มีการจัดระบบการแพทย์แบบอเมริกัน มีหมอปริญญาจากอเมริกาผลัดกันมาประจำการ
จัดแสดงพื้นที่บริเวณนี้ว่าเป็นโรงพยาบาลของมิชชันนารีอเมริกันที่มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า ตั้งแต่ยุคสมัยที่เมืองเชียงใหม่ยังมีเจ้าผู้ครองนคร ผ่านความยากลำบากทั้งความเจริญ การคมนาคม ความเชื่อ โดยเฉพาะต่างชาติต่างศาสนาถือเป็นอุปสรรคสำคัญ
แต่ก็ผ่านมาถึงจุดที่ทุกคนยอมรับ ไม่เพียงแต่ยอมรับในการรักษา และยังยอมรับมาเรียนมาศึกษา ในภาพคือ นักเรียนพยาบาลรุ่นแรก ยังสวมหมวกทรงกระบอก เสื้อผ้าทั้งหมดนั้นมาดามคอร์ทเป็นผู้ตัดเย็บให้ ดูแลเสมือนบุตรหลานเลย
ภาพนี้คือโต๊ะอาหารของพระองค์ท่าน มาดามคอร์ทเป็นคนจัดถวายด้วยตัวเอง ตลอดสามมื้อยี่สิบเอ็ดวัน ที่ประทับอยู่ที่นี่
และมาดามคอร์ททำการบ้านมาอย่างดี จัดเมนูที่เหมาะกับพระองค์ท่าน ด้วยอุปกรณ์เครื่องครัวที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น
พระองค์ท่านไปราวนด์เช้ากับหมอคอร์ททุกวัน เป็นกิจวัตรประจำวันของแพทย์ประจำบ้าน จากวิดีทัศน์อธิบายว่า ทรงตรวจคนไข้เองทุกคน เก็บเลือด ปัสสาวะ ไปตรวจด้วยตัวเอง นั่นคือนอนนี่ ตื่นแต่เช้า ตรวจรอบเช้าแล้วจึงมารับอาหารเช้า ก่อนจะไปออกตรวจโอพีดี และทำงานวอร์ด
เหมือนนักเรียนแพทย์เหมือนเรสิเดนท์ ท่านจึงเข้าใจแพทย์ พยาบาล และคนไข้เป็นอย่างดี
ห้องครัวจริง และหุ่นจำลองมาดามคอร์ท ที่คอยดูแลเอาใจใส่พระราชบิดา ดูจากอาหารยุคนั้นก็สดใหม่ ไม่ค่อยมี processed food
ที่สำคัญพระองค์ท่านก็กินอาหารเหมือทุกคนที่นี่
ในห้องนี้นอกจากเตาไฟ อุปกรณ์ทำครัว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ครัวมาดามคอร์ท สามารถสรรค์สร้างอาหารได้มากมายคือมี “ตู้เย็น” เก็บอาหารสด ทำน้ำน้ำแข็ง และสามารถทำไอศกรีม ของโปรดของสมเด็จพระราชบิดาได้อีกด้วย
กระป๋องอาหารที่มาดามคอร์ทนำมาและสั่งมาทางเรือ ยังเก็บรักษาของจริงเอาไว้ ในห้องเก็บอาหารห้องนี้ด้วย
มาดามคอร์ทและหมอคอร์ท ได้เขียนตำราอาหาร ที่ส่วนมากเฉพาะเจาะจงกับผู้ป่วย เพื่อประกอบอาหารที่มีคุณค่า นับเป็น nutritional therapy เลยทีเดียว
เป็นสิ่งใหม่ในสังคมไทยเลยนะครับ เพราะมีเมนูอาหารจากนม จากไข่ มีสลัด การปรุงเนื้อสัตว์
โกโก้มีมาตั้งแต่ยุคนั้นแล้ว อังกฤษ ยุโรปและฝรั่งเศสมีการส่งออกแบบนี้มาตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่สาม สมัยต้นรัตนโกสินทร์ โกโก้เนสต์เล่ถือเป็นอาหารพรีเมี่ยมในยุคนั้นครับ หายาก ราคาแพง ต้องนำเข้า
ผมไม่แน่ใจว่ามาดามคอร์ทปรุงอาหารตามสภาพโรคหรือไม่ แต่จากบันทึกนี้ผมว่าน่าสนใจ เพราะพระราชบิดาป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังมานาน แน่นอนล่ะว่ายุคนั้นคงยังไม่มีการฟอกเลือด ผู้ป่วยโรคไตเสื่อมเรื้อรังจะได้รับการกำหนดปริมาณโปรตีน (ไม่งดนะครับ) ที่จะไม่ให้มากเกินกว่าไตจะกำจัดยูเรียได้
หากเป็นตามนั้นจริง ถือว่าเป็นโภชนบำบัดที่ดีเลยทีเดียวครับ
ก่อนจะขึ้นไปชั้นสอง กลางโถงชั้นล่างเป็นโมเดลจำลองโรงพยาบาลแมคคอร์มิคในสมัยที่พระองค์ท่านมาอยู่ พร้อมวีดีทัศน์เล่าเรื่อง โดยผูกประวัติโรงพยาบาล เข้ากับการมาทรงงานของท่าน เมื่อวิดีทัศน์เล่าเรื่องราว ไฟแสดงตำแหน่งอาคารต่าง ๆ ของโรงพยาบาลจะสว่างขึ้น เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตชีวา สนุก น่าติดตามครับ
ผมตั้งใจบันทึกภาพนี้เพราะนี่คือคำขวัญที่ผมยึดถือมาตลอดและเป็น motto ของเพจนี้ด้วยคือ “ความสำเร็จที่แท้จริง มิใช่อยู่ที่การเรียนรู้เท่านั้น แต่อยู่ที่ความสามารถในการประยุกต์ใช้ ให้เกิดประโยชน์กับมวลมนุษยชาติ”
พระราชบิดาเรียนจบ medical science จากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดแต่ยีงไม่รับการประสาทปริญญาแพทยศาสตร์ เนื่องจากข้อกำหนดในสมัยนั้นต้องผ่านการปฏิบัติงานในโรงพยาบาลที่สมาคมแพทย์อเมริกันรับรองให้เป็นสถานฝึกอบรม พระองค์ยังไม่ได้เข้ารับการฝึกภาคปฏิบัตินี้ ต้องกลับเมืองไทยก่อนด้วยเหตุผลหลายอย่าง หนึ่งในสาเหตุคือประเทศไทยในเวลานั้นต้องการการพัฒนาด้านสาธารณสุขอย่างเร่งด่วน ท่านจึงนำความรู้มาใช้จริง มากกว่าทำเพื่อใบปริญญา
กล้องจุลทรรศน์ ตะเกียงแล็บ สมัยนั้นหมอต้องทำแล็บเองนะครับ ดูฉี่ดูอึ สเมียร์เลือด ย้อมเสมหะ สมัยผมเป็นนักเรียนแพทย์เรายังได้รับการแจก white count chamber เอาไว้ตรวจนับเม็ดเลือด เราต้องปั่นปัสสาวะ ปั่นหลอดฮีมาโตคริต ย้อมสีสารพัดกันสนุกสนาน ที่ท้ายวอร์ดอัษฎางค์ จะมีห้องแล็บเล็ก ๆ เอาไว้ทำ bedside
ทุกวันนี้น้องนักเทคนิคการแพทย์ช่วยทำให้ คงสงสารถ้าเห็นหมอชราอย่างผมไปยืนยัอมสไลด์ แต่ก็ยังดูนะครับ
ประเด็นสำคัญที่เชียงใหม่เวลานั้นคือมาเลเรียระบาดหนักมาก การวินิจฉัยมาเลเรียคือการตรวจสเมียร์เลือดเพื่อดูปรสิตมาเลเรียในเม็ดเลือด รูปแบบเม็ดเลือด ตัวปรสิต จะแยกชนิดมาเลเรียได้
ผมยังจำคำพูด อ.อนงค์ เพียรกิจกรรม ที่กล่าวกับผมไว้ตอนที่ผมนั่งตรวจสเมียร์ที่อัษฎางค์ได้เลย “ถ้าหมอดูบลัดสเมียร์ได้ดี จะตอบคำถามคนไข้ได้มาก โดยไม่ต้องตรวจอะไรพิเศษเลย”
ชั่งตวงเพื่อปรุงยาด้วย ในยุคสมัยที่ขาดแคลนบุคลากร การเรียนยุคนั้นฝึกให้ทำทุกอย่างครับ พระราชบิดาร่ำเรียนทั้งวิชาการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุข เพื่อมาปฏิบัติงานรอบด้าน สอนทุกคน คุณหมอคอร์ทเองแม้ชำนาญด้านอายุรศาสตร์ แค่ก่อนมาปฏิบัติงานที่ไทยก็ไปเรียนต่อด้านการผ่าตัดและเวชศาสตร์เขตร้อนเพิ่มเติม
ด้านซ้ายมือสุดคือตราประทับของโรงพยาบาล ของจริง มีเพียงอันเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น