วันนี้เรามารู้จักงานวิจัยเฟสสามของวัคซีนซิโนฟาร์ม
ที่ลงตีพิมพ์ใน JAMA เมื่อ 26 พค. ที่ผ่านมา เป็นงานวิจัยหลักของวัคซีนตัวนี้
ในแบบประชาชนทั่วไปอ่านง่ายและเข้าใจ
วัคซีนซิโนฟาร์มนั้นผลิตโดย China
National Biotec Group Co.Ltd. เป็นวัคซีนเชื้อตายเหมือนซิโนแวก
วัคซีนเชื้อตายเป็นการผลิตเทคโนโลยีที่ปลอดภัยสูงมาก
เรารู้จักและใช้กันมาอย่างยาวนาน วิธีการผลิต การเก็บรักษา และการขนส่งไม่ยุ่งยาก
เหมาะกับประเทศที่มีรายได้ไม่สูงมากนัก
ในการศึกษาเฟสหนึ่งและสอง
เพื่อหาขนาดยาและระดับภูมิคุ้มกันที่ดีในร่างกายคน พบว่า วัคซีนซิโนฟาร์มสามารถสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรค
(neutralizing antibody)ได้ดีตามเกณฑ์มาตรฐาน
จึงมาทำการทดลองในเฟสสาม เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการป้องกัน
"การติดเชื้อแบบมีอาการ" และศึกษาความปลอดภัยของวัคซีนในคนจริง
วัคซีนนี้ผลิตในจีน แต่การศึกษาทางคลินิกนี้
ทำในประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน จอร์แดนและอียิปต์
โดยผลการศึกษานี้มาจากประชากรจากเอมิเรตส์และบาห์เรน
เพราะข้อมูลจากจอร์แดนและอียิปต์ เริ่มเก็บช้ากว่า
จะต้องรอผลการศึกษาฉบับเต็มจึงออกมาให้ทราบกัน
ตะวันออกกลาง มีสถานการณ์การระบาดที่ไม่สูงเท่าการศึกษาของวัคซีนอื่น
(44 รายต่อประชากร 1000
ราย เทียบตัวเลขของการศึกษาอื่น ๆ
ที่ประมาณ 79ราย)
สถานการณ์การระบาดที่ตะวันออกกลางพบข้อมูลการกลายพันธุ์ไม่มากนัก
ดังนั้นการแปลผลเรื่องสายพันธุ์ต่าง ๆ
นอกเหนือจากสายพันธุ์ที่มาทำวัคซีนคงแปลผลไม่ได้
และไม่มีการคิดวิเคราะห์แยกย่อยเรื่องสายพันธุ์ต่าง ๆ จากการศึกษา
กลุ่มประชากรที่สนใจ คือ ประชากรที่อายุมากกว่า 18 ปี
โดยไม่มีประวัติเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในกลุ่ม โคโรนาไวรัส ทั้งหมดคือทั้ง
ซารส์ 1, เมอรส์ และซารส์ 2 คือโควิด
โดยใช้การสอบถาม ไม่ได้ยืนยันว่าไม่มีเชื้อ โดยใครเคยติดเชื้อ
(ไม่ว่าจากประวัติหรือมีผลแล็บ)ก็จะไม่รับเข้าศึกษา
เมื่อได้กลุ่มวิจัยจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มเท่า ๆ กัน
รับวัคซีนหรือยาหลอก จำนวนสองเข็มห่างกัน 21 วัน
1.
กลุ่มควบคุม
13,471 คน กลุ่มนี้จะได้รับส่วนประกอบเหมือนวัคซีน
แต่ไม่มีวัคซีน มีแต่สารประกอบอลูมิเนียมที่เป็นส่วนผสมของวัคซีน สังเกตว่า ไม่ได้ใช้ยาหลอกเป็นน้ำเกลือนะครับ
ในหลายการศึกษาที่ผ่านมากลุ่มควบคุมที่ใช้น้ำเกลือก็มีผลข้างเคียงเช่นกันการศึกษานี้ใช้
adjuvant เป็นตัวเปรียบเทียบเพื่อดูว่าผลข้างเคียงที่เกิดมันจะเกิดจากสารประกอบอลูมิเนียมที่เป็น
adjuvant หรือเกิดจากวัคซีน
ไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบไม่ฉีดหรือฉีดน้ำเกลือเลย
2.
กลุ่มรับวัคซีนสายพันธุ์
WIVO4 จำนวน 13,470
คน ในวัคซีนมีสารประกอบอลูนิเนียมเป็น adjuvant ปริมาณเท่ากลุ่มควบคุม
3.
กลุ่มรับวัคซีนสายพันธุ์
HBO2 จำนวน 13,470
คน กลุ่มนี้จะมีโปรตีนของเชื้อและปริมาณ adjuvant น้อยกว่ากลุ่มที่เป็นสายพันธุ์ WIVO 4 เล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากฉีดยาไปแล้วจะมีการแนะนำให้สังเกตอาการต่าง ๆ
ทั้งอาการของโรคโควิดและอาการข้างเคียงจากวัคซีน มีการโทรไปสอบถามและหากเกิดอาการติดเชื้อตามเกณฑ์
อาการ เอกซเรย์ ก็จะมีการสืบค้น ตรวจหาเชื้อ ประเมินสิ่งต่าง ๆ ตามที่แผนการศึกษากำหนดไว้
ทั้งหลังเข็มแรกตลอดไปหลังเข็มสอง
จะเห็นว่าผลการศึกษาหลักต้องใช้ 'การติดเชื้อแบบมีอาการ
หลังฉีดวัคซีนเข็มที่สองไปอย่างน้อย 14 วัน' เพราะมีความชัดเจน วัดผลได้ เหมือนกับทุกวัคซีนที่ทำมาเช่นกัน
แม้จะมีบางส่วนที่ไม่มีอาการและเข้ามาทำการตรวจหาเชื้อ
เพื่อตรวจการติดเชื้อไม่มีอาการ แต่นั่นไม่ใช่ผลการศึกษาหลัก
ไม่ได้ถูกออกแบบมาคิดคำนวณทางสถิติที่ถูกต้อง จึงถูกจัดไว้เป็นเพียง post
hoc analysis หรือผลพลอยได้ที่นำมาวิเคราะห์ภายหลัง
นอกจากนี้การศึกษายังสุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนมาเจาะตรวจแอนติบอดี
หรือภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิด จำนวน 900 คน ว่าก่อนฉีดในแต่ละกลุ่มเป็นอย่างไร หลังฉีดเข็มแรกเข็มสอง
ภูมิคุ้มกันสูงขึ้นไหม ต่างกันมากน้อยเพียงใด เพื่อเก็บข้อมูลไว้ใช้ (ผมคิดว่าเพื่อมาเปรียบเทียบและหาความสัมพันธ์ของ
ระดับภูมิที่ขึ้น กับ ความสามารถในการปกป้องที่เกิด)
ย้ำอีกครั้ง ผลการศึกษาหลักคือ 'ลดการติดเชื้อแบบมีอาการ หลังฉีดวัคซีนเข็มที่สองไปอย่างน้อย 14 วัน' เท่านั้นนะครับ
เช่นเดียวกับการศึกษาวัคซีนโควิดแบบเร่งด่วนทั้งหลาย
ผลการศึกษาที่ได้คือ ผลที่ยอมรับได้ในระยะแรก
ยังไม่ใช้ผลสุดท้ายที่จะได้รับการวิเคราะห์
อีกทั้งยังมีปริมาณผู้ทดลองจากอียิปต์และจอร์แดนที่ยังไม่นำมาคิดอีกด้วย
การศึกษาตั้งเป้าว่าเมื่อมีผู้ติดเชื้อหลังรับเข็มสองในกลุ่มควบคุมครบ 50 ราย ก็เริ่มรายงานได้
โดยการศึกษานี้รายงานที่ 70 ราย
เกณฑ์การยอมรับของวัคซีนตัวนี้คือ
สามารถปกป้องได้ค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 60% เกณฑ์เดิมของวัคซีนแรก ๆ เช่นของโมเดอนาหรือไฟเซอร์ คือ 50% และตัวเลขค่าขอบเขตล่างสุด (น้อยสุดที่ปกป้องได้จากการวิจัย)เกิน 30%...
อ้อ คิดเมื่อจบการศึกษานะ
อย่าลืมว่ารายงานนี้เป็นเพียงส่วนแรกเท่านั้น
ผลการศึกษา ตรงนี้ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
เพราะมีตัวเลขที่แปรปรวนกว่าที่เราคิดมากเลย อย่าเอาแต่เพียงตัวเลข
ประสิทธิภาพวัคซีนค่าสุดท้ายไปใช้
1.
กลุ่มอายุเฉลี่ยที่มารับวัคซีนคือ
36 ปี เกือบ 100%
นะครับ มีคนอายุสูงกว่า 60ปี ไม่ถึง 2%
หมายความว่าหากจะนำไปใช้ในผู้สูงวัย กรุณาคิดดี ๆ
ผลอาจออกมาไม่เป็นดังที่คาดหวัง
2.
ไม่ได้คิดแยกหรือระบุ
'โรคร่วม' หรือ 'โรคประจำตัว'แต่อย่างใด
ไม่มีระบุไว้เลย ไม่ใช่ว่าเพราะอายุเฉลี่ยน้อยถึงไม่มีนะครับ แต่ไม่ได้แจกแจง ดังนั้น ผลของวัคซีนในคนที่มีโรคประจำตัว
(ที่อาจป่วยมากขึ้นหากติดโควิด) อันนี้บอกไม่ได้ ไม่มีข้อมูลนะครับ
3.
ผู้ที่เข้าร่วมการทดลองนี้เป็นชาย
84%เลยนะครับ
หากจะนำไปใช้ในสุภาพสตรีคงต้องระมัดระวังดี ๆ
เหตุผลอาจจะมาจากข้อมูลของการศึกษานี้เกือบทั้งหมดมาจากเอมิเรตส์ (มีบาห์เรน 20%)
ที่มีประชากรชายถึง 72% และเป็นคนที่มาอาศัย
มาทำงานในอาบูดาบีมากกว่าคนท้องถิ่น แต่ก็ยังเป็นเชื้อชาติอาหรับ อีกอย่างคือ ไม่รับหญิงที่มีแนวโน้มจะตั้งครรภ์มาทำการศึกษาอีกด้วย
4.
มีคน
74% ของคนที่เข้าทดลอง
ได้รับการตรวจภูมิคุ้มกัน พบว่ามีภูมิคุ้มกันมาก่อนฉีด (เคยติดเชื้อมาก่อน)เพียง 6.4%
ของสามหมื่นคนนั้น พอกล้อมแกล้มได้ว่าส่วนมากไม่ติดเชื้อมาก่อน
แต่ไม่รู้ว่าขณะทำการศึกษาติดเชื้อเท่าไร
ผลการปกป้อง คือ ประสิทธิภาพของวัคซีนในการลดการติดเชื้อแบบมีอาการ
หลังรับวัคซีนสองเข็ม คือ 72.8% ของวัคซีนWIVO4
และ 78.1%ของวัคซีนHBO2 ต่างจากกลุ่มยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
สำหรับการสุ่มตัวอย่างมาตรวจวัดระดับแอนติบอดีหลังฉีดครบสองเข็มไปสองสัปดาห์
ว่ามีปริมาณผู้เข้าร่วมที่ผ่านเกณฑ์ภูมิคุ้มกันมากพอปกป้องไหม
พบว่าค่าเฉลี่ยเรขาคณิต เพิ่มจาก 2.3 เป็น 94 และ 150
ในขณะที่ยาหลอกแทบไม่ขยับระดับภูมิคุ้มกันเลย
เรียกว่าสามารถกระตุ้นการสร้างภูมิและผ่านเกณฑ์ระดับ 99-100%
มีผลข้างเคียงไหม 'อย่าลืมว่า ยาหลอกคือ adjuvant คือ
สารประกอบอลูนิเนียม'ไม่ใช่น้ำเกลือนะครับ
พบว่าเกิดผลข้างเคียงพอกันทั้งวัคซีนสองตัวและยาหลอก คือ 45% ของผู้ที่ฉีด และเป็นผลข้างเคียงเล็กน้อยคือ เจ็บคัน ปวดตรงจุดฉีด
และหายเองได้ ผลข้างเคียงที่เป็นมาก พบประมาณ 0.5%
พอ ๆ กันทั้งสามกลุ่ม แต่ก็หายได้เกือบทั้งหมด
นี่คือผลเพียงสองเดือนครึ่งหลังฉีดเข็มสองนะครับ
และเป็นเพียงรายงานเบื้องต้นที่ถึงเกณฑ์จะรายงานได้และแปลผลไปใช้ได้
ยังไม่ใช่ผลสุดท้าย ต้องรอติดตามต่อไป
คำถามที่หลายคนสงสัย แต่ไม่ได้เป็นผลวิจัยหลักคือ
ป้องกันการป่วยรุนแรงที่เข้าไอซียูได้ไหม และลดการติดเชื้อไหม ต้องกล่าวว่าอ่านไว้เป็นแนวทาง
เอาไว้ไปต่อยอดการศึกษา เพราะไม่ได้ออกแบบมาตอบคำถามเหล่านี้
1.
ปอดอักเสบรุนแรงวิกฤต
เกิดเพียงสองรายในกลุ่มที่รับยาหลอก ข้อมูลไม่เพียงพอจะนำมาวิเคราะห์ประสิทธิภาพวัคซีนสำหรับกันป่วยหนักได้
... โปรดอย่าลืมว่า ประชากรที่มาศึกษายังอายุไม่มาก ไม่มีโรคร่วม และน่าจะ
(ส่วนตัวนะ) มีเศรษฐานะดี
การดูแลสุขภาพดีมาก่อน
2.
ป้องกันการติดเชื้อแบบไม่มีอาการได้ไหม จากข้อมูลที่พบ
(ไม่ได้คนหาและไม่ใช่เป้าหมาย) คือ
ในกลุ่มรับวัคซีนติดเชื้อ 16คน และ 10 คน
ส่วนยาหลอกติดเชื้อ 21 คน ถ้าเรานำคนที่ไม่มีอาการมาคิดประสิทธิภาพการปกป้องนำมารวมกับผู้ที่มีอาการ
(อันนี้เขาหาทำเองนะครับ) พบว่าวัคซีน WIVO4 มีประสิทธิภาพ 64% ส่วนวัคซีน HBO2 มีประสิทธิภาพ 73.5% ไม่สามารถมาคำนวณความแตกต่างจากยาหลอกได้เพราะไม่ได้ออกแบบมาทำลักษณะนั้น
3.
ฉีดเข็มเดียว
ปกป้องได้เท่าไร ก็มีการวิเคราะห์เช่นกัน
สำหรับวัคซีน WIVO4 สามารถปกป้องการติดเชื้อแบบมีอาการ
50.3% ส่วนวัคซีน HBO3 สามารถปกป้องการติดเชื้อแบบมีอาการ
65.5%
4.
แล้วถ้าคิดวิเคราะห์
ผู้หญิงที่มีปริมาณน้อยในการศึกษา ผู้สูงวัยที่มีปริมาณน้อยมากในการศึกษา
จะปกป้องเหมือนผลการศึกษาหลักไหม มีการวิเคราะห์นะครับ ว่าผลออกมาไปทางเดียวกับผลการวิจัยหลัก
แต่ความแม่นยำน้อย เพราะจำนวนคนที่มาวิเคราะห์น้อยเกินไป
สรุปว่า จากข้อมูลเบื้องต้นของการศึกษาวัคซีนซิโนฟาร์มที่มาจากไวรัสทั้งสองสายพันธุ์
สามารถลดการติดเชื้อแบบมีอาการได้ตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก
โดยประสิทธิภาพอยู่ที่ 72% และ 78% โดยที่ผลข้างเคียงไม่ต่างจากยาหลอกและไม่รุนแรง
ข้อสังเกตสำคัญของการศึกษาคือ เกือบทั้งหมดเป็นคนอายุน้อย
สุขภาพดี ไม่มีโรคร่วม และสัดส่วนผู้ชายถึง 85%
ในสถานการณ์การระบาดที่ไม่มากนักและไม่มีข้อมูลการกลายพันธุ์ของไวรัส
รวมถึงผลจากการกลายพันธุ์
**โปรดอ่าน conflict of interest ท้ายวารสารด้วย**
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น