clear outcomes การศึกษาเรื่องการใช้ยาลดไขมัน bempedoic acid จากงานประชุมแพทย์โรคหัวใจอเมริกา ลงใน NEJM แบบฟรีแต่จำกัดเวลา
ยา bempedoic จะไปยังยั้งการสังเคราะห์โคเลสเตอรอลตำแหน่งก่อนที่สแตตินจะทำงาน ก่อนหน้านี้มีการศึกษาและรับรองใช้เรียบร้อย ด้วยข้อบ่งชี้ช่วยลดโคเลสเตอตอลและ LDL ในกรณีไม่ได้ผลจากจากสเตติน สำหรับการศึกษานี้จะดูผลการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยที่ใช้ยานี้เทียบกับยาหลอก ในเวลา 40 เดือน ผมสรุปมาแต่ข้อสำคัญนะครับ
1. งานวิจัยนี้สนใจ คนที่ไม่สามารถทน statin ได้ หรือไม่ประสงค์จะใช้ statin ดังนั้นจะต่างจากที่เราเคยรู้มาจากข้อบ่งชี้ยาว่า "ใช้สเตตินแล้วไม่ได้ผล"
2. ตอนเริ่มการศึกษามีคนใช้สเตตินเพียง 20% ทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่ของผู้เข้าร่วมเคยเป็นโรคหลอดเลือดแล้วจะควรต้องได้สเตติน พื้นฐานคนที่มาศึกษาคือไม่ค่อยได้สเตตินและระดับ LDL ที่ค่อนสูงประมาณ 140 ดังนั้นหากไปเลือกใช้ในคนที่ "ใช้สเตติตแล้วไม่ได้ผล" สิ่งที่ได้อาจจะต่างออกไปนะครับ
3. กลุ่มศึกษากลุ่มละ 6600 กว่าคน ได้ตามการคำนวณกลุ่มตัวอย่าง อายุประมาณ 65 และกว่า 70% เคนเป็นโรคหลอดเลือดมาแล้ว ... ข้อมูลไปทางการป้องกันทุติยภูมิหนักแน่นกว่านะครับ ประเด็นอีกอันที่ต้องคิดคือ มีคนที่เจอผลข้างเคียงของยาจนต้องออกจากการศึกษาถึง 10% แม้ว่าจะเท่ากันทั้งยา bempedoic หรือยาหลอก แต่ออกมากและไม่ได้คิด per protocol หรือชำเลืองมองตัวเลข loss, complete ก็มากกว่าที่คาดไว้
4. มองดูตัวเลขผลข้างเคียงในกลุ่มยา bempedoic มีมากกว่า นั่นคือ ช่วงรันอิน 4 สัปดาห์จึงมีผลมาก หมายถึงคุณน่าจะทนยาได้นะถึงเอาเข้ามาวิเคราะห์ผล ดูเอียง ๆ ไปเล็กน้อย
5. ติดตามไป 40 สัปดาห์ พบว่า LDL ก็ลดลงมากกว่ายาหลอกประมาณ 20 ก็พอ ๆ กับยาสเตติน และลดลงจากเดิม 20% ก็พอกับยาสเตติน แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือค่า hsCRP ลดลงฮวบมาก อาจจะเป็นสาเหตุที่ลดการเกิดโรคหัวใจ
6.มาดูผลหลักคือ MACE พบว่าโรคหัวใจลดลง ดีกว่ายาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่ลดอัมพาต (สเตตินลดนะ) เช่นกันหากมาคิด NNT พบว่าสเตตินยังดูดีกว่า น่าจะพอเทียบได้เพราะกลุ่มศึกษานี้เขาไม่เอาสเตติน อัตราการเกิด MACE ในกลุ่มยาหลอกก็ไม่ได้น้อยจน underpower โอเคผ่าน
7. สรุปว่า ยังเป็นแค่ตัวเลือกหากไม่ใช้สเตติน โดยเฉพาะหากทนผลข้างเคียงไม่ได้ คงยังเอามาแทนสเตตินไม่ได้ พยายามใช้สเตตินก่อนเสมอ
8. น่ารู้ ชื่อแรกการศึกษาคือ steven nissen คือเมสซี่แห่งโลกของโรคหัวใจและไขมันอุดตัน เขย่าวงการโรคหัวใจมากหลายครั้งแล้ว น่ารู้อีกอย่าง การศึกษานี่้สปอนเซอร์โดนผู้ผลิตยานะจ๊ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น