ไวรัสตับอักเสบบี กับ การทำงาน
เมื่อหลายวันก่อน แอดมินเพจการแพทย์ @Health Online by แพทย์เฉพาะทางโรคทางเดินอาหารและตับ ได้ลงบทความเรื่องนี้และมีการแสดงความคิดเห็นกว้างขวาง
ผมก็ไปค้น ๆ อ่าน ๆ ตามประสาคนคันก็ต้องเกา มาเล่าต่อไปอีกครับ
ว่าด้วยเรื่องตัวโรคก่อน ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อทางเลือด (และบาดแผลเปื้อนเลือด) ทางเพศสัมพันธ์ (บาดแผลเลือดออกระดับมองไม่เห็น) และจากแม่สู่ลูก ถือว่าติดต่อสามทางนี้ครับ รายงานการตรวจพบในสารคัดหลั่งอื่นถือว่าน้อยมากจริง ๆ และไม่ถือเป็นช่องทางการติดต่อ ไม่ว่าน้ำลาย น้ำมูก ไอจาม อุจจาระปัสสาวะ (ถ้าไม่มีเลือดปน)
ดังนั้นการใช้ชีวิตและร่วมงานตามปกติวิสัย จะไม่ติดต่อครับ ยกเว้นบางอาชีพ คือ บุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงทั้งรับเชื้อและส่งเชื้อ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว เราใช้มาตรการ standard precaution กันการติดเชื้ออยู่แล้วครับ โอกาสจึงน้อยเช่นกัน
และหากติดเชื้อจริงและได้รับการรักษาจนปริมาณไวรัสในเลือดต่ำมาก ก็โอกาสติดต่อน้อยมากเช่นกัน ยาปัจจุบันก็ประสิทธิภาพสูงมาก ราคาไม่แพง เข้าถึงได้ทุกคน ทุกสิทธิการรักษา
ดังนั้นโอกาสติดต่อในการทำงานจึงน้อยมากถึงน้อยมากที่สุด
คราวนี้มาดูมุมมองผู้จ้าง หรือภาษากฎหมายเรียกนายจ้าง จะเป็นจ้างงานหรือจ้างทำของก็ตามที ปัจจุบันน่าจะเข้าใจกันโดยแพร่หลายแล้วว่า ลูกจ้างหรือว่าที่ลูกจ้าง แทบจะไม่แพร่เชื้อถึงคนอื่นได้เลย ถ้านายจ้างท่านใดยังไม่ทราบ สามารถศึกษาได้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรมควบคุมโรค หรือที่กระทรวงแรงงาน
ข้อกำหนดเรื่องการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไม่น่าจะเป็นเหตุผลการไม่จ้างหรือเลิกจ้างอีก ส่วนอาชีพเสี่ยงเช่น บุคลากรห้องผ่าตัด บุคลากรทางการแพทย์ บริการทางเพศ อันนี้นายจ้างจะมีข้อกำหนดเฉพาะอยู่แล้ว
ส่วนการไม่จ้าง หรือการเลิกจ้างนั้น มันเป็นข้อตกลงของสัญญาจ้างงานหรือจ้างทำของ ถ้ามีข้อกำหนดว่าไม่รับผู้ติดเชื้อ (ซึ่งควรยกเลิกได้แล้ว) ก็คงไปฝืนบังคับเขาไม่ได้ มันเป็นข้อตกลงของสัญญาระหว่างกัน ให้ทราบก่อนทำสัญญา
หรือถ้าติดเชื้อแล้ว จะมาบอกเลิกจ้าง (ซึ่งควรยกเลิกเช่นกัน) ก็ต้องมาพิจารณาว่าหากไม่ได้เป็นเหตุบกพร่องหรือความผิดรุนแรงแล้ว นายจ้างก็มีสิทธิบอกเลิกล่วงหน้าและจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน เหมือนการเลิกจ้างทั่วไป และหากคิดว่าการบอกเลิกไม่เป็นธรรม ก็ต้องไปจบที่ศาล
นายจ้างบางคนให้เหตุผลว่า สุขภาพไม่ดี ต้องเสี่ยงหยุดงาน กลัวเสียภาพลักษณ์ ต้องดูแลรักษา กลัวแพร่เชื้อ อะไรอะไรที่ว่าไป มันก็เป็นเหตุผลในการเลิกจ้าง ก็ไม่ผิดหรอกครับ เพียงแต่โลกมันไปไกลแล้ว ความรู้เรื่องการติดต่อ การป้องกันโรค การรักษา มันไปไกลจนไวรัสตับอักเสบบีไม่ใช่อุปสรรคใด ๆ ในการทำงานแล้ว
จะมีอุปสรรคก็หากมันเกิดผลแทรกซ้อน เช่น ตับแข็ง ท้องมาน โรคไต มะเร็ง ซึ่งมันไม่ใช่อุปสรรคทางตรงของไวรัสตับอักเสบบี ไม่อย่างนั้นก็ต้องปฏิเสธลูกจ้างที่ดื่มเหล้าด้วยสิ ก็เสี่ยงไม่แพ้กัน
สุดท้ายมุมมองลุงหมอนะครับ ผมมองว่า…..ตอนนี้ลิเวอร์พูลยังมีลุ้นทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีกและยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น