บันทึกประสบการณ์ : เมื่อข้าพเจ้าเป็นนิวมอเนีย ... บทที่ 3
ย้อนกลับไปอ่านบทที่ 2 https://www.facebook.com/100068439352470/posts/838968551727782/
วันวินิจฉัย : The Judgement Day
การวินิจฉัยทางการแพทย์ คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์โอกาสความน่าจะเป็น โดยตั้งต้นที่ปัญหาใดปัญหาหนึ่ง คิดถึงโรคที่เป็นไปได้จากปัญหานั้น แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาปะติดปะต่อ เพื่อสนับสนุนหรือคัดค้านโอกาสการเกิดโรคต่าง ๆ
เช้าวันที่สามของอาการ ผมตื่นมาด้วยอาการไข้ต่ำ ๆ ไอมีเสมหะ เหนื่อยมากขึ้นในขณะทำงานแบบเดิม ผู้ป่วยทุกคน ไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคใดจะอ่อนเพลียครับ ไม่ใช่ว่าร่างกายอ่อนแอ ไม่ใช่ว่าโรครุนแรง แต่คุณต้องใช้พลังงานมหาศาลในการรักษาสภาพร่างกายให้เป็นปกติ แถมยังอ่อนเพลียจากการพักผ่อนไม่พอ ผู้ป่วยส่วนมากจึงนอนทั้งวัน ไม่ต้องกินก็ได้
ในเช้าวันนี้ สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือ ผมเจ็บหน้าอกด้านขวา เจ็บแปลบตรงชายโครงเวลาหายใจเข้าลึก ๆ และเวลาไอรุนแรง เอามือกดซี่โครงก็รู้สึกตึง ๆ ผมมั่นใจว่าสิ่งที่เกิดคือ pleuritic pain อาการเจ็บอันเกิดจากปอดอักเสบติดเชื้อนั้น ขยายอาณาเขตไปรุกล้ำเยื่อหุ้มปอด (pleura = เยื่อหุ้มปอด)
แล้วสเต็ตโตสโคปก็เข้ามาอยู่ในมือ การฟังปอดตัวเองคือการเข้าข้างตัวเองอย่างไม่น่าอภัย คุณจะ 'ได้ยิน' เสียงที่คุณ 'คาดหวัง' เสมอ เรียกว่าหลอนระดับหนึ่ง แต่ผมก็ฟัง และได้ยินเสียงที่ไม่อยากได้ยิน ใช่แล้ว ผมได้ยินเสียงกรอบแกรบ ที่ภาษาทางการแพทย์เรียกว่า crepitation ตรงจุดที่เจ็บหน้าอกนั่นแหละ
ปกติปอดและหลอดลมของเรา เสียงลมจะโล่ง ๆ เหมือนยืนอยู่ในท่อลมขนาดยักษ์ แต่เมื่อมีปอดอักเสบติดเชื้อ บรรดาสารคัดหลั่ง สารอักเสบ ซากศพทหารและเชื้อโรค จะท่วมท้นหลอดลมถุงลม เรียกการแปรสภาพนี้ว่า hepatization ปอดแปลงร่างกลายเป็นตับ มันจะมีความทึบ เสียงลมจะเบาลง ลมต้องแทรกสารน้ำเป็นฟองนัำดังปุ๋ง ๆ ซึ่งคือเสียง crepitation นี้เอง ถ้าเคาะปอดก็จะทึบเหมือนตับ
ครับ..ตอนนี้ปอดขวาล่างของผมได้กลายสภาพเป็นตับไปเรียบร้อย
ในใจคิดว่าน่าจะครบถ้วนการวินิจฉัยแล้ว ในที่สุดเราก็ไม่รอด ถึงวัยของปอดอักเสบติดเชื้อ โรคที่ถือว่าเป็นเพื่อนของวัยชรา และคิดว่าจะกินยารักษาตัวแบบผู้ป่วยนอก ผมเป็นคนไม่ชอบนอนที่อื่น ถ้ารักษาอยู่บ้านได้คือพรอันวิเศษ และจะวิเศษมากหากใช้ยากินได้ คุณน่าจะรู้ดี อาการกลัวเข็มฉีดยา ไม่ชอบโดนจิ้ม มันจะสั่งสมองเราเสมอว่า มียากินไหม
ผมพยายามฝืนให้ตัวเองดูเป็นปกติ เพื่อเดินอย่างสง่าผ่าเผยไปยังห้องตรวจรังสี ซึ่งมันก็ไม่น่าจะปกติ เพราะไอตลอดเวลา เดินก็เหนื่อย อยากเห็นภาพเอ็กซเรย์ปอดตัวเอง ว่าเมื่อตัวเองปอดติดเชื้อจะเป็นอย่างไร ในทางปฏิบัติหากคุณหมออยู่ในสถานที่ทำเอ็กซเรย์ไม่ได้ อาจให้การรักษาแล้วติดตามผล จะทำเอ็กซเรย์หากอาการไม่ดีขึ้นหรือสงสัยโรคอื่นด้วย อาการไม่ดีขึ้นอาจหมายถึงน้ำขังในเยื่อหุ้มปอด ที่ต้องเจาะระบาย
แล้วภาพก็มาปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ ปอดขวาล่างของผมมีเงาสีขาว ๆ เป็นริ้ว ๆ ชิดขอบเยื่อหุ้มปอด ไม่มีน้ำขัง ไม่มีจุดผิดปกติอย่างอื่น เป็นการยืนยันที่ชัดเจน ครบเกณฑ์ประวัติ ตรวจร่างกาย เอ็กซเรย์ปอด สรุปได้เลยว่าผมเป็นโรคปอดอักเสบติดเชื้อจากชุมชน (community acquired pneumonia) ที่เป็นโรคติดเชื้อแต่ไม่ใช่ โรคติดต่อ เพราะเป็นการติดเชื้อจากเชื้อในปอดของเราเอง
อดีตกาลเราเชื่อว่าเชื้อแบคทีเรียค่อย ๆ เลื้อยลงมาจากลำคอมาที่ปอดตามหลอดลมที่กระจายตามปอดกลีบต่าง ๆ เป็นสาเหตุการติดเชื้อ
แต่ปัจจุบันเราค้นพบแล้วว่าปอดของเรามีแบคทีเรียเจ้าถิ่นอยู่แล้ว (lung microbiota) เมื่อมีการติดเชื้อไวรัส จะทำให้แบคทีเรียประจำถิ่นเกิดไปอยู่ต่างถิ่น กระจายเข้าส่วนที่ไม่ควรจะอยู่อาศัยและก่อโรค บรรดาเซลล์ภูมิคุ้มกันที่เคยอนุญาตให้ถือสิทธิอยู่อาศัยก็จะทวงสิทธิ์ เข้าโจมตีทำให้เกิดปอดอักเสบนี่แหละครับ
และไวรัสตัวการตัวหลักที่ทำให้เกิดปอดติดเชื้อ ก็คือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จึงสามารถลดปอดอักเสบโดยรวมได้ด้วยนั่นเอง
ยังไม่พอ เนื่องจากเป็นการป่วยโรคปอดอักเสบติดเชื้อครั้งแรกในชีวิต ถึงจะเคยรักษาโรคนี้มาเป็นร้อย จึงถือโอกาสนี้ทำเสมือนว่าผมเป็นผู้ป่วยที่ผมสั่งการรักษาเองและนี่คือสาเหตุของกล่องพลาสติกใส่เหรียญขนาดเล็กในมือ ที่ตอนนี้กลายสภาพเป็นกล่องเก็บเสมหะสีเขียวอื๋อเก็บมาได้เมื่อเช้านี้
การเก็บเสมหะไม่ได้ยุ่งยากมากนัก เรียกว่าเลือกได้เลยจะดีกว่า เพราะเยอะมากจริง ๆ ผมใช้อุปกรณ์ใกล้ตัวเก็บมาตรวจ รู้มาพอสมควรว่าใช้ปริมาณไม่มาก แต่นี่เก็บมาเกือบเต็ม ห่อกล่องด้วยกระดาษทิชชู่ ใส่ถุงซิบล็อกมา ไม่ได้กลัวว่ามันจะหนีไปจนหาตัวไม่เจอ แต่กลัวว่าจะมีเชื้ออื่นตกลงไป แล้วไปเจอเชื้ออื่นพาลคิดว่าเป็นเชื้อก่อโรคต่างหาก
ผมทำแค่ย้อมเชื้อดูชนิดเท่านั้น ไม่ได้ส่งเพาะเชื้อตามขั้นตอนมาตรฐาน เพราะคิดว่าโอกาสเชื้อดื้อยาไม่มาก อันเป็นความประมาทนะครับ ควรส่งเพาะเชื้อทุกครั้งหากไม่ติดขัดปัญหาใด เพราะสามารถนำมาใช้ปรับยาให้ไวต่อเชื้อ หรือใครจะรู้คุณอาจเป็นผู้โชคร้าย ติดเชื้อดื้อยาตั้งแต่ต้น หรือโชคร้ายกว่านั้น ไปเจอเชื้อก่อโรคอื่นที่ซับซ้อนกว่าแบคทีเรีย
ผมปรับกล้องจุลทรรศน์อย่างตื่นเต้น มันก็น่าตื่นเต้นพอสมควร เมื่อเป็นผู้ป่วยเอง นำส่งสิ่งส่งตรวจเอง และกำลังจะดูหน้าศัตรูหมายเลขหนึ่งในเวลานี้ด้วยตัวเอง พร้อมกับคิดว่าหากเรารู้จักกันแล้ว ผมจะโค่นคุณลงได้ไหม หลังจากที่คุณโจมตีเล่นงานผมอย่างหนักมา 60 ชั่วโมงแล้ว
ส่องไปประมาณสามวงรอบพื้นที่ตรวจ ผมเจอเม็ดเลือดขาวของตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มแบคทีเรียที่ประเมินแล้วว่านี่คือผู้ก่อการร้าย ซึ่งเขาก็คือ...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น