22 กันยายน 2562

"อย่าปล่อยให้หมอฆ่าคุณ"

เห็นเล่มนี้มาสักพักแล้ว ไม่มีโอกาสได้อ่าน วันก่อนว่างและงบซื้อหนังสือเหลือจึงหยิบมาอ่านและรีวิว "อย่าปล่อยให้หมอฆ่าคุณ"
ส่วนตัวแล้วผมอ่านหนังสือในแนวแนะนำสุขภาพทั้งหมดนะครับ แม้จะเป็นหนังสือที่ไม่ได้แนะนำแนวทางเดียวกันกับการแพทย์แผนปัจจุบันที่ผมใช้ทุกวันนี้ ผมก็อ่านนะครับ อยากรู้ว่าแนวทางอื่นเป็นอย่างไร หรือแม้แต่หนังสือที่ต่อต้านการแพทย์แผนปัจจุบัน ผมก็อ่านนะครับ อยากรู้ว่าเขาคิดแบบใด คนทั่วไปเชื่อเพราะอะไร ซื้อหนังสือที่ให้ความเห็นอีกด้านเกี่ยวกับการใช้ยาลดไขมันทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษมาอ่าน
ขณะที่อ่านจะเป็นคนสองบุคลิกเลย อ่านว่าสิ่งที่เขาเขียนมันน่าเชื่อถืออย่างไรและอ่านว่าสิ่งที่เขาเขียนมันต่างจากการแพทย์แผนปัจจุบันของเราอย่างไร
มาถึงเล่มนี้เขียนโดยคุณหมอคอนโดะ มาโกโตะ เท่าที่ผมเห็นคือเขียนสองเล่ม อย่าปล่อยให้หมอฆ่าคุณ และ อย่าปล่อยให้ยาฆ่าคุณ แต่ผมซื้อมาอ่านแค่เล่มเดียวก่อน
ภายในจะยกตัวอย่างเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทางการแพทย์ 47 ข้อที่คุณหมอเห็นว่าการแพทย์แผนปัจจุบันอาจจะคลาดเคลื่อน นับตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐาน งานวิจัย กรณีศึกษา ผลประโยชน์ทับซ้อนต่าง ๆ ผมขอยกตัวอย่างสองสามเรื่องที่ผมคิดว่าบางทีคุณหมอมาโคโตะอาจจะได้ข้อมูลไม่รอบด้านหรือว่าหนังสือคงไม่ได้อัพเดตให้ทันความรู้ใหม่ ๆ ที่ออกมา
1. เนื่องจากคุณหมอมาโคโตะเป็นแพทย์แผนกรังสีรักษา จึงมีหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องโรคมะเร็งมากกว่าโรคอื่น คุณหมอบอกว่าโรคมะเร็งส่วนมากที่วินิจฉัยได้นั้น ไม่ต้องรักษาเพราะเมื่อวินิจฉัยได้คือมันแพร่กระจายไปหมดแล้ว ตัดออกไม่หมด หรือให้ยาเคมีบำบัดก็ไม่หายหรอก ที่รักษาได้คือระยะต้นนั้นเราก็จะตรวจไม่เจอเช่นกัน
แหม...ตรงนี้ออกจะเห็นต่างจากเรามากเลยนะครับ ปัจจุบันเรามีวิธีที่สามารถพิสูจน์ได้หลายอย่างว่าสามารถตรวจจับมะเร็งระยะต้น หรือรอยโรคก่อนจะกลายเป็นมะเร็งได้อย่างแม่นยำ และหากให้การรักษาตั้งแต่ต้น หลายโรคสามารถลดอัตราการตายและพิการ ในเวลาเดียวกันก็ไปเพิ่มความสามารถของคนคนนั้นในรูปแบบต่าง ๆ ต่อไปได้อีก
2. คุณหมอบอกว่าการให้ยาเคมีบำบัดนั้น ทำให้ตายจากยามากกว่าโรคมะเร็งเสียอีกและไม่สนับสนุนการใช้ยารวมถึงการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด แต่ปัจจุบันการใช้ยาเคมีบำบัดก้าวหน้าไปมาก ผลข้างเคียงต่ำและประสิทธิภาพสูง ยังไม่รวมถึงการรักษาแบบยามุ่งเป้าและการรักษาแบบ precision medicine ที่ไม่ไปยุ่งกับเซลล์อื่น ๆ เลย การศึกษาแสดงให้เห็นว่าลดอัตราการตายและอยู่ได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
3. คุณหมอมาโคโตะแสดงให้เห็นถึงคนที่ได้รับอันตรายจากยาลดไขมันสเตตินจนต้องหยุดยา เพราะว่าหมอจ่ายยาเพียงเห็นค่าโคเลสเตอรอลสูง แต่คุณหมอมาโคโตะไม่ได้แสดงถึงสัดส่วนการเกิดผลข้างเคียงเทียบกับประสิทธิภาพการปกป้องและจำนวนคนที่กินยาทั้งหมด รวมทั้งไม่ได้ใช้หลักการของความเสี่ยงมาดู risk reduction ที่แท้จริง ปัจจุบันเราไม่ใช้ค่าโคเลสเตอรอลตัวเดียวแล้วนะครับ
4. คุณหมอมาโคโตะสังเกตว่าการปรับค่าความดันโลหิตสูงจาก 160 มาเป็น 140 เป็นการปรับที่ไม่มีหลักการและทำให้บริษัทขายยาลดความดันรวยขึ้น แต่จริง ๆ แล้วที่เราปรับลดความดันลงเพราะว่าเราเรียนรู้ว่าตัวเลขความดันที่เริ่มตระหนักที่ 160 นั้นมันสูงไป ขยับที่เท่านี้โรคยังไม่ลด แต่ถ้ามาขยับที่ 140 จะพบว่าโรคจากความดันโลหิตสูงนั้นลดลง และการควบคุมจะเน้นการปรับพฤติกรรมก่อนเสมอ เหมือนกับเรื่องค่าผลเลือดเบาหวานที่คุณหมอมาโคโตะบอกว่าการปรับจาก 140 มาเป็น 126 เป็นการปรับที่ไม่มีหลักการ
ผมอ่านไปและใช้โพสต์อิท ติดหน้าที่มีข้อสงสัยหรือหลักการที่อาจไม่ตรงกับการศึกษาปัจจุบัน ผลก็ปรากฏดังภาพ แทบจะหมดโพสต์อิท บางทีคุณหมอมาโคโตะมาอ่าน Harrison’s Principle of Internal Medicine อาจจะติดโพสต์อิทแบบนี้ก็ได้นะ คนเรามีความเชื่อและเหตุผลที่ต่างกัน
อยากจะบอกว่าไม่ว่าเราจะอ่านอะไรก็ตาม ให้เราอ่านแบบมีสติ คิดใคร่ครวญ ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อด้วยเหตุผลใด ถามคำถามว่าทำไมซ้ำ ๆ กันหลาย ๆ ครั้งเหมือน Toyota Way ไม่ว่าศาสตร์ใด วิชาใด มีข้อดีข้อด้อยทั้งนั้น ขึ้นกับเราผู้อ่านผู้นำไปใช้ จะมีสติรู้ทันมากน้อยพียงใด
ดังสุภาษิตที่ว่า “ไปเยือนบ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ยิงให้กระจายเลยนะลิ้วพูน”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม