Acute Radiation Syndrome
น่าจะเป็นคำศัพท์ใหม่ที่ใช้อธิบายอาการอันเกิดจากได้รับกัมมันตภาพรังสีมากเกินไป จริง ๆ มีรายงานอาการมานานแล้วตั้งแต่เรินเก้นค้นพบรังสีเอ็กซ์ และอาการที่เกิดกับนักวิจัยค้นคว้าสารกัมมันตรังสีทั้งหลาย แต่ส่วนใหญ่เกิดเป็น chronic radiation syndrome เพราะไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร กว่าจะรู้ก็นานแล้ว หรือเกิดมะเร็งจากการสัมผัสกัมมันตภาพรังสีอย่างยาวนาน
ภาวะบาดเจ็บจากรังสี หมายถึงการสัมผัสรังสีไม่ว่าจะทั้งตัวหรือเฉพาะส่วนเป็นปริมาณสูงในเวลาสั้น ๆ เช่น 1 Gy ต่อชั่วโมง ปริมาณรังสีและระยะเวลาที่สัมผัสจะเป็นตัวกำหนดความรุนแรง รวมทั้งชนิดของรังสีก็จะเป็นตัวบ่งบอกการทำลายเช่นรังสีแอลฟ่า รังสีเบต้า รังสีแกมม่า จะมีเป้าการทำลายที่ต่างกัน
ตัวอย่างเช่นถ้าโดนรังสี 1-5 Gy ประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะเริ่มมีอาการแล้ว อาการที่พบบ่อยคือ คลื่นไส้อาเจียน และถ้าโดนรังสีปริมาณมากขึ้นหรือนานขึ้น อาการจะเพิ่มขึ้นตามระบบเช่น ตั้งแต่ 8-15 Gy จะมีอาการปวดศีรษะ การรับรู้ลดลง มีไข้สูง หรือถ้ามากกว่า 30 Gy อันนี้มีอาการชัก หมดสติ เสียชีวิตได้เลย
และยังตามมาด้วยอาการทางระบบโลหิตวิทยา ที่พบมากคือเม็ดเลือดขาวต่ำลง เพราะอายุเม็ดเลือดขาวนั้นสั้นมาก บอกถึงการทำลายเซลล์ในไขกระดูกได้ดี และเม็ดเลือดขาวที่ต่ำลงถือเป็นการพยากรณ์โรคที่แย่ของภาวะนี้ มักจะเกิดใน 7-10 วันต่อมา ตามมาด้วยเลือดออกตามอวัยวะต่าง ๆ ในพิพิธภัณฑ์ที่ฮิโรชิมา แสดงส่วนของอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นจุดเลือดออกในคอ ลิ้น ผิวหนังที่ไหม้ดำ และขาดเลือด ส่วนของเนื้อสมองที่เต็มไปด้วยจุดเลือดออก ทั้งหมดนี้มาจากผู้เคราะห์ร้ายในช่วง 20 วันแรกหลังสัมผัสการระเบิด
ประมาณการณ์ว่ากว่าแสนคน ที่ป่วยเป็น acute radiation syndrome และเสียชีวิตในสัปดาห์แรก ตามตัวเลขที่ศึกษาหากเกิดภาวะที่สัมผัสมากกว่า 15 Gy แล้วไม่ได้รับการรักษาโอกาสเสียชีวิตจะสูงถึง 95% เลยทีเดียว สาเหตุการเสียชีวิตส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อ เพราะเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่สองเมื่อเม็ดเลือดขาวต่ำมาก จะเกิดการติดเชื้อรุนแรง พอมาผนวกกับการทำลายทางกายภาพของกัมมันตรังสี ความเสียหายเดิมจากความร้อนและแรงกระแทก การติดเชื้อจึงแทบจะคุมไม่ได้
และยังไม่นับสารพัดมะเร็งที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอและยีนที่รอสังหารต่อเนื่อง นับว่า atomic bomb เป็นอาวุธสังหารสมบูรณ์แบบเลยทีเดียวครับ
การระเบิดที่ฮิโรชิมาในรัศมี 1 กิโลเมตรแรกจะมีรังสีมาก 10-20 Gy เลยทีเดียว ดังนั้นผู้คนรอบพื้นที่สวนสันติภาพ ถ้ารอดจากแรงระเบิดและรังสีความร้อน ก็จะเสียชีวิตจากภาวะนี้ ส่วนการระเบิดที่เชอโนบิล แม้จะมีปริมาณสารกัมมันตรังสีเยอะมาก แต่ว่าผู้ที่สัมผัสมีการป้องกันพอสมควร
ความเสียหายมากมายที่สุดจึงเกิดที่ฮิโรชิมาและนางาซากินี่เอง ประมาณว่าผู้คนในเวลานั้นได้รับรังสีมากกว่า 50-60 Gy ในสองสามวันเลย การฉายแสงเพื่อรักษาจะใช้ 40-50 Gy ต่อคอร์สนะครับ ย้ำว่าต่อคอร์ส และจะค่อย ๆ เพิ่ม รวมทั้งเล็งเป้าที่ชัดเจน รังสีก็ถูกควบคุม พิษและความเสียหายจึงไม่เกิดมากนัก
ความรู้ความเข้าใจเรื่องบาดเจ็บจากรังสีทั้งระยะเฉียบพลันและเรื้อรัง มีที่มาส่วนใหญ่จากการศึกษาสิ่งที่เกิดหลังการระเบิดที่ฮิโรชิมา เนื่องจากพื้นที่ฮิโรชิมาเป็นพื้นที่ราบ ปริมาณการสัมผัสรังสีชัดเจน มีคนที่ได้รับผลกระทบพร้อมกันเป็นวงกว้าง ส่วนระเบิดแฟตแมนที่นางาซากิ แม้จะขนาดใหญ่กว่า แต่เนื่องจากภูมิประเทศของนางาซากิเป็นเขาและที่สูงสลับต่ำ การกระจายรังสีจึงไม่มาก อีกทั้งบ้านเรือนที่ฮิโรชิมาอยู่กันหนาแน่น โครงสร้างบ้านเป็นดินและกระดาษ ความเสียหายจึงเยอะกว่าที่นางาซากิ
อีกทั้งเวลาที่ทิ้งระเบิดคือ 08.15 ในวันธรรมดา ผู้คนและนักเรียนจึงเต็มท้องถนน มีคนที่อยู่ในบ้านและหลบภัยน้อยมาก โรงพยาบาลชิมะอันเป็นจุดใต้การระเบิด เหลือแต่ห้องใต้ดินครับ
“now I become death, the destroyer of worlds”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น