30 ตุลาคม 2568

ตอบและย้ำ : ไม่มีทางลัดในการลดน้ำหนัก

 ตอบและย้ำ : ไม่มีทางลัดในการลดน้ำหนัก

มีคนมาปรึกษาว่า ถ้าใช้ปากกาลดน้ำหนักแล้วไม่ต้องเปลี่ยนการกิน กินเหมือนเดิม น้ำหนักก็ลง จริงไหม
อย่างงี้นะเด็ก ๆ ... ถ้าเริ่มต้นเธอกินอาหารแบบควบคุมอยู่แล้ว คุมพลังงาน คุมชนิดอาหาร จนเป็นปรกติวิสัยอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องปรับนะ ฉีดปากกาก็เป็นส่วนเสริมให้เห็นผลเร็วขึ้นจริง
แต่ถ้าไม่เคยคุมปริมาณอาหาร ไม่เคยคุมชนิดอาหาร บางคนกินอย่างกับเครื่องดูดฝุ่น แล้วจะมาบอกว่าฉีดอย่างเดียว ไม่ต้องปรับอะไรเลย อันนี้ผิด
ลดน้ำหนักไม่มีทางลัด ไม่มีทางง่าย ต้องอดทนและพยายาม หากไม่สำเร็จแสดงว่าอดทนและพยายามไม่เพียงพอ
อย่าตกเป็นเหยื่อคำโฆษณาการตลาด
การตลาดก็อย่าโฆษณาจนโอเวอร์

29 ตุลาคม 2568

เลือดที่ให้เรา ปลอดภัยหรือไม่

 เลือดที่ให้เรา ปลอดภัยหรือไม่

ในยุคปัจจุบันที่การคัดกรองทันสมัยมาก ถือว่าปลอดภัยครับ ทั้งโรคไวรัสเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี โรคอนุภาคไพออนวัวบ้า
จะมีกรณีสำคัญคือ เพิ่งรับเชื้อมาใหม่ ๆ ที่อาจจะตรวจไม่พบได้ แต่เรียกว่าหากผู้บริจาคตอบคำถามในการคัดกรองอย่างซื่อตรง ร่วมกับกระบวนการคัดกรองในปัจจุบัน ถือว่าปลอดภัย 99% ครับ

28 ตุลาคม 2568

เลือดมาจากธนาคารเลือด ต้องอุ่นก่อนให้คนไข้ไหม

 เลือดมาจากธนาคารเลือด ต้องอุ่นก่อนให้คนไข้ไหม

ปกติไม่ต้องอุ่นครับ เพราะอัตราการให้เลือดไม่เร็ว เลือดจะถูกปรับอุณหภูมิเอง แต่ในบางกรณีเช่นการให้เลือดอย่างรวดเร็วปริมาณมาก อาจทำให้อุณหภูมิกายลดลงรวดเร็วได้ กรณีนี้ควรอุ่นเลือดก่อนให้
และถ้ากระบวนการอุ่นไม่ได้มาตรฐาน เม็ดเลือดอาจแตกได้ครับ

27 ตุลาคม 2568

ให้เลือดแล้วมีไข้ สั่น จะให้ต่อได้ไหม

 ให้เลือดแล้วมีไข้ สั่น จะให้ต่อได้ไหม

แนวทางมาตรฐานแล้ว ไม่แนะนำให้ใช้เลือดถุงเดิมครับ
ควรส่งเลือดที่ให้กลับไปตรวจสอบ ถูกคนไหม ปนเปื้อนไหม ติดเชื้อไหม และตรวจผู้ที่ได้รับเลือดว่าอาการไข้ สั่น เกิดจากเม็ดเลือดแตก ปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน หรือติดเชื้อหรือไม่

บริจาคเลือด : ช่วยคนอย่างไร

 บริจาคเลือด : ช่วยคนอย่างไร

เลือดที่คุณบริจาค จะถูกแยกออกเป็นเม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด พลาสมา โปรตีนต่าง ๆ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยที่แตกต่างกันตามความต้องการ
จึงไม่ใช่แค่ผู้ป่วยเสียเลือดเท่านั้นที่ต้องการ ผู้ป่วยเกล็ดเลือดต่ำ ผู้ป่วยต้องผ่าตัด ผู้ป่วยที่การแข็งตัวเลือดผิดปกติ ก็จำเป็นต้องได้เลือดเช่นกัน
ไม่มีสิ่งใดสูญเสีย

26 ตุลาคม 2568

พิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้า ในพระบรมราชูปถัมป์ ตอนที่ 2

 21 วันที่เชียงใหม่ : ตอนที่ 2


ตอนที่สอง พิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้า ชั้นบน

ก่อนที่เราจะไปชั้นที่สอง เพื่อไปดูห้องที่ประทับของพระราชบิดา ผมจะเล่าเรื่องความเสียสละของพระองค์ท่านก่อนครับ


สมเด็จพระราชบิดาเสด็จไปเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ดในปี 1917 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลังจากนั้นโลกประสบความถดถอยทางการเงินอย่างรุนแรงที่เรียกว่า the great depression รัฐบาลของในหลวงรัชกาลที่ 6 ต่อไปถึงต้นรัชกาลที่ 7 จำเป็นต้องลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งเงินของพระบรมวงศานุวงศ์ด้วย 


แม้ว่าพระราชบิดาทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นหลักในการศึกษาและอยู่อาศัยในต่างแดน (พระองค์เป็นน้องต่างพระมารดาของในหลวงรัชกาลที่ 6 ได้รับพระราชทานทรัพย์มาพอสมควร) 


แต่เมื่อวิกฤตทางการเงินมาถึง เงินพระบรมวงศานุวงศ์ลดลง และมีความลักลั่นระหว่างเงินในส่วนของสำนักพระราชวัง เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่พระราชบิดาตัดสินใจมาใช้วิชาแพทยที่ร่ำเรียนมา และทั้งที่สภาพคล่องทางการเงินลดลงแต่พระองค์ก็ยังบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างหอพักแพทย์ เป็นทุนการศึกษา บำรุงการศึกษาแพทย์และพยาบาล รวมถึงครุภัณฑ์สำคัญในการรักษาคนไข้ที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิคนี้ด้วย


อย่าลืมว่า ครอบครัวพระองค์ท่านคือสมเด็จพระบรมราชชนนีศรีสังวาลย์และครอบครัวยังพักอาศัยที่สหรัฐอเมริกา ต้องจัดสรรเงินเพื่อดูแลครอบครัวอีกทางหนึ่ง


เป็นความเสียสละและเป็นหัวแถวในการบุกเบิกวงการแพทย์ไทย


ทางขึ้นชั้นสองได้จัดแสดงผลงานอีกด้านของพระองค์ท่าน คือ ผลงานทางศิลปะ รูปภาพนกฮูกนั้น ทางผู้บรรยายได้บรรยายว่าเป็นภาพที่พระองค์วาดสมัยเรียนทหารเรือ เป็นรูปหม้อความดันแล้วเติมอวัยวะจนเป็นนกฮูก 


ส่วนโปสการ์ดด้านซ้ายเป็นภาพวาดลงสี ประดิษฐ์ขึ้นเองเพราะในสมัยนั้นกระดาษเป็นสินค้าที่ราคาแพงมาก


 รูปวาดแบบ urban sketching สมัยที่พระองค์ท่านไปยุโรป ถ้าผมจำไม่ผิด (จากผู้บรรยาย) ภาพซ้ายจะเป็นโบสถ์แหางหนึ่งในโปรตุเกส ส่วนภาพซ้ายเราน่าจะคุ้นตากัน คล้ายหมู่บ้านไอเซลต์วาลด์ในสวิสเซอร์แลนด์ แต่ผู้บรรยายแจ้งว่า ไม่มีบันทึกว่าจริงแล้วภาพนี้วาดสถานที่ใด เคยมีคนพยายามไปตามรอยแต่ก็ไม่พบ 


ขออภัยที่กล้องมือถือผมชัดแค่นี้ ในตู้จัดแสดงนี้เก็บบันทึกที่คุณหมอที่ทำงานกับพระราชบิดา เขียนบันทึกการทำงานของพระองค์ ทัศนคติต่อผู้ป่วย ความอดทนและไม่ย่อท้อต่อความลำบาก และยังมีม้วนเทปคาสเซ็ตต์ที่สัมภาษณ์คุณหมอต่าง ๆ และเทปวิดีโอวีเอชเอส บันทึกเรื่องราวของพระองค์ผ่านผู้ร่วมงาน ทั้งหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ รวมไปถึงผู้ป่วย บันทึกรวบรวมข้อมูลมาประกอบการทำพิพิธภัณฑ์ และวิดีโอเรื่องหมอเจ้าฟ้า ความยาว 25 นาที ที่ทำให้เราเห็นพระราชบิดาในแง่หมอชนบท เข้าใจ เข้าถึง ประชาชนทุกชนชั้น ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา


มุมระเบียงก่อนเข้าห้องนอน จะมองเห็นโรงพยาบาลแมคคอร์มิคชัดเจน บริเวณนี้คุณหมอคอร์ทจะมาเฝ้าดูความเรียบร้อยของโรงพยาบาลเป็นประจำ ในอดีตพื้นที่บริเวณนี้จะเป็นบริเวณโล่ง สงบ


สะท้อนความเป็นแพทย์ประจำบ้าน (resident) อย่างชัดเจน คือ พักอาศัยกินอยู่หลับนอนในโรงพยาบาล โดนตาม โดนปลุก และนี่คือหนึ่งในความตั้งใจของพระราชบิดาคือ ออกมาสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของชาวบ้าน จึงเสด็จออกมาจากศิริราช ต่อจากศิริราชแล้วโรงพยาบาลหัวเมืองที่ได้มาตรฐานและน่าจะช่วยคนไข้ได้อย่างที่นึกฝัน ก็คือแมคคอร์มิคที่นี่


ที่ศิริราช มีหลายแผนกช่วยกันทำงาน และด้วยพระอิสริยยศในเวลานั้นย่อมไม่สามารถ ‘’จัดเต็ม’ กับทุกงานได้แน่ แม้แต่มาที่นี่ทุกคนก็ยังเกรง อย่าลืมว่าตอนนั้นยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง เจ้านายและพระราชวงศ์ยังมีบทบาทและบารมี แต่พระองค์ท่านมีท่าทีสุภาพ ให้เกียรติ และปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนหมอประจำทุกคน 



เข้ามาในห้องนอนนี่คือห้องจริง นี่คือเตียงจริงครับ ขนาดเดิม มีการซ่อมแซมบ้าง แต่นี่คือเตียงนอนพระองค์ท่านของจริง ในชีวิตผมนี่คือครั้งแรกที่เข้าใกล้สิ่งของเครื่องใช้ของจริงของพระองค์ท่าน ผู้บรรยายแจ้งว่ามาดามคอร์ทจัดทำตามความสูงของพระองค์เลยครับ 


และถึงคุณหมอทุกคน คุณสามารถใกล้ชิดพระองค์ได้ทุกขณะจิต เพียงแค่ทำตามคำสอนของพระองค์


จงยึดประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ผู้ป่วยเป็นที่หนึ่ง


ฉันไม่ต้องการให้เธอเป็นแพทย์เพียงเท่านั้น แต่ต้องการให้เป็นคนด้วย



อันนี้ห้องแต่งตัวครับ ของใช้ต่าง ๆ เป็นของร่วมสมัยในยุคนั้น ก็ประมาณยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง 


พระราชบิดากลับจากเรียนที่ฮาร์วาร์ด ตอนนั้นสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์และครอบครัวยังอยู่ที่สหรัฐอเมริกาครับ เนื่องจากตอนนั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 ยังทรงพระเยาว์มาก และตราบจนพระราชบิดาสวรรคตในปี 2472 ครอบครัวมหิดล ก็ยังไม่ได้กลับประเทศไทย ยาวจนถึงสิ้นสุดสงครามโลกซึ่งตอนนั้นในหลวงรัชกาลที่แปดขึ้นครองราชย์แล้ว (รับทูลเสด็จขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ขณะประทับอยู่ต่างประเทศ)



ตะขอแขวนในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าคือของจริง ดั้งเดิม ตำแหน่งเดิม แค่ทาสีทับ ทางพิพิธภัณฑ์พยายามจำลองและย้อนวันเวลาให้มากที่สุด คงสภาพเดิมและทรงคุณค่า  นับว่าใส่ใจในรายละเอียดมาก 


พอพูดถึงใส่ใจในรายละเอียด ตอนฟังวิดีทัศน์เรื่องราวของพระราชบิดา ก็มีตอนหนึ่งที่ทางพิพิธภัณฑ์ใส่ใจรายละเอียดจากคำบอกเล่าของคุณหมอที่ปฏิบัติงานในช่วงเวลาเดียวกัน นำมาสร้างเป็นวิดีทัศน์ เล่าถึงตอนที่พระราชบิดาเข้าเคสผ่าตัดกับคุณหมอคอร์ท ผู้ป่วยสงสัยฝีในตับ 


ดล่าว่าในตอนแรกนั้นพระองค์ท่านไม่กล้าเจาะ ด้วยว่าไม่เคยเจาะมาก่อน ไม่รู้จะเจาะตำแหน่งใด น่าจะเก้เก้กังกัง แต่คุณหมอคอร์ทก็สอนว่าคนไข้เจ็บตรงไหนก็เจาะตรงนั้น พระองค์ท่านจึงเจาะตามที่หมอคอร์ทบอก จนได้หนองสีแดงคล้ำออกมา รักษาคนไข้ไว้ได้ ในวิดีทัศน์เล่าละเอียดแบบบทหนังเลยครับ



ทางปลายเตียงมีโต๊ะทำงาน เครื่องพิมพ์ดีด ปากกาหมึกซึม เช่นกันโต๊ะตัวนี้ก็เป็นของจริง คุณคิดดูว่าผมตื่นเต้นแค่ไหน สมัยนักเรียนแพทย์ปีสอง ผมเคยเข้าแถวเพื่อถวายบังคมที่ลานสมเด็จพระราชบิดา ใจกลางโรงพยาบาลศิริราช ท่ามกลางรุ่นพี่และครูบาอาจารย์ที่เป็นสักขีพยาน 


ความใกล้ชิดเดียวคือพระรูปของพระองค์ที่เฝ้ามองตลอดที่อยู่ศิริราช แต่นี่ได้มาเห็นโต๊ะทำงาน เตียงนอน ห้องนอน อุปกรณ์เครื่องใช้ที่พระองค์เคยใช้ แถมจัดแสดงแบบ elegance อีกด้วย



อันนี้ห้องอาบน้ำ ถัดออกมาจากห้องนอน มาดามคอร์ทต่อท่อจากโรงพยาบาลเข้ามาห้องนี้ อ่างอาบน้ำนี้ ท่านผู้บรรยายเล่าให้ฟังว่า เดิมทีนั้นมีคราบเหลืองสกปรก แต่มาดามคอร์ทก็ได้คิดค้นหาวิธีมาขัดถูจนเหมือนใหม่ และทำด้วยตัวเอง เพื่อพระราชบิดา


อันนี้หลายคนคงคุ้นตาแล้ว ส้วมสมัยร้อยปีก่อน เป็นที่มาของคำว่าชักโครก คือต้องใช้มือดึงคันชัก และมีเสียงดังโครก แต่ผมไม่แน่ใจว่าอันนี้เป็นของเดิมหรือไม่ ดูจากร่องรอยแล้วเหมือนถังน้ำเคยต่อกับโถมาก่อน 


เคยเห็นของดั้งเดิมที่พิพิธภัณฑ์มฤคทายวัน ของดั้งเดิมของในหลวงรัชกาลที่หก ดูหรูหราและแยกชิ้นมากกว่านี้


ถ้าใครมาถึง ก็อย่าลืมดูวิดีทัศน์เรื่องราวของพระองค์ท่านในช่วง 21 วันที่มาอยู่นี่ โดยถ่ายทำจากเรื่องราวจริง บอกเล่าโดยคุณหมอคอร์ท มาดามคอร์ท หมอ พยาบาลและคนไข้ ที่เคยสัมผัสพระองค์ท่านจริง ๆ


และเมื่อลงมาจากตัวอาคารหลัก เราก็จะเดินมาทางขวาของตัวอาคาร จะเป็นคาเฟ่ชื่อเมเบิล คอร์ท เดิมทีเป็นโรงรถของหมอคอร์ท ที่นี่มีกาแฟหอมและขายคุ้กกี้สูตรของมาดามคอร์ท ที่ทำถวายพระราชบิดาด้วยนะครับ



อันนี้คือบ่อน้ำเก่าและลานซักล้าง ปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้วครับ อยู่ด้านหลังคาเฟ่ สร้างมาตั้งแต่ก่อนหมอคอร์ทมาที่นี่


พื้นที่บริเวณนี้เดิมทีเป็นลานโล่ง มีการปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างเป็นสถานพยาบาลทีละน้อย และเนื่องจากเริ่มต้นด้วยมิชชันนารี แม้บุคคลระดับเจ้าเมืองและข้าราชการชั้นสูงจะยินดี เพราะมาช่วยรักษาและดูแลชาวบ้าน แต่ยังมีความต่อต้านจากชาวบ้านพอสมควร เนื่องจากวิธีการรักษา แนวคิด ต่างจากแพทย์พื้นบ้าน


ในยุครัชกาลที่ 6-7 ในกรุงเทพมหานครเริ่มมีความเจริญทางการแพทย์พอสมควรแล้ว แต่ในหัวเมืองต่างจังหวัดแม้จะพัฒนาแล้ว แต่การเดินทางไปหาหมอยังยากลำบาก สุขอนามัยไม่ดี ไฟฟ้าไม่มา แน่นอนข่าวสารและ health literacy ยังไม่ดี


ด้านหลังของพิพิธภัณฑ์ เป็นอาคารสำนักงาน เวลาที่คุณมาเช้าชมพิพิธภัณฑ์จะได้รับการเข้าฟังบรรยายเบื้องต้นเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ แต่วันที่ผมไปเยือนเขาใช้ห้องประชุมกันจึงไม่ได้ฟังบรรยายเบื้องต้นอันนี้


ผมได้เข้าไปห้องข้าง ๆ เป็นห้องจัดแสดงภาพของแพทย์มิชชันนารีที่เข้ามาสร้างประโยชน์และความเจริญ เช่น หมอบลัดเล หมอเฮ้าส์ และหมอที่มาสร้างความเจริญในหัวเมืองเหนือ ในภาพนี้คือหมอคอร์ทนั่นเอง รักษาคนไข้ สร้างโรงพยาบาล สอนนักเรียนแพทย์…ซึ่งมีเรียนแค่รุ่นเดียวครับ 


และสอนนักเรียนพยาบาล ที่พัฒนาต่อมาเป็นวิทยาลัยพยาบาลแมคคอร์มิค มหาวิทยาลัยพายัพ 


กล้องตรวจตา slit lamp ของจริงในยุคนั้น คือกล้องตรวจตาที่เวลาเราไปพบจักษุแพทย์ หมอจะให้เราเอาคางวางบนแป้นและหน้าผากทางบนแป้นอีกเช่นกัน หมอก็จะหมุนแสงส่องตรวจตา


ด้วยความที่ผมมักจะค้นประวัติแต่อายุรแพทย์ ประวัติวิชาอายุรศาสตร์ ก็ไม่ได้ค้นเรื่องจักษุแพทย์และอุปกรณ์มากนัก รู้สึกทึ่งมากทีเดียว 


เครื่องอัดยาเม็ดควินิน คุณหมอยุคนี้อาจจะรู้จักแต่อาร์ทีซูเนต เมโฟลควิน ใช้ในการรักษามาเลเรีย แต่ในยุคนั้นยาเดียวที่พลิกโฉมไข้ป่าคือควินิน สารสกัดจากเปลือกต้นซิงโคนา 


ที่เมืองเชียงใหม่ในสมัยที่พระราชบิดามาที่นี่ โรคมาเลเรียระบาดมากทีเดียว ยาควินินจากกรุงเทพก็ไม่พอและไม่ทัน ที่นี่เลยซื้อเครื่องตอกเม็ดยามาเอง ทางภัณฑารักษ์แจ้งว่าเครื่องยังใข้งานได้ พร้อมใช้ให้ดูด้วย ทั้งตอกเม็ด อัดเครื่องหมายตราบนเม็ดยา


เตียงที่เห็นคือ เตียงเอ็กซเรย์ เครื่องขวาบนสุดคือเครื่องถ่ายเอ็กซเรย์และหลอดเอ็กซเรย์ สมเด็จพระราชบิดาบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 3000 ดอลล่าร์สหรัฐ ซื้อเครื่องเอ็กซเรย์นี้ให้โรงพยาบาลแมคคอร์มิค 


อันนี้คือคุ้กกี้สูตรมาดามคอร์ท ที่ทำถวายพระราชบิดาครั้งมาประทับที่แมคคอร์มิคแห่งนี้


รสชาติไม่หวานครับและหนึบ ไม่ร่วนเหมือนคุ้กกี้ทั่วไป


รู้สึกมีความสุขมากครับ ได้มาตามรอยเดินก้าวเดียวกัน เห็นเตียง กินคุ้กกี้สูตรเดียวกัน


การกินเจ

 การกินเจ

ผมเขียนเรื่องการกินเจ อาหารเจ การปรับตัวของผู้มีโรคประจำตัวเมื่อกินอาหารเจ เขียนมาเกือบสิบปี แต่คุณรู้ไหม ผมไม่เคยกินเจ !!
ปีนี้เป็นปีแรก
พอได้ตัดสินใจและลองกินเจ ผมพยความจริงบางอย่างอยากมาเล่าให้ฟัง
ส่วนตัวแล้วผมไม่ได้คิดว่าได้บุญ ลเการทำบาปจากการกินเจเพียง 10 วันนี้หรอกครับ แต่ผมว่าบุญที่ได้คือสิ่งเหล่านี้
1.ความตั้งใจ คุณต้องตั้งมั่นจริง ๆ นะ ที่จะผ่านซุ้มอาหารที่เคยชินและอยากกินไปได้ เพราะอาหารเจก็จะรสชาติไม่เหมือนที่คุ้นชิน มีกิเลสที่ยั่วยวนให่ออกเจตลอดเวลา
2.ได้ความรู้เพิ่มขึ้น คุณจะได้เรียนรู้ว่า เจมีกี่แบบ ต่างจากมังสวิรัติอย่างไร อะไรคืออาการที่กินได้บ้าง คุณค่าทางอาหารอย่างไร และความรู้ใหม่จริง ๆ คือ รสชาติเป็นอย่างไร
3.ความอุตสาหะ ท่ามกลางเศรษฐกิจไม่ดี อาหารเจหายากและแพงขึ้น ผมต้องวางแผนที่จะจัดหา เตรียมของ ที่ราคาไม่แพงเพื่อให้ประสบความสำเร็จ บางอารมณ์ที่้กิดขึ้นคือ ออกเจก็ได้วะ หากินยากเหลือเกิน การกินเจมาช่วยคุมสติเราได้ครับ
4.สู้กับกิเลสตัวเอง ที่เรียนรู้ว่ายิ่งเรากินเจนานขึ้น เราจะยิ่งมุ่งมั่น ทำให้ครบกำหนด วันที่สี่จะมีสติและอดทนมากกว่าวันที่สอง เราจะเผากิเลสและผ่านมันได้ง่ายขึ้น
5.เพิ่มพอร์ตโฟลิโอตัวเอง คุณกินเจสำเร็จ คุณไม่ได้แข่งกับคนอื่น แต่คุณแข่งกับตัวเอง คุณชนะใจตัวเองได้ เป็นอีกก้าวเล็กของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
เหมือนเคยได้ยินนายพลเรือของกองทัพสหรัฐกล่าวว่า ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนแปลงโลก คุณควรเริ่มต้นจากการเก็บที่นอน การกินเจก็เช่นกันกับความสำเร็จอื่น จงตั้งใจทำมัน ชื่นชมมัน และสั่งสมความสำเร็จจากมัน

25 ตุลาคม 2568

พิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้า ในพระบรมราชูปถัมป์ ตอนที่ 1

21 วันที่เชียงใหม่ : ตอนที่ 1

พิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้า ในพระบรมราชูปถัมป์ คือเป้าหมายหลักในการเดินทางครั้งนี้

พวกเราทุกคนรับรู้แน่นอนว่า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก คือ บิดาแห่งการแพทย์ไทย ท่านเสียสละไปเรียนและพัฒนาวิชาแพทย์แผนปัจจุบันของไทย

ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้มาปฏิบัติงานเป็นแพทย์ประจำรพ.แมคคอร์มิค จ.เชียงใหม่ 

หลายคนไม่ทราบถึงเหตุการณ์ 21 วันที่พระองค์ท่านอยู่ที่นี่ ผมเองก็ไม่ทราบ จึงได้ลัดฟ้ามาหาคำตอบ ที่นี่ พิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้า รพ. แมคคอร์มิค


พิพิธภัณฑ์ตั้งตะหง่านชัดเจนอยู่ริมถนนแก้วนวรัฐ ภายในวิทยาลัยพยาบาลแมคคอร์มิค ม.พายัพ และตรงข้ามรพ.แมคคอร์มิค หนึ่งในรพ.สังกัดคริสตศาสนาที่ไม่แสวงผลกำไร

ความสำคัญของพิพิธภัณฑ์นี้คือ เป็นที่ตั้งและอาคารดั้งเดิมที่เป็นที่พักของนายแพทย์เอ็ดวิน ชาร์ลส์ คอร์ท แพทย์มิชชันนารีอเมริกันประจำ รพ. เป็นอาจารย์แพทย์ อาจารย์พยาบาล และที่สำคัญ ที่นี่คือที่พักของสมเด็จพระราชบิดาครั้งมาปฏิบัติงานที่ รพ แมคคอร์มิค


อาคารนี้ได้รับการปรับปรุงโดยรักษาสภาพเดิมมากที่สุด อาคารเป็นอิฐทั้งหลัง มีช่องโปร่งสองชั้นเพื่อระบายอากาศ โครงสร้างคล้ายห้องสมุดนิสสัน เฮยส์ ที่กรุงเทพ

สาเหตุที่ทาสีเหลือง เพราะพบว่าตอนซ่อมแซม สีของอาคารเดิมเป็นสีนี้ โครงสร้างอิฐเดิมยังอยู่ใต้ผนังสีเหลืองนวลนี้


ตัวบ้าน เคยเป็นทั้งที่เรียน ที่พักของหมอคอร์ทและมาดามคอร์ท มีห้องนอนของพระองค์ท่านอยู่ชั้นบน ทางพิพิธภัณฑ์มีความตั้งใจจะรักษาสภาพเดิมให้มากที่สุด 

จำลองกลไกโครงสร้างต่าง ๆ ให้เหมือนเดิมที่สุด ไม่ว่าจะกลอนประตู ตะขอแขวน ลูกบิด แม้แต่ห้องใต้หลังคา

เราจะมีเจ้าหน้าที่คอยพาชมครับ


เปิดเข้ามาจะพบหุ่นจำลองคุณหมอคอร์ท โต๊ะทำงานและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในยุคสมัยนั้น สมัยไหนก็อยู่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งครับ  นี่คือห้องทำงานจริงของคุณหมอคอร์ทและพระราชบิดา  อุปกรณ์เครื่องใช้ทั้งหูฟัง ตราประทับ เครื่องพิมพ์ดีด ตะเกียง (สมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้าครับ)



ในตู้มีตำราแพทย์ของจริงที่เก็บรักษาไว้ตั้งแต่ยุคสมัยนั้น และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่หมอคอร์ทได้รับเอาไว้ด้วย แต่โซนนี้เขากั้นพื้นที่เอาไว้นะครับ เข้าไปดูไม่ได้

พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ทำงานจริงของพระองค์ท่านครับ  ก็จะเห็นว่ามาทำงานเสมือนคุณหมอโดยทั่วไป ไม่ได้มีสิทธิพิเศษใด ๆ แม้จะดำรงตำแหน่งเจ้าฟ้าก็ตามที 

พระองค์ยังกำชับผู้ร่วมงานว่า ดึกดื่นแค่ไหนก็ตามมาดูคนไข้ได้ ให้ปฏิบัติเหมือนพ่อเลี้ยงคอร์ท (คุณหมอคอร์ท) ทุกประการ


ห้องโถงกลาง จัดแสดงถาพถ่ายและข้าวของเครื่องใช้ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง พัดลม โต๊ะ เครื่องเล่นแผ่นเสียง ที่เป็นสิ่งพบในบ้าน

พระราชบิดา เดิมทีพระองค์ท่านจบวิชาการทหารเรือ แต่ด้วยความจำเป็นและการเมืองภายใน จึงไปเรียนวิชาแพทย์ที่สหรัฐอเมริกา ตอนที่พระองค์ท่านมาเยี่ยมหัวเมืองฝ่ายเหนือ เคยปรึกษาหมอคอร์ทว่าจะไปเรียนที่ไหนดี คุณหมอคอร์ทเป็นศิษย์เก่า Jefferson School of Medicine ไม่รู้คุยกันอย่างไร พระราชบิดาจึงเลือกไปเรียนที่โรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด


หลายท่านอาจจะสงสัยว่านี่ผมกล่าวถึงหมอคอร์ทและ รพ.แมคคอร์มิค มากกว่าพระองค์ท่านเสียอีก ขออธิบายแบบนี้ครับ ในยุคสมัยปลายรัชกาลที่หกต่อรัชกาลที่เจ็ด เป็นยุคเริ่มของการจัดตั้งระบบการแพทย์แผนตะวันตก โดยความเจริญเริ่มต้นที่โรงพยาบาลศิริราช โดยคุณหมอจากอเมริกามาเป็นหมอและครูแพทย์ แต่โรงพยาบาลตามภูมิภาคยังไม่พัฒนา รักษาโรคง่าย ๆ ตามแต่ทรัพยากรจะมีเช่น อยุธยา นครราชสีมา ส่วนโรงพยาบาลเอกชนทั้งหมดมาจากมิชชันนารีอเมริกัน 

โรงพยาบาลแมคคอร์มิคในเวลานั้นคือตัวท้อปของโรงพยาบาลฝ่ายภูมิภาค ที่มีการจัดระบบการแพทย์แบบอเมริกัน มีหมอปริญญาจากอเมริกาผลัดกันมาประจำการ 


จัดแสดงพื้นที่บริเวณนี้ว่าเป็นโรงพยาบาลของมิชชันนารีอเมริกันที่มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า ตั้งแต่ยุคสมัยที่เมืองเชียงใหม่ยังมีเจ้าผู้ครองนคร ผ่านความยากลำบากทั้งความเจริญ การคมนาคม ความเชื่อ โดยเฉพาะต่างชาติต่างศาสนาถือเป็นอุปสรรคสำคัญ

แต่ก็ผ่านมาถึงจุดที่ทุกคนยอมรับ ไม่เพียงแต่ยอมรับในการรักษา และยังยอมรับมาเรียนมาศึกษา ในภาพคือ นักเรียนพยาบาลรุ่นแรก ยังสวมหมวกทรงกระบอก เสื้อผ้าทั้งหมดนั้นมาดามคอร์ทเป็นผู้ตัดเย็บให้ ดูแลเสมือนบุตรหลานเลย


ภาพนี้คือโต๊ะอาหารของพระองค์ท่าน มาดามคอร์ทเป็นคนจัดถวายด้วยตัวเอง ตลอดสามมื้อยี่สิบเอ็ดวัน ที่ประทับอยู่ที่นี่

และมาดามคอร์ททำการบ้านมาอย่างดี จัดเมนูที่เหมาะกับพระองค์ท่าน ด้วยอุปกรณ์เครื่องครัวที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น




พระองค์ท่านไปราวนด์เช้ากับหมอคอร์ททุกวัน เป็นกิจวัตรประจำวันของแพทย์ประจำบ้าน จากวิดีทัศน์อธิบายว่า ทรงตรวจคนไข้เองทุกคน เก็บเลือด ปัสสาวะ ไปตรวจด้วยตัวเอง นั่นคือนอนนี่ ตื่นแต่เช้า ตรวจรอบเช้าแล้วจึงมารับอาหารเช้า ก่อนจะไปออกตรวจโอพีดี และทำงานวอร์ด

เหมือนนักเรียนแพทย์เหมือนเรสิเดนท์ ท่านจึงเข้าใจแพทย์ พยาบาล และคนไข้เป็นอย่างดี


ห้องครัวจริง และหุ่นจำลองมาดามคอร์ท ที่คอยดูแลเอาใจใส่พระราชบิดา ดูจากอาหารยุคนั้นก็สดใหม่ ไม่ค่อยมี processed food 

ที่สำคัญพระองค์ท่านก็กินอาหารเหมือทุกคนที่นี่

ในห้องนี้นอกจากเตาไฟ อุปกรณ์ทำครัว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ครัวมาดามคอร์ท สามารถสรรค์สร้างอาหารได้มากมายคือมี “ตู้เย็น” เก็บอาหารสด ทำน้ำน้ำแข็ง และสามารถทำไอศกรีม ของโปรดของสมเด็จพระราชบิดาได้อีกด้วย


กระป๋องอาหารที่มาดามคอร์ทนำมาและสั่งมาทางเรือ ยังเก็บรักษาของจริงเอาไว้ ในห้องเก็บอาหารห้องนี้ด้วย


มาดามคอร์ทและหมอคอร์ท ได้เขียนตำราอาหาร ที่ส่วนมากเฉพาะเจาะจงกับผู้ป่วย เพื่อประกอบอาหารที่มีคุณค่า นับเป็น nutritional therapy เลยทีเดียว

เป็นสิ่งใหม่ในสังคมไทยเลยนะครับ เพราะมีเมนูอาหารจากนม จากไข่ มีสลัด การปรุงเนื้อสัตว์ 


โกโก้มีมาตั้งแต่ยุคนั้นแล้ว  อังกฤษ ยุโรปและฝรั่งเศสมีการส่งออกแบบนี้มาตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่สาม สมัยต้นรัตนโกสินทร์ โกโก้เนสต์เล่ถือเป็นอาหารพรีเมี่ยมในยุคนั้นครับ หายาก ราคาแพง ต้องนำเข้า 


ผมไม่แน่ใจว่ามาดามคอร์ทปรุงอาหารตามสภาพโรคหรือไม่ แต่จากบันทึกนี้ผมว่าน่าสนใจ เพราะพระราชบิดาป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังมานาน แน่นอนล่ะว่ายุคนั้นคงยังไม่มีการฟอกเลือด ผู้ป่วยโรคไตเสื่อมเรื้อรังจะได้รับการกำหนดปริมาณโปรตีน (ไม่งดนะครับ) ที่จะไม่ให้มากเกินกว่าไตจะกำจัดยูเรียได้

หากเป็นตามนั้นจริง ถือว่าเป็นโภชนบำบัดที่ดีเลยทีเดียวครับ


ก่อนจะขึ้นไปชั้นสอง กลางโถงชั้นล่างเป็นโมเดลจำลองโรงพยาบาลแมคคอร์มิคในสมัยที่พระองค์ท่านมาอยู่ พร้อมวีดีทัศน์เล่าเรื่อง โดยผูกประวัติโรงพยาบาล เข้ากับการมาทรงงานของท่าน เมื่อวิดีทัศน์เล่าเรื่องราว ไฟแสดงตำแหน่งอาคารต่าง ๆ ของโรงพยาบาลจะสว่างขึ้น เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตชีวา สนุก น่าติดตามครับ 

ผมตั้งใจบันทึกภาพนี้เพราะนี่คือคำขวัญที่ผมยึดถือมาตลอดและเป็น motto ของเพจนี้ด้วยคือ “ความสำเร็จที่แท้จริง มิใช่อยู่ที่การเรียนรู้เท่านั้น แต่อยู่ที่ความสามารถในการประยุกต์ใช้ ให้เกิดประโยชน์กับมวลมนุษยชาติ”

พระราชบิดาเรียนจบ medical science จากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดแต่ยีงไม่รับการประสาทปริญญาแพทยศาสตร์ เนื่องจากข้อกำหนดในสมัยนั้นต้องผ่านการปฏิบัติงานในโรงพยาบาลที่สมาคมแพทย์อเมริกันรับรองให้เป็นสถานฝึกอบรม พระองค์ยังไม่ได้เข้ารับการฝึกภาคปฏิบัตินี้ ต้องกลับเมืองไทยก่อนด้วยเหตุผลหลายอย่าง หนึ่งในสาเหตุคือประเทศไทยในเวลานั้นต้องการการพัฒนาด้านสาธารณสุขอย่างเร่งด่วน ท่านจึงนำความรู้มาใช้จริง มากกว่าทำเพื่อใบปริญญา 


กล้องจุลทรรศน์ ตะเกียงแล็บ สมัยนั้นหมอต้องทำแล็บเองนะครับ ดูฉี่ดูอึ สเมียร์เลือด ย้อมเสมหะ สมัยผมเป็นนักเรียนแพทย์เรายังได้รับการแจก white count chamber เอาไว้ตรวจนับเม็ดเลือด เราต้องปั่นปัสสาวะ ปั่นหลอดฮีมาโตคริต ย้อมสีสารพัดกันสนุกสนาน ที่ท้ายวอร์ดอัษฎางค์ จะมีห้องแล็บเล็ก ๆ เอาไว้ทำ bedside 

ทุกวันนี้น้องนักเทคนิคการแพทย์ช่วยทำให้ คงสงสารถ้าเห็นหมอชราอย่างผมไปยืนยัอมสไลด์ แต่ก็ยังดูนะครับ

ประเด็นสำคัญที่เชียงใหม่เวลานั้นคือมาเลเรียระบาดหนักมาก การวินิจฉัยมาเลเรียคือการตรวจสเมียร์เลือดเพื่อดูปรสิตมาเลเรียในเม็ดเลือด รูปแบบเม็ดเลือด ตัวปรสิต จะแยกชนิดมาเลเรียได้ 

ผมยังจำคำพูด อ.อนงค์ เพียรกิจกรรม ที่กล่าวกับผมไว้ตอนที่ผมนั่งตรวจสเมียร์ที่อัษฎางค์ได้เลย “ถ้าหมอดูบลัดสเมียร์ได้ดี จะตอบคำถามคนไข้ได้มาก โดยไม่ต้องตรวจอะไรพิเศษเลย” 


ชั่งตวงเพื่อปรุงยาด้วย ในยุคสมัยที่ขาดแคลนบุคลากร การเรียนยุคนั้นฝึกให้ทำทุกอย่างครับ พระราชบิดาร่ำเรียนทั้งวิชาการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุข เพื่อมาปฏิบัติงานรอบด้าน สอนทุกคน  คุณหมอคอร์ทเองแม้ชำนาญด้านอายุรศาสตร์ แค่ก่อนมาปฏิบัติงานที่ไทยก็ไปเรียนต่อด้านการผ่าตัดและเวชศาสตร์เขตร้อนเพิ่มเติม

ด้านซ้ายมือสุดคือตราประทับของโรงพยาบาล ของจริง มีเพียงอันเดียว

20 ตุลาคม 2568

SNUS

 เดินแถวท่าแพ : เจอ snus

ย่านประตูท่าแพ เรียกว่าเป็นจุดสำคัญของนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร์ เกสต์เฮ้าส์ เช่ามอไซค์ ผับ บาร์
และผมก็เจอป้าย SNUS
หลายคนไม่รู้จัก SNUS คือ การเอาใบยาสูบมาผ่านกระบวนการเพื่อให้นิโคตินละลายออกมาเมื่อผ่านการอมในปาก
มีทั้งแบบใบยา หยิบแล้วไปซุกที่เหงือก หรือแบบบรรจุซองแบบชา
ต่างจาก Zyn ที่เป็นนิโคตินสังเคราะห์ ที่ดูดซึมเร็วกว่า
แม้จะไม่มีควัน ไม่มีเผาไหม้ เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ลดความเสี่ยงจากควัน แต่ก็ยังอันตรายจากนิโคตินและระคายเคืองเยื่อบุช่องปากอยู่ดี
ที่สำคัญ SNUS ที่ไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องยังเป็นสิ่งผิดกฎหมายที่พบได้ทั่วไปในบ้านเราครับ

กาแฟอเมริกาโน่

 ในตอนเช้า

ขณะท้องว่าง กาแฟจะดูดซึมดีที่สุด
กาแฟอเมริกาโน่หนึ่งช็อต มีคาเฟอีน 80 มิลลิกรัม เพียงพอจะทำให้ตื่นตัว
กาแฟใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีจึงทำงาน ให้กะเวลาให้ดีก่อนจะมาวิ่งที่อ่างแก้ว มช.
ข้อห้ามสำคัญเลยของการดื่มกาแฟ คือ หัวใจเต้นผิดจังหวะ

19 ตุลาคม 2568

เครื่องดื่มเพื่อความสดชื่น

 สำหรับคนที่ต้องการดื่มเครื่องดื่มเพื่อความสดชื่นเวลาไปเที่ยว

และหากคุณควบคุมน้ำหนักด้วยนะ
กาแฟดำ มัทชะร้อน ชาร้อน ถือเป็นทางเลือกที่ดี
ใครที่อยากดื่มเครื่องดื่มสดชื่นที่ส่วนมากจะผสมน้ำตาล ผมมีไอเดียมานำเสนอ ผมเจอสาวชาวคอเคเซียนคนหนึ่งใน กาดหลวง น่าจะใช่นะ เดินเลยประตูท่าแพเข้ามา
เธอนั่งดื่มโซดาใส่น้ำแข็งกับแอปเปิ้ล ก็เลยนึกไอเดียนี้ได้ ผมไม่ได้ไปถามอะไรเธอหรอกนะครับ เธอสวยมาก แต่ถึงยิ้มให้ผมก็ไม่กล้าหรอก
ถ้าเราดื่มเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้คั้น ที่ต้องใช้ผลไม้มากกว่า 3-5 ลูก หรือน้ำผลไม้ปั่นที่ต้องใช้ผลไม้มากผสมน้ำหวานอีก
หรือจะเป็นสมูตตี้ บิงซู ต่างเป็นศัตรูกับน้ำหนักทั้งสิ้น
โซดาเปล่าหนึ่งแก้วผสมน้ำแข็ง กับผลไม้สักครึ่งลูก ได้ไฟเบอร์จากผลไม้ ขนาดบริโภคไม่เกินไป สดชื่นจากความซ่าและหวานอมเปรี้ยวจากผลไม้
น้ำหนักไม่เพิ่ม นี่แหละเฮลท์ตี้ของแท้

เมารถ

 วิถีคนขี้เมา

“พี่เปิดร้านอยู่แม่กำปอง มาให้ได้นะ” เลยตัดสินใจไป โดยที่รู้ตัวดีว่าเป็นคนขี้เมา ไม่น่าจะไหว คือ เมารถอย่างหนัก
หนทางขึ้นแม่กำปอง จากอำเภอแม่ออน ขึ้นเขาคดเคี้ยวเพียงเล็กน้อย แต่ด้วยความที่ทางแคบและขนาบข้างด้วยต้นไม้สูง เป็นเหตุแห่งการเมารถชั้นดี
กลไกการเมารถเกิดจากความ “สับสน” ทิศทางของระบบรับตำแหน่งในหูชั้นใน กับระบบการติดตามวัตถุเพื่อระบุตำแหน่งของดวงตา ตามองไปทาง รถไปอีกทาง พอสับสนสัญญาณประสาทจะรวน ส่งสัญญาณไปที่ทาลามัส และส่งต่อไปยัง vomiting center แจ้งว่า ตอนนี้ร่างกายมีพิษต้องอาเจียนออก อาการจะคล้าย ๆ ผะอืดผะอม อาหารเป็นพิษ
วิธีแก้คือ ให้จ้องจุดสายตาไปไกล ๆ นิ่ง ๆ ที่จุดใดจุดหนึ่ง เป็นการ “หลอกกลับ” ระบบประสาทตัวเอง ว่าฉันยังนิ่งอยู่นะโว้ย สัญญาณสับสนจะลดลง
และการส่งสัญญาณประสาทนี้ ใช้สารสื่อประสาทฮิสตามีน เราจึงสามารถใช้ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มที่เข้าสู่สมองได้ดี ตัวที่นิยมคือ dimenhydrinate ขนาด 50 มิลลิกรัม กินหนึ่งเม็ดก่อนออกเดินทางประมาณ 30 นาที อีกแบบคือชนิดแปะหลังหู
กว่าจะขึ้นไปถึงแม่กำปอง ก็มีรายการโอ๊กอ๊ากพอสมควร วันนั้นใครนั่งรถบริการขึ้นแม่กำปอง เห็นคนเฒ่านั่งตาลอย ถือถุงของเหลว นั่นแหละผม
ถนนขึ้นแม่กำปองเป็นสองเลนสวนกัน ที่แต่ละข้างไม่ลดความเร็ว เป็นที่หวาดเสียวยิ่งนัก
ด้านบนแม่กำปองช่างจอแจ มีร้านค้า ร้านอาหาร มีข้าวซอยทุกร้าน อาหารปิ้งย่างริมทาง ไข่ป่าม..น่าจะใช่นะ อร่อยดี
คนที่เมารถ ไม่ควรกินอะไรมากครับ เอาแค่พอสบายท้อง ผมกินไข่ป่ามกับจิบชาร้อน การดื่มเครื่องดื่มร้อนจะช่วยลดอาการได้ดีทีเดียว
ส่วนคนเมารัก มาที่นี่จะเมามาก เพราะคู่รักเต็มไปหมด
หลังจากสนทนาพาทีกันพอสมควรแก่เวลา คุณพี่รับอาสาลงไปส่งถึงในเมือง ผมบอกว่าขอไปที่สันกำแพงดีกว่า จะได้ไปดูจุดน่าสนใจที่นั่น
และพอก้าวขึ้นรถกระบะก็เตรียมอุปกรณ์การลงเขาส่วนตัวคือถุงพลาสติกคล้องหู
พี่ถามว่า น้องเมารถด้วยหรือ อายุขนาดนี้แล้ว ฮ่า ๆๆ
“เออ วันหลังปล่อยกรูไปเดินพิพิธภัณฑ์ ตามประสาคนเฒ่าเต๊อะสู”

14 ตุลาคม 2568

การใช้ยา thyroxine

 การใช้ยา thyroxine

[european thyroid journal (2025) 14 e259123]
1.สูตรยา ยี่ห้อยา มีผลต่อระดับไทรอยด์ ควรตรวจวัดระดับไทรอยด์หลังเปลี่ยนยาประมาณ 6 สัปดาห์
2.ยาจะดูดซึมได้ดีตอนที่ท้องว่าง (กระเพาะเป็นกรด) กินยาตอนตื่นนอน หรือหลังอาหารเย็นเป็นเวลาสามชั่วโมง ใครกินข้าวมื้อดึกก็กินตอนตื่นนอนดีกว่า
3.เวลาที่ตรวจฮอร์โมนไทรอยด์แล้วยังไม่ได้ระดับ ก่อนจะปรับยา มาคิดเรื่องปฏิกิริยาอาหารและยาก่อนเสมอ มียาไม่กี่ตัวหรอกที่ต้องคิดประเด็นนี้
4.อาหารที่ขัดขวางการดูดซึม ไฟเบอร์ ถั่วเหลือง ชา กาแฟ นม น้ำองุ่น มะละกอ
5.ยาที่ขัดขวางการดูดซึม เกลือแคลเซียม เกลือแมกนีเซียม ยาลดกรดกระเพาะอาหาร
6.การใช้ยาในผู้สูงวัย หรือผู้ที่มีปัญหาโรคหัวใจ ต้องติดตามฮอร์โมนบ่อยขึ้น เพราะเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจขาดเลือดได้ ถ้าระดับยาเกินไป
7.หญิงตั้งครรภ์จะต้องการฮอร์โมนมากกว่าปกติเพราะต้องส่งให้ทารก แถมโปรตีนในเลือดก็ผิดปกติไปจากเดิม เราจะใช้ค่า TSH ประมาณ 2.5-3.0 (american thyroid associations)
8.ยา thyroxine ต้องเก็บในซองหรือภาชนะป้องกันแสง
9.ปกติแล้ว หากปรับยาจนได้ระดับและไม่มีภาวะร่างกายเปลี่ยนแปลง ไม่จำเป็นต้องติดตามระดับไทรอยด์ในเลือดบ่อยนัก 6-8 เดือนต่อครั้งก็ได้

บทความที่ได้รับความนิยม