นานๆทีจะเล่าเรื่องของตัวเอง
ย้อนกลับไปเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ในอำเภอห่างไกลแห่งหนึ่งของภาคอีสาน เวลาโพล้เพล้ประมาณหกโมงเย็น ที่ท่ารถประจำอำเภอ มีรถประจำทางเดินทางจากตัวจังหวัดและมาจากจังหวัดข้างเคียงอยู่สองคัน ที่เหลือเป็นรถสองแถวลมโชยที่ไปอำเภอใกล้ สองชั่วโมงออกทีนึง
ชายหนุ่ม (ตอนนั้นหนุ่มจริงๆ) สวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงบลูยีนส์ รองเท้านันยาง มีกระเป๋าเป้ลายทหารสะพายไหล่หนึ่งใบ ตอนนั้นมันคือแฟชั่นสุดจ๊าบ กระโดดลงจากรถที่มาจากจังหวัด ตั้งใจจะไปหาเพื่อนที่อำเภอหนึ่ง มองซ้ายขวาเห็นยังมีร้านอาหารตามสั่งยังขายอยู่ เลยเดินเข้าไป "คุณพี่ครับ ข้าวผัดพริกแกงหมู โปะไข่ดาว จานนึงครับ" คนขายยิ้ม นึกในใจไม่ใช่คนแถวนี้แน่ๆ
เมื่อเขากินอาหารเรียบร้อย ก็เดินไปซื้อเบียร์สองขวดใหญ่ วันนี้วันแดงเดือดนั่นเองตามประสาสาวกหงส์แดงที่ต้องรับผิดชอบต่อทีมตัวเอง ต้องเชียร์อย่างขาดใจและนึกว่าคงสนุกดพราะเพื่อนเขาเป็นสาวกผีแดง แล้วชายหนุ่มก็ก้าวขึ้นรถสองแถวเที่ยวสุดท้ายของวันนั้น รอประมาณครึ่งชั่วโมงรถก็ออก ท้องฟ้ามืดแล้ว รถเคลื่อนออกไปช้าๆ ผ่านทุ่งมืดๆเห็นแต่ไฟจากบ้านคนไกลๆ ..ทั้งรถมีคนแค่สองคน คือเขาและหญิงชราคนหนึ่ง
เมื่อถึงจุดหมายที่ตลาดประจำอำเภอ ที่ตอนนี้คนแทบจะหมด เหลือแต่พ่อค้าเก็บของ เขากับหญิงชราลงจากรถ เขาช่วยยกสัมภาระของหญิงชราลงมา พอลงมาก็ตกใจ อ้าว..ไหนว่าลงป้ายตลาดแล้วถึงเลย แล้วโรงพยาบาลอยู่ไหน..?
ถามคุณป้า ก็ได้รับคำตอบว่าเดินไปอีกไม่ไกล ก็เลยเดินไป เกือบยี่สิบนาทีที่มีแต่ทางมืดๆน่ากลัว ชายหนุ่มเห็นท่าไม่ดีจึงเดินกลับมาที่ศาลารอรถที่เดิม ..ตอนนี้มืดสนิท..ป้าหายไปแล้ว โทรไปหาเพื่อน ก็ได้รับคำตอบว่ารอไปก่อน ตอนนี้ออกไปไม่ได้ เพราะหมออีกคนที่จะมารับเวรต่อยังไม่มา ... เราถึงกับขอร้องหมออีกคนมาช่วย เพราะเราจะเชียร์บอล เหตุผลมันน่า...จริงๆ
เขาจำใจรอต่อไป มีแต่ไฟจากเสาไฟส่องทาง ตอนนั้นไม่มีสมาร์ทโฟนนะครับ ที่อยู่ในมือคือ nokia 3310 แบตใกล้หมดด้วย เลยไม่กล้าหยิบมาเล่นเกมงู ..รอต่อไป
สักพักมีแสงไฟพุ่งเข้ามา รถมอเตอร์ไซค์บนรถมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ จอดที่หน้าศาลาถามด้วยความเป็นห่วง..หรือสงสัย "น้องรออะไร รถหมดแล้ว จะไปไหน ถือเบียร์ด้วย" ชายหนุ่มนึกในใจ ...ซวยแล้วตู ตอบกลับ รอเพื่อนมารับน่ะครับ เดี๋ยวก็มา คุณตำรวจก็พยักหน้า มองด้วยสายตาน่าสงสัย นี่เราเหมือนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายขนาดนั้นเลยรึ
..
...รอต่อไป
..
.. อีกไม่นาน คราวนี้แสงไฟจากรถกระบะมาเลยมาจอดรถที่หน้าศาลา ข้างรถคือ...สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภ.อ. .... พร้อมพลตำรวจบนกระบะสามนาย สองนายกระโดดลงมาเข้ามาหาเขา
ในใจชายหนุ่ม...อิ๊บอ๋ายแล้ว ตรูถูกจับหรือนี่ ทำไงดีฟระ แก้ตัวไง เบียร์นี่ถึงกับจับเลยหรือ
น้องๆ ไปกับพวกพี่ก็ได้ พวกพี่จะไปโรงพยาบาลอยู่แล้ว เมื่อกี้จ่าเขาผ่านไปบอก เพื่อนเป็นหมอหรือ โหยยย พอสิ้นคำเท่านั้น โล่ง โล่งเลยครับ ดีใจมากน้ำตาแทบไหล ถ้าใครมาทำคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตอนนั้นคงใกล้ VF เต็มที
ครับพี่...กระโดดขึ้นกระบะหลัง
เอ้าดูภาพนะ นายตำรวจนั่งอยู่ด้านข้างคนขับ มีพลขับ บนกระบะมีตำรวจสามนาย สองนายนั่งประกบไอ้หนุ่มกระเหรี่ยงถือเบียร์อยู่ อีกนายคุมเชิงอยู่ตรงข้าม oh my goddd 😂
ตรงไปไม่นาน ไปถึงร้านขายของส่งประจำอำเภอที่ยังเปิดอยู่ หน้าร้านมีซุ้มขายเครื่องดื่ม คนนั่งอยู่เกือบสิบ รถจอดปุ๊บ สายตาทั้งหมดพุ่งตรงมาที่กระเหรี่ยงคนนั้น คงนึกว่า มันค้ายาแน่ๆ พี่ตำรวจในรถเปิดประตูไปซื้อของสักพักก็กลับมา ...สิบนาที ยังกับสิบปี สายตาทุกคู่ไม่เปลี่ยนทิศการมองเลย เข้าใจอารมณ์ผู้ต้องหาเลย
รถเคลื่อนออกไป ไม่มีการพูดคุยใดๆ เงียบกริบ ..ชายหนุ่มนึก นี่เขาจะไปแวะจับผู้ร้ายก่อนไหมวะ
เห็นป้ายโรงพยาบาล รถเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าอีอาร์ ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ก็เข็นเปลออกมารับชายหนุ่ม แต่ชายหนุ่มกระโดลงจากกระบะ ท่ามกลางความงุนงงของเจ้าหน้าที่ ..เอ้า บ่เป็นหยังนิ..
คุณตำรวจบอกว่า เขาติดรถมา หาเพื่อนเขาที่เป็นหมอที่นี่ ไม่ได้เป็นคนเจ็บ ส่วนพี่มาเอาเอกสารที่ค้างไว้เมื่อเย็น และได้ยินเสียงวิ่งหน้าตาตื่นออกมา เพื่อนของเขานั่นเอง ..เฮ้ย ทำไมถึงโดนจับล่ะ ไปทำอะไรมา...
ครับ..เรื่องราวสนุกๆก่อนนอนวันอาทิตย์ ถ้าท่านใดพบชายหนุ่มที่อาจจะแก่ลงนิดนึง ใส่เสื้อยืดสีขาวสกรีนลาย อายุรศาสตร์ ง่ายนิดเดียว ใส่กางเกงบลูยีนส์ นันยางสีขาว สะพายเป้ที่ตอนนี้สีดำ ก็อย่าเพิ่งโทรเรียกตำรวจนะครับ สงสารเขา เขาบริสุทธิ์
30 เมษายน 2560
ใจเขาใจเรา
ใจเขา..ใจเรา
บรืนนน ..เอี๊ยดด..รถกระบะคันหนึ่งเล่นเข้ามาจอดที่อู่ซ่อมสีแห่งหนึ่ง เจ้าของรถเดินหน้ายุ่งๆ เศร้าๆ ออกมาเดินไปหาเจ้าของอู่ ...เฮีย ผมถอยรถไปครูดเสาไฟมา ช่วยดูให้หน่อยสิ
เจ้าของอู่เดินออกมาสำรวจความเสียหายรอบคัน แล้วก็เดินไปตบไหล่เจ้าของรถที่แสนเศร้าคนนั้น เฮ่ย..นิดเดียว ซ่อมสองวันก็เหมือนเดิมแล้ว ว่าแต่ว่า เมื่ออาทิตย์ก่อนก็เพิ่งฉลองกันชนหน้ามานี่ ทำไมหมู่นี้ล่องลอยนักล่ะ ...??
"เฮ้อ..เครียดน่ะเฮีย ป่วยไม่หายสักที เจ็บหน้าอกแปลบๆ หายใจไม่อิ่มเลย เป็นมาเกือบเดือนแล้ว ไปหาหมอมาหลายที่แล้ว ไม่ดีขึ้น หมอก็ว่าไม่เป็นไรๆ ทำไมไม่หายสักที" ...เจ้าของรถทรุดตัวนั่งยองๆ มือกุมขมับ เฮียเดินมาบอกว่า อ้าว ก็หมอเขาตรวจแล้วว่าไม่เป็นไร ทำไมยังเครียดอีกล่ะ
"เฮีย..ก็พ่อกับลุงผม ก็หัวใจวายเฉียบพลันตายทั้งคู่เลยนะ อาการก็แบบนี้ ผมก็กลัวดิ ผมเป็นอะไรไป ลูกเมียจะทำอย่างไร นี่ก็เพิ่งกู้เงินมาเปิดร้าน แม่ก็เจ็บออดๆแอดๆ รู้ว่าเป็นอะไร รักษาเนิ่นๆ ไม่แพง เกิดรุนแรงโป๊ะเช๊ะ ตายก็เดือดร้อน เจ็บหนักก็เดือดร้อน"
เฮียได้ยินแบบนั้นก็ปลอบว่า อย่าคิดมากชีวิตมันไม่แน่นอน แล้วก็ถามถึงผลการตรวจที่เพิ่งไปตรวจมา
"ไม่ชัดเจนเลยเฮีย หมอก็พูดไม่เคลียร์ ตกลงใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่รู้ จ่ายยาแก้ปวด กรดไหลย้งไหลย้อนอะไรนั่นแหละ ออกมาเมียก็บ่นว่า ไม่เห็นเป็นไรนี่ ทำไมต้องรบเร้าให้มาด้วย ต้องไปรับลูกสายอีกนะ บ่นกันทุกวัน"....
เฮียกับเจ้าของรถคุยกันอยู่ ไอ้เปี๊ยกก็มุดออกมาจากใต้ท้องรถเบนซ์ที่จอดซ่อมอยู่ ...เฮียจืด คุณติ๋ม อย่าหาว่าผมสอดเลย ไอ้แบบนี้ผมเคยเจอแล้ว คุณติ๋มเคยบอกเรื่องความกังวลของคุณติ๋มให้หมอทราบไหมล่ะ หมอหลายคนเขาก็ไม่ได้ถามครบถ้วนนะ บางทีก็ไม่รู้ คนไข้ก็มาก ยิ่งเรื่องที่คุณติ๋มมีพ่อกับลุง เป็นโรคหัวใจวายนี่น่ะ
เฮียจืดกับคุณติ๋ม..มองหน้ากัน แล้วพูดพร้อมกัน ..จริงเหรอวะ ไอ้เปี๊ยก
ไอ้เปี๊ยกยกกระติกน้ำขึ้นซดโฮก แล้วตอบว่า ใช่สิเฮีย เวลาคนเราป่วย มันป่วยกันทั้งบ้าน ตอนที่ผมเป็นแบบคุณติ๋ม ผมไปหาหมอคนนึง แกถามเรื่องคนในครอบครัวนี่แหละ ผมก็เล่าให้ฟังแล้วบอกว่า ไม่รู้สักทีว่าเป็นอะไร ทำงานก็ลำบาก เมียก็กังวล เฮียเชื่อไหม พอหมอเขารู้ เขาก็อธิบายอยู่สักพัก เอากระดาษมาเขียนเลยนะ ว่าผมเป็นอะไร และถ้ากลัวจะหัวใจวายต้องทำยังไง เกิดอาการเฉียบพลันทำไง แค่นั่นไม่พอ ยังบอกว่าถ้าเมียไม่เข้าใจให้มาคุยกับหมอได้ด้วย
คุณติ๋มถาม..แล้วหลังจากนั้นเป็นไงวะ
ไอ้เปี๊ยกยิ้มกริ่ม...ดีเลยคุณ ผมก็เข้าใจ ครอบครัวก็เข้าใจ หมอก็ดีใจที่เราไม่ทุกข์ มีสมาธิทำงาน ไม่ทะเลาะกับเมียอีก หมอบอกว่า บางทีแค่อธิบายให้เข้าใจ แก้ไขจุดที่คนไข้เป็นปัญหา แค่นี้ก็ช่วยทั้งคนไข้ทั้งลูกทั้งเมีย คุณติ๋ม ผมนี่กราบหมอคนนั้นเลยนะ
เฮียถามว่า หมอเขาทำงานอยู่ไหน ไอ้เปี๊ยกบอกว่า แกมาทำพาร์ทไทม์ หน้าตาแกดูแก่ๆนะ แต่เสียงยังหนุ่มอยู่เลย ใส่แว่นสองอันสลับกัน ผมว่าแกคงแก่แล้ว สายตายาว ไม่รู้จักื่อเหมือนกัน ... แต่ไม่สำคัญหรอกเฮีย หมอคนไหน คนไข้คนไหน ถ้าเปิดใจ มันไม่ยากหรอก
....ไปล่ะเฮีย เอารถไปลองนะ
ไอ้เปี๊ยกเดินไปลองรถที่เพิ่งซ่อมเสร็จ ท้ายอู่ เป็นรถนิสสันมาร์ชเก่าๆสีขาว ขับรถช้าๆออกไป เฮียกับติ๋ม มองตามแล้วคุณติ๋มก็บอกว่า เฮียไปได้ช่างคนนี้มาจากไหน มือดี แถมคุยก็ดี ...เฮียบอกว่า มันเพิ่งมาสองวันนี้แหละ เห็นว่าอยากมาใช้ชีวิตใหม่ที่เมืองนี้
.....
....
ในรถนิสสันมาร์ชคันนั้น ไอ้เปี๊ยกหยิบผ้ามาเช็ดหน้า ดึงวิกผมออก ถอดคอนแทคเลนส์หยิบแว่นมาใส่ เป็นชายหนุ่มคมเข้มหน้าตาดี ยิ้มมีเสน่ห์ เขาปรับกระจกมองหลังเล็กน้อย เผยภาพในกระจกสะท้อนตัวอักษรสีน้ำเงินบนอกเสื้อยืดสีขาว ..."อายุรศาสตร์ ง่ายนิดเดียว"
เครดิตภาพ : kevinMD.com
บรืนนน ..เอี๊ยดด..รถกระบะคันหนึ่งเล่นเข้ามาจอดที่อู่ซ่อมสีแห่งหนึ่ง เจ้าของรถเดินหน้ายุ่งๆ เศร้าๆ ออกมาเดินไปหาเจ้าของอู่ ...เฮีย ผมถอยรถไปครูดเสาไฟมา ช่วยดูให้หน่อยสิ
เจ้าของอู่เดินออกมาสำรวจความเสียหายรอบคัน แล้วก็เดินไปตบไหล่เจ้าของรถที่แสนเศร้าคนนั้น เฮ่ย..นิดเดียว ซ่อมสองวันก็เหมือนเดิมแล้ว ว่าแต่ว่า เมื่ออาทิตย์ก่อนก็เพิ่งฉลองกันชนหน้ามานี่ ทำไมหมู่นี้ล่องลอยนักล่ะ ...??
"เฮ้อ..เครียดน่ะเฮีย ป่วยไม่หายสักที เจ็บหน้าอกแปลบๆ หายใจไม่อิ่มเลย เป็นมาเกือบเดือนแล้ว ไปหาหมอมาหลายที่แล้ว ไม่ดีขึ้น หมอก็ว่าไม่เป็นไรๆ ทำไมไม่หายสักที" ...เจ้าของรถทรุดตัวนั่งยองๆ มือกุมขมับ เฮียเดินมาบอกว่า อ้าว ก็หมอเขาตรวจแล้วว่าไม่เป็นไร ทำไมยังเครียดอีกล่ะ
"เฮีย..ก็พ่อกับลุงผม ก็หัวใจวายเฉียบพลันตายทั้งคู่เลยนะ อาการก็แบบนี้ ผมก็กลัวดิ ผมเป็นอะไรไป ลูกเมียจะทำอย่างไร นี่ก็เพิ่งกู้เงินมาเปิดร้าน แม่ก็เจ็บออดๆแอดๆ รู้ว่าเป็นอะไร รักษาเนิ่นๆ ไม่แพง เกิดรุนแรงโป๊ะเช๊ะ ตายก็เดือดร้อน เจ็บหนักก็เดือดร้อน"
เฮียได้ยินแบบนั้นก็ปลอบว่า อย่าคิดมากชีวิตมันไม่แน่นอน แล้วก็ถามถึงผลการตรวจที่เพิ่งไปตรวจมา
"ไม่ชัดเจนเลยเฮีย หมอก็พูดไม่เคลียร์ ตกลงใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่รู้ จ่ายยาแก้ปวด กรดไหลย้งไหลย้อนอะไรนั่นแหละ ออกมาเมียก็บ่นว่า ไม่เห็นเป็นไรนี่ ทำไมต้องรบเร้าให้มาด้วย ต้องไปรับลูกสายอีกนะ บ่นกันทุกวัน"....
เฮียกับเจ้าของรถคุยกันอยู่ ไอ้เปี๊ยกก็มุดออกมาจากใต้ท้องรถเบนซ์ที่จอดซ่อมอยู่ ...เฮียจืด คุณติ๋ม อย่าหาว่าผมสอดเลย ไอ้แบบนี้ผมเคยเจอแล้ว คุณติ๋มเคยบอกเรื่องความกังวลของคุณติ๋มให้หมอทราบไหมล่ะ หมอหลายคนเขาก็ไม่ได้ถามครบถ้วนนะ บางทีก็ไม่รู้ คนไข้ก็มาก ยิ่งเรื่องที่คุณติ๋มมีพ่อกับลุง เป็นโรคหัวใจวายนี่น่ะ
เฮียจืดกับคุณติ๋ม..มองหน้ากัน แล้วพูดพร้อมกัน ..จริงเหรอวะ ไอ้เปี๊ยก
ไอ้เปี๊ยกยกกระติกน้ำขึ้นซดโฮก แล้วตอบว่า ใช่สิเฮีย เวลาคนเราป่วย มันป่วยกันทั้งบ้าน ตอนที่ผมเป็นแบบคุณติ๋ม ผมไปหาหมอคนนึง แกถามเรื่องคนในครอบครัวนี่แหละ ผมก็เล่าให้ฟังแล้วบอกว่า ไม่รู้สักทีว่าเป็นอะไร ทำงานก็ลำบาก เมียก็กังวล เฮียเชื่อไหม พอหมอเขารู้ เขาก็อธิบายอยู่สักพัก เอากระดาษมาเขียนเลยนะ ว่าผมเป็นอะไร และถ้ากลัวจะหัวใจวายต้องทำยังไง เกิดอาการเฉียบพลันทำไง แค่นั่นไม่พอ ยังบอกว่าถ้าเมียไม่เข้าใจให้มาคุยกับหมอได้ด้วย
คุณติ๋มถาม..แล้วหลังจากนั้นเป็นไงวะ
ไอ้เปี๊ยกยิ้มกริ่ม...ดีเลยคุณ ผมก็เข้าใจ ครอบครัวก็เข้าใจ หมอก็ดีใจที่เราไม่ทุกข์ มีสมาธิทำงาน ไม่ทะเลาะกับเมียอีก หมอบอกว่า บางทีแค่อธิบายให้เข้าใจ แก้ไขจุดที่คนไข้เป็นปัญหา แค่นี้ก็ช่วยทั้งคนไข้ทั้งลูกทั้งเมีย คุณติ๋ม ผมนี่กราบหมอคนนั้นเลยนะ
เฮียถามว่า หมอเขาทำงานอยู่ไหน ไอ้เปี๊ยกบอกว่า แกมาทำพาร์ทไทม์ หน้าตาแกดูแก่ๆนะ แต่เสียงยังหนุ่มอยู่เลย ใส่แว่นสองอันสลับกัน ผมว่าแกคงแก่แล้ว สายตายาว ไม่รู้จักื่อเหมือนกัน ... แต่ไม่สำคัญหรอกเฮีย หมอคนไหน คนไข้คนไหน ถ้าเปิดใจ มันไม่ยากหรอก
....ไปล่ะเฮีย เอารถไปลองนะ
ไอ้เปี๊ยกเดินไปลองรถที่เพิ่งซ่อมเสร็จ ท้ายอู่ เป็นรถนิสสันมาร์ชเก่าๆสีขาว ขับรถช้าๆออกไป เฮียกับติ๋ม มองตามแล้วคุณติ๋มก็บอกว่า เฮียไปได้ช่างคนนี้มาจากไหน มือดี แถมคุยก็ดี ...เฮียบอกว่า มันเพิ่งมาสองวันนี้แหละ เห็นว่าอยากมาใช้ชีวิตใหม่ที่เมืองนี้
.....
....
ในรถนิสสันมาร์ชคันนั้น ไอ้เปี๊ยกหยิบผ้ามาเช็ดหน้า ดึงวิกผมออก ถอดคอนแทคเลนส์หยิบแว่นมาใส่ เป็นชายหนุ่มคมเข้มหน้าตาดี ยิ้มมีเสน่ห์ เขาปรับกระจกมองหลังเล็กน้อย เผยภาพในกระจกสะท้อนตัวอักษรสีน้ำเงินบนอกเสื้อยืดสีขาว ..."อายุรศาสตร์ ง่ายนิดเดียว"
เครดิตภาพ : kevinMD.com
29 เมษายน 2560
วินาที ต่อ วินาที เจาะหัวใจ
กริ๊งงง ... กริ๊งงง ...หมอคะ มีคนไข้ด่วนปรึกษาจากอีอาร์ค่ะ คาร์ดิแอคเทมโพนาดค่ะ (คือมีน้ำขังในเยื่อหุ้มหัวใจจนหัวใจถูกบีบกด ปั๊มเลือดไม่ได้ ช็อค)
ทันใดนั้นคุณหมอหนุ่มเจ้าของเพจดัง ลุกขึ้นทันที พร้อมสั่งการเสียงเฉียบขาด คุณน้ำตาลคุณเตรียมเครื่องเอคโค่เตรียมพร้อม และเตรียมเซ็ตเจาะเลยครับ คุณดาวิกาคุณเตรียมมอนิเตอร์ เตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิตให้พร้อม คุณพัชราภา คุณให้เขารีบนำตนไข้มาเลย เรามีอุปกรณ์พร้อมกว่า มาถึงเราลงมือเจาะหัวใจเลย ผมไปล้างมือและใส่ชุดก่อนนะครับ
ปัง...ประตูถูกผลักเตียงถูกเข็นเข้ามาอย่างรีบร้อนเจ้าหน้าที่รีบพาคนไข้ลงเตียงไอซียู ภาพเหมือนแข่งรถสูตรหนึ่ง มือเป็นสิบที่รุมช่วยคนไข้ คนหนึ่งรีบติดอุปกรณ์ติดตามคลื่นหัวใจที่หน้าอก คนหนึ่งปรับน้ำเกลือและใส่ออกซิเจน อีกคนติดเครื่องวัดความดัน วัดออกซิเจนปลายนิ้ว เครื่องเอคโค่หัวใจถูกเข็นเข้ามา อุปกรณ์เจาะหัวใจบนรถทำแผลเข็นเข้ามา ทั้งหมดเกิดขึ้นพร้อมๆกัน
คุณหมอหนุ่มเดินเข้ามาบอกว่า "สวัสดีครับ คุณแพนด้า ขณะนี้คุณมีภาวะน้ำขังในเยื่อหุ้มหัวใจ ความดันเริ่มตก เริ่มช็อก ผมและทีมต้องช่วยคุณอย่างรีบด่วน โดยการเจาะระบายน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจออกมา เป็นการช่วยชีวิต รักษาและตรวจไปในเวลาเดียวกัน การเจาะอาจมีอันตรายบ้างคือเลือดไหลครับ แต่โอกาสเกิดไม่มากนัก และถ้าไม่รีบทำทันทีก็จะอันตรายมากนะครับ เดี๋ยวทางทีมเราจะแจ้งภรรยาคุณพร้อมกัน "
หมอหนุ่มพูดจบก็หันหลังไปพบภรรยาผู้ป่วย "ดิฉันเจี๊ยบค่ะ ภรรยาคนไข้ ได้ยินที่คุณหมอพูดแล้ว ช่วยสามีชั้นด้วยนะคะ" คุณแพนด้าเองก็พูดว่า "ทำเถอะครับหมอ ผมเข้าใจและมั่นใจในตัวหมอ"
หมอหนุ่มและคุณน้ำตาลช่วยกันใช้เครื่องเอคโค่ตรวจ พบว่ามีน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจปริมาณมาก จนการคลายตัวผิดปกติ น้ำโอบรอบหัวใจ หนาประมาณ 4 เซนติเมตร "คุณน้ำตาลเตรียมใส่พลาสติกปลอดเชื้อกับหัวตรวจเอคโค่เลย ผมจะใช้เอคโค่ช่วยดูเวลาเจาะ" คุณหมอส่งยิ้มให้คุณน้ำตาล
"ดาวิกาคุณเปิดเซ็ตเลย คุณเข้ามาช่วยผมทำด้วยนะ เวลาอย่างนี้ผมต้องการคุณ"
คุณหมอหนุ่มสวมชุดปลอดเชื้อ สวมถุงมือปลอดเชื้อ คุณแพนด้านอนศีรษะสูงเล็กน้อยเริ่มหอบ ขอบตาคล้ำลง หลังจากนั้นก็ทาน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วอกคนไข้ "มันจะเย็นๆ นะครับ"
คุณหมอรับผ้าปูเจาะกลางปลอดเชื้อจากดาวิกา และหันไปดูดยาชา โดยมีพัชราภายืนเสริฟยาชาให้ คุณหมอก็แจ้งคนไข้ "คุณแพนด้าครับ ฉีดยาชานะครับ จะเจ็บเล็กน้อย" หมอหนุ่มฉีดยาชาเข้าใต้ผิวหนังตรงลิ้นปี่ ลึกไปที่กล้ามเนื้อ ลึกไปทางเยื่อหุ้มหัวใจทางด้านซ้ายชี้ไปทางหัวไหล่ซ้าย หลังจากนั้นก็ถอนเข็มยาชาออก
"ดาวิกาครับ ขอเข็มเจาะเบอร์ 18 คุณน้ำตาลส่งหัวตรวจเอคโค่มาเลยครับ" การทำงานของหมอกับพยาบาลสอดประสานกันอย่างลงตัว
หมอหนุ่มถือหัวตรวจเอคโค่ด้วยมือซ้าย ภาพที่เห็นบนจอ หัวใจแพนด้าเต้นตุบๆลอยอยู่ในถุงน้ำ มือขวาถือหลอดฉีดยาที่ต่อปลายด้วยเข็มเจาะเบอร์ 18 ค่อยๆแทงผ่านผิวหนังตรงปลายกระดูกสันอก ค่อยๆลงน้ำหนักแทงเข็มชี้ไปทางหัวไหล่ซ้ายคนไข้ มือขวาก็ดูดกระบอกฉีดยาตรวจดูว่ามีเลือดหรือมีน้ำเข้ามาในหลอดฉีดยาหรือไม่ มือซ้ายก็ปรับองศาดูว่า เข็มเข้ามาอยู่ในเยื่อหุ้มหัวใจที่เต็มไปด้วยน้ำหรือยัง ....บรรยากาศเงียบกริบ จนพัชราภาเอ่ยขึ้น "คุณแพนด้าคะ คุณเป็นอย่างไรบ้างเจ็บไหม เหนื่อยไหมคะ" คุณหมอยิ้มให้พัชราภานึกในใจว่า สวยแล้วยังเก่งอีก รู้จังหวะในการถามและให้แรงใจผู้ป่วย
..."หมอคะ หนูเห็นปลายเข็มแล้ว" ..."ครับ" คุณหมอหนุ่มหน้าเคร่งเครียด สายตามองดูจอภาพเห็นปลายเข็มเคลื่อนที่ช้าๆไปที่บริเวณที่น้ำขังอยู่ ในขณะเดียวกันนั้นของเหลวสีเหลืองขุ่นๆ พุ่งทะลักเข้ามาในหลอดฉีดยาตามแรงดูดที่มือคุณหมอ ..นึกในใจ โอเค สำเร็จ
ยื่นหัวตรวจเอคโค่คืนคุณน้ำตาล คุณหมอหนุ่มดันปลายเข็มเข้าไปเล็กน้อย แล้วดันส่วนเข็มพลาสติกที่หุ้มเข็มโลหะเข้าไปจนสุด ในจังหวะเดียวกันกันถอยเข็มโลหะที่ใช้เป็นตัวนำทางออก เพื่อไม่ให้ปลายแหลมของเข็มไปทำอันตรายหัวใจ ของเหลวสีเหลืองพุ่งออกมา ในจังหวะเดียวกับที่ดาวิกาส่ง สายน้ำเกลือที่จะใช้ระบายของเหลวออกมา และจุกสามทางที่ไว้ช่วยปรับทิศทางเวลาดูดของเหลวจากเยื่อหุ้มและดันของเหลวเพื่อไปทิ้ง
หมอหนุ่มยื่นมือไปรับปลายสายจากดาวิกาอย่างแผ่วเบา ต่อสายระบายกับเข็มฉีดยาที่คาไว้กับช่องเยื่อหุ้มหัวใจ "เยี่ยมมากครับ ดาวิกา" คุณหมอดูดน้ำเยื่อหุ้มหัวใจออกมา 100 ซีซี และเก็บตัวอย่างส่งเพื่อการวินิจฉัย
"อีเคจีปกติดีค่ะ" น้ำตาลรายงาน คุณหมอหนุ่มก็ถามคนไข้ว่า "คุณแพนด้าครับ ดีขึ้นมาบ้างไหมครับ" คนไข้มีสีหน้าดีขี้น หายใจได้ลึกขึ้น ขอบตาจางลง "ดีขึ้นมากเลยหมอ เหมือนเอาภูเขาออกจากอก อย่างที่เขาว่าเลย"
คุณหมอถอนเข็มออกจากอกคนไข้ ทำความสะอาดและปิดแผล บอกว่า "ผมคงให้คุณสังเกตอาการอยู่ในห้องไอซียูอีกสักพัก เพื่อติดตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอกซเรย์ติดตามผล ส่วนสาเหตุของน้ำที่อยู่ในเยื่อหุ้มนั้น เราจะหาสาเหตุต่อไปครับ"
หมอหนุ่มเดินไปคุยกับทีมการรักษาถึงแผนการรักษาและเฝ้าระวัง เขียนบันทึกในเวชระเบียน พร้อมกำชับกับพยาบาลหัวหน้าเวรวันนั้นว่ามีอะไรให้ตามทันที แล้วเดินไปคุยเพื่อบอกเล่าอาการกับคุณเจี๊ยบ ภรรยาของคุณแพนด้าที่ยืนรออยู่หน้าห้องไอซียูอย่างกระวนกระวาย
ถ้าบังเอิญชื่อไปพ้องกับใครเข้า ก็ขออภัยนะครับ ... ยกมาประกอบการเล่าเรื่องการเจาะตรวจน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจเท่านั้น .. แต่หมอหนุ่มดูจะฟินนน มากกกก
เครดิตภาพ :cdemcurriculum.com
ทันใดนั้นคุณหมอหนุ่มเจ้าของเพจดัง ลุกขึ้นทันที พร้อมสั่งการเสียงเฉียบขาด คุณน้ำตาลคุณเตรียมเครื่องเอคโค่เตรียมพร้อม และเตรียมเซ็ตเจาะเลยครับ คุณดาวิกาคุณเตรียมมอนิเตอร์ เตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิตให้พร้อม คุณพัชราภา คุณให้เขารีบนำตนไข้มาเลย เรามีอุปกรณ์พร้อมกว่า มาถึงเราลงมือเจาะหัวใจเลย ผมไปล้างมือและใส่ชุดก่อนนะครับ
ปัง...ประตูถูกผลักเตียงถูกเข็นเข้ามาอย่างรีบร้อนเจ้าหน้าที่รีบพาคนไข้ลงเตียงไอซียู ภาพเหมือนแข่งรถสูตรหนึ่ง มือเป็นสิบที่รุมช่วยคนไข้ คนหนึ่งรีบติดอุปกรณ์ติดตามคลื่นหัวใจที่หน้าอก คนหนึ่งปรับน้ำเกลือและใส่ออกซิเจน อีกคนติดเครื่องวัดความดัน วัดออกซิเจนปลายนิ้ว เครื่องเอคโค่หัวใจถูกเข็นเข้ามา อุปกรณ์เจาะหัวใจบนรถทำแผลเข็นเข้ามา ทั้งหมดเกิดขึ้นพร้อมๆกัน
คุณหมอหนุ่มเดินเข้ามาบอกว่า "สวัสดีครับ คุณแพนด้า ขณะนี้คุณมีภาวะน้ำขังในเยื่อหุ้มหัวใจ ความดันเริ่มตก เริ่มช็อก ผมและทีมต้องช่วยคุณอย่างรีบด่วน โดยการเจาะระบายน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจออกมา เป็นการช่วยชีวิต รักษาและตรวจไปในเวลาเดียวกัน การเจาะอาจมีอันตรายบ้างคือเลือดไหลครับ แต่โอกาสเกิดไม่มากนัก และถ้าไม่รีบทำทันทีก็จะอันตรายมากนะครับ เดี๋ยวทางทีมเราจะแจ้งภรรยาคุณพร้อมกัน "
หมอหนุ่มพูดจบก็หันหลังไปพบภรรยาผู้ป่วย "ดิฉันเจี๊ยบค่ะ ภรรยาคนไข้ ได้ยินที่คุณหมอพูดแล้ว ช่วยสามีชั้นด้วยนะคะ" คุณแพนด้าเองก็พูดว่า "ทำเถอะครับหมอ ผมเข้าใจและมั่นใจในตัวหมอ"
หมอหนุ่มและคุณน้ำตาลช่วยกันใช้เครื่องเอคโค่ตรวจ พบว่ามีน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจปริมาณมาก จนการคลายตัวผิดปกติ น้ำโอบรอบหัวใจ หนาประมาณ 4 เซนติเมตร "คุณน้ำตาลเตรียมใส่พลาสติกปลอดเชื้อกับหัวตรวจเอคโค่เลย ผมจะใช้เอคโค่ช่วยดูเวลาเจาะ" คุณหมอส่งยิ้มให้คุณน้ำตาล
"ดาวิกาคุณเปิดเซ็ตเลย คุณเข้ามาช่วยผมทำด้วยนะ เวลาอย่างนี้ผมต้องการคุณ"
คุณหมอหนุ่มสวมชุดปลอดเชื้อ สวมถุงมือปลอดเชื้อ คุณแพนด้านอนศีรษะสูงเล็กน้อยเริ่มหอบ ขอบตาคล้ำลง หลังจากนั้นก็ทาน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วอกคนไข้ "มันจะเย็นๆ นะครับ"
คุณหมอรับผ้าปูเจาะกลางปลอดเชื้อจากดาวิกา และหันไปดูดยาชา โดยมีพัชราภายืนเสริฟยาชาให้ คุณหมอก็แจ้งคนไข้ "คุณแพนด้าครับ ฉีดยาชานะครับ จะเจ็บเล็กน้อย" หมอหนุ่มฉีดยาชาเข้าใต้ผิวหนังตรงลิ้นปี่ ลึกไปที่กล้ามเนื้อ ลึกไปทางเยื่อหุ้มหัวใจทางด้านซ้ายชี้ไปทางหัวไหล่ซ้าย หลังจากนั้นก็ถอนเข็มยาชาออก
"ดาวิกาครับ ขอเข็มเจาะเบอร์ 18 คุณน้ำตาลส่งหัวตรวจเอคโค่มาเลยครับ" การทำงานของหมอกับพยาบาลสอดประสานกันอย่างลงตัว
หมอหนุ่มถือหัวตรวจเอคโค่ด้วยมือซ้าย ภาพที่เห็นบนจอ หัวใจแพนด้าเต้นตุบๆลอยอยู่ในถุงน้ำ มือขวาถือหลอดฉีดยาที่ต่อปลายด้วยเข็มเจาะเบอร์ 18 ค่อยๆแทงผ่านผิวหนังตรงปลายกระดูกสันอก ค่อยๆลงน้ำหนักแทงเข็มชี้ไปทางหัวไหล่ซ้ายคนไข้ มือขวาก็ดูดกระบอกฉีดยาตรวจดูว่ามีเลือดหรือมีน้ำเข้ามาในหลอดฉีดยาหรือไม่ มือซ้ายก็ปรับองศาดูว่า เข็มเข้ามาอยู่ในเยื่อหุ้มหัวใจที่เต็มไปด้วยน้ำหรือยัง ....บรรยากาศเงียบกริบ จนพัชราภาเอ่ยขึ้น "คุณแพนด้าคะ คุณเป็นอย่างไรบ้างเจ็บไหม เหนื่อยไหมคะ" คุณหมอยิ้มให้พัชราภานึกในใจว่า สวยแล้วยังเก่งอีก รู้จังหวะในการถามและให้แรงใจผู้ป่วย
..."หมอคะ หนูเห็นปลายเข็มแล้ว" ..."ครับ" คุณหมอหนุ่มหน้าเคร่งเครียด สายตามองดูจอภาพเห็นปลายเข็มเคลื่อนที่ช้าๆไปที่บริเวณที่น้ำขังอยู่ ในขณะเดียวกันนั้นของเหลวสีเหลืองขุ่นๆ พุ่งทะลักเข้ามาในหลอดฉีดยาตามแรงดูดที่มือคุณหมอ ..นึกในใจ โอเค สำเร็จ
ยื่นหัวตรวจเอคโค่คืนคุณน้ำตาล คุณหมอหนุ่มดันปลายเข็มเข้าไปเล็กน้อย แล้วดันส่วนเข็มพลาสติกที่หุ้มเข็มโลหะเข้าไปจนสุด ในจังหวะเดียวกันกันถอยเข็มโลหะที่ใช้เป็นตัวนำทางออก เพื่อไม่ให้ปลายแหลมของเข็มไปทำอันตรายหัวใจ ของเหลวสีเหลืองพุ่งออกมา ในจังหวะเดียวกับที่ดาวิกาส่ง สายน้ำเกลือที่จะใช้ระบายของเหลวออกมา และจุกสามทางที่ไว้ช่วยปรับทิศทางเวลาดูดของเหลวจากเยื่อหุ้มและดันของเหลวเพื่อไปทิ้ง
หมอหนุ่มยื่นมือไปรับปลายสายจากดาวิกาอย่างแผ่วเบา ต่อสายระบายกับเข็มฉีดยาที่คาไว้กับช่องเยื่อหุ้มหัวใจ "เยี่ยมมากครับ ดาวิกา" คุณหมอดูดน้ำเยื่อหุ้มหัวใจออกมา 100 ซีซี และเก็บตัวอย่างส่งเพื่อการวินิจฉัย
"อีเคจีปกติดีค่ะ" น้ำตาลรายงาน คุณหมอหนุ่มก็ถามคนไข้ว่า "คุณแพนด้าครับ ดีขึ้นมาบ้างไหมครับ" คนไข้มีสีหน้าดีขี้น หายใจได้ลึกขึ้น ขอบตาจางลง "ดีขึ้นมากเลยหมอ เหมือนเอาภูเขาออกจากอก อย่างที่เขาว่าเลย"
คุณหมอถอนเข็มออกจากอกคนไข้ ทำความสะอาดและปิดแผล บอกว่า "ผมคงให้คุณสังเกตอาการอยู่ในห้องไอซียูอีกสักพัก เพื่อติดตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอกซเรย์ติดตามผล ส่วนสาเหตุของน้ำที่อยู่ในเยื่อหุ้มนั้น เราจะหาสาเหตุต่อไปครับ"
หมอหนุ่มเดินไปคุยกับทีมการรักษาถึงแผนการรักษาและเฝ้าระวัง เขียนบันทึกในเวชระเบียน พร้อมกำชับกับพยาบาลหัวหน้าเวรวันนั้นว่ามีอะไรให้ตามทันที แล้วเดินไปคุยเพื่อบอกเล่าอาการกับคุณเจี๊ยบ ภรรยาของคุณแพนด้าที่ยืนรออยู่หน้าห้องไอซียูอย่างกระวนกระวาย
ถ้าบังเอิญชื่อไปพ้องกับใครเข้า ก็ขออภัยนะครับ ... ยกมาประกอบการเล่าเรื่องการเจาะตรวจน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจเท่านั้น .. แต่หมอหนุ่มดูจะฟินนน มากกกก
เครดิตภาพ :cdemcurriculum.com
28 เมษายน 2560
บุหรี่กับโรคหัวใจ
หลายๆคนคิดว่าบุหรี่ ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง แต่ว่าในความเป็นจริงบุหรี่ยังทำให้เกิดโรคอีกหลายโรค ตัวอย่างที่เกิดขึ้นดังนี้
ชายอายุ 48 ปี มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกมาทั้งคืน ไม่เคยเจ็บมาก่อนเลย ขับรถมาจากต่างจังหวัด ตรวจที่ห้องฉุกเฉินได้คลื่นไฟฟ้าหัวใจแผ่นแรก พร้อมผลเลือด hsTnI ที่ใช้ระบุกล้ามเนื้อหัวใจบาดเจ็บ ได้ 1700 จากค่าปกติไม่เกิน 20 !!!
ยังไม่ทันได้ให้การรักษาใด ผู้ป่วยก็มีอาการเกร็ง คลื่นไฟฟ้าหัวใจเปลี่ยนเป็น ventricular tachycardia (คือหัวใจห้องล่างเต้นพริ้ว ไร้ซึ่งจังหวะ การบีบเลือดออกมาจะน้อยมาก) เป็นเวลาประมาณ 10-15 วินาที แล้วหยุด
ยังไม่ทันได้ให้การรักษาใด ผู้ป่วยก็มีอาการเกร็ง คลื่นไฟฟ้าหัวใจเปลี่ยนเป็น ventricular tachycardia (คือหัวใจห้องล่างเต้นพริ้ว ไร้ซึ่งจังหวะ การบีบเลือดออกมาจะน้อยมาก) เป็นเวลาประมาณ 10-15 วินาที แล้วหยุด
หลังจากนั้น คลื่นไฟฟ้าหัวใจกลายเป็น รูปแผ่นที่สองครับ มีการยกตัวของ ST segment ที่ชัดเจน และ biphasic T wave inversion บ่งบอกว่าหลอดเลือดหัวใจที่ตีบแคบๆ เมื่อสักครู่ บัดนี้มันได้ "ตัน" เสียแล้ว ภาพเอคโค่นั่นผนังหัวใจห้องล่างซ้ายด้ายหน้าและด้านที่กั้นระหว่างห้องล่างซ้ายกับล่างขวา ขยับน้อยลงมากๆ มากกว่าด้านอื่นๆ
**ประวัติเพิ่มเติมคือสูบบุหรี่วันละซอง มายี่สิบกว่าปี และปัจจุบันยังไม่ลด ยังไม่เลิก**
ผู้ป่วยได้รับการรักษาโดยใส่สายสวนหลอดเลือด ทำบอลลูนและใส่ขดลวดค้ำยัน พบว่าหลอดเลือดสำคัญ left anterior descending artery ตีบตัน 90% ....ขณะนี้ผู้ป่วยปลอดภัยดี ไม่ชัก ไม่มีหัวใจเต้นผิดจังหวะ และผู้ป่วยสัญญาว่า
..จะ..เลิก..สูบ..บุ..หรี่..อย่างถาวร นับแต่นาทีนี้เป็นต้นไป
อย่ารอให้คุณต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เลิกบุหรี่เสียก่อน #บุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญมากๆของโรคหลอดเลือดแดง โดยเฉพาะหลอดเลือดหัวใจตีบ และ หลอดเลือดสมองตีบ
เลิกตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่ไม่มีโอกาสให้เลิกครับ
เลิกตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่ไม่มีโอกาสให้เลิกครับ
port a cath
เอ้า..เอาใจคุณพยาบาลกันหน่อย กับ port a cath
port a cath เป็นอุปกรณ์สายสวนหลอดเลือดดำชนิดหนึ่ง ปลายข้างหนึ่งสวนเข้าอยู่ในหลอดเลือดดำปลายสายอยู่ในหลอดเลือดดำใหญ่ superior vena cava ตรงตำแหน่งที่ต่อกับหัวใจห้องบนขวา ส่วนอีกปลายไต่มาตามหลอดเลือด แทงทะลุผนังหลอดเลือดมาเปิดที่ใต้ผิวหนังบริเวณใต้กระดูกไหปลาร้า แล้วเราก็ฝัง port ที่เป็นตลับยางซิลิโคนขนาดประมาณเหรียญสิบบาท ไว้ใต้ผิวหนังต่อกลับปลายสายที่ออกมาจากหลอดเลือด
ก็จะได้เป็นทางเข้า หรือ ข้อต่อเข้าหลอดเลือดดำขนาดใหญ่ ที่กึ่งถาวร เย็บปิดผิวหนังก็จะเห็นแต่ตลับนูนๆเท่านั้น
ความสำคัญของ port คือ ตรงจุดที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนังที่เราจะแทงเข็มเพื่อให้ยานั้น ทำด้วยซิลิโคน เมื่อแทงเข้าไปก็ให้สารน้ำและยาได้อย่างสะดวก เมื่อดึงเข็มออกเจ้ายาซิลิโคนนี้ก็จะยืดหยุ่นมาปิดรูแทงเข็มจนสนิท เลือดไม่ออก สิ่งสกปรกไม่เข้า ...ไม่ต้องเปิดเส้นบ่อยๆ แถมเป็นหลอดเลือดดำใหญ่ สารน้ำวิ่งคล่องอย่างกับรถไฟความเร็วสูง ยาเคมีบำบัด หรือสารอาหารทางหลอดเลือดดำเข้มข้นแค่ไหนก็ไม่ระคายเคือง
แต่ต้องใช้เข็มที่ออกแบบมาสำหรับซิลิโคนยี่ห้อนั้นๆ จึงจะสามารถแทงเข็มได้เป็นร้อยๆครั้งอย่างที่บริษัทผู้ผลิตเขาอ้าง ถ้าใช้เข็มทั่วไป อายุการใช้งานจะลดลงครับ
เวลาแทงเข็มให้แทงที่ซิลิโคนตรงตลับนะครับ ต่ำกว่านั้นจะเป็นซิลิโคนและฟองน้ำเพื่อวัตถุประสงค์อื่น
การใส่ port จะไปทำในห้องผ่าตัดที่มีเครื่องเอกซเรย์เพราะต้องตรวจสอบตำแหน่งสาย ก่อนเย็บปิด (วิธีใส่ก็เหมือนกับการใส่สายสวนหลอดเลือดดำมาตรฐาน) เมื่อเย็บปิดออกจากห้องผ่าตัดแล้วซึ่งส่วนมากจะปิดสนิทกันน้ำมาเลยเนื่องจากเป็นแผลสะอาด วันแรกก็อย่าออกแรงมาก วันต่อๆมาก็ออกแรงปกติแต่อย่าเพิ่งโลดโผน ถ้าแผลเปียกน้ำให้ไปแกะผ้าปิดแผลออกและทำแผลใหม่ ประมาณหนึ่งสัปดาห์แผลก็จะติดสนิท แกะออก ตัดไหม แล้วก็โดนน้ำได้ ออกกำลังกาย ใช้ชีวิตได้ปกติครับ
เวลาใช้ก็ทายาฆ่าเชื้อ เตรียมเข็มปีกผีเสื้อที่ให้มาพร้อมกับ port หรือ ทางผู้ผลิต port บอกว่าใช้ได้ ต่อยาให้เรียบร้อย เราจะมาทดสอบสายกันก่อนโดยใช้น้ำเกลือสะอาดตรวจสอบการอุดตันและหล่อสายว่าไม่ตันไม่รั่ว แล้วก็เสียบเข็มปีกผีเสื้อ ขึงผิวหนังให้ตึงแล้วแทงเข็มตั้งฉากกับผิวหนัง พับปีกผีเสื้อแล้วใช้พลาสเตอร์ยึดกันหลุด
เวลาเอาออกก็ดึงตรงๆ เข็มอย่าเพิ่งทิ้ง เอาให้คนที่ไม่เคยใช้ลองจับฝึกจับฝึกพับดูก่อน แล้วค่อยทิ้ง...ยกเว้นปนเปื้อนเคมีบำบัดให้ทิ้งเลย
หลังจากไม่ใช้ให้หล่อสายด้วยเฮปาริน ขนาดของเฮปารินให้ดูจากคำแนะนำของผู้ผลิต port แต่ละยี่ห้อไม่เท่ากัน และถ้าไม่ได้ใช้มานานกว่า 4 สัปดาห์ให้มาตรวจสอบการตันและหล่อสายด้วยเฮปารินทุกๆ 4 สัปดาห์
นิยมให้เคมีบำบัด สารอาหารทางหลอดเลือดดำ ตามคำแนะนำให้ดูดเลือดไปตรวจได้ แต่ผมไม่แนะนำนะครับ ระวังการปนเปื้อนเฮปารินทำให้ค่าเลือดต่างๆแปรปรวน
โอกาสติดเชื้อมีไม่มากเพราะมันอยู่ในร่างกาย ถ้าเทคนิคการใส่เข็มให้ยาสะอาด การอักเสบเล็กๆน้อยๆการติดเชื้อรอบๆจุดแทงเข็มอาจเกิดได้ระดับไม่รุนแรง ก็สามารถให้ยาฆ่าเชื้อได้ แต่ถ้าติดเชื้อรุนแรงหรือสงสัยติดเชื้อในหลอดเลือดตรงที่ใส่สายก็ต้องเอาออกครับ โอกาสตันและมีลิ่มเลือดมีไม่มากถ้าหล่อสายด้วยเฮปาริน และใช้วิธีที่ถูกตามคำแนะนำครับ
จบบทความนี้คงช่วยเพิ่มความเข้าใจ และเพิ่มความมั่นใจทั้งผู้ป่วยที่ต้องใส่ port ,ญาติที่ต้องดูแล ,คุณพยาบาลที่ต้องดูแลผู้ป่วย ,คุณหมอที่ต้องถูกตามไปดูเวลา port มีปัญหาด้วยครับ
เนื้อหาและภาพจาก jama oncology เพิ่มเติมเล็กน้อยจาก NIH clinical center กับ wikipedia
port a cath เป็นอุปกรณ์สายสวนหลอดเลือดดำชนิดหนึ่ง ปลายข้างหนึ่งสวนเข้าอยู่ในหลอดเลือดดำปลายสายอยู่ในหลอดเลือดดำใหญ่ superior vena cava ตรงตำแหน่งที่ต่อกับหัวใจห้องบนขวา ส่วนอีกปลายไต่มาตามหลอดเลือด แทงทะลุผนังหลอดเลือดมาเปิดที่ใต้ผิวหนังบริเวณใต้กระดูกไหปลาร้า แล้วเราก็ฝัง port ที่เป็นตลับยางซิลิโคนขนาดประมาณเหรียญสิบบาท ไว้ใต้ผิวหนังต่อกลับปลายสายที่ออกมาจากหลอดเลือด
ก็จะได้เป็นทางเข้า หรือ ข้อต่อเข้าหลอดเลือดดำขนาดใหญ่ ที่กึ่งถาวร เย็บปิดผิวหนังก็จะเห็นแต่ตลับนูนๆเท่านั้น
ความสำคัญของ port คือ ตรงจุดที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนังที่เราจะแทงเข็มเพื่อให้ยานั้น ทำด้วยซิลิโคน เมื่อแทงเข้าไปก็ให้สารน้ำและยาได้อย่างสะดวก เมื่อดึงเข็มออกเจ้ายาซิลิโคนนี้ก็จะยืดหยุ่นมาปิดรูแทงเข็มจนสนิท เลือดไม่ออก สิ่งสกปรกไม่เข้า ...ไม่ต้องเปิดเส้นบ่อยๆ แถมเป็นหลอดเลือดดำใหญ่ สารน้ำวิ่งคล่องอย่างกับรถไฟความเร็วสูง ยาเคมีบำบัด หรือสารอาหารทางหลอดเลือดดำเข้มข้นแค่ไหนก็ไม่ระคายเคือง
แต่ต้องใช้เข็มที่ออกแบบมาสำหรับซิลิโคนยี่ห้อนั้นๆ จึงจะสามารถแทงเข็มได้เป็นร้อยๆครั้งอย่างที่บริษัทผู้ผลิตเขาอ้าง ถ้าใช้เข็มทั่วไป อายุการใช้งานจะลดลงครับ
เวลาแทงเข็มให้แทงที่ซิลิโคนตรงตลับนะครับ ต่ำกว่านั้นจะเป็นซิลิโคนและฟองน้ำเพื่อวัตถุประสงค์อื่น
การใส่ port จะไปทำในห้องผ่าตัดที่มีเครื่องเอกซเรย์เพราะต้องตรวจสอบตำแหน่งสาย ก่อนเย็บปิด (วิธีใส่ก็เหมือนกับการใส่สายสวนหลอดเลือดดำมาตรฐาน) เมื่อเย็บปิดออกจากห้องผ่าตัดแล้วซึ่งส่วนมากจะปิดสนิทกันน้ำมาเลยเนื่องจากเป็นแผลสะอาด วันแรกก็อย่าออกแรงมาก วันต่อๆมาก็ออกแรงปกติแต่อย่าเพิ่งโลดโผน ถ้าแผลเปียกน้ำให้ไปแกะผ้าปิดแผลออกและทำแผลใหม่ ประมาณหนึ่งสัปดาห์แผลก็จะติดสนิท แกะออก ตัดไหม แล้วก็โดนน้ำได้ ออกกำลังกาย ใช้ชีวิตได้ปกติครับ
เวลาใช้ก็ทายาฆ่าเชื้อ เตรียมเข็มปีกผีเสื้อที่ให้มาพร้อมกับ port หรือ ทางผู้ผลิต port บอกว่าใช้ได้ ต่อยาให้เรียบร้อย เราจะมาทดสอบสายกันก่อนโดยใช้น้ำเกลือสะอาดตรวจสอบการอุดตันและหล่อสายว่าไม่ตันไม่รั่ว แล้วก็เสียบเข็มปีกผีเสื้อ ขึงผิวหนังให้ตึงแล้วแทงเข็มตั้งฉากกับผิวหนัง พับปีกผีเสื้อแล้วใช้พลาสเตอร์ยึดกันหลุด
เวลาเอาออกก็ดึงตรงๆ เข็มอย่าเพิ่งทิ้ง เอาให้คนที่ไม่เคยใช้ลองจับฝึกจับฝึกพับดูก่อน แล้วค่อยทิ้ง...ยกเว้นปนเปื้อนเคมีบำบัดให้ทิ้งเลย
หลังจากไม่ใช้ให้หล่อสายด้วยเฮปาริน ขนาดของเฮปารินให้ดูจากคำแนะนำของผู้ผลิต port แต่ละยี่ห้อไม่เท่ากัน และถ้าไม่ได้ใช้มานานกว่า 4 สัปดาห์ให้มาตรวจสอบการตันและหล่อสายด้วยเฮปารินทุกๆ 4 สัปดาห์
นิยมให้เคมีบำบัด สารอาหารทางหลอดเลือดดำ ตามคำแนะนำให้ดูดเลือดไปตรวจได้ แต่ผมไม่แนะนำนะครับ ระวังการปนเปื้อนเฮปารินทำให้ค่าเลือดต่างๆแปรปรวน
โอกาสติดเชื้อมีไม่มากเพราะมันอยู่ในร่างกาย ถ้าเทคนิคการใส่เข็มให้ยาสะอาด การอักเสบเล็กๆน้อยๆการติดเชื้อรอบๆจุดแทงเข็มอาจเกิดได้ระดับไม่รุนแรง ก็สามารถให้ยาฆ่าเชื้อได้ แต่ถ้าติดเชื้อรุนแรงหรือสงสัยติดเชื้อในหลอดเลือดตรงที่ใส่สายก็ต้องเอาออกครับ โอกาสตันและมีลิ่มเลือดมีไม่มากถ้าหล่อสายด้วยเฮปาริน และใช้วิธีที่ถูกตามคำแนะนำครับ
จบบทความนี้คงช่วยเพิ่มความเข้าใจ และเพิ่มความมั่นใจทั้งผู้ป่วยที่ต้องใส่ port ,ญาติที่ต้องดูแล ,คุณพยาบาลที่ต้องดูแลผู้ป่วย ,คุณหมอที่ต้องถูกตามไปดูเวลา port มีปัญหาด้วยครับ
เนื้อหาและภาพจาก jama oncology เพิ่มเติมเล็กน้อยจาก NIH clinical center กับ wikipedia
27 เมษายน 2560
ผลการศึกษาเรื่องน้ำตาลเทียมกับผลการเกิดหลอดเลือดสมองตีบและโรคสมองเสื่อม วิเคราะห์
ผลการศึกษาเรื่องน้ำตาลเทียมกับผลการเกิดหลอดเลือดสมองตีบและโรคสมองเสื่อม ตีพิมพ์ในวารสาร Stroke (online) เมื่อสัปดาห์ก่อน โดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา จากความรู้ที่ว่าเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลมีผลแน่ๆต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ทำให้การจัดการอินซูลินแย่ลง มีข้อมูลหลายประการที่สนับสนุนและคัดค้านแนวคิดนี้ คำกล่าวที่ได้คือแค่ อาจจะทำให้แย่ลง กลุ่มนักวิจัยจึงได้ทำการศึกษาทดลองโดยเป็นการศึกษาแบบเฝ้าสังเกต (ผมเคยเขียนเรื่องการศึกษาแบบเฝ้าสังเกตไปแล้ว) โดยใช้แบบสอบถามเรื่องเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลและน้ำตาลเทียม ติดตามกลุ่มนี้และสัมภาษณ์ซ้ำเพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้เครื่องดื่มและอัตราการเกิดโรค เอามาคำนวณทางสถิติว่าตกลงเกี่ยวพันเกี่ยวเนื่องกันไหม
การศึกษานี้ ใช้กลุ่มประชากรที่อยู่ในการศึกษาโรคหัวใจที่ชื่อว่า Framingham heart study ที่เลือกใช้กลุ่มนี้เพราะว่าเป็นเมืองที่มีการย้ายถิ่นฐานของประชากรน้อยมาก มีการติดตามแบบเป็นระบบในหลายๆมิติ และเป็นกลุ่มการทดลองที่ “พร้อมใช้” ไม่ต้องหาใหม่ โดยแทรกคำถามและข้อมูลที่ต้องการศึกษาในรอบการสัมภาษณ์และตรวจติดตามในรอบที่ 5,6 และ 7 (แต่ละรอบห่างกันห้าปี) คือว่าการศึกษาแบบเฝ้าสังเกตติดตามระดับโลกแบบนี้เขาจะกำหนดเวลาติดตามเป็นรอบๆอย่างชัดเจน จัดกลุ่มคนเดิม คนใหม่ อย่างมีระเบียบวิธีที่ชัดเจนตรงตามหลักการทางสถิติ เชื่อถือได้ไหม ก็ต้องตอบว่าเชื่อถือได้มาก ความเสี่ยงโรคหลอดเลือด โรคไขมันต่างๆ scoring system ที่คิดกันทุกวันนี้ก็มาจาก Framingham Heart Study cohort กลุ่มนี้แหละครับ
สิ่งที่จะศึกษาคือ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลผสมทั้งหมดทั้งน้ำอัดลม น้ำผลไม้ น้ำหวาน รวมทั้งแยกย่อยด้วยว่าแล้วถ้าเป็นน้ำอัดลม กับน้ำอัดลมที่ใช้น้ำตาลเทียม ผลจะออกมาเป็นอย่างไร โดยใช้แบบสอบถามมาตรฐานของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ชื่อว่า Food Frequency Questionnaires ให้ผู้ที่เข้าร่วมการศึกษาตอบแบบสอบถามโดยตอบตามที่จำได้ในช่วงหนึ่งปีย้อนหลัง (อันนี้ก็เป็นความโน้มเอียงที่เรียกว่า recall bias) และเป็นแบบสอบถามที่ระบุชนิดและปริมาณของเครื่องดื่มที่ตายตัวชัดเจน ไม่มีตัวเลือกมากนัก !!เพื่อมาคำนวณเป็นคะแนนจัดกลุ่มไม่ดื่ม ดื่มน้อย (ไม่เกินหกหน่วยดื่มต่อสัปดาห์) และดื่มมาก (มากกว่าวันละหนึ่งหน่วยดื่ม) โดยเทียบปริมาณเป็นขวดหรือกระป๋องกับโค้กหรือเป๊บซี่ ต่อหนึ่งหน่วยดื่ม (ทั้งแบบธรรมดาและน้ำตาลเทียม)
ผลการศึกษาที่สนใจคืออุบัติการณ์ของโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคสมองเสื่อม โดยโรคหลอดเลือดสมองจะสนใจในกลุ่มอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 45 ปี ส่วนโรคสมองเสื่อมจะสนใจในกลุ่มผู้ที่อายุมากกว่าหรือเท่ากับ 60 ปี โดยที่ทั้งสองกลุ่มต้องไม่มีประวัติการเป็นโรคมาก่อน (คือคิดเป็นประชากรปรกติทั่วไปนั่นเอง) โดยมีการคำนวณทางสถิติเพื่อหาค่าเฉลี่ยในการเก็บข้อมูล FFQ ทั้งสามครั้ง เพื่อมาคำนวณความสัมพันธ์การเกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือสมองเสื่อมในช่วงเวลา 10 ปี ตัวเลข 45 ปีกับ 60 ปีทำไมต้องเป็นตัวเลขนี้ เขาอ้างอิงจากการศึกษาก่อนๆ (ผมไม่สามารถลิงค์ไปที่ฉบับเต็มได้ ขออภัยจริงๆครับ)
การคำนวณทางสถิติ ประเมินความเสี่ยงใช้วิธีมาตรฐานของ time to incidence analysis โดยใช้ Cox Proportional Hazards regression แยกคำนวณสามตัวแปรคือ เครื่องดื่มผสมน้ำตาลทั้งหมด น้ำอัดลมใส่น้ำตาลจริง และน้ำอัดลมที่ใส่น้ำตาลเทียม ออกมาเป็นความเสี่ยง hazard ratio โดยมีช่วงความน่าเชื่อมั่น 95% ว่าส่งผลต่อ dementia และ stroke อย่างไร
มีการออกแบบคำนวณเพื่อตัดผลของความแปรปรวนทั้งหลายเป็นสามโมเดล ที่ทำแบบนี้เพื่อต้องการ ทำให้ตัวแปรต่างที่ไม่เท่าเทียมกันให้ออกมาเท่าเทียมที่สุดจะได้เอามาเปรียบเทียบกันได้ โมเดลแรกเป็นตัวแปรพื้นฐานเช่น เพศ อายุ การศึกษา โมเดลที่สองใส่เรื่องการกินอาหาร การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ โมเดลที่สามใส่เรื่องปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดเช่นเบาหวาน ความดัน หัวใจโต การพบ allele apoE ในโรคสมองเสื่อม
ใช้ค่าทั้งหมดและโมเดลที่ปรับต่างๆ มาคำนวณผลรวมและผลแยกตามกลุ่มต่างๆ (sensitivity analysis) เพื่อแยกย่อยว่าผลที่เกิดขึ้นมันเฉพาะเจาะจงกับปัจจัยใดเป็นพิเศษหรือเป็นจริงทั้งหมดทุกๆปัจจัย และแบ่งเป็นปริมาณการดื่มโดยรวม cumulative drink) และปริมาณการดื่มในช่วงสั้นๆนี้ (recent drink)
ใช้ค่าทั้งหมดและโมเดลที่ปรับต่างๆ มาคำนวณผลรวมและผลแยกตามกลุ่มต่างๆ (sensitivity analysis) เพื่อแยกย่อยว่าผลที่เกิดขึ้นมันเฉพาะเจาะจงกับปัจจัยใดเป็นพิเศษหรือเป็นจริงทั้งหมดทุกๆปัจจัย และแบ่งเป็นปริมาณการดื่มโดยรวม cumulative drink) และปริมาณการดื่มในช่วงสั้นๆนี้ (recent drink)
ผลการศึกษาและบทวิเคราะห์ผมขอเขียนไปพร้อมๆกันเลยนะครับ ใครโหลดวารสารตัวเต็มไปเมื่อวานก็เอามาประกอบได้เลยครับ คนที่เข้าร่วมแบบสอบถามอัมพาต 2888 คนและเข้าร่วมแบบสอบถามโรคสมองเสื่อม 1484 ราย ในการติดตามอย่างน้อยสิบปี
เรามาดูลักษณะของผู้ที่มาเข้ารับการศึกษาก่อนนะครับ ประเด็นนี้จะนำพาไปสู่ข้อสรุปที่ว่าเราจะนำมาใช้จริงกับกลุ่มประชากรจริงได้ไหม (external validity) สำหรับโรคอัมพาตอยู่ในฉบับเต็มและสำหรับโรคสมองเสื่อมอยู่ใน supplementary นะครับ จะพบว่าผู้ที่ดื่มน้ำตาลเทียมปริมาณมากคือ มากกว่าหนึ่งกระป๋องโค้กต่อวัน มีปริมาณไม่มาก และถ้าดูจริงๆแล้วคนส่วนมากเกือบครึ่งไม่ดื่มน้ำหวานหรือน้ำตาลเทียมเลยครับ ทั้งสองกลุ่มคือดื่มน้ำหวานและดื่มน้ำตาลเทียมพื้นฐานความดันโลหิต ความอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจ เท่าๆกับกลุ่มประชากรทั่วๆไป และทั้งสองกลุ่มก็ไม่แตกต่างกัน
แต่ว่าในกลุ่มประชากรทั้งหมดนั้น ควบคุมแคลอรี่ในอาหาร ไขมันอิ่มตัว ไขมันรวม เส้นใยอาหาร การออกกำลังกาย ได้ตามมาตรฐานสุขภาพของทางสหรัฐอเมริกา ตามประกาศแนวทางอาหารปี 2005 ยกเว้นแอลกอฮอล์ดื่มเกินนิดๆและมีสูบบุหรี่อยู่ประมาณ 10% ตรงนี้อาจเป็นข้อกังวลนะครับ เพราะกลุ่มประชากรนี้เป็นกลุ่มประชากรที่เขาเข้าร่วมโครงการศึกษาวิจัยโรคหัวใจมาตั้งแต่ต้น ก่อนจะเข้ารับทำแบบสอบถามของโครงการน้ำตาลเทียมนี้ จึงอาจมีความไม่เที่ยงธรรมกับกลุ่มประชากรโดยรวมทั้งโลก เพราะเขาสุขภาพโดยรวมค่อนข้างดีนั่นเอง และถ้ามาเปรียบเทียบกับประเทศเรา ข้อแตกต่างตรงนี้จะชัดเจนล่ะครับว่าอาจมาปรับใช้กับบ้านเราไม่ได้ เพราะพื้นฐานเชื้อชาติ ภาวะสุขภาพและโภชนาการต่างกันโดยสิ้นเชิง (ของเราด้อยกว่าเขา ถ้าเราดื่มเท่าเขา เราอาจเกิดโรคมากกว่าก็ได้)
มาดูผลอันแรก...การเกิดโรคหลอดเลือดสมอง พบว่าการดื่มน้ำตาลเทียมเพิ่มอุบัติการณ์การเกิดอัมพาตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติมากกว่าผู้ไม่ดื่มโดยเฉลี่ยประมาณเกือบสามเท่า ไม่ว่าจะดื่มน้อยๆนานๆหรือดื่มมากๆไม่นาน หรือดื่มไม่มากไม่นานก็ตาม ยิ่งปริมาณสะสมมากโอกาสเกิดอัมพาตจะยิ่งสูงขึ้น ไม่ว่าจะกลุ่มย่อยใด โมเดลใด ผลออกมาเหมือนกันหมด และความจริงนี้จะยิ่งขัดเจนถ้าเป็นหลอดเลือดแดงตีบ
ส่วนเครื่องดื่มน้ำตาลทั้งหมดโดยรวมและน้ำอัดลมที่ใส่น้ำตาลจริง ผลออกมาว่าไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
มาดูผลอันที่สอง...การเกิดโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ พบว่าการดื่มน้ำตาลเทียมเพิ่มอุบัติการณ์การเกิดโรคสมองเสื่อมมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มประมาณเกือบสามเท่าเช่นกัน #แต่ว่าเป็นจริงแค่ผู้ที่ดื่มมากๆเท่านั้น และถ้าไปคิดในโมเดลที่สามคือ คิดหักล้างผลของโรคร่วมอื่นๆ ภาวะเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดอื่นๆกลับพบว่าไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (คือโรคร่วมและภาวะต่างๆนั้นมีอิทธิพลเหนือผลของน้ำตาลเทียมแน่เลย)
ส่วนเครื่องดื่มแบบอื่นๆนั้นอัตราการเกิดโรคสมองเสื่อมไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติครับ (ตามภาษาสถิติต้องพูดว่าแตกต่างกัน อย่างไม่มีนัยสำคัญครับ)
เอาตัวแปรทั้งหลายเอามาแยกเอามารวมกัน ก็พบว่าไม่มีผลถึงกันระหว่างตัวแปรต่างๆครับ ยกเว้นแต่สองตัวนี้ ซึ่งถ้าเราเข้าใจตัวแปรทั้งสองตัวนี้เราจะเข้าใจถึงจุดบอดของการศึกษานี้เลยทีเดียวครับ
อย่างแรกนั้นคือเบาหวานครับ การศึกษาพบว่าตัวแปรเบาหวานทำให้ผู้ที่ดื่มน้ำตาลเทียมเกิดโรคสมองเสื่อมมากขึ้น มากกว่าคนที่ไม่เป็นเบาหวานอย่างชัดเจน (ตัวอย่างที่ไม่มีผลถึงกันอย่างเช่นดัชนีมวลกาย ไม่ว่ามากหรือน้อย ไม่มีผลต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม แต่การเป็นเบาหวานกับไม่เป็นเบาหวาน มันเปลี่ยนความเสี่ยงครับ)
อย่างที่สองคือโรคความดันโลหิตสูง การศึกษาพบว่าตัวแปรความดันทำให้ผู้ที่ดื่มน้ำตาลเทียมเป็นอัมพาตมากขึ้น มากกว่าคนที่ไม่มีโรคความดัน
ฟังดูไม่แปลกอะไร..แต่นี่แหละคือจุดอ่อนจริงๆของ prospective cohort คือไม่สามารถบอกความเป็นเหตุและผลกันได้ชัดเจน บอกได้แต่ความสัมพันธ์ว่าเกี่ยวเนื่องกัน เพราะ เราไม่สามารถบอกได้จริงๆ ว่าคนที่เป็นเบาหวานเขาเสี่ยงสมองเสื่อมอยู่แล้ว แล้วไปพบความจริงว่าเบาหวานก็ดื่มน้ำตาลเทียม หรือ คนเป็นเบาหวานเขานิยมดื่มน้ำตาลเทียมอยู่แล้ว แล้วไปพบว่าเบาหวานก็สมองเสื่อมมาก คือไม่สามารถบอกเหตุผลได้อย่างชัดเจน เหตุอธิบายผลแต่พอย้อนกลับแล้วผลกลับไม่เกี่ยวข้องกับเหตุนั้นก็ได้ เพราะนี่คือการเก็บข้อมูลโดยผู้วิจัยไม่ได้เป็นผู้กำหนดตัวแปรต่างๆ ไม่สามารถควบคุมตัวกวนต่างๆได้ ใช้เพียงวิธีทางสถิติมาทำให้เท่าเทียม "เสมือน" เท่านั้น
ความเป็นจริงอันนี้ ก็เป็นเช่นเดัยวกันกับโรคความดันโลหิตสูงที่สัมพันธ์กับโรคอัมพาต สำหรับผู้ที่ใช้น้ำตาลเทียม
เอาละ..เมื่อได้ความสัมพันธ์ว่าเครื่องดื่มผสมน้ำตาลเทียมนั้นเพิ่มโอกาสการเกิดอัมพาตและโรคสมองเสื่อม เมื่อติดตามไปกว่า 10 ปี โดยยิ่งดื่มมากโอกาสการเกิดยิ่งมาก มันน่ากลัวจริงหรือ เราลองมาดูที่กราฟความสัมพันะ์ระหว่างอัตราการอยู่รอดโดยไม่มีเหตุการณ์ (event free survival) กับเวลา ที่ใช้ survival analysis เป็นตัวคำนวณ เราจะเห็นชัดเจนว่าในกลุ่มที่ไม่ดื่มน้ำตาลเทียม มีเหตุการณ์เกิดน้อยกว่ากลุ่มที่ดื่มน้อย และในกลุ่มที่เกิดมากสุดคือ กลุ่มที่ดื่มมาก ทั้งอัมพาตและสมองเสื่อม โดยเริ่มชัดเจนเมื่อติดตามประมาณปีที่สอง เวลาที่ผ่านไปจะเริ่มเชื่อยาก เพราะมีตัวแปรอื่นมาก อายุก็เพิ่มมากและเป็น time to events analysis
แต่ถ้าสังเกตแกนตั้ง จะพบว่าตัวเลขอัตราส่วน 1.0 ลงไป 0.97 ก็ไม่ได้เป็นสัดส่วนที่มากนักนะครับ
และถ้าไปชำเลืองดูตัวเลข N/events จะพบว่าสัดส่วนการเกิดอัมพาตหรือโรคสมองเสื่อม ประมาณ 1%-3% เท่านั้นในประชากรนี้ (เพราะประชากรกลุ่มนี้เข้าร่วมการศึกษาทางโรคหัวใจมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ พฤติกรรมการบริโภคและการใช้ชีวิตคงไม่เหมือนกับประชากรปกติ) ซึ่งสำรวจครบๆประมาณ 1500-2000 คน แต่ในประชากรจริงนั้นสัดส่วนคนที่ดื่มน้ำตาลเทียม สัดส่วนการเกิดโรค การใช้ชีวิต คงต่างจากนี้มาก โอกาสเกิดโรคก็จะไม่เหมือนแบบนี้เลย (ตัวตั้งก็มาก ตัวหารมันมากขึ้น คาดเดายาก)
จะสรุปว่าอย่างไร สรุปนี้ผมสรุปด้วยความเห็นส่วนตัวนะครับ #สรุปว่าเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลเทียมไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิด มันมีโอกาสการเกิดโรคสมอง แต่ว่าไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลตรงไปตรงมา แค่มีความสัมพันธ์กันเท่านั้น เพราะมีตัวแปรปรวนมากเหลือเกินต่อให้ใช้การคำนวณทางสถิติอย่างดีก็ตาม แต่ข้อที่ผมสงสัยอย่างมากคือ ทำไมเครื่องดื่มหวานโดยรวมไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงแต่อย่างใด
ข้อด้อยสองประการของการศึกษานี้ คือ เลือกทำในกลุ่มประชากรที่สุขภาพดี เสี่ยงการเกิดโรคน้อยอยู่แล้ว ไม่มีความหลากหลายของประชากร ถึงแม้เจตนาจะศึกษาในคนสุขภาพดีก็ตาม เพราะคนกลุ่มนี้ได้เข้าร่วมการศึกษา Framingham Heart Study มาก่อนหน้านี้แล้ว
ข้อด้อยประการที่สองคือ recall bias อาศัยความจำในการทำแบบสอบถามเป็นหลัก โอกาสแปรปรวนมาก แบบสอบถามก็ต้องบังคับตัวเลือกพอสมควร ข้อมูลที่เข้ามาสู่งานวิจัยอาจไม่ได้ตรงทีเดียวนัก แม้จะใช้การกำหนดทางสถิติดีมาก แต่เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าตัดตัวแปรตัวกวนออกไป 100%
ส่วนกลไกการอธิบายโรค..ยังไม่ชัดเจนอย่าไปสรุปเลยจากการศึกษานี้ บทบรรณาธิการให้ความเห็นอันหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจ คือ กลุ่มคนที่เขาทราบดีว่าตัวเองเสี่ยงเกิดโรค เขาก็พยายามลดน้ำตาลจริงลงเพราะเขาทราบดีว่าน้ำตาลจริงก่อเกิดผลเสียชัดเจน เขาเลยไปบริโภคเครื่องดื่มน้ำตาลเทียมแทน การเปลี่ยนปรับพฤติกรรมนี้อาจอธิบายผลในแง่ คนที่มาดื่มน้ำตาลเทียมเกิดโรคมากกว่า ก็เพราะเขาเสี่ยงกว่านั่นเอง
อีกหลายๆการศึกษาบอกถึงน้ำตาลเทียม จะทำให้โหยหาน้ำตาลมากกว่า การหลั่งฮอร์โมนแปรปรวนก็จะกินอาหารมากขึ้น สารเคมีของน้ำตาลเทียมอาจเป็นสารก่อการอักเสบ เรื่องราวของ gut microbiota ที่อาจมีผล...เยอะแยะมากกับทฤษฎี แต่ยังไม่มีอันใดพิสูจน์ชัดเจนเลยครับ คงต้องรอการศึกษามากกว่านี้ ออกแบบเพื่อตอบคำถามที่ตรงจุดมากกว่านี้
รวมทั้งการศึกษาที่ติดตามนานกว่านี้ กลุ่มอายุที่หลากหลาย เชื้อชาติหลากหลาย ไม่ได้เฉพาะกลุ่มสามารถแปลผลได้กับทุกๆกลุ่ม จึงจะมีคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้
กาลามสูตรนะครับ อย่าเชื่องานวิจัย อย่าเชื่อแอดมิน อย่าเชื่อบรรณาธิการ ให้คิดด้วยเหตุและผลของตัวท่านเองครับ
ผลการศึกษาเรื่องน้ำตาลเทียมกับผลการเกิดหลอดเลือดสมองตีบและโรคสมองเสื่อม บทสรุป
สองสัปดาห์มานี้ สำนักข่าวต่างประเทศทุกสำนักตีข่าวนี้ หน้าแฟนเพจหลายหน้าทั้งไทยและเทศพูดเรื่องนี้ และพูดต่อๆกันไปเรื่อยๆ ข้อมูลก็แปรปรวนไปเรื่อน เมื่อวานเพจชื่อดังของ อ.เจษฎา ก็ลงเรื่องนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลเทียม เพิ่มโอกาสการเกิดโรคอัมพาตและโรคสมองเสื่อมประมาณสองเท่า !! อ้าวส่งผลเลยนะครับ คนที่เป็นเบาหวานแต่ยังติดหวาน คนที่ชอบดื่มน้ำอัดลมแต่ว่าไม่อยากอ้วน ทำอย่างไร อุตสาหกรรมเครื่องดื่มและน้ำตาลเทียม ทำอย่างไร
ก่อนหน้านี้เคยมีข้อสงสัยและการศึกษาออกมาบ้างครับ แต่ยังเป็นผลที่วัดทางอ้อม เก็บข้อมูลย้อนหลัง ผลที่ออกมาก็สนับสนุนและคัดค้านแนวคิดที่จะบอกว่าเกี่ยวกับโรคสมอง จึงเป็นที่มาของการศึกษานี้ที่ใช้ระเบียบวิธีวิจัยที่ละเอียดและรัดกุมมาก เพื่อให้น่าเชื่อถือมากที่สุด ผมสรุปมาเป็นข้อๆนะ เพื่อให้บุลากรนอกสาขาการวิจัยและวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เข้าใจ
- การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบเฝ้าสังเกต สอบถาม วัดค่า แล้วดูว่าเกิดโรคหรือไม่ ... ไม่ได้เป็นการทดลองที่ควบคุมตัวแปรอย่างเข้มงวด ดังนั้นผลที่ออกมาจะถือว่าเป็นความสัมพันธ์ทางสถิติเท่านั้น
- การศึกษานี้เท่าในคนสุขภาพดี ความเสี่ยงการเกิดโรคไม่มาก และทำในกลุ่มประชากรที่เข้ารับการศึกษาโรคหัวใจที่ชื่อ Framingham Heart มานานแล้ว และพื้นฐานการใช้ชีวิต พื้นฐานอาหารและสุขภาพ ต่างจากคนไทยมากๆ แถมการศึกษาแทบไม่มีเชื้อสายเอเชียเลย (เมือง Framingham นี้มีการย้ายเข้าย้ายออกน้อย เรียกว่าติดตามได้ง่าย)
- สิ่งที่สนใจ คือ เครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลเทียมนะครับ ไม่ได้แปลผลไปถึงอาหารอย่างอื่นที่ใส่น้ำตาลเทียมหรือการที่เราใช้น้ำตาลเทียมเอง และเครื่องดื่มนั้นคือ soft drink หรือ น้ำอัดลมนั่นแหละครับ โดนมีหน่วยเปรียบเทียบมาตรฐานกับเครื่องดื่มโค้กและเป๊ปซี่ ทั้งแบบขวดและกระป๋อง
- วัดผลทั้ง เครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลทั้งน้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้ น้ำอัดลมที่ใส่น้ำตาลจริง และน้ำตาลเทียม โอเค ผลของตัวอื่นไม่แสดงความเกี่ยวข้องจึงมาสนใจกับ เครื่องดื่มน้ำอัดลมที่ใส่น้ำตาลเทียม
- ผลการศึกษาโดยปรับตัวแปรต่างๆให้เท่าเทียมกันให้หมด พบว่า การดื่มน้ำอัดลมที่ใช้น้ำตาลเทียมนั้น เพิ่มโอกาสการเกิดโรคหลอดลือดแดงในสมอง (2.9 เท่า) โดยเฉพาะหลอดเลือดแดงตีบตัน และ เพิ่มโอกาสการเกิดโรคสมองเสื่อมรวมถึงอัลไซเมอร์ (2.8 เท่า) ยิ่งปริมาณสะสมมาก หรือดื่มมากๆในช่วงเวลาสั้นๆ ยิ่งเสี่ยงมาก ในโรคหลอดเลือดสมองนั้นข้อมูลจะชัดเจน ในโรคสมองเสื่อมนั้นข้อมูลจะเป็นจริงถ้าไม่ไปคิดแยกว่าเสี่ยงโรคต่างๆด้วย เพราะถ้าคิดรวมความเสี่ยงหลอดเลือดต่างๆด้วยนั้น น้ำตาลเทียมจะไม่ค่อยมีผลเท่าไรครับ
- ข้อมูลที่ได้นั้น เป็นจริงในประชากรที่ศึกษา แต่โอกาสจะเอาความจริงนี้มาใช้กับประชากรโดยรวมได้ยาก โดยเฉพาะกับประชากรขอประเทศไทยที่พื้นฐานส่วนบุคคลต่างกันอย่างจากกลุ่มตัวอย่างมากมาย
- ข้อมูลที่เกิดขึ้นยังมีความแปรปรวนมาก และยังไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้หมดทั้งเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ชีวเคมี และเหตุผลทางสถิติ เรียกได้แค่ว่า เครื่องดื่มน้ำอัดลมที่ใช้น้ำตาลเทียม "มีความสัมพันธ์" กับการเกิดโรคสมอง ไม่ได้เป็นเหตุผลโดยตรง ยังมีอีกหลายปัจจัยนะครับ
- สรุปโดยรวมแน่ๆว่า สารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ใส่ในน้ำอัดลม...ย้ำนะครับ ที่ใช้ในน้ำอัดลมเท่านั้น ไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่เคยเข้าใจกัน มันมีอันตรายแฝงอยู่และเริ่มเห็นอันตรายมากขึ้น ชัดเจนขึ้น
- ยังคงต้องรอการศึกษาเพิ่มเติมแน่นอนครับ เพราะการศึกษานี้กลุ่มประชากรไม่มาก ปริมาณคนที่ใช้น้ำตาลเทียมก็ประมาณแค่ครึ่งเดียว แถมที่ใช้นั้นก็ใช้ในปริมาณไม่มาก สัดส่วนการเกิดโรคสมองที่พบในการศึกษานี้ก็ไม่มากครับ เรียกว่าขนาดของปัญหาที่พบยังไม่มากนัก
- แต่น้ำตาลจริงนั้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลที่ใส่ในเครื่องดื่มน้ำอัดลม อาหารอื่นๆ ... นี่คือฆาตกรเงียบที่ชัดเจน สร้างโรคอ้วน โรคหลอดเลือด โรคลงพุง ถ้าเป็นโรคแล้วก็จะควบคุมยาก สัดส่วนการใช้ก็มากกว่าน้ำตาลเทียมหลายร้อยเท่า ถ้าจะควบคุมเชิงนโยบายหรือดูแลตัวเองเป็นการส่วนตัว ต้องควบคุมทั้ง "น้ำตาลจริง" และ "น้ำตาลเทียม"
ครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพท่านหนึ่งสนับสนุนให้ผมเขียนเรื่องนี้ ตอนที่รับปาก ผมได้หาข้อมูลทั้งข่าว แฟนเพจ วารสารจริง บทวิจารณ์ บทบรรณาธิการ เว็บไซต์ทางการแพทย์ เมื่อสรุปและรวบรวมข้อมูลแล้วรู้สึกว่า การศึกษานี้ไม่ได้ซับซ้อนนัก เข้าใจง่าย แต่สิ่งที่ยากกว่าคือบทบาทของการสื่อข้อมูลที่ยังสามารถถกเถียงต่อ ข้อมูลที่ยังเป็นสองด้าน เราจะสื่ออย่างไรให้เป็นกลางและไม่ชักจูงไปในทางใดทางหนึ่ง จึงออกมาเป็นบทความสรุปสำหรับประชาชนและบทความวิจารณ์สำหรับผู้สนใจครับ
คิดต่างเห็นเหมือนอย่างไร แลกเปลี่ยนกันได้ ความรู้จะเกิด ผมอาจจะผิดมากๆก็ได้ครับ ... จากแอดมินใจกว้างงง..อารมณ์ดี ขี้เหงา เศร้าวันหวยออก
26 เมษายน 2560
ข้อมูลการศึกษาแบบเฝ้าสังเกต
ข้อมูลการศึกษาแบบเฝ้าสังเกต...มันคืออะไร เชื่อได้ไหม มาฟังตัวอย่างสนุกๆกัน
ในการศึกษาทางการแพทย์นั้นเราศึกษาทางสถิติหลายแบบหลายอย่าง ระดับความน่าเชื่อถือหรือการนำไปใช้มีหลายขั้น เราแบ่งง่ายๆเพื่อทำความเข้าใจกับบุคลที่ไม่ได้อยู่ในสายการแพทย์ ได้ 2 อย่าง
อย่างแรก คือ การศึกษาแบบทดลอง (experimental) คือผู้วิจัยเป็นผู้กำหนดกลุ่มตัวอย่างที่จะทำการศึกษาเรื่องใด จัดการแบ่งกลุ่มแบบไม่ให้โน้มเอียงไปทางใด ให้การทดลองทั้งตัวยาทดลอง และตัวยาหลอก (ชื่อยาหลอกแต่จริงๆคือ กลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ใส่ยาทดลองเข้าไป) เพื่อติดตามดูผลที่เกิดขึ้นว่า กลุ่มที่ใช้ยา เกิดผลที่ผู้ทดลองกำหนด แตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างไร การศึกษาแบบนี้ถือว่าเป็นมาตรฐานและใช้ในการวิจัยทางคลินิก (clinical trials)
อย่างที่สอง คือ การศึกษาแบบเฝ้าสังเกต (observational) ผู้วิจัยจะติดตามผลที่เกิด ผู้วิจัยไม่ได้เป็นผู้กำหนดกลุ่ม ไม่ได้เป็นผู้กำหนดการทดลอง แต่เฝ้าติดตามผลและตัวแปรต่างๆ จากกลุ่มผู้ใช้สารทดลอง และไม่ใช้สารทดลอง ว่าติดตามไปแล้วผลที่สนใจ เกิดแตกต่างกันหรือไม่ การศึกษานี้มีตัวแปรปรวนมากๆ ต้องกำหนดวิธีการกำจัดตัวแปรปรวนให้ดี ผลจึงเชื่อถือได้ วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีนี้กัน
การศึกษาแบบเฝ้าสังเกตที่ออกมาบ่อยในช่วงนี้ เราหยิบผลลัพธ์สุดท้ายมาพูดกัน มาแปลผลกัน บางทีก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสีย 100% ผมขอยกตัวอย่างสนุกๆง่ายๆให้เข้าใจกัน
แอดมินเพจไม่ดังแห่งหนึ่ง ได้ผลิตสมุนไพรในชื่อ "ลุงหมอเตะปี๊บ" บรรยายสรรพคุณว่าใครใช้แล้วกำลังขาจะดี เตะปี๊บดัง ลุงหมอได้โฆษณาไปทั่วเลยว่า กลุ่มคนที่ใช้สมุนไพรนี้เตะปี๊บดังกว่ากลุ่มคนที่ไม่ใช้ถึง 20% แถมแนบวารสารมาให้ด้วย
แอดมินเพจนั้น ไปสัมภาษณ์คนที่ใช้สมุนไพรกับคนที่ไม่ใช้สมุนไพร ใช้แบบสัมภาษณ์เดียวกัน ได้แต่ละกลุ่มมา 100 คน --- 100 คนนี่ไม่มากนะครับ จริงๆต้องมีการคำนวนด้วยว่าถ้าจะมดสอบให้เห็นความแตกต่างต้องหาจำนวนผู้สัมภาษณ์กี่คน--
แอดมินใช้คำถามปลายปิด ใช่/ไม่ใช่ ไม่ได้เปิดให้ผู้ถามบอกเหตุผล -- แล้วแอดมินรู้ได้อย่างไร ว่าพวกที่ใช้สมุนไพร "ลุงหมอเตะปี๊บ" ไม่ใช้ไม่กินอย่างอื่น หรือกลุ่มคนที่ไม่ใช้ เขาอาจไม่เคยใช้หรือเคยใช้แล้วไม่ได้เรื่องจึงบอกว่า ไม่เคยใช้--
มาดูกลุ่มที่ใช้สมุนไพรแล้วเตะปี๊บดัง ข้อมูลจากแบบสอบถามพบว่า อายุประมาณ 30-40 ออกกำลังกายทุกวัน พักผ่อนเพียงพอ ไม่ต้องทำงานหนัก(คือมีสตางค์พอควร ไม่งั้นไม่มีเงินซื้อผลิตภัณฑ์ของแอดมิน) ส่วนคนที่ไม่ใช้ที่เตะปี๊บแล้วแป๊กๆ กลุ่มอายุเฉลี่ย 40-50 ไม่ค่อยได้ออกกำลัง ทำงานหนัก เหนื่อย อย่าว่าแต่เตะปี๊บตั้งปี๊บให้ตรงๆยังยาก --แล้วอย่างนี้จะมาบอกได้อย่างไร ว่าได้ผลดีเพราะสมุนไพร "ลุงหมอเตะปี๊บ"--
แบบสอบถามแอดมิน ถามว่าภายหลังกินสมุนไพรไปสิบวัน เตะปี๊บเป็นไง มีโทษไหม คนตอบว่าไม่มีโทษอะไรเลย ปกติ อีกหลายคนบอกว่าไม่ได้มีผลอะไรกับปี๊บก็มี -- ก็ต้องมาพิจารณาด้วยว่า 10 วันนี้มันเพียงพอไหมที่จะทราบผลเสีย บางครั้งเป็นผลเสียระยะยาว พอวิจัยระยะสั้นไป ก็ไม่เห็นผล พอไม่เห็นก็จะไปแปลผลว่า ไม่เกิดผลเสีย ..อันนี้ผิดนะครับ อีกอย่างคนที่บอกว่าใช้สมุนไพรแล้วสิบวันเตะปี๊บไม่ดังเลย ก็จะต้องจัดกลุ่มด้วย บางคนดื่มครึ่งขวด บางคนจัดไปสิบขวด ปริมาณที่ไม่เท่ากัน ผลก็อาจไม่เท่ากัน--
เห็นไหมครับ ต้องดูรายละเอียดจริงๆ จึงจะมาแปลผลได้ว่าใช้ได้หรือไม่ การศึกษาระดับโลกเขาจะมีวิธีการจัดกลุ่มตัวแปร กำจัดตัวแปรปรวน การตรวจสอบผลภายในหลายๆขั้นตอน เพื่อลดข้อผิดพลาดและแปรปรวนให้น้อยที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นศูนย์เพราะทุกอย่างมีข้อจำกัด ขึ้นกับคนอ่านว่าจะใช้อย่างไร เข้าใจไหม
นอกเหนือจากนั้นยังต้องคิดด้วยว่าผลการศึกษาเอามาใช้กับเราได้ไหม อย่างสมุนไพร "ลุงหมอเตะปี๊บ" อาจมาใช้กับคนอายุ 20-30 แล้วผลอาจจะไม่ตรงกับที่วิจัยเพราะทำการศึกษาต่างกันนั่นเอง หรือจะไปใช้กับฝรั่งไม่ได้ เพราะทำการศึกษาในคนไทยเท่านั้น
ที่อารัมภบทมามากมาย เพราะอยากให้รู้ทันการอ้างอิงผลการศึกษาของผลิตภัณฑ์หลายชนิด และเป็นพื้นฐานกับเรื่องที่จะมาเล่าวันถัดไปเรื่องของ ...น้ำตาลเทียม ส่งผลต่อหลอดเลือดสมองและสมองเสื่อม จริงไหม .. ผมลิงค์เรื่องสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่เคยเขียนมาให้อ่านเล่นๆกันก่อนนะครับ ส่วนฉบับที่จะเล่า..ต้องติดตามต่อไป
บทความเรื่อง PKU กับเครื่องดื่มซีโร่
https://m.facebook.com/story.php…
บทความเรื่อง สารให้ความหวานแทนน้ำตาล
http://medicine4layman.blogspot.com/20…/…/blog-post_19.html…
เครดิตภาพ : menace-theoriste.fr
ในการศึกษาทางการแพทย์นั้นเราศึกษาทางสถิติหลายแบบหลายอย่าง ระดับความน่าเชื่อถือหรือการนำไปใช้มีหลายขั้น เราแบ่งง่ายๆเพื่อทำความเข้าใจกับบุคลที่ไม่ได้อยู่ในสายการแพทย์ ได้ 2 อย่าง
อย่างแรก คือ การศึกษาแบบทดลอง (experimental) คือผู้วิจัยเป็นผู้กำหนดกลุ่มตัวอย่างที่จะทำการศึกษาเรื่องใด จัดการแบ่งกลุ่มแบบไม่ให้โน้มเอียงไปทางใด ให้การทดลองทั้งตัวยาทดลอง และตัวยาหลอก (ชื่อยาหลอกแต่จริงๆคือ กลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ใส่ยาทดลองเข้าไป) เพื่อติดตามดูผลที่เกิดขึ้นว่า กลุ่มที่ใช้ยา เกิดผลที่ผู้ทดลองกำหนด แตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างไร การศึกษาแบบนี้ถือว่าเป็นมาตรฐานและใช้ในการวิจัยทางคลินิก (clinical trials)
อย่างที่สอง คือ การศึกษาแบบเฝ้าสังเกต (observational) ผู้วิจัยจะติดตามผลที่เกิด ผู้วิจัยไม่ได้เป็นผู้กำหนดกลุ่ม ไม่ได้เป็นผู้กำหนดการทดลอง แต่เฝ้าติดตามผลและตัวแปรต่างๆ จากกลุ่มผู้ใช้สารทดลอง และไม่ใช้สารทดลอง ว่าติดตามไปแล้วผลที่สนใจ เกิดแตกต่างกันหรือไม่ การศึกษานี้มีตัวแปรปรวนมากๆ ต้องกำหนดวิธีการกำจัดตัวแปรปรวนให้ดี ผลจึงเชื่อถือได้ วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีนี้กัน
การศึกษาแบบเฝ้าสังเกตที่ออกมาบ่อยในช่วงนี้ เราหยิบผลลัพธ์สุดท้ายมาพูดกัน มาแปลผลกัน บางทีก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสีย 100% ผมขอยกตัวอย่างสนุกๆง่ายๆให้เข้าใจกัน
แอดมินเพจไม่ดังแห่งหนึ่ง ได้ผลิตสมุนไพรในชื่อ "ลุงหมอเตะปี๊บ" บรรยายสรรพคุณว่าใครใช้แล้วกำลังขาจะดี เตะปี๊บดัง ลุงหมอได้โฆษณาไปทั่วเลยว่า กลุ่มคนที่ใช้สมุนไพรนี้เตะปี๊บดังกว่ากลุ่มคนที่ไม่ใช้ถึง 20% แถมแนบวารสารมาให้ด้วย
แอดมินเพจนั้น ไปสัมภาษณ์คนที่ใช้สมุนไพรกับคนที่ไม่ใช้สมุนไพร ใช้แบบสัมภาษณ์เดียวกัน ได้แต่ละกลุ่มมา 100 คน --- 100 คนนี่ไม่มากนะครับ จริงๆต้องมีการคำนวนด้วยว่าถ้าจะมดสอบให้เห็นความแตกต่างต้องหาจำนวนผู้สัมภาษณ์กี่คน--
แอดมินใช้คำถามปลายปิด ใช่/ไม่ใช่ ไม่ได้เปิดให้ผู้ถามบอกเหตุผล -- แล้วแอดมินรู้ได้อย่างไร ว่าพวกที่ใช้สมุนไพร "ลุงหมอเตะปี๊บ" ไม่ใช้ไม่กินอย่างอื่น หรือกลุ่มคนที่ไม่ใช้ เขาอาจไม่เคยใช้หรือเคยใช้แล้วไม่ได้เรื่องจึงบอกว่า ไม่เคยใช้--
มาดูกลุ่มที่ใช้สมุนไพรแล้วเตะปี๊บดัง ข้อมูลจากแบบสอบถามพบว่า อายุประมาณ 30-40 ออกกำลังกายทุกวัน พักผ่อนเพียงพอ ไม่ต้องทำงานหนัก(คือมีสตางค์พอควร ไม่งั้นไม่มีเงินซื้อผลิตภัณฑ์ของแอดมิน) ส่วนคนที่ไม่ใช้ที่เตะปี๊บแล้วแป๊กๆ กลุ่มอายุเฉลี่ย 40-50 ไม่ค่อยได้ออกกำลัง ทำงานหนัก เหนื่อย อย่าว่าแต่เตะปี๊บตั้งปี๊บให้ตรงๆยังยาก --แล้วอย่างนี้จะมาบอกได้อย่างไร ว่าได้ผลดีเพราะสมุนไพร "ลุงหมอเตะปี๊บ"--
แบบสอบถามแอดมิน ถามว่าภายหลังกินสมุนไพรไปสิบวัน เตะปี๊บเป็นไง มีโทษไหม คนตอบว่าไม่มีโทษอะไรเลย ปกติ อีกหลายคนบอกว่าไม่ได้มีผลอะไรกับปี๊บก็มี -- ก็ต้องมาพิจารณาด้วยว่า 10 วันนี้มันเพียงพอไหมที่จะทราบผลเสีย บางครั้งเป็นผลเสียระยะยาว พอวิจัยระยะสั้นไป ก็ไม่เห็นผล พอไม่เห็นก็จะไปแปลผลว่า ไม่เกิดผลเสีย ..อันนี้ผิดนะครับ อีกอย่างคนที่บอกว่าใช้สมุนไพรแล้วสิบวันเตะปี๊บไม่ดังเลย ก็จะต้องจัดกลุ่มด้วย บางคนดื่มครึ่งขวด บางคนจัดไปสิบขวด ปริมาณที่ไม่เท่ากัน ผลก็อาจไม่เท่ากัน--
เห็นไหมครับ ต้องดูรายละเอียดจริงๆ จึงจะมาแปลผลได้ว่าใช้ได้หรือไม่ การศึกษาระดับโลกเขาจะมีวิธีการจัดกลุ่มตัวแปร กำจัดตัวแปรปรวน การตรวจสอบผลภายในหลายๆขั้นตอน เพื่อลดข้อผิดพลาดและแปรปรวนให้น้อยที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นศูนย์เพราะทุกอย่างมีข้อจำกัด ขึ้นกับคนอ่านว่าจะใช้อย่างไร เข้าใจไหม
นอกเหนือจากนั้นยังต้องคิดด้วยว่าผลการศึกษาเอามาใช้กับเราได้ไหม อย่างสมุนไพร "ลุงหมอเตะปี๊บ" อาจมาใช้กับคนอายุ 20-30 แล้วผลอาจจะไม่ตรงกับที่วิจัยเพราะทำการศึกษาต่างกันนั่นเอง หรือจะไปใช้กับฝรั่งไม่ได้ เพราะทำการศึกษาในคนไทยเท่านั้น
ที่อารัมภบทมามากมาย เพราะอยากให้รู้ทันการอ้างอิงผลการศึกษาของผลิตภัณฑ์หลายชนิด และเป็นพื้นฐานกับเรื่องที่จะมาเล่าวันถัดไปเรื่องของ ...น้ำตาลเทียม ส่งผลต่อหลอดเลือดสมองและสมองเสื่อม จริงไหม .. ผมลิงค์เรื่องสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่เคยเขียนมาให้อ่านเล่นๆกันก่อนนะครับ ส่วนฉบับที่จะเล่า..ต้องติดตามต่อไป
บทความเรื่อง PKU กับเครื่องดื่มซีโร่
https://m.facebook.com/story.php…
บทความเรื่อง สารให้ความหวานแทนน้ำตาล
http://medicine4layman.blogspot.com/20…/…/blog-post_19.html…
เครดิตภาพ : menace-theoriste.fr
25 เมษายน 2560
24 เมษายน 2560
หนัง แฟนฉัน
ชวนดูหนังอีกแล้ว เรื่องนี้ ใครอยากย้อนอดีตแล้วไม่ดูถือว่า...ผิด "แฟนฉัน"
ถือว่ากระแส รายได้ รางวัล ถล่มถลายสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้สร้างได้สร้างฝันของทุกคน ที่อยากเห็นภาพในอดีตของตัวเองอีกครั้งในสมัยอดีตมาปรากฏบนจอภาพยนตร์ (หรือว่าเป็นการคิดถึงความหลังของลุงหมอชรา สายตายาว แค่บางคนเท่านั้น !!)
เรื่องราวของเด็กต่างจังหวัดในยุคพ.ศ. 2529 ไม่มีไอแพด ไม่มีสมาร์ทโฟน เรียนโรงเรียนประถมใกล้บ้าน อาคารไม้สองชั้น พื้นเป็นมันวับจากการลงเทียน (ไหนใครลงเทียนจนเข่าเจ็บบ้าง) กระดานดำสีเขียวอันยาว มีชอล์กชาวและชอล์กสี แอดมินนี่เอาชอล์กสีมาวาดรูปประจำ มีการจัดเวรทำความสะอาดประจำวัน ก่อนเลิกเรียนนี่ เอาแปรงลบกระดานมาตบฝุ่นคลุ้ง ใครแกล้งเพื่อนก็เอาไปตบใส่ใกล้ๆ...ผมหงอกกันทันที
เล่นเป่ากบ เรียกว่ากิจกรรมสุดฮิต เอาหนังยางมาอวดกันประมาณว่าใครหนังยางเยอะคือ มือวางอันดับต้นๆ ..มันมีทีมด้วยนะครับ จัดลำดับ จะมาท้าแข่งนี่ ต้องเจอลูกจ๊อกก่อน แล้วค่อยขยับมานักรบ ไปขุนพล ค่อยไปท้าชิงกับระดับเจ้าเมือง ใครพกหนังยางเป็นกำ คือ เครื่องหมายแสดงความเก๋าเกม...ใครจะรู้มันอาจไปยืมแม่ค้าน้ำแข็งไสมาก็ได้
ไม่พ้นเรื่องยาง...โดดหนังยาง สิ่งที่ยังคาใจทุกวันนี้คือ เวลาเล่น ใช้หนังยางสายเดียว แต่ทำไมพกหนังยางกันทุกคนเลยล่ะ ลีลากระโดดแต่ละคนยังกับนักยิม ใครเป็นราชินีหนังยางล่ะก็เรียกว่าป็อบปูล่าร์เลย
หมากเก็บ...ทั้งหญิงและชาย แข่งกันเป็นเลเวล ยากเป็นขั้นๆ หญิงชายไม่เกี่ยง อันนี้ล้อมวงรวมได้
แก๊งค์จักรยาน แน่นอน ไม่ว่าหญิงหรือชาย การได้ครอบครองจักรยานบีเอ็มเอ็กซ์ สักคัน สภาพหรู (สุดท้ายก็เอาไปรื้อแกะ ประกอบใหม่ ถ้าเป็นรถยนต์คงหมดประกัน) ไปขี่ร่อนกับเพื่อนๆนี่ ฟินมากๆ ยกล้อ ปล่อยมือ ปัดตูด สกิลพื้นฐาน
ไอ้แจ็ค... มันจะต้องมีขาเก๋าแบบนี้ทุกยุคสมัย เป็นแบบนี้จริงๆ อ้วนดำ น่าเกรงขาม และก็จะต้องมีล้อกันแน่ๆ แฟนกัน อย่างเจี๊ยบกับน้อยหน่า ทั้งๆที่แค่บ้านใกล้กัน
กินมาม่าดิบ ในห้อง มันคือความท้าทายที่สุดของวัยนั้น ต้องแอบกินไม่ให้ครูจับได้ด้วย ถึงเรียกว่า สุดยอด ใส่ผงเครื่องปรุงสักนิดนะ แย่งกันทั้งห้อง
ผู้สร้างทำมาได้อย่างแนบเนียน จำลองภาพที่เรายังจำได้จางๆ แต่พวกเขาทำได้อย่างชัดเจน ฉากหลัง อารมณ์นักแสดง เรื่องราว ทั้งสนุก เศร้า เฮฮา เรียกว่า ดูได้อย่างเพลินใจ จนแทบไม่ได้สนใจเรื่องราวสักเท่าไหร่ แค่ได้ย้อนอดีตไปกับภาพยนตร์ ก็มีความสุขเหลือหลาย ยังไม่นับรวมไปไปถึงบทเพลงอดีตที่ "ฮิตติดชาร์ต" ตอนนั้น สาว สาว สาว, นกแล, ใจเธอใจฉัน, คอนเสิร์ตคนจน
หลายๆท่านคงไม่เคย เขียนจดหมายไปขอเพลง โทรศัพท์ไปขอเพลงที่ไม่แน่ใจว่ามันยกหูค้างไว้ไหม โทรเท่าไรก็ไม่ติด แอดเขียนไปขอเพลง "ความในใจ" ของต้อม เรนโบว์ ปัจจุบันนี้ดีเจยังไม่ยอมเปิดให้สักที อารมณ์เฝ้าฟังทุกวัน รอว่าจดหมายเราจะออนแอร์ไหม
คุณลองไปหามาดูอีกครั้ง แล้วอมยิ้มกับความทรงจำวัยเด็ก แล้วลองหลับตาคิดถึงสมัยประถม ลองดูนะ แล้วคุณจะพบว่า ความทรงจำในวัยเด็กมันชัดเจนขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสติ...แค่หลับตา
ถือว่ากระแส รายได้ รางวัล ถล่มถลายสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้สร้างได้สร้างฝันของทุกคน ที่อยากเห็นภาพในอดีตของตัวเองอีกครั้งในสมัยอดีตมาปรากฏบนจอภาพยนตร์ (หรือว่าเป็นการคิดถึงความหลังของลุงหมอชรา สายตายาว แค่บางคนเท่านั้น !!)
เรื่องราวของเด็กต่างจังหวัดในยุคพ.ศ. 2529 ไม่มีไอแพด ไม่มีสมาร์ทโฟน เรียนโรงเรียนประถมใกล้บ้าน อาคารไม้สองชั้น พื้นเป็นมันวับจากการลงเทียน (ไหนใครลงเทียนจนเข่าเจ็บบ้าง) กระดานดำสีเขียวอันยาว มีชอล์กชาวและชอล์กสี แอดมินนี่เอาชอล์กสีมาวาดรูปประจำ มีการจัดเวรทำความสะอาดประจำวัน ก่อนเลิกเรียนนี่ เอาแปรงลบกระดานมาตบฝุ่นคลุ้ง ใครแกล้งเพื่อนก็เอาไปตบใส่ใกล้ๆ...ผมหงอกกันทันที
เล่นเป่ากบ เรียกว่ากิจกรรมสุดฮิต เอาหนังยางมาอวดกันประมาณว่าใครหนังยางเยอะคือ มือวางอันดับต้นๆ ..มันมีทีมด้วยนะครับ จัดลำดับ จะมาท้าแข่งนี่ ต้องเจอลูกจ๊อกก่อน แล้วค่อยขยับมานักรบ ไปขุนพล ค่อยไปท้าชิงกับระดับเจ้าเมือง ใครพกหนังยางเป็นกำ คือ เครื่องหมายแสดงความเก๋าเกม...ใครจะรู้มันอาจไปยืมแม่ค้าน้ำแข็งไสมาก็ได้
ไม่พ้นเรื่องยาง...โดดหนังยาง สิ่งที่ยังคาใจทุกวันนี้คือ เวลาเล่น ใช้หนังยางสายเดียว แต่ทำไมพกหนังยางกันทุกคนเลยล่ะ ลีลากระโดดแต่ละคนยังกับนักยิม ใครเป็นราชินีหนังยางล่ะก็เรียกว่าป็อบปูล่าร์เลย
หมากเก็บ...ทั้งหญิงและชาย แข่งกันเป็นเลเวล ยากเป็นขั้นๆ หญิงชายไม่เกี่ยง อันนี้ล้อมวงรวมได้
แก๊งค์จักรยาน แน่นอน ไม่ว่าหญิงหรือชาย การได้ครอบครองจักรยานบีเอ็มเอ็กซ์ สักคัน สภาพหรู (สุดท้ายก็เอาไปรื้อแกะ ประกอบใหม่ ถ้าเป็นรถยนต์คงหมดประกัน) ไปขี่ร่อนกับเพื่อนๆนี่ ฟินมากๆ ยกล้อ ปล่อยมือ ปัดตูด สกิลพื้นฐาน
ไอ้แจ็ค... มันจะต้องมีขาเก๋าแบบนี้ทุกยุคสมัย เป็นแบบนี้จริงๆ อ้วนดำ น่าเกรงขาม และก็จะต้องมีล้อกันแน่ๆ แฟนกัน อย่างเจี๊ยบกับน้อยหน่า ทั้งๆที่แค่บ้านใกล้กัน
กินมาม่าดิบ ในห้อง มันคือความท้าทายที่สุดของวัยนั้น ต้องแอบกินไม่ให้ครูจับได้ด้วย ถึงเรียกว่า สุดยอด ใส่ผงเครื่องปรุงสักนิดนะ แย่งกันทั้งห้อง
ผู้สร้างทำมาได้อย่างแนบเนียน จำลองภาพที่เรายังจำได้จางๆ แต่พวกเขาทำได้อย่างชัดเจน ฉากหลัง อารมณ์นักแสดง เรื่องราว ทั้งสนุก เศร้า เฮฮา เรียกว่า ดูได้อย่างเพลินใจ จนแทบไม่ได้สนใจเรื่องราวสักเท่าไหร่ แค่ได้ย้อนอดีตไปกับภาพยนตร์ ก็มีความสุขเหลือหลาย ยังไม่นับรวมไปไปถึงบทเพลงอดีตที่ "ฮิตติดชาร์ต" ตอนนั้น สาว สาว สาว, นกแล, ใจเธอใจฉัน, คอนเสิร์ตคนจน
หลายๆท่านคงไม่เคย เขียนจดหมายไปขอเพลง โทรศัพท์ไปขอเพลงที่ไม่แน่ใจว่ามันยกหูค้างไว้ไหม โทรเท่าไรก็ไม่ติด แอดเขียนไปขอเพลง "ความในใจ" ของต้อม เรนโบว์ ปัจจุบันนี้ดีเจยังไม่ยอมเปิดให้สักที อารมณ์เฝ้าฟังทุกวัน รอว่าจดหมายเราจะออนแอร์ไหม
คุณลองไปหามาดูอีกครั้ง แล้วอมยิ้มกับความทรงจำวัยเด็ก แล้วลองหลับตาคิดถึงสมัยประถม ลองดูนะ แล้วคุณจะพบว่า ความทรงจำในวัยเด็กมันชัดเจนขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสติ...แค่หลับตา
23 เมษายน 2560
บุหรี่ไฟฟ้า ผลสรุปที่อังกฤษ
ก่อนอื่น ผมขอเปิดเผยก่อนนะครับ ว่าไม่ได้มีส่วนกับผู้ชื่นชอบบุหรี่ไฟฟ้าหรือผู้ที่ไม่เห็นชอบบุหรี่ไฟฟ้าแต่ประการใด ส่วนตัวยังคงส่งเสริมและรณรงค์การเลิกยาสูบและนิโคตินทุกประเภท แต่จะทำบทความนี้ด้วยใจเป็นกลาง ให้ผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยได้ทราบข้อเท็จจริง ตามรายงานทางวิชาการ สำหรับข้อคิดเห็นส่วนตัวที่ผมแทรก จะแทรกอยู่เป็นระยะ และจะบอกก่อน หากท่านใดมีข้อคิดเห็นอย่างไร จะเห็นด้วยหรือเห็นต่าง ผมยินดีรับฟังเพื่อเป็นเวทีสร้างการเรียนรู้ครับ
ตั้งแต่บุหรี่ไฟฟ้าเริ่มแพร่หลายนั้นประเทศอังกฤษมีคนใช้ 3ล้านแล้วนับว่าเป็นตลาดที่ใหญ่อันดับสองรองจากอเมริกา เมื่อมีการใช้มากขึ้นแน่นอนก็เริ่มมีคำถามสองอย่าง อย่างแรกคือผลต่อสาธารณสุขในภาพรวม..ย้ำว่าภาพรวมนะครับ และเรื่องของการจะใช้เป็นอุปกรณ์เลิกบุหรี่ได้หรือไม่ ซึ่งต้องคำนึงถึงว่าอาจทำให้ติดนิโคตินนานขึ้น และชักนำให้เยาวชนหันมาติดนิโคตินมากขึ้นหรือไม่
ต้องขอบอกว่า บุหรี่ไฟฟ้าในสหภาพยุโรปและอังกฤษมีองค์กรควบคุมนะครับ เพราะที่นั่นสามารถใช้ได้ตามกฎหมาย การจะประยุกต์ใช้หลักการต่างๆนี้ในเมืองไทย ต้องคิดให้ถ้วนถี่ว่าสามารถใช้ได้หรือไม่ เพราะบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมายของไทย
สถานการณ์ของอังกฤษในรอบ 40 ปีนี้ผู้สูบบุหรี่ลดลง แต่ก็ยังมีผู้สูบหน้าใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ
ภาษีสรรพสามิตจากบุหรี่ของอังกฤษในรอบปีที่ผ่านมาคือ 9.5 พันล้านปอนด์ในขณะที่รายจ่ายด้านสุขภาพจากบุหรี่ที่ต้องจ่ายคือ 2 พันล้านปอนด์ --ส่วนตัวนะครับ เอามาเทียบกับเมืองไทยไม่ได้นะครับ พันธุกรรม การรักษา สตางค์ต่างกัน-- และสาเหตุของสุขภาพที่เสียไปเกิดจาก "ควันบุหรี่เผาไหม้" ไม่ได้เกิดจากนิโคติน --ส่วนตัว แต่สาเหตุการติดคือนิโคติน ลองดูกลไกการติดนิโคตินในไลฟ์ที่ผมเคยทำเอาไว้นะครับ-- นโยบายเรื่องยาสูบของอังกฤษ จึงสนับสนุนการลดการสูบยาและใช้ผลิตภัณฑ์นิโคตินที่ปลอดภัยกว่าเดิม (คือปลอดภัยกว่าบุหรี่แบบเดิม) นี่เองที่เป็นจุดเริ่มของการศึกษาว่าบุหรี่ไฟฟ้ามันปลอดภัยและตอบโจทย์ของเขาไหม
ตัวเลขทางสถิติของอังกฤษบอกว่าหลังจากบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายนั้นอัตราการใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตัวเลขประมาณสามล้าน แต่อัตรานั้นเริ่มชะลอตัวในช่วงสองปีนี้ ตัวเลขทางสถิติที่ผมจะแสดงนี้ ตัวเลขเป็นข้อเท็จจริง แต่สาเหตุต่างๆนั้นเป็นบทวิเคราะห์ของผมนะครับ
61% ของผู้สูบบุหรี่เคยลองบุหรี่ไฟฟ้า แต่มีผู้ใช้ต่อเนื่องเพียง 19% -- บุหรี่ไฟฟ้ายังไม่สามารถมาตัดยอดหรือแทนบุหรี่จริงๆได้
19% ของผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่เคยลองบุหรี่ไฟฟ้า แต่มีผู้ใช้ต่อ 8% -- ชักนำให้สูบหรือติดนิโคตินมากขึ้นหรือไม่ ก็คงมากขึ้นจริงครับ--
ในตัวเลขสองชุดนี้ ต้องบอกว่าผู้ลองใช้บุหรี่ไฟฟ้า ลองมาใช้ดู เพิ่มขึ้น แต่ว่าใช้ต่อไม่มากนักนะครับ
เด็กอายุ 11 ปีลองใช้บุหรี่ไฟฟ้า 5% ส่วนอายุ 16 ปีเคยลองใช้อยู่ที่ 26% ไม่ได้มีรายงานการใช้ต่อเนื่องที่สำคัญทางสถิติ --แต่ว่าลองสังเกต เด็กสิบหกปีลองบุหรี่ไฟฟ้าถึง 26% มากกว่าผู้ใหญ่ที่ไม่เคยสูบ (19%) เสียอีก แม้ว่าจะไม่ได้แสดงให้เห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้าทำให้เยาวชนติดนิโคตินมากขึ้น แต่แสดงให้เห็นว่าเยาวชนไปลองบุหรี่ไฟฟ้ามากจริงนะครับ--
บุหรี่ไฟฟ้าขยายตลาดเร็วมากประมาณปีละ 50% เดิมทีนั้นเป็นตลาดของผู้ผลิตรายย่อย แต่ปัจจุบันนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ก็เริ่มมาเป็นส่วนแบ่งในตลาดแล้ว ไม่ใช่แค่บุหรี่ไฟฟ้าที่เราเคยเห็น เขามาพร้อมผลิตภัณฑ์แบบใหม่ๆ ที่ยกตัวอย่างในรายงานนี้คือ "เผาแต่ไม่ไหม้" คือลดปริมาณความร้อนเผาไหม้ลงนั่นเอง เพื่อจะทำให้อันตรายจากควันการเผาไหม้นั้นลดลง สังเกตว่าการเข้ามาของบริษัทยักษ์ใหญ่ทำให้เกิดข้อกังขาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและการกำหนดนโยบาย --ส่วนตัวนะครับ แน่นอนล่ะ อัตราการเติบโตและกำไรมันหอมหวานขนาดนี้ ใครก็ต้องการมาลงทุนอยู่แล้ว บุหรี่มวนลดลง บุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น และยังไปสอดคล้องกับนโยบายรัฐอีก ส่วนจะทับซ้อนหรือไม่..ผมไม่ทราบครับ--
ผลกระทบต่อผู้เสพ..จากงานวิจัย
จากการสำรวจนะครับ ผู้คนโดยรวมคิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นโทษพอๆกับบุหรี่จริงเพิ่มขึ้นสามเท่าในสามปีที่ผ่านมา ในขณะที่ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่คิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่อันตราย ส่วนนี้เพิ่มขึ้นจาก 55% เป็น 69% -- แสดงให้เห็นมุมมองและการเลือกเชื่อข้อมูลในแต่ละกลุ่ม ทั้งๆที่มาจากข้อมูลชุดเดียวกัน-- ในกลุ่มคนที่สูบบุหรี่จริง เขาก็เชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายมากกว่าบุหรี่จริง !!! (เดิมคิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัย 40% สามปีถัดมา คิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยนั้นลดลงเหลือแค่ 29%) ส่วนเด็กๆ เขาก็คิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตราย แต่เขาคิดว่าอันตรายจากสารแต่งสีแต่งกลิ่นครับ
ผลกระทบต่อผู้เสพโดยตรงและบุคคลรอบข้างนั้น มุ่งเน้นไปที่ควันอันเกิดจากบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งข้อมูลตรงนี้แปรปรวนพอควรนะครับ เนื่องจากมีการเก็บข้อมูลที่หลากหลาย ไม่ได้ควบคุม มีผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าที่หลากหลายที่ใช้ ไม่ได้เป็นแบบเดียวกันทั้งหมด เรียกว่าเป็นตัวแปรที่แปรปรวนมากทีเดียว
ผลการศึกษาออกมาว่า ในควันที่ผู้สูบสูดเข้าไปมีสารที่ทำให้เกิดพิษจริง ทั้งที่ระบุไว้และนอกเหนือจากที่ระบุไว้ --ส่วนตัวนะครับ น่าจะเกิดจากพฤติกรรมการสูบที่ไม่เหมือนกันอาจมีแหวกแนวบ้าง-- แต่ว่าระดับของสารเคมีที่เกิดขึ้นยังไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าจะทำให้เกิดอันตรายในมนุษย์ นี่คือข้อมูลตอนนี้นะครับข้อมูลผลที่จะเกิดในมนุษย์ในระยะยาวคงต้องรอไปก่อน ส่วนควันที่พ่นออกมาพบว่าแทบไม่มีผลต่อคนรอบข้างเลยในแง่พิษและนิโคติน --ส่วนเรื่องรำคาญและผิดกฎหมายอีกเรื่องหนึ่งนะครับ--
อันตรายเรื่องของการระเบิด มักเกิดกับวิธีการใช้ไม่ถูกต้อง และที่ชาร์จไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอัตราการเกิดก็เท่ากับเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป อันตรายจากน้ำยาเหลวหรือการใส่เกินขนาด เป็นขึดที่ทางคณะกรรมการจะนำเสนอหน่วยงานควบคุมให้ออกกฎเคร่งครัดในประเด็นนี้ บรรจุภัณฑ์ สารเคมี ตลับนิโคติน
การใช้เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยหยุดบุหรี่ (ส่วนตัวผมว่ามันงงๆ นะครับ ใช้บุหรี่เพื่อเลิกบุหรี่ สำหรับคำแนะนำของผมเอง ผมมักจะไม่นิยมสารทดแทนบุหรี่ แต่จะใช้ยาและพฤติกรรมบำบัดมากกว่า)
ตั้งแต่ปี 2013 กลุ่มคนที่ต้องการเลิกบุหรี่ หันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทนหมากฝรั่งหรือแผ่นแปะ ครึ่งต่อครึ่ง โดยข้อมูลจากผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าบอกว่า พวกเขาเลิกบุหรี่มวนได้มากขึ้นเมื่อมาใช้บุหรี่ไฟฟ้า --แต่นี่คือข้อมูลจากการสำรวจผู้ที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้านะครับ ไม่ใช่ข้อมูลจากผู้ที่เลิกสำเร็จทั้งหมด ต้องพิจารณาตรงนี้ด้วย--
แล้วถามว่ามีข้อมูลจากการศึกษาแบบทางการแพทย์แบบการทดลองซึ่งน่าเชื่อมากกว่าการสำรวจหรือไม่ คำตอบคือ..มีนะครับ โดยราชวิทยาลัยอายุรแพทย์สหราชอาณาจักร ข้อมูลที่ได้สรุปออกมาดังนี้
A. ถ้าเทียบกับไปหาซื้อ สารทดแทนนิโคตินอื่นๆมาใช้เองโดยไม่ได้ควบคุมโดยแพทย์ บุหรี่ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพในการเลิกมากกว่าตัวทดแทนอย่างอื่นเกือบ 50%
B. ถ้าเทียบกับให้หมอเป็นคนสั่งและดูแลสารทดแทนนิโคติน (ไม่ได้เข้าคลินิกเลิกบุหรี่นะ) พบว่าประสิทธิภาพในการช่วยเลิกบุหรี่ พอๆกัน
C. ถ้าเทียบกับการเข้าคลินิกเลิกบุหรี่เต็มรูปแบบ อันนี้การเข้าคลินิกจะดีกว่ามากครับ
ส่วนการศึกษาถึงการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเลิกบุหรี่..ในคลินิกเลิกบุหรี่..--ส่วนตัวคิดว่าอันนี้ดูจะดีนะครับ ตามทฤษฎีเพราะมีการควบคุมการใช้เข้มงวด-- การศึกษานี้ทำลังดำเนินอยู่ ต้องรออีกหน่อยครับ
ข้อด้อยของประเด็นใช้เป็นอุปกรณ์การเลิกบุหรี่คือ ข้อมูลที่เป็น clinical trials ซึ่งถือเป็นลำดับความน่าเชื่อถือสูงที่สุดของการรักษาทางการแพทย์นั้น มีน้อย ที่มีน้อยๆก็ไม่สมบูรณ์ด้วย ข้อมูลที่มาสรุปเรื่องการเป็นอุปกรณ์การเลิกบุหรี่นั้น มาจากการศึกษาเล็กๆ หรือจากการสำรวจ ซึ่งทางการแพทย์ถือว่าเป็นหลักฐานที่อ่อนครับ --จึงยังไม่สามารถยืนยันอนุมัติให้ใช้เป็นอุปกรณ์ในการเลิกบุหรี่นั่นเอง--
อีกอย่างข้อมูลต่างๆนั้นมาจากบุหรี่ไฟฟ้ายุคแรกๆ ประสิทธิภาพการส่งนิโคตินยังไม่ดีมาก ยังไม่สามารถพิสูจน์ว่าใช้เลิกได้ และถ้าคิดว่าบุหรี่ไฟฟ้ายุคใหม่ที่ประสิทธิภาพการนำส่งนิโคตินดีกว่ายุคเก่าๆ โอกาสจะเลิกบุหรี่คือยุติการเสพนิโคตินได้ ก็จะยากขึ้น (เพราะส่งนิโคตินได้ดีมากนั่นเอง)
ตัวเลขคนที่เข้ารับบริการคลินิกเลิกบุหรี่ที่ลดลง ดูสอดคล้องกับตัวเลขบุหรี่ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและบุหรี่มวนที่ลดลง แต่ว่าไม่สามารถแปลว่าใช้บุหรี่ไฟฟ้าแล้วจะไม่ต้องเข้าบริการคลินิกเลิกบุหรี่นะครับ ห้ามแปลแบบนั้นเพราะไม่ได้มาจากการศึกษาที่ออกแบบมาตอบปัญหานี้โดยตรงเป็นแค่ข้อสังเกตทางตัวเลข ที่อาจจะถูกหรือผิดก็ได้
ผลกระทบทางสังคม
กับคำถามที่ว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าจะเป็นทางเริ่มไปสู่การเสพอย่างอื่นหรือกลับมาสูบบุหรี่หรือไม่ โดยเฉพาะกับเยาวชน รายงานนี้แจ้งว่ายังไม่มีผลการศึกษาที่ยืนยันความคิดเหล่านั้น ***อันนี้ขอดอกจันเลยนะครับ การที่ยังไม่มีผลการศึกษาว่าเกี่ยวข้อง ไม่เท่ากับ การมีผลการศึกษาว่าไม่เกี่ยวข้อง*** พูดเป็นภาษาง่ายๆคือ ยังไม่รู้นั่นเอง ไม่มีคำตอบ ต้องศึกษาทดลองจึงจะรู้ว่าเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวข้อง คำอธิบายอยู่ที่สถิติของจริงตอนต้นที่ผมอธิบายไปแล้ว
แล้วการกำหนดเขตปลอดควัน มีผลไหม คำตอบคือ การกำหนดเขตปลอดควันของทางอังกฤษไม่ได้รวมบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ในนั้น ดังนั้นสถานที่หรือองค์กรใดจะกำหนดพื้นที่ปลอดควันว่าจะปลอดทั้งหมด หรือปลอดเฉพาะควันบุหรี่จริง อันนี้เป็นดุยพินิจของแต่ละสถานที่ครับ ยังไม่มีข้อมูล...มาอีกแล้ว ยังไม่มีข้อมูล..นะครับ ว่าการห้ามสูบบุหรี่ไฟฟ้าจะส่งผลอย่สงไรต่อการกลับมาสูบบุหรี่ใหม่และสุขภาพของสาธารณะ..--- ส่วนตัวนะครับ อนาคตอาจมีข้อมูลมากขึ้นอาจเป็นทางบวกหรือทางลบก็ได้-- หลายองค์กรก็ห้ามหลายองค์กรก็ไม่ห้าม อันนี้ไม่มีใครถูกผิด
การควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า
EU tobacco products directives กำหนดนโยบายให้หลายๆประเทศนำไปใช้ หนึ่งในนั้นคืออังกฤษ --ผมไม่แน่ใจถ้าอังกฤษออกจากอียู กฎนี้เขาจะยังใช้อีกหรือไม่-- ดังนั้นถ้าจะนำบุหรี่ไฟฟ้าที่ถูกต้องมาจำหน่ายจะต้องผ่านการอนุญาตและมีการรับรองด้วย --ตรงนี้จะเห็นว่าการควบคุมของเขาต่างจากเรา ไม่ได้ควบคุมแต่ตัวกฎหมายแต่คุมไปถึงมาตรฐานการผลิตด้วย--
ทางอังกฤษกำหนดตายตัวเมื่อ 20 พค. 2559 ถึงมาตรฐานการผลิต ขนาดบรรจุ อุปกรณ์ นิโคตินรีฟิวส์ มีได้ไม่เกินเท่าไร ปลอดภัยอย่างไร บังคับตั้งแต่การผลิตเลย ส่วนล็อตที่ออกมาก่อนหน้านี้ผู้ค้ารายย่อยต้องกำจัดให้หมดก่อน 20 พค. 2560 เพราะอาจไม่ได้มาตรฐานใหม่ที่กำหนด --เขาเข้มงวดกว่าเรามาก จึงคุมอยู่ พ่อค้านอกแถวไม่น่าจะมากมาย--
ภาชนะใส่นิโคตินและการบรรจุนิโคติน พบว่าใช้เกินเพียง 10% แต่ก็ทำให้เกิดแนวคิดที่จะทำอุปกรณ์ที่ควบคุมปริมาณนิโคตินที่คงที่ ปรับไม่ได้และแน่นอนปริมาณนิโคตินน้อยลง แต่ก็ยังมีเสียงคัดค้านว่า อาจจะเป็นจุดที่ผู้ค้าเถื่อนจะขายบุหรี่ไฟฟ้าที่มีนิโคตินสูงๆมาแทรกตลาดได้
การควบคุมสื่อ การโฆษณา ถูกควบคุมเข้มงวดมากเลยนะครับ ในสื่อต่างๆทีวี วิทยุ แต่บางส่วนก็ไปโผล่ตามป้ายต่างๆ ข้างรถบัสก็มี --อันนี้คงต้องควบคุมจริงๆนั่นแหละ ทั้งบุหรี่จริงและบุหรี่ไฟฟ้า แต่อยากรู้จังว่าเมื่อคุมการนำเสนอขนาดนั้น ข้อมูลยังมีตั้งมากมาย อยากรู้จริงๆว่าเขาคุมอย่างไร-- หลายๆคนเห็นชอบด้วยเพราะไม่อยากให้เด็กๆรู้และจดจำ แต่ในทางปฏิบัติอาจทำเรื่องพวกนี้ยาก ให้เปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ไม่ให้ดูเหมือนการเป็นโปรโมทสินค้า ท่านลองคิดสิ ยากนะ--
การจดทะเบียนบุหรี่ไฟฟ้าเป็นยา
การจะจดทะเบียนบุหรี่ไฟฟ้าเป็นยา โดยเฉพาะเพื่อรับรองการใช้เพื่อเลิกบุหรี่นั้น ต้องทำการศึกษาทดลองทางคลินิกเพื่อให้เห็นประสิทธิภาพและความปลอดภัยของบุหรี่ไฟฟ้าเทียบกับผลิตภัณฑ์ทดแทนนิโคตินอย่างอื่น (ต้องเทียบกับผลิตัณฑ์ทดแทนนิโคตินนะครับ จะไปเทียบกับยาเลิกบุหรี่ไม่ได้คนละประเภทกัน) โดยมีระเบียบวิธีวิจัยทางคลินิกที่ถูกต้อง
ปัจจุบันนี้มีบุหรี่ไฟฟ้าของ british american tobacco subsidiary อยู่ตัวหนึ่ง ตัวเดียวเท่านั้น ได้รับอนุญาตเป็นยาแล้ว !!! แต่ยังไม่พร้อมวางจำหน่าย ตัวบุหรี่ไฟฟ้าที่ได้รับอนุมัติมีสองขนาดนิโคตินเท่านั้น --คล้ายๆกับยาที่มีขนาดที่ใช้ในการรักษา-- โดยการรับรองของทางการอังกฤษ แต่ยังมีแค่ตัวเดียวนะครับ ผลจริงๆในการใช้และสิ่งที่จะเกิดหลังจากวางขายที่เรียกว่า postmargeting results ยังไม่มีข้อมูล
การพัฒนาเป็นยา อาจเป็นอีกก้าวของการพัฒนาศักยภาพและความปลอดภัยบุหรี่ไฟฟ้า แต่เมื่อมาเป็นยาก็จะต้องมีการควบคุมการศึกษาเข้มงวด รายได้จากบุหรี่ไฟฟ้าเดิมภาษี 20% เมื่อเป็นยาก็จะหดลงเหลือ 5% ทั้งภาษีและกระบวนการการทดสอบที่ค้องใช้เวลานาน การควบคุมเคร่งครัด ทำให้โอกาสจะเอามาใช้เป็นยานั้น..ลดลง --เรียกว่าไม่คุ้มนั่นเองครับ ส่วนตัวนะ-- มีข้อมูลเล็กๆน้อยๆจากผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าว่าที่เขาใช้ทุกวันนี้ก็เพราะว่ามันไม่ได้จดทะเบียนเป็นยานี่แหละ (เพราะคงมีข้อบังคับมากมาย)
ตั้งแต่บุหรี่ไฟฟ้าเริ่มแพร่หลายนั้นประเทศอังกฤษมีคนใช้ 3ล้านแล้วนับว่าเป็นตลาดที่ใหญ่อันดับสองรองจากอเมริกา เมื่อมีการใช้มากขึ้นแน่นอนก็เริ่มมีคำถามสองอย่าง อย่างแรกคือผลต่อสาธารณสุขในภาพรวม..ย้ำว่าภาพรวมนะครับ และเรื่องของการจะใช้เป็นอุปกรณ์เลิกบุหรี่ได้หรือไม่ ซึ่งต้องคำนึงถึงว่าอาจทำให้ติดนิโคตินนานขึ้น และชักนำให้เยาวชนหันมาติดนิโคตินมากขึ้นหรือไม่
ต้องขอบอกว่า บุหรี่ไฟฟ้าในสหภาพยุโรปและอังกฤษมีองค์กรควบคุมนะครับ เพราะที่นั่นสามารถใช้ได้ตามกฎหมาย การจะประยุกต์ใช้หลักการต่างๆนี้ในเมืองไทย ต้องคิดให้ถ้วนถี่ว่าสามารถใช้ได้หรือไม่ เพราะบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมายของไทย
สถานการณ์ของอังกฤษในรอบ 40 ปีนี้ผู้สูบบุหรี่ลดลง แต่ก็ยังมีผู้สูบหน้าใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ
ภาษีสรรพสามิตจากบุหรี่ของอังกฤษในรอบปีที่ผ่านมาคือ 9.5 พันล้านปอนด์ในขณะที่รายจ่ายด้านสุขภาพจากบุหรี่ที่ต้องจ่ายคือ 2 พันล้านปอนด์ --ส่วนตัวนะครับ เอามาเทียบกับเมืองไทยไม่ได้นะครับ พันธุกรรม การรักษา สตางค์ต่างกัน-- และสาเหตุของสุขภาพที่เสียไปเกิดจาก "ควันบุหรี่เผาไหม้" ไม่ได้เกิดจากนิโคติน --ส่วนตัว แต่สาเหตุการติดคือนิโคติน ลองดูกลไกการติดนิโคตินในไลฟ์ที่ผมเคยทำเอาไว้นะครับ-- นโยบายเรื่องยาสูบของอังกฤษ จึงสนับสนุนการลดการสูบยาและใช้ผลิตภัณฑ์นิโคตินที่ปลอดภัยกว่าเดิม (คือปลอดภัยกว่าบุหรี่แบบเดิม) นี่เองที่เป็นจุดเริ่มของการศึกษาว่าบุหรี่ไฟฟ้ามันปลอดภัยและตอบโจทย์ของเขาไหม
ตัวเลขทางสถิติของอังกฤษบอกว่าหลังจากบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายนั้นอัตราการใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตัวเลขประมาณสามล้าน แต่อัตรานั้นเริ่มชะลอตัวในช่วงสองปีนี้ ตัวเลขทางสถิติที่ผมจะแสดงนี้ ตัวเลขเป็นข้อเท็จจริง แต่สาเหตุต่างๆนั้นเป็นบทวิเคราะห์ของผมนะครับ
61% ของผู้สูบบุหรี่เคยลองบุหรี่ไฟฟ้า แต่มีผู้ใช้ต่อเนื่องเพียง 19% -- บุหรี่ไฟฟ้ายังไม่สามารถมาตัดยอดหรือแทนบุหรี่จริงๆได้
19% ของผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่เคยลองบุหรี่ไฟฟ้า แต่มีผู้ใช้ต่อ 8% -- ชักนำให้สูบหรือติดนิโคตินมากขึ้นหรือไม่ ก็คงมากขึ้นจริงครับ--
ในตัวเลขสองชุดนี้ ต้องบอกว่าผู้ลองใช้บุหรี่ไฟฟ้า ลองมาใช้ดู เพิ่มขึ้น แต่ว่าใช้ต่อไม่มากนักนะครับ
เด็กอายุ 11 ปีลองใช้บุหรี่ไฟฟ้า 5% ส่วนอายุ 16 ปีเคยลองใช้อยู่ที่ 26% ไม่ได้มีรายงานการใช้ต่อเนื่องที่สำคัญทางสถิติ --แต่ว่าลองสังเกต เด็กสิบหกปีลองบุหรี่ไฟฟ้าถึง 26% มากกว่าผู้ใหญ่ที่ไม่เคยสูบ (19%) เสียอีก แม้ว่าจะไม่ได้แสดงให้เห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้าทำให้เยาวชนติดนิโคตินมากขึ้น แต่แสดงให้เห็นว่าเยาวชนไปลองบุหรี่ไฟฟ้ามากจริงนะครับ--
บุหรี่ไฟฟ้าขยายตลาดเร็วมากประมาณปีละ 50% เดิมทีนั้นเป็นตลาดของผู้ผลิตรายย่อย แต่ปัจจุบันนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ก็เริ่มมาเป็นส่วนแบ่งในตลาดแล้ว ไม่ใช่แค่บุหรี่ไฟฟ้าที่เราเคยเห็น เขามาพร้อมผลิตภัณฑ์แบบใหม่ๆ ที่ยกตัวอย่างในรายงานนี้คือ "เผาแต่ไม่ไหม้" คือลดปริมาณความร้อนเผาไหม้ลงนั่นเอง เพื่อจะทำให้อันตรายจากควันการเผาไหม้นั้นลดลง สังเกตว่าการเข้ามาของบริษัทยักษ์ใหญ่ทำให้เกิดข้อกังขาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและการกำหนดนโยบาย --ส่วนตัวนะครับ แน่นอนล่ะ อัตราการเติบโตและกำไรมันหอมหวานขนาดนี้ ใครก็ต้องการมาลงทุนอยู่แล้ว บุหรี่มวนลดลง บุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น และยังไปสอดคล้องกับนโยบายรัฐอีก ส่วนจะทับซ้อนหรือไม่..ผมไม่ทราบครับ--
ผลกระทบต่อผู้เสพ..จากงานวิจัย
จากการสำรวจนะครับ ผู้คนโดยรวมคิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นโทษพอๆกับบุหรี่จริงเพิ่มขึ้นสามเท่าในสามปีที่ผ่านมา ในขณะที่ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่คิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่อันตราย ส่วนนี้เพิ่มขึ้นจาก 55% เป็น 69% -- แสดงให้เห็นมุมมองและการเลือกเชื่อข้อมูลในแต่ละกลุ่ม ทั้งๆที่มาจากข้อมูลชุดเดียวกัน-- ในกลุ่มคนที่สูบบุหรี่จริง เขาก็เชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายมากกว่าบุหรี่จริง !!! (เดิมคิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัย 40% สามปีถัดมา คิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยนั้นลดลงเหลือแค่ 29%) ส่วนเด็กๆ เขาก็คิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตราย แต่เขาคิดว่าอันตรายจากสารแต่งสีแต่งกลิ่นครับ
ผลกระทบต่อผู้เสพโดยตรงและบุคคลรอบข้างนั้น มุ่งเน้นไปที่ควันอันเกิดจากบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งข้อมูลตรงนี้แปรปรวนพอควรนะครับ เนื่องจากมีการเก็บข้อมูลที่หลากหลาย ไม่ได้ควบคุม มีผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าที่หลากหลายที่ใช้ ไม่ได้เป็นแบบเดียวกันทั้งหมด เรียกว่าเป็นตัวแปรที่แปรปรวนมากทีเดียว
ผลการศึกษาออกมาว่า ในควันที่ผู้สูบสูดเข้าไปมีสารที่ทำให้เกิดพิษจริง ทั้งที่ระบุไว้และนอกเหนือจากที่ระบุไว้ --ส่วนตัวนะครับ น่าจะเกิดจากพฤติกรรมการสูบที่ไม่เหมือนกันอาจมีแหวกแนวบ้าง-- แต่ว่าระดับของสารเคมีที่เกิดขึ้นยังไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าจะทำให้เกิดอันตรายในมนุษย์ นี่คือข้อมูลตอนนี้นะครับข้อมูลผลที่จะเกิดในมนุษย์ในระยะยาวคงต้องรอไปก่อน ส่วนควันที่พ่นออกมาพบว่าแทบไม่มีผลต่อคนรอบข้างเลยในแง่พิษและนิโคติน --ส่วนเรื่องรำคาญและผิดกฎหมายอีกเรื่องหนึ่งนะครับ--
อันตรายเรื่องของการระเบิด มักเกิดกับวิธีการใช้ไม่ถูกต้อง และที่ชาร์จไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอัตราการเกิดก็เท่ากับเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป อันตรายจากน้ำยาเหลวหรือการใส่เกินขนาด เป็นขึดที่ทางคณะกรรมการจะนำเสนอหน่วยงานควบคุมให้ออกกฎเคร่งครัดในประเด็นนี้ บรรจุภัณฑ์ สารเคมี ตลับนิโคติน
การใช้เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยหยุดบุหรี่ (ส่วนตัวผมว่ามันงงๆ นะครับ ใช้บุหรี่เพื่อเลิกบุหรี่ สำหรับคำแนะนำของผมเอง ผมมักจะไม่นิยมสารทดแทนบุหรี่ แต่จะใช้ยาและพฤติกรรมบำบัดมากกว่า)
ตั้งแต่ปี 2013 กลุ่มคนที่ต้องการเลิกบุหรี่ หันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทนหมากฝรั่งหรือแผ่นแปะ ครึ่งต่อครึ่ง โดยข้อมูลจากผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าบอกว่า พวกเขาเลิกบุหรี่มวนได้มากขึ้นเมื่อมาใช้บุหรี่ไฟฟ้า --แต่นี่คือข้อมูลจากการสำรวจผู้ที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้านะครับ ไม่ใช่ข้อมูลจากผู้ที่เลิกสำเร็จทั้งหมด ต้องพิจารณาตรงนี้ด้วย--
แล้วถามว่ามีข้อมูลจากการศึกษาแบบทางการแพทย์แบบการทดลองซึ่งน่าเชื่อมากกว่าการสำรวจหรือไม่ คำตอบคือ..มีนะครับ โดยราชวิทยาลัยอายุรแพทย์สหราชอาณาจักร ข้อมูลที่ได้สรุปออกมาดังนี้
A. ถ้าเทียบกับไปหาซื้อ สารทดแทนนิโคตินอื่นๆมาใช้เองโดยไม่ได้ควบคุมโดยแพทย์ บุหรี่ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพในการเลิกมากกว่าตัวทดแทนอย่างอื่นเกือบ 50%
B. ถ้าเทียบกับให้หมอเป็นคนสั่งและดูแลสารทดแทนนิโคติน (ไม่ได้เข้าคลินิกเลิกบุหรี่นะ) พบว่าประสิทธิภาพในการช่วยเลิกบุหรี่ พอๆกัน
C. ถ้าเทียบกับการเข้าคลินิกเลิกบุหรี่เต็มรูปแบบ อันนี้การเข้าคลินิกจะดีกว่ามากครับ
ส่วนการศึกษาถึงการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเลิกบุหรี่..ในคลินิกเลิกบุหรี่..--ส่วนตัวคิดว่าอันนี้ดูจะดีนะครับ ตามทฤษฎีเพราะมีการควบคุมการใช้เข้มงวด-- การศึกษานี้ทำลังดำเนินอยู่ ต้องรออีกหน่อยครับ
ข้อด้อยของประเด็นใช้เป็นอุปกรณ์การเลิกบุหรี่คือ ข้อมูลที่เป็น clinical trials ซึ่งถือเป็นลำดับความน่าเชื่อถือสูงที่สุดของการรักษาทางการแพทย์นั้น มีน้อย ที่มีน้อยๆก็ไม่สมบูรณ์ด้วย ข้อมูลที่มาสรุปเรื่องการเป็นอุปกรณ์การเลิกบุหรี่นั้น มาจากการศึกษาเล็กๆ หรือจากการสำรวจ ซึ่งทางการแพทย์ถือว่าเป็นหลักฐานที่อ่อนครับ --จึงยังไม่สามารถยืนยันอนุมัติให้ใช้เป็นอุปกรณ์ในการเลิกบุหรี่นั่นเอง--
อีกอย่างข้อมูลต่างๆนั้นมาจากบุหรี่ไฟฟ้ายุคแรกๆ ประสิทธิภาพการส่งนิโคตินยังไม่ดีมาก ยังไม่สามารถพิสูจน์ว่าใช้เลิกได้ และถ้าคิดว่าบุหรี่ไฟฟ้ายุคใหม่ที่ประสิทธิภาพการนำส่งนิโคตินดีกว่ายุคเก่าๆ โอกาสจะเลิกบุหรี่คือยุติการเสพนิโคตินได้ ก็จะยากขึ้น (เพราะส่งนิโคตินได้ดีมากนั่นเอง)
ตัวเลขคนที่เข้ารับบริการคลินิกเลิกบุหรี่ที่ลดลง ดูสอดคล้องกับตัวเลขบุหรี่ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและบุหรี่มวนที่ลดลง แต่ว่าไม่สามารถแปลว่าใช้บุหรี่ไฟฟ้าแล้วจะไม่ต้องเข้าบริการคลินิกเลิกบุหรี่นะครับ ห้ามแปลแบบนั้นเพราะไม่ได้มาจากการศึกษาที่ออกแบบมาตอบปัญหานี้โดยตรงเป็นแค่ข้อสังเกตทางตัวเลข ที่อาจจะถูกหรือผิดก็ได้
ผลกระทบทางสังคม
กับคำถามที่ว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าจะเป็นทางเริ่มไปสู่การเสพอย่างอื่นหรือกลับมาสูบบุหรี่หรือไม่ โดยเฉพาะกับเยาวชน รายงานนี้แจ้งว่ายังไม่มีผลการศึกษาที่ยืนยันความคิดเหล่านั้น ***อันนี้ขอดอกจันเลยนะครับ การที่ยังไม่มีผลการศึกษาว่าเกี่ยวข้อง ไม่เท่ากับ การมีผลการศึกษาว่าไม่เกี่ยวข้อง*** พูดเป็นภาษาง่ายๆคือ ยังไม่รู้นั่นเอง ไม่มีคำตอบ ต้องศึกษาทดลองจึงจะรู้ว่าเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวข้อง คำอธิบายอยู่ที่สถิติของจริงตอนต้นที่ผมอธิบายไปแล้ว
แล้วการกำหนดเขตปลอดควัน มีผลไหม คำตอบคือ การกำหนดเขตปลอดควันของทางอังกฤษไม่ได้รวมบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ในนั้น ดังนั้นสถานที่หรือองค์กรใดจะกำหนดพื้นที่ปลอดควันว่าจะปลอดทั้งหมด หรือปลอดเฉพาะควันบุหรี่จริง อันนี้เป็นดุยพินิจของแต่ละสถานที่ครับ ยังไม่มีข้อมูล...มาอีกแล้ว ยังไม่มีข้อมูล..นะครับ ว่าการห้ามสูบบุหรี่ไฟฟ้าจะส่งผลอย่สงไรต่อการกลับมาสูบบุหรี่ใหม่และสุขภาพของสาธารณะ..--- ส่วนตัวนะครับ อนาคตอาจมีข้อมูลมากขึ้นอาจเป็นทางบวกหรือทางลบก็ได้-- หลายองค์กรก็ห้ามหลายองค์กรก็ไม่ห้าม อันนี้ไม่มีใครถูกผิด
การควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า
EU tobacco products directives กำหนดนโยบายให้หลายๆประเทศนำไปใช้ หนึ่งในนั้นคืออังกฤษ --ผมไม่แน่ใจถ้าอังกฤษออกจากอียู กฎนี้เขาจะยังใช้อีกหรือไม่-- ดังนั้นถ้าจะนำบุหรี่ไฟฟ้าที่ถูกต้องมาจำหน่ายจะต้องผ่านการอนุญาตและมีการรับรองด้วย --ตรงนี้จะเห็นว่าการควบคุมของเขาต่างจากเรา ไม่ได้ควบคุมแต่ตัวกฎหมายแต่คุมไปถึงมาตรฐานการผลิตด้วย--
ทางอังกฤษกำหนดตายตัวเมื่อ 20 พค. 2559 ถึงมาตรฐานการผลิต ขนาดบรรจุ อุปกรณ์ นิโคตินรีฟิวส์ มีได้ไม่เกินเท่าไร ปลอดภัยอย่างไร บังคับตั้งแต่การผลิตเลย ส่วนล็อตที่ออกมาก่อนหน้านี้ผู้ค้ารายย่อยต้องกำจัดให้หมดก่อน 20 พค. 2560 เพราะอาจไม่ได้มาตรฐานใหม่ที่กำหนด --เขาเข้มงวดกว่าเรามาก จึงคุมอยู่ พ่อค้านอกแถวไม่น่าจะมากมาย--
ภาชนะใส่นิโคตินและการบรรจุนิโคติน พบว่าใช้เกินเพียง 10% แต่ก็ทำให้เกิดแนวคิดที่จะทำอุปกรณ์ที่ควบคุมปริมาณนิโคตินที่คงที่ ปรับไม่ได้และแน่นอนปริมาณนิโคตินน้อยลง แต่ก็ยังมีเสียงคัดค้านว่า อาจจะเป็นจุดที่ผู้ค้าเถื่อนจะขายบุหรี่ไฟฟ้าที่มีนิโคตินสูงๆมาแทรกตลาดได้
การควบคุมสื่อ การโฆษณา ถูกควบคุมเข้มงวดมากเลยนะครับ ในสื่อต่างๆทีวี วิทยุ แต่บางส่วนก็ไปโผล่ตามป้ายต่างๆ ข้างรถบัสก็มี --อันนี้คงต้องควบคุมจริงๆนั่นแหละ ทั้งบุหรี่จริงและบุหรี่ไฟฟ้า แต่อยากรู้จังว่าเมื่อคุมการนำเสนอขนาดนั้น ข้อมูลยังมีตั้งมากมาย อยากรู้จริงๆว่าเขาคุมอย่างไร-- หลายๆคนเห็นชอบด้วยเพราะไม่อยากให้เด็กๆรู้และจดจำ แต่ในทางปฏิบัติอาจทำเรื่องพวกนี้ยาก ให้เปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ไม่ให้ดูเหมือนการเป็นโปรโมทสินค้า ท่านลองคิดสิ ยากนะ--
การจดทะเบียนบุหรี่ไฟฟ้าเป็นยา
การจะจดทะเบียนบุหรี่ไฟฟ้าเป็นยา โดยเฉพาะเพื่อรับรองการใช้เพื่อเลิกบุหรี่นั้น ต้องทำการศึกษาทดลองทางคลินิกเพื่อให้เห็นประสิทธิภาพและความปลอดภัยของบุหรี่ไฟฟ้าเทียบกับผลิตภัณฑ์ทดแทนนิโคตินอย่างอื่น (ต้องเทียบกับผลิตัณฑ์ทดแทนนิโคตินนะครับ จะไปเทียบกับยาเลิกบุหรี่ไม่ได้คนละประเภทกัน) โดยมีระเบียบวิธีวิจัยทางคลินิกที่ถูกต้อง
ปัจจุบันนี้มีบุหรี่ไฟฟ้าของ british american tobacco subsidiary อยู่ตัวหนึ่ง ตัวเดียวเท่านั้น ได้รับอนุญาตเป็นยาแล้ว !!! แต่ยังไม่พร้อมวางจำหน่าย ตัวบุหรี่ไฟฟ้าที่ได้รับอนุมัติมีสองขนาดนิโคตินเท่านั้น --คล้ายๆกับยาที่มีขนาดที่ใช้ในการรักษา-- โดยการรับรองของทางการอังกฤษ แต่ยังมีแค่ตัวเดียวนะครับ ผลจริงๆในการใช้และสิ่งที่จะเกิดหลังจากวางขายที่เรียกว่า postmargeting results ยังไม่มีข้อมูล
การพัฒนาเป็นยา อาจเป็นอีกก้าวของการพัฒนาศักยภาพและความปลอดภัยบุหรี่ไฟฟ้า แต่เมื่อมาเป็นยาก็จะต้องมีการควบคุมการศึกษาเข้มงวด รายได้จากบุหรี่ไฟฟ้าเดิมภาษี 20% เมื่อเป็นยาก็จะหดลงเหลือ 5% ทั้งภาษีและกระบวนการการทดสอบที่ค้องใช้เวลานาน การควบคุมเคร่งครัด ทำให้โอกาสจะเอามาใช้เป็นยานั้น..ลดลง --เรียกว่าไม่คุ้มนั่นเองครับ ส่วนตัวนะ-- มีข้อมูลเล็กๆน้อยๆจากผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าว่าที่เขาใช้ทุกวันนี้ก็เพราะว่ามันไม่ได้จดทะเบียนเป็นยานี่แหละ (เพราะคงมีข้อบังคับมากมาย)
22 เมษายน 2560
โรคติดเชื้อราที่หลอดอาหาร
วารสาร New England Journal of Medicine ฉบับเมื่อ 20 เมษายน 2560 ลงภาพโรคติดเชื้อราที่หลอดอาหาร
คุณหมอ ทาเคชิ คอนโดะ และ คาสุฮิโกะ เทอราดะ จากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชิบะ จากญี่ปุ่น ลงภาพถ่ายหลอดอาหารของชายอายุ 72 ปี มีอาการกลืนเจ็บมาสองสัปดาห์ โดยที่สี่เดือนก่อนเขาป่วยเป็นหลอดลมอักเสบรุนแรง ต้องได้รับยาปฏิชีวินะเป็นเวลานาน
ผู้ป่วยมารับการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบนและพบลักษณะปื้นขาวๆยาวๆ คล้ายๆคราบเต้าหู้ ตลอดทางเดินหลอดอาหาร ผลการตรวจก็พบเป็นเชื้อราที่ชื่อว่า Candida albicans
หลังจากที่ให้ยารักษาเชื้อราเป็นเวลาสองสัปดาห์ ผู้ป่วยอาการดีขึ้น มาส่องกล้องซ้ำก็ไม่พบเชื้อราแล้ว ดังภาพที่ปรากฏ
ผู้ป่วยมารับการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบนและพบลักษณะปื้นขาวๆยาวๆ คล้ายๆคราบเต้าหู้ ตลอดทางเดินหลอดอาหาร ผลการตรวจก็พบเป็นเชื้อราที่ชื่อว่า Candida albicans
หลังจากที่ให้ยารักษาเชื้อราเป็นเวลาสองสัปดาห์ ผู้ป่วยอาการดีขึ้น มาส่องกล้องซ้ำก็ไม่พบเชื้อราแล้ว ดังภาพที่ปรากฏ
ร่างกายคนปกติก็มีเชื้อรา และทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ หรือผิวหนังก็เป็นด่านหน้าของการรับเชื้อราจากภายนอก ในคนปกติส่วนใหญ่แล้วสามารถกำจัดและควบคุมเชื้อราไม่ให้ก่อโรคได้ รวมทั้งเชื้อรานั้นส่วนมากก็ไม่ได้ดุเหมือนแบคทีเรีย อัตราการเกิดโรคจึงไม่สูง (เชื้อราดุๆ ก็มีนะครับ)
แต่ถ้าร่างกายอ่อนแอ เช่น ป่วยเป็นโรคติดเชื้อเอชไอวี ได้รับยาเคมีบำบัด เป็นเบาหวานที่คุมไม่ได้นานๆ ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอทำให้ควบคุมเชื้อราไม่อยู่
แต่ถ้าร่างกายอ่อนแอ เช่น ป่วยเป็นโรคติดเชื้อเอชไอวี ได้รับยาเคมีบำบัด เป็นเบาหวานที่คุมไม่ได้นานๆ ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอทำให้ควบคุมเชื้อราไม่อยู่
หรือความเสี่ยงบางอย่างที่แม้คนที่ภูมิคุ้มกันปกติ มีความเสี่ยงนี้ก็อาจทำให้ควบคุมเชื้อราไม่ได้ เกิดเป็นโรคติดเชื้อรา เช่นได้รับยาสเตียรอยด์ต่อเนื่องกันนานๆ หรือได้รับยาฆ่าเชื้อต่อเนื่องกันนานๆ (เชื้อแบคทีเรียดีๆ ที่คอยป้องกันเชื้อรามันจบชีวิตไปด้วย)
เชื้อราอาจเจริญได้ในอีกหลายที่ เช่น ในช่องคลอด(โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างช่องคลอด) ในปาก(โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยาสูดสเตียรอยด์แล้วไม่รักษาความสะอาดช่องปาก) ทางเดินหายใจ ที่ผิวหนังบริเวณข้อพับ หรือแถวๆก้น
การรักษานอกจากให้ยาฆ่าเชื้อราแล้ว จึงต้องมาพิจารณาต้นตอของความเสี่ยงและจัดการความเสี่ยงที่จะเกิดเชื้อราด้วย เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำครับ
ST elevation evolution
ผู้ป่วยทุกคน อาจจะไม่ได้มีอาการอย่างที่เคยรู้ เคยเรียนในตำรา
..
บุคลากรทุกคน อาจมีประสบการณ์การรักษาคนไข้ ที่มากน้อยต่างกัน
..
เครื่องมือ และอุปกรณ์ต่างๆ ของแต่ละที่ อาจไม่เหมือนกัน
..
แต่ไม่ว่าอย่างไร การติดตามดูแลผู้ป่วย ประเมินอาการเมื่อสงสัย ตรวจซ้ำจนมั่นใจ สามารถช่วยทุกคนได้
..
บุคลากรทุกคน อาจมีประสบการณ์การรักษาคนไข้ ที่มากน้อยต่างกัน
..
เครื่องมือ และอุปกรณ์ต่างๆ ของแต่ละที่ อาจไม่เหมือนกัน
..
แต่ไม่ว่าอย่างไร การติดตามดูแลผู้ป่วย ประเมินอาการเมื่อสงสัย ตรวจซ้ำจนมั่นใจ สามารถช่วยทุกคนได้
ผู้ป่วยรายนี้มีอาการปวดหลังมาก ปวดแน่นเหงื่อออกใจสั่น มากลางดึก เนื่องจากอายุมากและมีความเสี่ยงโรคหัวใจ จึงได้รับการตรวจติดตามโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจต่อเนื่อง พบลักษณะการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ที่บ่งชี้หลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน
เรียกว่าการมี วิวัฒนาการของ ST segment จากยกไม่มาก จนยกมากขึ้นเรื่อยๆชัดเจน
ผลการตรวจฉีดสีผลหลอดเลือด proximal left anterior descending artery ตีบ 100% ได้รับการใส่บอลลูนและขดลวดถ่างขยาย ... ขณะนี้ปลอดภัยดีครับ
อย่าลืม ถ้าไม่มั่นใจ ติดตามผล อย่าทิ้งคนไข้ ... คำสอนเก่าๆยังใช้ได้เสมอ
ให้เลือด คือ โด๊ปยา
ไม่นานมานี้ มีผู้ป่วยเอาผลเลือดมาปรึกษา บอกว่าผลเลือดของเขาค่าฮีมาโตคริต 40% (ความเข้มข้นเม็ดเลือดแดง และตัวเลขนี้ก็คือปกติ) อย่างอื่นปกติ ร่างกายแข็งแรงดีเป็นนักกีฬาด้วย มาปรึกษาจะให้เลือดสักถุงสองถุง เพื่อจะได้มีแรงมากขึ้นตอนแข่งขันสุดสัปดาห์นี้ !!!
เขาบอกว่าเขาเคยได้แล้วแข็งแรงขึ้น สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น คือ ลักษณะกีฬาที่เขาแข่งเป็นการแข่งแบบเอ็นดูร้านซ์ คือ แข่งทนแข่งนาน
เนื่องจากผู้ที่มาปรึกษา ไม่เรียกว่าผู้ป่วยนะ ไม่มีข้อบ่งชี้การให้เลือด ตรวจร่างกายปกติ จึงอธิบายเขาว่าไม่ได้นะมันไม่มีข้อบ่งชี้ ซึ่งเขาก็ยอมรับ(ตอนนี้) ด้วยความสงสัยจึงไปทบทวนดู ก็พบมีการให้เลือด หรือสารเพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดจริงในการแข่งขันกีฬา ในช่วงปี 1970 นิยมให้เลือดมาก แต่ต่อมาพบผลข้างเคียงของการให้เลือด นักกีฬาจึงหันมาให้สารสังเคราะห์เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแทน
ปีก่อนเขียนเรื่อง มาเรีย ชาราโปว่า ที่ใช้ยาเมลโดเนียมแล้วถูกจับแบนการแข่งขัน ใครที่เป็นหมอแล้วต้องดูแลนักกีฬาคงต้องมาดูรายชื่อสารโด๊ป ที่เว็บไซต์ www.wada-ama.org ที่เป็นองค์การต่อต้านโด๊ปยา ได้เขียนรายชื่อยาและสารเคมีที่เป็นข้อห้ามเอาไว้ แบ่งเป็น ห้ามใช้ตลอด ห้ามใช้ในช่วงการแข่งขัน และ ห้ามใช้ในกีฬาบางชนิดเฉพาะ
การให้สารกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด ถือว่า ต้องห้ามตลอดเวลา ส่วนการให้เลือดไม่ว่าจะเป็นการใช้เลือดตัวเองที่บริจาคเก็บไว้ แล้วเอามาให้เมื่อจะแข่ง หรือ การใช้เลือดคนอื่น ถือเป็นสารใช้สารผิดแบบ ติดโด๊ปเหมือนกัน
การตรวจหาสารกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด มีชุดการตรวจที่ไว แม้สารนั้นจะเป็นสารสังเคราะห์จากร่างกายมนุษย์ก็ตาม ส่วนการตรวจหาเลือดคนที่แปลกปลอม สามารถใช้ flow cytochemistry และ immunohistochemistry ในการแยกได้ แต่จะยากขึ้นถ้าใช้เลือดตัวเอง การสืบหาการให้เลือดตัวเอง กำลังพัฒนามากขึ้น ใช้ครั้งแรกในกีฬาโอลิมปิกที่เอเธนส์
รายชื่อสารเคมีและยามีพอประมาณครับ นักกีฬาและทีมงานต้องทราบ หมอที่ดูแลรักษาเป็นประจำต้องทราบ ข้อมูลหาไม่ยาก จะบอกว่าไม่รู้จะฟังไม่ขึ้นนะครับ
ส่วนผม กาแฟสักถ้วย ก็โด๊ปได้แล้วนะครับ .. คุณๆทั้งหลายโด๊ปโดยใช้วิธีใด มาเล่าให้กันฟังบ้างครับ
เขาบอกว่าเขาเคยได้แล้วแข็งแรงขึ้น สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น คือ ลักษณะกีฬาที่เขาแข่งเป็นการแข่งแบบเอ็นดูร้านซ์ คือ แข่งทนแข่งนาน
เนื่องจากผู้ที่มาปรึกษา ไม่เรียกว่าผู้ป่วยนะ ไม่มีข้อบ่งชี้การให้เลือด ตรวจร่างกายปกติ จึงอธิบายเขาว่าไม่ได้นะมันไม่มีข้อบ่งชี้ ซึ่งเขาก็ยอมรับ(ตอนนี้) ด้วยความสงสัยจึงไปทบทวนดู ก็พบมีการให้เลือด หรือสารเพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดจริงในการแข่งขันกีฬา ในช่วงปี 1970 นิยมให้เลือดมาก แต่ต่อมาพบผลข้างเคียงของการให้เลือด นักกีฬาจึงหันมาให้สารสังเคราะห์เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแทน
ปีก่อนเขียนเรื่อง มาเรีย ชาราโปว่า ที่ใช้ยาเมลโดเนียมแล้วถูกจับแบนการแข่งขัน ใครที่เป็นหมอแล้วต้องดูแลนักกีฬาคงต้องมาดูรายชื่อสารโด๊ป ที่เว็บไซต์ www.wada-ama.org ที่เป็นองค์การต่อต้านโด๊ปยา ได้เขียนรายชื่อยาและสารเคมีที่เป็นข้อห้ามเอาไว้ แบ่งเป็น ห้ามใช้ตลอด ห้ามใช้ในช่วงการแข่งขัน และ ห้ามใช้ในกีฬาบางชนิดเฉพาะ
การให้สารกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด ถือว่า ต้องห้ามตลอดเวลา ส่วนการให้เลือดไม่ว่าจะเป็นการใช้เลือดตัวเองที่บริจาคเก็บไว้ แล้วเอามาให้เมื่อจะแข่ง หรือ การใช้เลือดคนอื่น ถือเป็นสารใช้สารผิดแบบ ติดโด๊ปเหมือนกัน
การตรวจหาสารกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด มีชุดการตรวจที่ไว แม้สารนั้นจะเป็นสารสังเคราะห์จากร่างกายมนุษย์ก็ตาม ส่วนการตรวจหาเลือดคนที่แปลกปลอม สามารถใช้ flow cytochemistry และ immunohistochemistry ในการแยกได้ แต่จะยากขึ้นถ้าใช้เลือดตัวเอง การสืบหาการให้เลือดตัวเอง กำลังพัฒนามากขึ้น ใช้ครั้งแรกในกีฬาโอลิมปิกที่เอเธนส์
รายชื่อสารเคมีและยามีพอประมาณครับ นักกีฬาและทีมงานต้องทราบ หมอที่ดูแลรักษาเป็นประจำต้องทราบ ข้อมูลหาไม่ยาก จะบอกว่าไม่รู้จะฟังไม่ขึ้นนะครับ
ส่วนผม กาแฟสักถ้วย ก็โด๊ปได้แล้วนะครับ .. คุณๆทั้งหลายโด๊ปโดยใช้วิธีใด มาเล่าให้กันฟังบ้างครับ
21 เมษายน 2560
จัดตู้ยา
มีตู้ยาอยู่ในบ้าน จะใส่ยาอะไรไว้ดี .. แม้ว่ายุคนี้การคมนาคมจะแสนสะดวก แต่ในอีกหลายพื้นที่ยังไม่มีรถ หลายหมู่บ้านห่างไกล มีแต่เด็กกับคนชรา มีกระบะอยู่สองคัน (จะนั่งแค็ปก็เสี่ยงอีก) ถ้ามียาสามัญไว้ตอนกลางค่ำกลางคืน จะดีกว่านะครับ ผมลองหาข้อมูลและทำรายการยาที่น่าจะจัดหาไว้ในบ้านครับ
1. ยาลดไข้ บรรเทาปวด อะไรจะดีไปกว่าพาราเซตามอล ใช้ง่ายปลอดภัย ซื้ออย่างที่บรรจุเป็นแผงนะครับ ฉีกออกใช้ทีละเม็ด จะได้ไม่เสียไม่ปนความชื้น เก็บไว้สักสองแผง ผู้ใหญ่ก็ครั้งละหนึ่งเม็ดหรือเม็ดครึ่ง เด็กโตก็ใช้เม็ด 325 มิลลิกรัมแทน ราคาไม่แพงครับ พาราเซตามอลแผงละ 10 เม็ด ราคา 8-12 บาท
2. ยาแก้จุกท้อง แสบท้อง ยาธาตุน้ำขาวก็ยังเป็นยาลดกรดที่ออกฤทธิ์เร็ว เอาติดไว้สักขวด หรือจะเป็นยาเม็ดที่ต้องเคี้ยวก่อนกลืน เช่นยา simethicone ก็ลดอาการได้เร็วครับ ราคาไม่แพง ติดบ้านไว้สักแผง ยาธาตุน้ำขาวขวดละ 49-55 บาทครับ
3. ยาแก้ท้องอืด แน่นท้อง ยาธาตุน้ำขาวก็ยังใช้ได้นะครับ หรือจะใช้ผงอีโนก็ใช้ได้ดี ติดไว้สักสามสี่ซองครับ อย่าลืมปล่อยให้ฟองฟู่หมดก่อนดื่มนะครับ
4. ยาแก้แพ้ เกิดลมพิษเฉียบพลัน แพ้อาหารจมูกบวม ปากหน้าบวม ใช้ยาแก้แพ้ก่อนไปหาหมอ แนะนำยาเม็ดคลอร์เฟนิรามีน ราคาถูก หาง่าย ประสิทธิภาพดี แต่ว่าง่วงซึมเล็กน้อย หรือถ้าต้องการง่วงซึมลดลง ก็ใช้ยาเม็ด loratadine แทนได้ครับ ราคาไม่ต่างกันมาก คลอร์เฟนิรามีนขององค์การเภสัช 100 เม็ด ประมาณ 12-15 บาท ส่วนถ้าเป็นยา loratadine แผงละ 30-40 บาท
5. น้ำเกลือแร่ ORS ทั้งแบบผู้ใหญ่และของเด็ก ติดไว้เลย 10 ซอง ใช้รักษาอาหารถ่ายเหลวเฉียบพลัน ดื่มแทนน้ำ จิบบ่อยๆ แต่ห้ามใช้ในแง่แทนอาหารหรือชดเชยเวลากินไม่ได้นะครับ หนึ่งซองน้ำหนึ่งแก้ว ในเด็กให้ใช้ช้อนป้อนเลย ราคา ORS ซองละ 4-8 บาท
6. ชุดทำแผล เดี๋ยวนี้เป็นชุดสะอาดบรรจุเสร็จ ฉีกซองใช้แล้วทิ้ง ข้างในมีถาดเล็กๆบรรจุผ้าก๊อส สำลี ปากคีบพลาสติกย่อยสลายง่าย น่าจะมีสักสองชุดนะครับ ใช้ได้สารพัดแผล สะอาดด้วย ราคาชุดทำแผลแบบใช้แล้วทิ้ง 10-15 บาท
7. น้ำเกลือล้างแผล ที่เป็นขวดลิตรพลาสติก เวลาบีบขวดแล้วน้ำเกลือจะพุ่งแรงล้างแผลได้ดี ใช้ล้างแผลสด แผลมีหนอง ไฟไหม้ ล้างตา ด้วยความที่สะอาดจึงฉีดตรงสู่แผลได้ ถ้าใช้หมดให้ใช้น้ำดื่มสะอาดไปก่อนครับ น้ำเกลือขวดละ 36 บาทครับ เปิดแล้วไม่ควรใช้นานเกิน 30 วันครับ
8. ยาใส่แผลสด แนะนำ เบต้าดีนเอาไว้ทำความสะอาดรอบแผลครับ ไม่ควรใส่เข้าไปในแผลตรงๆ และควรมีแอลกอฮอล์ 70% ขวดเล็กๆเอาไว้ด้วย เอาไว้เช็ดอุปกรณ์ต่างๆ และ..เหล้า ไม่ควรใช้นะครับ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และยาแดง เลิกใช้ไปเถอะครับ ราคาเบต้าดีน 20-45 บาท
9. ผ้าก๊อสและสำลีสะอาด แบ่งขายเป็นถุงบรรจุเล็กๆ เอาไว้เผื่อบาดแผลขนาดใหญ่ ผ้าพันแผลชนิดผ้ายืดเพื่อรัดห้ามเลือดสักม้วน และพลาสเตอร์ปิดแผลครับ ซองหนึ่งก็มีห้าแผ่น ผ้าก๊อสม้วนขนาดสองนิ้วราคา 5-8 บาท
10. เจลสารพัดประโยชน์ เอาไว้แช่เย็นประคบแผลฟกช้ำ กระแทกแล้วห้อเลือด สามารถใช้ซ้ำได้ อ่านคู่มือด้วยครับมีไว้สักก้อน ส่วนประคบร้อนไม่เคยใช้ครับแต่เห็นในเอกสารบอกทำได้ ผมแนะนำเอาผ้าห่อก่อนประคบนะครับ เจล cold pack - hot pack ราคาประมาณ 150-180 บาท
11. ยาหม่อง ขี้ผึ้งแซมบัค ใช้ทาบริเวณแมลงกัดต่อย บรรเทาอาการปวดและอาการอักเสบได้พอสมควรครับ ขี้ผึ้งแซมบัคราคาตลับละ 22 บาทครับ
12. ครีมใส่แผลไฟไหม้ ครีมซิงค์ กระปุกเล็กๆเอาไว้ทาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แล้วจึงค่อยพันแผล ลดอาการปวดแสบร้อน เพื่มความชื้น เลิกใช้ยาสีฟันนะครับ หรือจะปลูกว่านหางจระเข้ เอาเจลสดที่ไม่มียางมาชโลมก็ได้
ทั้งหมดนี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านยาหรือร้านสะดวกซื้อ ราคาไม่แพง รวมๆแล้วประมาณ 500 บาท ให้อ่านฉลากยาทุกครั้งก่อนใช้ ตรวจสอบวันหมดอายุเสมอๆ หากใกล้หมดอายุให้ทิ้งไปหาชุดใหม่มาเปลี่ยน บรรจุในที่แห้ง ไม่อับชื้น ห่างจากมือเด็ก ควรมีไฟฉายอันเล็กๆพร้อมใช้บรรจุในตู้ยาด้วย อย่าคลำหาในที่มืดเด็ดขาด
แต่อย่างไรควรสังเกตอาการ และเมื่อใดตัดสินใจใช้ยาสามัญประจำบ้าน ให้เตรียมหาช่องทางไปโรงพยาบาลด้วยเพราะอาการอาจจะแย่ลง หารถหารา หรือโทร 1669 ได้ทั่วราชอาณาจักร ตลอด 24 ชั่วโมง
ู้ยา
ขอขอบคุณ เพจสาระสุขภาพยาน่ารู้กับเภสัชกรอุทัย ที่ให้ข้อมูลครับ
20 เมษายน 2560
หัวใจล้มเหลว 2
การรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว ... ต่อจากตอนที่แล้ว
ผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวต้องมีการรักษาด้วยยาแน่นอน และห้ามขาดยา ไม่ควรปรับยาเองด้วย วันนี้เราก็จะมารู้จักยาและการรักษาแบบอื่น หลายๆครั้งคนไข้จะบอกว่า ไม่มียาโรคหัวใจเลย มีแต่ยาลดความดัน ยาขับปัสสาวะ จริงๆแล้วเราก็ใช้รักษาภาวะหัวใจล้มเหลวนั่นแหละครับ
ก่อนจะรักษา ก็จะมีการแบ่งกลุ่มเพื่อรักษาแบบต่างๆ ง่ายๆออกเป็นสองกลุ่ม (จริงๆมีแบ่งหลายแบบนะครับ) คือหัวใจล้มเหลวแบบที่แรงบีบยังดีอยู่ (heart failure with preserved ejection fraction) อย่างเช่น หัวใจล้มเหลวจากไทรอยด์เป็นพิษ พวกนี้แรงบีบดี หัวใจล้มเหลวจากมีโลหะธาตุเหล็กไปเกาะ พวกนี้บีบตัวดีแต่คลายตัวไม่ดี
ส่วนอีกแบบพบมากกว่าคือ หัวใจล้มเหลวแบบที่แรงบีบไม่ดี (heart failure with reduced ejection fraction < 40%) อย่างเช่นกล้ามเนื้อหัวใจตาย อันนี้ปั๊มออกไม่ดีคลายตัวก็ไม่ดี โรคหัวใจเรื้อรังจากการดื่มเหล้า การรักษาโรคหัวใจกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์ที่ชัดเจนมากกว่ากลุ่มแรกนะครับ กลุ่มแรกนั้นหน้าที่การทำงานยังไม่เสียมาก แต่กลุ่มหลัง การรักษาจะลดอัตราการเสียชีวิต อัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ชัดเจน
ส่วนอีกแบบพบมากกว่าคือ หัวใจล้มเหลวแบบที่แรงบีบไม่ดี (heart failure with reduced ejection fraction < 40%) อย่างเช่นกล้ามเนื้อหัวใจตาย อันนี้ปั๊มออกไม่ดีคลายตัวก็ไม่ดี โรคหัวใจเรื้อรังจากการดื่มเหล้า การรักษาโรคหัวใจกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์ที่ชัดเจนมากกว่ากลุ่มแรกนะครับ กลุ่มแรกนั้นหน้าที่การทำงานยังไม่เสียมาก แต่กลุ่มหลัง การรักษาจะลดอัตราการเสียชีวิต อัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ชัดเจน
ยาที่ใช้ในการรักษาคือยาที่ไปรักษาสมดุลของฮอร์โมนและกระแสประสาทที่ออกมากระตุ้นหัวใจ ไม่ให้มากเกิน และไม่ให้หัวใจบิดเบี้ยวผิดรูปมากเกิน
ยาลดความดันกลุ่ม RAS blockade กลุ่มที่ชื่อลงท้ายด้วย -อีปริ้ว และ -ซาทาน (ACEI,ARB) ใช้ยาเพื่อวัตถุประสงค์ไปลดการทำงานของฮอร์โมนครับ เพราะฮอร์โมนตัวนี้หลั่งออกมาให้หัวใจทำงานมากขึ้น ถ้าปล่อยไว้นานๆ หัวใจจะผิดรูป เริ่มใช้ในขนาดต่ำๆและค่อยๆปรับยาครับ สังเกตอาการวูบ (จากความดันโลหิตต่ำ) และอาการไอจากยาครับ
ยาลดความดันกลุ่มต้านเบต้า (beta blocker) ลงท้ายด้วย -olol ใช้เพื่อไปลดกระแสประสาทที่มากระตุ้นหัวใจให้บีบแรงขึ้นเร็วขึ้น ขืนปล่อยให้กระแสประสาทกระตุ้นแบบนั้นตลอด หัวใจจะทนไม่ไหวครับ เราให้ยาเพื่อให้ชีพจรช้าลง .. ข้อควรระวังที่สำคัญคือ สมรรถภาพทางเพศลดลง และ อาจทำให้หัวใจเต้นช้ามากๆได้
ยาขับปัสสาวะกลุ่ม หยุดฮอร์โมนอัลโดสเตอโรน คือ spironolactone และ eplerenone เพื่อต้านการดูดกลับเกลือที่ไต มีที่ใช้ในกลุ่มหัวใจล้มเหลวที่เป็นมาก ระวังระดับเกลือแร่โปตัสเซียมในเลือดสูง และ นมโต
ยาขับปัสสาวะ อันนี้เห็นทีจะใช้ตรงตามตัวตามชื่อ คือขับปัสสาวะที่เป็นน้ำส่วนเกินในหลอดเลือดออกจากร่างกาย เพื่อลดปริมาณน้ำเลือดที่จะไปโหลดหัวใจ (preload) ใช้เพื่อรักษาอาการครับ ไม่ได้ไปปรับปรุงแก้ไขหัวใจวายให้อัตราการเสียชีวิตลดลง
ยากลุ่มใหม่ ARNI รายละเอียดไปหาอ่านเพิ่มจาก PARADIGM-HF นะครับ บอกว่าใช้ในหัวใจวายที่การบีบตัวลดลง ทำให้โรคไม่แย่ลง การใช้ชีวิตดีขึ้น เนื่องจากยาราคาแพงมากในขณะนี้ จึงแนะนำเป็นตัวเลือก (จริงๆแล้วประสิทธิภาพและผลการศึกษามันดีนะครับ) คือ sacubitril/valsartan
ยาอื่นๆที่อาจทำให้โรคหัวใจดีขึ้นด้วย เช่นยาเบาหวาน empaglifiozin, liraglutide ก็อาจให้เป็นตัวเลือกในการรักษาเบาหวานหากมีภาวะหัวใจวายร่วมด้วย นอกเหนือจากนี้ในรายที่ใช้ยาเต็มที่แล้วไม่ดีขึ้น หรือมีข้อห้ามในการใช้ยา อาจมีตัวเลือกการใส่อุปกรณ์เพื่อช่วยให้หัวใจทำงานดีขึ้น ทั้งแบบไปกระตุ้นให้ทำงานสอดประสานกัน (เพราะหัวใจผิดรูปไป การบีบตัวจึงไม่สอดคล้องกัน) ในการใส่เครื่อง CRT หรือใส่อุปกรณ์ไปช่วยให้เลือดไปออกจากหัวใจได้ดีขึ้น ไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลายด้วยแรงดันสูงขึ้น เช่น ventricular assisted device หรือท้ายสุดคือการเปลี่ยนถ่ายหัวใจ
ความหวังในอนาคตของเครื่องหัวใจเทียมมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทยก็มีการศึกษาค้นคว้าพัฒนาเครื่องหัวใจเทียม Heart Mate 3 ที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
การศึกษาพัฒนายังไม่หยุดยั้งแค่นี้ คงสามารถติดตามเรื่องโรคหัวใจได้ที่ สมาคมแพทย์โรคหัวใจทั้งแฟนเพจและไลน์ของสมาคมครับ Thai Heart
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยม
-
Acute pancreatitis จากที่ตอนที่แล้ว เราได้กล่าวถึงตับอ่อนอักเสบในภาพรวม สำหรับโพสต์วันนี้ขอเล่าถึงในภาพลึกในเชิงปฏิบัติบ้างนะครับ ตามสัญญา...
-
ปฏิบัติการ I/O สะท้านโลก I/O ทางการแพทย์เราคือ intake -- output ปริมาณสารน้ำเข้าออกในร่างกาย ไม่ได้เกี่ยวกับปฏิบัติการข่าวสารอันเลื่องลื...
-
Onycholysis แผ่นเล็บหลุดลอกจากผิวใต้เล็บ โดยลักษณะลอกจากปลายเล็บเข้าหาโคนเล็บ สภาพเล็บเปราะบาง ไม่สมบูรณ์ พอเล็บไม่สมบูรณ์ การตรวจออกซิเจน...