บางครั้งวารสารทางวิทยาศาสตร์ก็แฝงแง่คิดที่สำคัญเหมือนกันนะครับ สำหรับเรื่อง "ความเป็นไปได้"
เราทราบกันดีว่าโรคเอชไอวีติดต่อหลักๆทางเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะหากไม่ได้ป้องกันด้วยถุงยางอนามัย ถ้าพูดแบบกำปั้นทุบดินซึ่งก็จะโดนกำปั้นทุบหน้าแน่ๆ ว่าการป้องกันที่ดีที่สุดคือ..อย่ามีเพศสัมพันธ์..!!! ครับวิธีการป้องกันนี้ล้มเหลวแน่นอนเพราะขัดกับความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ไม่เข้ากับวิถีการดำรงชีพ ไม่น่าพึงพอใจ
เราจึงคิดค้นวิธีรักษาและป้องกันโรคที่ง่ายต่อการใช้ เป็นมิตรกับผู้ใช้ เฉกเช่นการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาดูตัวอย่างกัน
เราจึงคิดค้นวิธีรักษาและป้องกันโรคที่ง่ายต่อการใช้ เป็นมิตรกับผู้ใช้ เฉกเช่นการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาดูตัวอย่างกัน
วารสาร JAMA 28 มีนาคม 2561 ได้ลงบทความทบทวนเรื่องการให้ยาโรคเอชไอวีเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เกริ่นนำคร่าวๆว่า เดิมทีเรารักษาคนไข้หลังติดเชื้อแล้วได้ผลดีจึงมีแนวคิดที่จะให้ยาในคนกลุ่มเสี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดโรคจะดีกว่าไหม
มีการศึกษาในแบบทบทวนนี้ทั้งสิ้น 8 การศึกษากล่าวถึงการให้ยา tenofovir หรือ tenofovir/emticirabine แบบเม็ดรวม ในการป้องกันโรคเอชไอวีแบบต่างๆ โดยสองการศึกษาใหญ่ที่เป็นต้นแบบของสาขาทางนี้คือ IPERGAY และ iPrEX เพจเราก็ได้นำเสนอไปแล้ว
การป้องกันคือให้ยาในขณะยังไม่ติดเชื้อ ทำในกลุ่มต่างๆได้แก่ คู่นอนติดเชื้อแล้ว, เป็นกลุ่มชายรักชายเป็นส่วนมาก, มีหญิงชายอยู่ด้วย, ใช้เข็มฉีดยาสารเสพติด, อาชีพให้บริการทางเพศ
โดยให้ยาแบบวันละเม็ดร่วมกับวิธีป้องกันอื่นๆ ก็แสดงว่ายังมีการไม่สวมถุงยางอนามัยแน่ๆ เราจึงต้องใช้มาตรการป้องกันนี้ด้วย และที่สำคัญ ไม่สามารถห้ามการมีเพศสัมพันธ์ได้แน่ๆ
การป้องกันคือให้ยาในขณะยังไม่ติดเชื้อ ทำในกลุ่มต่างๆได้แก่ คู่นอนติดเชื้อแล้ว, เป็นกลุ่มชายรักชายเป็นส่วนมาก, มีหญิงชายอยู่ด้วย, ใช้เข็มฉีดยาสารเสพติด, อาชีพให้บริการทางเพศ
โดยให้ยาแบบวันละเม็ดร่วมกับวิธีป้องกันอื่นๆ ก็แสดงว่ายังมีการไม่สวมถุงยางอนามัยแน่ๆ เราจึงต้องใช้มาตรการป้องกันนี้ด้วย และที่สำคัญ ไม่สามารถห้ามการมีเพศสัมพันธ์ได้แน่ๆ
ปรากฏว่าเมื่อรวบรวมดูแล้วนั้น กลุ่มชายรักชายที่กินยาทุกวันสามารถลดการติดเชื้อเอชไอวีลง 86% ในขณะที่กลุ่มชายหญิงลดการติดเชื้อ 75% โดยเปอร์เซ็นต์ที่แปรปรวนนี้ขึ้นอยู่กับ การติดตามการกินยาได้อย่างสม่ำเสมอ หากกินทุกวันตามกำหนดอัตราการป้องกันจะสูงกว่า (และระดับยาในเนื้อเยื่อลำไส้สูงกว่าในช่องคลอดน่าจะเป็นคำอธิบายเรื่องการป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักได้ดี)
หมายความว่า ... แม้แต่เป็นวิธีที่ง่ายขึ้น แต่ก็ยังต้องขึ้นกับความร่วมมือของผู้รับการรักษา เนื่องจากการกินยาทุกวันย่อมไม่ใช่ปรกติวิสัยของมนุษย์ ยิ่งการกินเพื่อป้องกันด้วยแล้วผลมันไม่ทันตาเหมือนอย่างยาลดไข้และยาแก้ปวดที่กินแล้วเห็นผลชัดเจน
และยังรวมไปถึงว่า หากภาครัฐต้องการใช้มาตรการนี้ในการลดผู้ติดเชื้อเอชไอวี ก็ต้องจัดสรรและจัดการการให้ยาให้ดี ต้องไม่ยุ่งยากเกินกว่าจะเข้าถึง ไม่ใช่เข้าไปต่อคิว 5 ชั่วโมงเพื่อรับยาป้องกัน..อย่าลืมว่ามันคือการป้องกันไม่ใช่รักษา ถ้ายุ่งยากเขาอาจไม่ใช้วิธีนี้
และยังรวมไปถึงว่า หากภาครัฐต้องการใช้มาตรการนี้ในการลดผู้ติดเชื้อเอชไอวี ก็ต้องจัดสรรและจัดการการให้ยาให้ดี ต้องไม่ยุ่งยากเกินกว่าจะเข้าถึง ไม่ใช่เข้าไปต่อคิว 5 ชั่วโมงเพื่อรับยาป้องกัน..อย่าลืมว่ามันคือการป้องกันไม่ใช่รักษา ถ้ายุ่งยากเขาอาจไม่ใช้วิธีนี้
ต้องมีการจ่ายเงินจากกองทุน หรือ การจ่ายร่วม ในวารสารนี้ได้ระบุว่ามีรหัสโรคสำหรับการป้องกันตาม ICD 10 เรียบร้อย ส่วนการเบิกจ่ายทั้งหมดหรือบางส่วนก็ขึ้นกับแต่ละรัฐ แต่ถ้าต้องจ่ายหมดมาตรการนี้อาจไม่สำเร็จ
ต้องมีการติดตามการกินยา การตั้งครรภ์ การเกิดผลข้างเคียงจากยาไม่ว่าไตเสื่อมหรือกระดูกพรุน เพื่อให้คุ้มค่า ไม่ใช่ว่าตั้งใจลดปริมาณผู้ติดเชื้อเอชไอวี แต่ต้องกลับเพิ่มการรักษาไตวายมากมาย อันนี้ก็ดูไม่คุ้มค่าในภาพใหญ่ของประเทศ
ต้องมีการติดตามการกินยา การตั้งครรภ์ การเกิดผลข้างเคียงจากยาไม่ว่าไตเสื่อมหรือกระดูกพรุน เพื่อให้คุ้มค่า ไม่ใช่ว่าตั้งใจลดปริมาณผู้ติดเชื้อเอชไอวี แต่ต้องกลับเพิ่มการรักษาไตวายมากมาย อันนี้ก็ดูไม่คุ้มค่าในภาพใหญ่ของประเทศ
ส่วนการจ่ายยาให้ยาแบบ on-demand คือจะเสี่ยงค่อยกินนั้น ยังไม่ได้รับรองโดย US-FDA แต่ในวารสารแจ้งว่ามีที่ฝรั่งเศสเท่านั้นที่ใช้แบบนี้ได้ ...ความเห็นส่วนตัวนะขนาดกินสม่ำเสมอยังมีการติดตามกินยาได้ไม่สูงเท่าไร 50-80% เอง ถ้าจะใช้แบบจะเสี่ยงค่อยกินอาจจะไม่สำเร็จ บางทีของแบบนี้มันมาโดยไม่ทันตั้งตัว กลัวใจรับไม่ทัน
ที่กลัวว่าจะดื้อยาไหม ก็พบว่าในคนที่กินยาสม่ำเสมอแล้วเกิดติดเชื้อนั้นก็ไม่ได้มีเชื้อดื้อยามากขึ้นแต่อย่างใด...ย้ำสำหรับคนที่กินยาสม่ำเสมอ..
ที่กลัวว่าจะดื้อยาไหม ก็พบว่าในคนที่กินยาสม่ำเสมอแล้วเกิดติดเชื้อนั้นก็ไม่ได้มีเชื้อดื้อยามากขึ้นแต่อย่างใด...ย้ำสำหรับคนที่กินยาสม่ำเสมอ..
แม้ว่าผลการศึกษาจะบอกว่าการป้องกันเอชไอวีโดยการสวมถุงยาง หรือการใช้ยาป้องกันจะมีประสิทธิภาพดีเพียงใด ถ้าในโลกแห่งความจริงไม่สามารถประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิตของผู้คน การรักษานั้นก็ล้มเหลว
"ยาดีแค่ไหน ถ้าเข้าไม่ถึงคนไข้ ก็ไร้ค่า"
รีวิวฉบับนี้ดีมาก อ่านง่าย โยงเหตุผลดี ทำลิงก์มาให้แต่ไม่ฟรีครับ
อยากอ่านฟรี ไปอ้อนวอน Infectious ง่ายนิดเดียว ให้ช่วยสรุปให้นะครับ
อยากอ่านฟรี ไปอ้อนวอน Infectious ง่ายนิดเดียว ให้ช่วยสรุปให้นะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น