04 กันยายน 2568

BaxHTN (วิเคราะห์เชิงวิชาการ)

 ความสนุกของการศึกษา : BaxHTN (วิเคราะห์เชิงวิชาการ)

คิดว่าทุกท่านคงได้อ่านการศึกษา BaxHTN ที่เพิ่งตีพิมพ์ใน NEJM หลังการนำเสนอใน ESC เมื่อสามวันก่อน เป็นการศึกษาว่ายา baxdrostat มีผลในการลดความดันโลหิตลงได้จริง ในกลุ่มผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมยากแม้ใช้ยามาตรฐานเต็มที่แล้ว
แต่ที่ชอบคือ วิธีที่เขาศึกษา เขาวางแผนและเก็บข้อมูลจริงจังเป็น 4 ระยะ ทำทีเดียวตอบโจทย์การใช้งานเกือบครบเลย เป็นเรื่องที่เซ็กซี่ที่สุดของงานวิจัยนี้
ระยะที่หนึ่ง ให้ยาเทียบกับยาหลอก เพื่อดูผลว่ายาสามารถลดความดันได้จริงไหม เป็นการศึกษาแบบควบคุมตัวแปร เพื่อตอบโจทย์หลักของการวิจัย เป็นเวลา 12 สัปดาห์
ระยะที่สอง ให้ยาต่อแบบติดตามผล ให้เลือกว่าจะกินยาต่อหรือไม่ เพื่อดูว่าในสถานการณ์จริงที่คนไข้และหมอเลือกด้วยกันนั้น ผลเป็นอย่างไร ระยะนี้ 12 สัปดาห์เช่นกัน
ระยะที่สาม นำกลุ่มที่ยังกินยาจากระยะที่สอง มาจัดกลุ่มและควบคุมเทียบว่าระหว่างกำหนดให้หยุดยากับใช้ยาต่อไป ผลจะต่างกันไหม ระยะนี้ 8 สัปดาห์ อันนี้เพื่อพิสูจน์ว่าความดันที่ลดในระยะแรก และผลแทรกซ้อน มันเกิดจากยาตัวนี้จริง
ระยะที่สี่ ให้เลือกว่าจะกินยาต่อหรือจะหยุด แล้วติดตามผลต่อเนื่องไป ว่าการปรับยาตามสถานการณ์จริงหลังหยุดยาจะส่งผลอย่างไร ระยะนี้ 20 สัปดาห์ ประเมินผลและความปลอดภัยในระยะยาว (หนึ่งปี)
การศึกษาอื่น จะแบ่งเป็นช่วงควบคุมกับนอกช่วงควบคุม แต่อันนี้เขาแบ่งกลุ่มละเอียดและใส่ใจดี มีการคิดเป็นขั้นและวางเป้าหมาย พร้อมทั้งเป็นการทำ run in ในระยะต่อไปในตัวเลย แต่ในขณะเดียวกันก็มี selection bias ในตัวด้วย คือ จะมีแต่คนไข้และหมอที่ทนยาได้ ใช้ยาเป็น ในการศึกษาระยะหลัง ผลข้างเคียงต่าง ๆ จะน้อยลงตามความโน้มเอียงอันนี้
การแปลผลหลักจึงอยู่ที่ระยะที่หนึ่ง ส่วนระยะอื่น ๆ เอาไว้เป็นข้อมูลประกอบเท่านั้นครับ
และแน่นอนการศึกษาที่รัดกุมและตามผลเข้มงวดแบบนี้ ต้องมีทุนทรัพย์พอสมควร การศึกษานี้มีบริษัทแอสตร้าซีเนก้าเข้าร่วมในทุกกระบวนการและสนับสนุนการวิจัยครับ

02 กันยายน 2568

DIGIT-HF : ยาเก่าเอามาเล่าใหม่

 DIGIT-HF : ยาเก่าเอามาเล่าใหม่

**มีแก้ไข**
digitoxin เป็นยาโบราณ (ก็เลยไม่ค่อยมีคนศึกษาและทำให้ข้อมูลน้อย) ปัจจุบันใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นพริ้ว AF ที่หัวใจล้มเหลว ด้วยความที่ยามีช่วงการรักษาแคบ ให้เกินไปนิดก็อันตราย ให้ไม่ถึงขนาดก็ไม่เกิดอะไร
*** เพิ่มเติมข้อมูล มีทักท้วงจากสมาชิก การศึกษานี้ใช้ digitoxin ที่ปัจจุบันแทบไม่ใช้ เพราะมียาชื่อ lanoxin (digoxin) มาแทนครับ ***
การศึกษานี้เขาศึกษาในผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวชนิดแรงบีบหัวใจลดลง (HFrEF) 1212 รายแบ่งอย่างละครึ่ง ให้กับไม่ให้ lanoxin ตามไปสามปี พบว่า
กลุ่มที่ได้ digitoxin มีการเกิดโรคหัวใจที่เขาสนใจ 'น้อยกว่า' ยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ แต่การเกิดโรคหัวใจที่ว่านั้น มีนัยสำคัญแค่ 1/3 ข้อย่อย (แต่ก็น้ำหนักมากทีเดียว) คือ ลดอัตราการเสียชีวิตหรือเข้ารพ. จากโรคหัวใจล้มเหลวที่แย่ลง
และเช่นกันกลุ่มที่ได้ยาก็มีอันตรายจากยามากกว่ายาหลอกอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน
แม้จะไม่ได้ออกมาเปลี่ยนโลกเหมือนสี่เสาหลักแห่งหัวใจล้มเหลว (ARNI, RAS, BB, SGLTi) แต่ก็ทำให้ทราบว่า ในผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว เราสามารถนำยาเดิม lanoxin (เพราะ digitoxin แทบไม่มีใช้แล้ว เพราะกำจัดยายากกว่า) มาใช้ได้และเกิดประโยชน์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีหัวใจสั่นพริ้ว (AF)
และหากจะใช้ ต้องระวังผลข้างเคียงจากยาให้ดี
น้ำพริกถ้วยเก่าก็ยังแซ่บครับ

01 กันยายน 2568

ตรวจสุขภาพ ของบางอย่างทำมาไว้ เพื่อวินิจฉัย ใช่เพื่อมาคัดกรอง

 ไม่คิดว่าจะเจอกับตัว คุณคิดว่าอย่างไร

คนไข้มาปรึกษาว่าจะตรวจสุขภาพ อายุ 43 แล้ว มีแพ็กเกจและคุยกับเพื่อน ๆ มาหลายคนได้ดังนี้
1. ตรวจเลือดตามโปรแกรม
2.ตรวจปัสสาวะ
3.อัลตร้าซาวนด์ท้องบน ท้องล่าง ราคาไม่เท่ากัน ถ้าทำรวมกันได้ราคาพิเศษ
3.เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ทรวงอกแบบรังสีต่ำ
4.อัลตร้าซาวนด์หลอดเลือดแดงคาโรติด
5.เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ตรวจหาแคลเซียมหลอดเลือดหัวใจ
6.เดินสายพานตรวจหัวใจ พร้อมคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือจะเลือกตรวจคลื่นความถี่สูงก็ได้
7.แมมโมแกรม
8.ตรวจดัชนีความดันเลือดมือ-ข้อเท้า พร้อมหาค่าความยืดหยุ่นหลอดเลือด
9.วัดมวลกระดูกและมวลไขมัน มวลกล้ามเนื้อ
ทั้งหมดนี้มาจากสองโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายครึ่งแสนครับ มันก็ไม่มีผิดไม่มีถูกหรอกครับ ตรวจได้ถ้าแปลผลได้ดี เข้าใจข้อจำกัด มีหมอมือฉมังที่เข้าใจเข้าถึงอยู่ข้างกาย และมีสตางค์ แต่ถ้าไม่มีเงินพอ อยากจะตรวจคัดกรองสุขภาพที่จำเป็น ก็ต้องบอกว่าสามารถออกแบบได้ดีไม่แพ้กัน ราคาต่างกันเป็นร้อยเท่า
ของบางอย่างทำมาไว้ เพื่อวินิจฉัย
ใช่เพื่อมาคัดกรอง
หากจะใช้ให้ตรึกตรอง อย่าทำเพื่อลอง
แปลผิดทางมิคุ้มพลัน

CGM : เครื่องติดตามกลูโคส : ความจริงอีกแง่หนึ่ง

 CGM : เครื่องติดตามกลูโคส : ความจริงอีกแง่หนึ่ง

Continuous Glucose Monitoring (CGM) คือการติดตามกลูโคสตลอดเวลาโดยติดเครื่องที่ใต้ผิวหนัง เป็นการวัดค่า interstitial glucose ไม่ใช่กลูโคสในเลือดดำ (เจาะเลือด) หรือกลูโคสในเลือดฝอย (เจาะปลายนิ้ว)
จึงยังไม่สามารถใช้วินิจฉัยโรคได้ แต่เครื่องสามารถใช้ติดตามผลในกรณีไม่ต้องการเจาะเลือด หรือใช้ในกรณีดูแลสุขภาพโดยทั่วไป (แต่ต้องมีความเข้าใจและความระวังในการแปลผล)
เครื่องมีทั้งแบบต้องใช้ใบสั่งแพทย์และซื้อได้เอง
หลายคนอยากเอามาใช้เพื่อติดตาม ก็ต้องตระหนักและระวังครับ เรามีตัวอย่างจาก Tuff University, School of Medicine ลงตีพิมพ์ใน JAMA เดือนสิงหาคมนี้เอง
ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงอายุประมาณ 30 ปลาย มีภาวะอ้วน ดัชนีมวลกาย 39 เขามีความกังวลเรื่องสุขภาพ (แต่ดัชนีมวลกายไม่ลด) คุณหมอจึงติดเครื่อง CGM ให้ คราวนี้คนไข้มาปรึกษาเพราะกังวลมากเนื่องจากเครื่องมันอ่านค่าน้ำตาลออกมา 40-50 mg/dL ประมาณคืนละ 5 นาที แต่ก็ไม่บ่อย ทำให้คนไข้กังวลถึงขั้นเครียดเพราะไม่กล้าหลับ
เมื่อมาซักประวัติและการตรวจร่างกายพบว่า ไม่เจออาการของน้ำตาลในเลือดต่ำเลย ตาม Whipple’s Triads จึงให้ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลเพื่อสืบหาจริง ๆ ปรากฏว่า วัดน้ำตาลปลายนิ้ว น้ำตาลในเลือด วัดค่าทางเมตาบอลิกทุกค่า จะคีโตน อินซูลิน C-peptides …บลา บลา มากมาย ทำการทดสอบนั่นโน่น ตรวจยีนสารพัด สรุปว่าทุกตัวปกติ
…คือเป็นโรงเรียนแพทย์ครับ และดูแล้วการตรวจแต่ละตัวนั้น ราคาไม่เบาทั้งสิ้น …
การอ่านค่าผิดพลาด ความบกพร่องของเครื่อง ขั้วตรวจไม่ตรงตำแหน่ง ทางสมาคมแพทย์โรคเบาหวานอเมริการายงานว่ามีการเตือนแบบ false alert ในกรณีตั้งค่าเตือนที่ 55 mg/dL การเตือนเกินจริงสูงถึง 49% (คือไม่มีอาการเลย และน้ำตาลในเลือดไม่ต่ำ) และให้คำแนะนำว่าหากมีการเตือนโดยไม่มีอาการ ให้คิดไว้ก่อนว่าเป็นข้อผิดพลาดของ CGM
การเตือนเกินจริง จะทำให้คนไข้มีความเครียดหรือเศร้า และทำให้เกิดค่าใช้จ่ายอันไม่จำเป็นที่เกินจำเป็น

บทความที่ได้รับความนิยม