ยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดและการผ่าตัด
ยาที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด ยากลุ่มต่างๆเหล่านี้ถ้าท่านใช้อยู่อาจต้องระมัดระวังเวลาใช้ร่วมกับยาตัวอื่น หรือเวลาทำฟัน เวลาผ่าตัด อาจต้องแจ้งแพทย์ที่จะผ่าตัดให้ทราบด้วยครับ เพราะอาจมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างการผ่าตัด หรือหลังการผ่าตัด
ยาที่เขียนมานี้ อ้างอิงจากพี่น้องๆในแผนกอายุรกรรม อาจมียาตัวอื่นๆอีก ยาที่ยกขึ้นมานี้เป็นยาที่พบบ่อยๆครับ
ยาต้านการออกฤทธิ์เกล็ดเลือด พบบ่อยในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมองตีบ
1. aspirin 2. clopidogrel 3. cilostazol 4. dipyridamole
4. ticagrelor 5. prasugrel
ยากลุ่มนี้ใช้ aspirin มากที่สุด และโอกาสของเลือดออกนั้น ก็เป็นยา aspirin นี่แหละครับ และอาจมีการใช้ยาสองตัวร่วมกันเช่น การใช้ aspirin คู่กับ clopidogrel ที่อาจพบเลือดออกเพิ่ม โดยทั่วไปจะหยุดยาก่อนทำการผ่าตัดประมาณหนึ่งสัปดาห์ ส่วนกลุ่มหลังๆคือ ticagrelor และ prasugrel ก็จะใช้เวลา 3-5 วัน ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์เร็ว หมดฤทธิ์เร็ว ไม่ค่อยมีปัญหาหลังหยุดยา
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด พบบ่อยๆในผู้ป่วยที่ใช้ยาเพื่อป้องกันหลอดเลือดสมองตีบ สำหรับคนที่หัวใจเต้นผิดจังหวะ ผู้ป่วยโรคเลือดแข็งตัวผิดปกติ ลิ่มเลือดอุดตัน
1. warfarin 2. rivaroxaban 3. apixaban 4. dabigatran
5. heparin 6. enoxaparin 7. tinzaparin 8. nadroparin
9. fondaparinux
ยากลุ่มนี้ ใช้มากสุดคือ warfarin ซึ่งการใช้ยากลุ่มนี้โดยทั่วไปจะมีการควบคุมเคร่งครัดมากอยู่แล้ว มีข้อบ่งชี้ในการใช้ชัดเจน มักจะไม่ค่อยมีปัญหา ถ้าได้แจ้งให้หมอทราบครับ !!!
ปัญหาที่พบมากคือ คิดไม่ถึงว่าเกี่ยวเนื่องกันเลยไม่บอกหมอ และอีกอย่างคือ หยุดในช่วงผ่าตัดแล้วแต่ลืมไปว่าต้องกินต่อไปหลังผ่าตัด ยาข้อ 1-4 เป็นยากินครับ ส่วนที่เหลือเป็นยาฉีดครับ
สำหรับ warfarin นั่นเป็นยากลุ่มเก่าต้องใช้เวลาในการปรับยา ปรับแก้ไขค่า INR ใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ซึ่งอาจต้องใช้ยาวิตามินเคแก้ไข ใช้ผลิตภัณฑ์ของเลือดเช่น Plasma ส่วนยาในข้อ 2-4 เป็นยากลุ่มใหม่ ออกฤทธิ์เร็ว เลือดออกน้อย และหมดฤทธิ์เร็วเช่นกัน ยาฉีดนั้นออกฤทธิ์สั้นอยู่แล้วประมาณ 12-24 ชั่วโมง จึงไม่ค่อยมีปัญหาตอนหยุดยา และมียาแก้ไขคือ protamine sulphate
ผู้ป่วยที่ใช้ยากลุ่มนี้ ต้องคุยปรึกษาผลดี ผลเสีย กับแพทย์ผู้ผ่าตัด เนื่องจากบางภาวะอาจหยุดยาไม่ได้ทำได้แค่ลดขนาดยาลง หรือเปลี่ยนเป็นยาที่เลือดออกน้อยกว่า เช่น คนที่เปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม
ยาที่ส่งผลกับระบบโลหิตอื่นๆ ยากลุ่มนี้มักจะพบในผู้ป่วยโรคเลือด โรคมะเร็ง โรคแพ้ภูมิตัวเอง ที่ต้องใช้ยาที่อาจมีผลทำให้เกล็ดเลือดต่ำได้ หรือ เลือดแข็งตัวผิดปกติ ยากลุ่มนี้ก็มักจะได้รับการติดตามสม่ำเสมออยู่แล้ว แต่อาจเกิดปัญหาในกรณีอาจมีความผิดปกติ ในช่วงก่อนถึงวันนัด เช่น ยา cyclophosphamide รักษาโรคเลือด โรคไต โรคเอสแอลอี, ยา hydroxyurea ในการรักษาโรคเนื้องอกเม็ดเลือด, ยากลุ่มนี้อาจมีเกล็ดเลือดต่ำจนเลือดออกมากได้ ยา methotexate ในการรักษาข้ออักเสบรูมาตอยด์
มาตรฐานทั่วไป ผู้ป่วยจะได้รับแจ้งข้อมูลนี้อยู่แล้ว หรือ มีระบบการป้องกันในคอมพิวเตอร์เวลาสั่งยา หรือ ติดไว้ที่ซองยา แต่ก็ระวังอาจผิดพลาดได้ครับ
ยาที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด ยากลุ่มต่างๆเหล่านี้ถ้าท่านใช้อยู่อาจต้องระมัดระวังเวลาใช้ร่วมกับยาตัวอื่น หรือเวลาทำฟัน เวลาผ่าตัด อาจต้องแจ้งแพทย์ที่จะผ่าตัดให้ทราบด้วยครับ เพราะอาจมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างการผ่าตัด หรือหลังการผ่าตัด
ยาที่เขียนมานี้ อ้างอิงจากพี่น้องๆในแผนกอายุรกรรม อาจมียาตัวอื่นๆอีก ยาที่ยกขึ้นมานี้เป็นยาที่พบบ่อยๆครับ
ยาต้านการออกฤทธิ์เกล็ดเลือด พบบ่อยในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมองตีบ
1. aspirin 2. clopidogrel 3. cilostazol 4. dipyridamole
4. ticagrelor 5. prasugrel
ยากลุ่มนี้ใช้ aspirin มากที่สุด และโอกาสของเลือดออกนั้น ก็เป็นยา aspirin นี่แหละครับ และอาจมีการใช้ยาสองตัวร่วมกันเช่น การใช้ aspirin คู่กับ clopidogrel ที่อาจพบเลือดออกเพิ่ม โดยทั่วไปจะหยุดยาก่อนทำการผ่าตัดประมาณหนึ่งสัปดาห์ ส่วนกลุ่มหลังๆคือ ticagrelor และ prasugrel ก็จะใช้เวลา 3-5 วัน ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์เร็ว หมดฤทธิ์เร็ว ไม่ค่อยมีปัญหาหลังหยุดยา
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด พบบ่อยๆในผู้ป่วยที่ใช้ยาเพื่อป้องกันหลอดเลือดสมองตีบ สำหรับคนที่หัวใจเต้นผิดจังหวะ ผู้ป่วยโรคเลือดแข็งตัวผิดปกติ ลิ่มเลือดอุดตัน
1. warfarin 2. rivaroxaban 3. apixaban 4. dabigatran
5. heparin 6. enoxaparin 7. tinzaparin 8. nadroparin
9. fondaparinux
ยากลุ่มนี้ ใช้มากสุดคือ warfarin ซึ่งการใช้ยากลุ่มนี้โดยทั่วไปจะมีการควบคุมเคร่งครัดมากอยู่แล้ว มีข้อบ่งชี้ในการใช้ชัดเจน มักจะไม่ค่อยมีปัญหา ถ้าได้แจ้งให้หมอทราบครับ !!!
ปัญหาที่พบมากคือ คิดไม่ถึงว่าเกี่ยวเนื่องกันเลยไม่บอกหมอ และอีกอย่างคือ หยุดในช่วงผ่าตัดแล้วแต่ลืมไปว่าต้องกินต่อไปหลังผ่าตัด ยาข้อ 1-4 เป็นยากินครับ ส่วนที่เหลือเป็นยาฉีดครับ
สำหรับ warfarin นั่นเป็นยากลุ่มเก่าต้องใช้เวลาในการปรับยา ปรับแก้ไขค่า INR ใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ซึ่งอาจต้องใช้ยาวิตามินเคแก้ไข ใช้ผลิตภัณฑ์ของเลือดเช่น Plasma ส่วนยาในข้อ 2-4 เป็นยากลุ่มใหม่ ออกฤทธิ์เร็ว เลือดออกน้อย และหมดฤทธิ์เร็วเช่นกัน ยาฉีดนั้นออกฤทธิ์สั้นอยู่แล้วประมาณ 12-24 ชั่วโมง จึงไม่ค่อยมีปัญหาตอนหยุดยา และมียาแก้ไขคือ protamine sulphate
ผู้ป่วยที่ใช้ยากลุ่มนี้ ต้องคุยปรึกษาผลดี ผลเสีย กับแพทย์ผู้ผ่าตัด เนื่องจากบางภาวะอาจหยุดยาไม่ได้ทำได้แค่ลดขนาดยาลง หรือเปลี่ยนเป็นยาที่เลือดออกน้อยกว่า เช่น คนที่เปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม
ยาที่ส่งผลกับระบบโลหิตอื่นๆ ยากลุ่มนี้มักจะพบในผู้ป่วยโรคเลือด โรคมะเร็ง โรคแพ้ภูมิตัวเอง ที่ต้องใช้ยาที่อาจมีผลทำให้เกล็ดเลือดต่ำได้ หรือ เลือดแข็งตัวผิดปกติ ยากลุ่มนี้ก็มักจะได้รับการติดตามสม่ำเสมออยู่แล้ว แต่อาจเกิดปัญหาในกรณีอาจมีความผิดปกติ ในช่วงก่อนถึงวันนัด เช่น ยา cyclophosphamide รักษาโรคเลือด โรคไต โรคเอสแอลอี, ยา hydroxyurea ในการรักษาโรคเนื้องอกเม็ดเลือด, ยากลุ่มนี้อาจมีเกล็ดเลือดต่ำจนเลือดออกมากได้ ยา methotexate ในการรักษาข้ออักเสบรูมาตอยด์
มาตรฐานทั่วไป ผู้ป่วยจะได้รับแจ้งข้อมูลนี้อยู่แล้ว หรือ มีระบบการป้องกันในคอมพิวเตอร์เวลาสั่งยา หรือ ติดไว้ที่ซองยา แต่ก็ระวังอาจผิดพลาดได้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น