เหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข..ที่โลกลืม
การระบาดของโรคบางโรคอันตรายและน่ากลัวกว่าสงครามอีกนะครับ สงครามโลกครั้งที่หนึ่งส่วนใหญ่สมรภูมิอยู่ในยุโรป มีคนบาดเจ็บล้มตายจากสงครามครั้งนั้น 17 ล้านคน ดูไม่มากใช่ไหมแต่อย่าลืมว่าตอนนั้นประชากรโลกเรายังไม่มากขนาดนี้นะครับ ไม่กี่สิบปีต่อมาเราก็มีสงครามโลกครั้งที่สองที่ขอบเขตการรบขยายไปทั่วโลก มีการเสียชีวิตเกิดขึ้น 60 ล้านคน ที่ผมถือว่ามากและเสียหาย เพราะระยะเวลาไม่ห่างจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเลย ประชากรที่ล้มตายจากสงครามครั้งก่อนยังไม่มีมาชดเชย ก็ยังเสียประชากรรุ่นเดิมซ้ำไปอีก
เราลองมาดูมหาสงครามสามครั้งของมนุษย์กับโรคร้ายดูบ้างนะครับ สามอันดับแรกและแนวโน้มตัวที่สี่
1. Plaque of Justinian เกิดขึ้นในปีค.ศ. 541-543 ก่อกำเนิดขึ้นที่อาณาจักรไบแซนไทน์ อาณาจักรเก่าแก่แถวๆทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตอนล่างไปถึงเอเชียไมเนอร์ แถวๆตุรกีไปถึงบอลข่านครับ คือโรคกาฬโรคนั่นเอง (Yersinia pestis) เชื่อกันว่า..เพราะไม่มีหลักฐานการยืนยันชัดเจน ไม่มีการสืบค้นทางการระบาดเหมือนทุกวันนี้.. เกิดจากหนูและหมัดหนูที่ติดมากับเรือสินค้าที่ขนส่งธัญพืชมาจากอียิปต์
สมัยนั้นใช้เรือเดินทางและยังเป็นเรือใบอีกด้วย ก็เดินทางช้าหนูๆทั้งหลายก็ออกลูกหลายในเรือที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ มาจนถึงไบแซนไทน์ ซึ่งตอนนั้นเป็นจักรพรรดิจุสติเนียนที่หนึ่ง จึงได้ชื่อว่า plaque of Justinian หลังจากนั้นการระบาดก็ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ขนาดที่ว่าในอาณาจักรไม่มีที่เก็บศพ ช่วงที่ระบาดหนักๆ ตายวันละเป็นหมื่น
แล้วทำไมไปถึงยุโรป แอฟริกา และ บางส่วนของรัสเซียได้ ก็เพราะสมัยนั้นยุโรปทำการรบพุ่งขยายอาณาจักรกัน ก็ต้องเอาเสบียงไปด้วย ไม่เอาเสบียงไปอย่างเดียวสิครับ หนูและกาฬโรคมันไปด้วย ก็ลามไปทั่วเลยกับกองทัพจักรพรรดิจุสติเนี่ยน.. ทำให้สงครามจบเร็วขึ้นด้วย เพราะทหารของจุสติเนียนล้มตายมาก
การระบาดทั่วยุโรปและบางส่วนของเอเชียกับแอฟริกา คร่าชีวิตคนไป 25 ล้านคนครับ เยอะมากนะครับ เพราะสมัยนั้นประชากรไม่มากขนาดนี้
2. The Black Death กาฬโรคมาอีกแล้ว ครั้งนี้เกิดในปี ค.ศ. 1343-1349 เป็นกาฬโรคคนละสายพันธุ์กันกับสมัย plaque of Justinian (จากการตรวจทางโมเลกุลจากซากศพ) แสดงว่าตั้งแต่สมัยนั้นมาตอนนี้ยังจับตัวร้ายไม่เจอนะครับ ครั้งนี้มีบันทึกชัดเจนขึ้น มากับพ่อค้าและขบวนสินค้าตาม “เส้นทางเส้นไหม” และรู้แล้วว่ามากับหนูและหมัดหนู
ครั้งนี้พบว่ามีคนติดเชื้อเกือบสองร้อยล้านคน ..ครับผมพิมพ์ไม่ผิด และมีผู้เสียชีวิตจากการระบาดครั้งนี้ 50-100 ล้านคน เรียกว่าลดประชากรของโลกไปเยอะเลย การระบาดหลักยังอยู่ในยุโรปและเอเชียตะวันออก เคยมีการค้นคว้าย้อนหลังว่า ไปเจอสายพันธุกรรมที่สร้างปัญหาจริง เกิดจากประเทศจีน ก็สอดคล้องดีนะครับ เส้นทางสายไหมมาจากมองโกล ผ่านทะเลทราย ผ่านกำแพงภูเขาคาราโครัม เข้าสู่เอเชียไมเนอร์และเมดิเตอร์เรเนียน ทางนี้อีกแล้ว
ที่เรียกว่า atra mors หรือ black death ก็เพราะขั้นสุดท้ายของการป่วยก่อนเสียชีวิตจะมีเลือดออกมาก ในอวัยวะภายใน ใต้ผิวหนัง เป็นความตายสีดำนั่นเอง สมัยนั้นกองทัพมองโกลใช้อาวุธเชื้อโรคครับ ใช้ศพผู้เสียชีวิตจากกาฬโรค ยิงข้ามกำแพงเมืองคัฟฟาในคาบสมุทรไครเมีย เพื่อโจมตีเมืองคัฟฟา คราวนี้ไปใหญ่เลย ตามเส้นทางการค้าไปสู่เจนัว ซิซิลี ไปถึงคอนสแตนติโนเปิล สุดที่ชายแดนนอร์เวย์เลย เป็นตำนานโรคระบาดของโลกนี้เลยครับ
3. Spanish Flu คราวนี้วาร์ปมายุคใกล้กันบ้าง ด้วยความเจริญทางการแพทย์และสาธารณสุข ทำให้โรคระบาดลดลงอย่างมาก แต่เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โลกทรุดโทรมมาก ตายมาก ชนชาติบอบช้ำ โรคระบาดก็จะกลับมา ถ้าสังเกตดีๆ โรคระบาดทั้งสองก็มาพร้อมกับสงครามทั้งสิ้น คิดว่าตอนนั้นๆสุขอนามัยคงลดลง ระบาดครั้งนี้เป็น pandemic คือครอบคลุมทั้งโลกจริงๆ ด้วยการสื่อสารและคมนาคมที่พัฒนามาก เรือเดินสมุทร เครื่องบิน
ครั้งนี้ระบาดในปี ค.ศ. 1918-1920 ครั้งแรกคิดว่าเกิดจากประเทศสเปน มีรายงานในหนังสือพิมพ์ ABC news ในมาดริด ว่าพบผู้ป่วยโรคนี้ เราก็ตั้งชื่อ Spanish flu ต่อมาเก้าสิบปีให้หลังนักค้นคว้าวิจัยทั่วโลกก็ยอมรับว่าไม่ได้เกิดจากสเปน หลังจากสเปนได้ต่อสู้มานานว่าไม่ให้เรียกว่า Spanish flu (สเปนเรียกว่า Spanish Lady แทน) พบว่าน่าจะเกิดจากช่วงสงครามโลก ในแนวทางรถไฟ โปรตุเกส-สเปน-ฝรั่งเศส-เยอรมัน แต่ตอนนั้นสเปนไม่ได้เข้าสงคราม เป็นกลาง
และมีหลักฐานว่าน่าจะตรงนี้เพราะ พลทหาร Albert Gitchell จากฟอร์ตไรลี่ย์ แคนซัส ของอเมริกาที่มาเข้าร่วมสงครามทีหลัง (ผมคิดว่าดูท่าทีว่าใครจะชนะก่อน แล้วร่วมฝ่ายชนะ) เกิดป่วยเป็นไข้หวัดหลังจากกลับมาจากการรบที่แถบนั้น แยกเชื้อเป็น H1N1 ตัวที่ระบาดอยู่ เป็น first index case แต่สุดท้ายก็ยังเรียก Spanish flu อยู่ดี
ประมาณการณ์ว่าติดเชื้อกันทั่วโลก 500 ล้านคนและเสียชีวิตไป 80-100 ล้านคน มากกว่าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสองรวมกันเสียอีก ขนาดว่าต้องไปตั้งเต๊นท์กันกลางสนามรับคนไข้เลยทีเดียว เกิดพร้อมๆกันทั่วยุโรป ถือเป็นมหาสงครามโรคระบาดที่ใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ
แต่อีกไม่นาน ผีร้ายตัวใหม่กำลังจะเกิดขึ้น มหาสงครามครั้งที่สี่ คือ เชื้อแบคทีเรียดื้อยาจากการใช้ยาฆ่าเชื้อที่พร่ำเพรื่อของมนุษย์เราเอง เราจึงต้องให้ความสำคัญกับตรงนี้มากๆ ไม่อย่างนั้นผีร้ายตัวนี้อาจรุนแรงมากกว่าเชื้อโรคที่เราเคยรู้จักมาในประวัติศาสตร์ โดยที่แทบไม่มีอาวุธมากำจัดผีร้ายนี้ได้เลย
แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่จะปราบปีศาจผีร้ายนี้ได้ คือ..ลิ..เวอร์..พูล ครับ ..ไปล่ะ ฟิ้วววว
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยม
-
คำถามจากทางบ้าน : น้ำอสุจิมีมดตอม แบบนี้ เป็นเบาหวานไหม อย่างแรกคนที่ถามคำถามนี้เป็นสุภาพสตรี ต้องนับถือในความช่างสังเกตสิ่งรอบตัวจริง ๆ ค...
-
Acute pancreatitis จากที่ตอนที่แล้ว เราได้กล่าวถึงตับอ่อนอักเสบในภาพรวม สำหรับโพสต์วันนี้ขอเล่าถึงในภาพลึกในเชิงปฏิบัติบ้างนะครับ ตามสัญญา...
-
ปฏิบัติการ I/O สะท้านโลก I/O ทางการแพทย์เราคือ intake -- output ปริมาณสารน้ำเข้าออกในร่างกาย ไม่ได้เกี่ยวกับปฏิบัติการข่าวสารอันเลื่องลื...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น