14 มกราคม 2560

วินาที ชีวิต

วินาที..ชีวิต
  ภาวะวิกฤต การดูแลคนไข้ในภาวะวิกฤต เป็นสิ่งที่บีบหัวใจจริงๆ แอดมินขอถ่ายทอดเรื่องเล่าประสบการณ์ เพื่อให้ทุกคนรู้จักภาวะวิกฤต เข้าใจทีมดูแลวิกฤต เข้าใจผู้ป่วยและญาติในภาวะวิกฤต และสักวันหนึ่งเราอาจต้องพบพานกับ..ภาวะวิกฤต
“.หมอคะ ผู้ป่วยรับมาในไอซียู อาการหนักมากเมื่อคืนยังไม่แย่มาก ตอนนี้อาการหนักมาก..”  หมอเดินฝ่ากลุ่มญาติที่กระวนกระวาย บางคนน้ำตาซึม คนที่ปลอบขวัญก็น้ำตาซึม อีกสองสามคนพยายามชะเง้อมองเข้าทางช่องแสงเล็กๆที่ประตู หวังจะได้ติดตามอาการของญาติ เกือบทุกคนยืนไม่นิ่ง เดินไปมา ปรึกษากันถึงเรื่องที่อาจจะเกิดในอนาคต
   ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า แม้ว่าจะเป็นภาพที่เขาคุ้นเคยและคาดหวังเอาไว้แล้ว แต่ทุกครั้งที่ต้องเข้ามาจัดการผู้ป่วยที่อาหารหนักมากเช่นนี้ ความเครียดและกระวนกระวายก็เริ่มเข้ามาครอบงำสมองและจิตใจของหมอหนุ่มผู้นั้น ภาพชายชรานอนหอบหายใจเร็ว ทั้งๆที่ใส่ท่อช่วยหายใจและเครื่องช่วยหายใจ ปรับตั้งด้วยการช่วยเหลือระดับสูงมาก แต่ผู้ป่วยก็ยังหอบมาก ดวงตาของชายชราไร้แวว มองไปด้านหน้าอย่างไม่มีความหมาย กล้ามเนื้อกระตุกเป็นครั้งๆ รอบตัวมีสายน้ำเกลือระโยงระยาง ที่คอมีสายสวนหลอดเลือดดำต่อเข้ากับเครื่องวัดสัญญาณ ที่กราฟของมันไม่คงที่ เสียงเตือนจากเครื่องดังเป็นระยะๆ สายสวนปัสสาวะที่ไม่มีน้ำปัสสาวะแม้แต่สักหยดเดียว สายยางให้อาหารมีเลือดเก่าๆสีดำคล้ำไหลออกมา
  “คนไข้ อายุ 90ปีค่ะ เป็นเอเอฟอยู่เดิม มีอาการถ่ายเหลวมีเลือดปน ท้องอืดมากขึ้น มีอาการวันเดียว พอมาถึงก็เริ่มบีพีดรอป หอบมาก ปัสสาวะไม่ออกเลยค่ะ” เสียงพยาบาลหัวหน้าทีมรายงาน คนไข้ที่เป็นหัวใจเต้นผิดจังหวะอยู่แล้ว อายุมาก อาการรุนแรงมาถึงโรงพยาบาลก็มีความดันโลหิตตกลงและช็อก คุณหมอควักหูฟัง ไฟฉาย เข้าไปข้างเตียงทันที ตอนนั้นมีพยายาบและเจ้าหน้าที่ในทีม อยู่สี่คนรุมกันแก้ไขสถานการณ์ คุณพยาบาลสองคนกำลังหาหลอดเลือดดำเพื่อจะให้ยา อีกคนจัดการดูดเสมหะ อีกคนกำลังเตรียมยาและสารน้ำอย่างรวดเร็ว ทุกคนไม่ยิ้ม หลอดเลือดดำแฟบหมดตัวเพราะช็อกรุนแรงมาก สีหน้าคร่ำเคร่ง แต่ก็ทำงานอย่าถูกต้องรวดเร็ว สมกับเป็นมืออาชีพและฝึกมาอย่างหนัก
ทันใดนั้น..คลื่นไฟฟ้าหัวใจก็ผิดปกติมากเร็วจี๋ และเริ่มคลำชีพจรไม่ได้ คุณหมอสั่งให้นำเครื่องช็อกหัวใจมาและทำการช็อกหัวใจสองครั้ง ขณะที่กำลังจะช็อกครั้งที่สอง คุณผู้ช่วยพยาบาลในทีมถึงกับเบือนหน้าหนี ก่อนที่คุณหมอจะจรดแป้นลงบนหน้าอกคนไข้. “พร้อมนะครับ หนึ่ง สอง สาม เคลียร์..บรึม” สายตาคุณหมอเห็นเงาลูกตาของญาติที่จ้องผ่านกระจกประตู ถึงกับเบือนหลบภาพนั้น
    ชีพจรกลับมาเต้น คลื่นไฟฟ้าหัวใจดีขึ้น คุณหมอทำการประเมินภาวะหัวใจ การบีบตัว และสารน้ำ ด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งเครื่อเอคโค่หัวใจ สายสวนจากลำคอ พร้อมกันนั้นก็สั่งการรักษาเพื่อให้สารน้ำและยากระตุ้นความดัน เสียงโต้ตอบระหว่างทีม ห้วน สั้น เหมือนกับอยู่ในสนามรบ ..ความดันเท่าไร..100/60 ค่ะ ..ปรับยาขึ้นอีกเป็น 30 ซีซีต่อชั่วโมง..น้องไปผสมยาใหม่นะ ขวดนี้พี่ปรับตามหมอสั่งแล้วใกล้จะหมด..หมอครับ ผลแก๊สในเลือดที่เพิ่งเจาะออกมาแล้ว..นี่แย่มากแล้ว ให้ไบคาร์บด่วนและครับ..เดี๋ยวผมปรับเครื่องช่วยหายใจ..คุณไปตามผลเกลือแร่มาทีนะ…เสียงโต้ตอบพร้อมกับงานที่เกิดขึ้นทันที คำสั่ง..การปฏิบัติ..การทวนถาม..เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงทุกนาที   
  รอบๆเตียงนั้น ทีมเดินไปมาขวักไขว่ แม้จะมีม่านกั้นระหว่างเตียง แต่ความวุ่นวายที่เกิดมันมากเสียจนทะลุม่าน ผู้ป่วยรายอื่นเริ่มตื่น บางรายก็ดิ้นเพราะเริ่มตื่น ทำให้เราต้องแบ่งคนไปดูแลคนอื่นๆด้วย ทีมเริ่มลดจำนวนลง อาการคนไข้ก็แย่ลง คุณหมอหัวหน้าทีม เริ่มประมวลความคิดและคำสั่งมากขึ้น การสั่งการแต่ละครั้งต้องมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผล แข่งกับคนแข่งกับเวลา จะต้องไม่ให้สูญเปล่าเด็ดขาด ความเครียดเริ่มมากขึ้น ทุกคำพูด ไม่มีการหยอกล้อ มีแต่ใจความที่ต้องการสื่อสารทั้งนั้น..แต่คนไข้ก็ยังไม่ดีขึ้นเลย

   ผ่านไปสามสิบนาที คนไข้เริ่มตอบสนองบ้าง แต่โดยรวมแล้วยังถือว่าอาการหนัก หายใจล้มเหลว ไตวายเฉียบพลัน เลือดเป็นกรดรุนแรง เกลือแร่ผิดปกติหมด หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันไม่คงที่ มือเท้าเริ่มเขียว คุณหมอตัดสินใจรอสังเกตอาการ การตอบสนองสักระยะ ให้ทีมได้จัดการงานที่เหลือ ให้คนไข้ได้พักและคลายกังวล หมอเองก็ไม่ทราบว่าวินาทีนั้น ชายชราจะยังมีสติสัปชัญญะสมบูรณ์หรือไม่ แต่ก็เคารพในศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์ของคนไข้ คุณหมอเดินถือแก้วน้ำดื่ม รู้สึกว่าสามสิบนาทีเมื่อสักครู่ ได้ใช้พลังงานและทำให้สมองอ่อนล้าอย่างบอกไม่ถูก เข้าไปในห้องให้คำปรึกษาเพื่อแจ้งความคืบหน้ากับญาติ
   ญาติทุกคนถึงกับหน้าเสีย คนที่คราบน้ำตายังไม่แห้งก็น้ำตานองหน้าซ้ำอีกครั้ง เมื่อหมอหนุ่มได้แจ้งให้ทราบถึงอาการ การช่วยเหลือที่ทำไปแล้ว ผู้ป่วยยังไม่มีอาการตอบสนองและแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นาทีต่อนาที ชั่วโมงต่อชั่วโมง มีโอกาสจะเสียชีวิตสูงมาก เมื่อพูดคุยจบ หมอหนุ่มก็นั่งนิ่งไปครู่หนึ่งยกแก้วน้ำดื่ม เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอเช่นกัน และก็มีตัวแทนญาติกล่าวขึ้นมา “คุณหมอครับ พวกเราเคยตกลงกับคุณพ่อเอาไว้แล้วว่าถ้าจะต้องปั๊มหัวใจ พวกเราไม่ขอทำนะครับ คุณพ่อไม่อยากทรมาน พวกเราเองก็ไม่ต้องการให้ท่านเจ็บครับ ส่วนการช่วยเหลืออื่นๆ คุณหมอช่วยเต็มที่ตามที่เห็นสมควรครับ คุณพ่อรักษาที่นี่มาตลอด เราเชื่อใจทีมที่นี่ครับ”
   หมอหนุ่มยกมือไหว้ทุกคน ขอบคุณที่เข้าใจและขอตัวออกไปดูแลต่อเนื่อง มีความคืบหน้าอย่างไรจะแจ้งให้ทราบโดยเร็ว เมื่อหมอเดินออกมาสิ่งที่พบคือ ชายชราก็ยังหอบมาก เลือดเก่าๆออกจากทางเดินอาหารมากขึ้น คุณพยาบาลทั้งสามคนก็ยังรายล้อมตัวคนไข้ ทำการพยาบาลง่วนอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครปริปากบ่น สนใจกับวินาทีชีวิตตรงหน้า และความดันก็เริ่มลดลง คลื่นไฟฟ้หัวใจเริ่มผิดปกติ ผลเลือดเมื่อสักครู่กลับมาถึง คุณหมอถอนหายใจ สั่งการสองสามคำกับทีทีมพยาบาลแล้วเดินไปแจ้งญาติซ้ำใหม่

   การบอกครั้งที่สองสับสนกว่าเดิม สีหน้าของญาติตึงเครียดขึ้นจากเดิม หลายคนใช้โทรศัพท์ไปโวยวายว่าทำไมยังมาไม่ถึงที่โรงพยาบาล บางคนก็พูดจนเกือบเรียกได้ว่าเป็นการตะคอกใส่โทรศัพท์ถึงเรื่องของประกันชีวิต ลูกชายคนเดิมตัวแทนของญาติที่ตอนนี้มีสติที่สุด บอกกับหมอว่า “ถ้าฟอกเลือดแล้วจะดีขึ้นไหมครับ โอกาสรอดมากไหม” คุณหมอหนุ่มนั่งนิ่ง เอามือประสานกันไว้ตรงหน้า นิ่งอยู่พักใหญ่ การนิ่งของคุณหมอทำให้เสียงจอแจสับสนของหมู่ญาติเงียบลง ทุกคนเริ่มกลับมามีสติอีกครั้ง คุณหมอหนุ่มเงยหน้าพูดด้วยเสียงเรียบสม่ำเสมอ “ผมคงบอกไม่ได้ว่าโอกาสรอดมีมากหรือไม่ แต่คนไข้อาการหนักมาก เราไม่สามารถพยุงร่างกายได้แน่ๆ ถ้าเลือดเป็นกรดและค่าเกลือแร่แปรปรวนมากแบบนี้ การทำก็เสี่ยงมาก แต่ถ้าไม่ทำ…”
    สักพักหมอก็เดินออกมา ชายชราดูแย่ความดันไม่คงที่ หัวใจเต้นเร็ว เริ่มมีคลื่นไฟฟ้าหัวใจบ่งบอกลักษณะของค่าเกลือแร่โปตัสเซียมที่เกินในเลือด คุณหมอสั่งทีมอีกครั้ง เพื่อให้ยารักษา และเตรียมตัวรักษาโดยใช้การบำบัดแทนไตที่เรียกว่า CRRT หัวหน้าทีมพยาบาลถามหมออีกครั้ง...ว่าโอกาสมากไหม  คุณหมอเองก็ยอมรับว่าโอกาสมีไม่มาก แต่คงต้องช่วย หันไปมองทีม ทุกคนพักกายพักใจ กินน้ำกินท่า อาหารที่รีบกินเข้าไปก็เป็นเพียงแต่นมกล่อง ขนมปัง บางคนก็รีบกินอาหารกล่องที่ตัวเองทำมา ทุกคนทราบดีว่าต้องรีบกิน การช่วยเหลือต้องดำเนินต่อ
  “พี่เตรียมทีม เตรียมเครื่องฟอกเลือด ผมจะใส่สายสวนแล้วเข้าเครื่องเลย” คุณหมอหันหน้าไปที่ทีม ภาพที่ทุกคนนั่งพักเมื่อครู่หายไปหมด กลายเป็นทีมที่พร้อมจะช่วยเหลือคนไข้ อุปกรณ์ต่างๆ ถูกจัดเตรียมภายในเวลาอันสั้น คุณหมอสวมเสื้อปลอดเชื้อ เข้าไปพูดเบาๆข้างๆหูชายชรา ที่ตอนนี้หอบลดลง หัวใจเต้น..ช้าลง “คุณลุงครับ..ผมกำลังจะใส่สายเพื่อฟอกเลือด เป็นการช่วยคุณลุงครับ ใส่ที่ขาหนีบจะเจ็บหน่อยนึง คุณลุงอดทนนะครับ”

    ขณะที่หมอกำลังใส่สายสวน พยาบาลหนึ่งคนกำลังช่วย อีกสองคนกำลังเตรียมเครื่อง ทุกคนคงไม่ทันสังเกต ว่าชายชราปิดตา คอตก เริ่มไม่ต้นเครื่องช่วยหายใจ ..ปี๊บ..ปี๊บ..หมอคะ ความดันตกอีกแล้ว ชีพจรเริ่มช้า..คุณหมอใจสั่น มือสั่น..เราจะพลาดไม่ได้ รวบรวมสมาธิ เพื่อกลับมาเป็นตัวตนอีกครั้ง มือซ้ายคลำชีพจร มือขวาใส่เข็มเพื่อสอดเข้าหลอดเลือด คลำชีพจรซึ่งเบามากและยังสวนหลอดเลือดไม่ได้เพราะหลอดเลือดเริ่มแฟบบาง ความดันตกอย่างมาก
   คลำชีพจรไม่ได้ พร้อมกับ เสียงจากทีมที่บอกมาทันที “หมอคะ จับชีพจรไม่ได้ อะซิสโตลี” อะซิสโตลี ก็คือ เส้นกราฟหัวใจราบเรียบอย่างที่เห็นในโทรทัศน์ ชายชราหลับตาสงบ ในหน้าราบเรียบสงบ หน้าอกกระเพื่อมตามเครื่องช่วยหายใจ มือของคุณหมอรู้สึกได้ถึงชีพจรครั้งสุดท้ายก่อนที่จะดับไป

  คุณหมอยืนขึ้นสงบนิ่ง แม้ว่าจะผ่านเหตุการณ์แบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ก้มศีรษะเคารพชายชราที่ครั้งหนึ่งเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ครอบครัว ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ยังสะเทือนใจและหมองหม่นทุกครั้ง ขณะที่เดินออกมาเพื่อบันทึกและทำรายงานการเสียชีวิต ญาติที่กรูกันเข้ามาสวนทางกับหมอ เสียงร้องไห้ หยาดน้ำตา
  แม้ว่าการทำงานของทีมก็ต้องดำเนินงานต่อ จัดเก็บความเรียบร้อย จัดการด้านธุรการ แต่ใบหน้าทุกคนก็เศร้า เสียใจกับการจากไปของชายชรา และเตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์ครั้งต่อไป

   ภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียด รีบเร่ง เดิมพันกับชีวิตและความตาย ไม่มีใครอยากพลาด ไม่มีใครสนใจอย่างอื่นเหนือไปจากชีวิต และวินาทีชีวิต..ที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นญาติ หมอ ทีมรักษา หรือแม้แต่ตัวผู้ป่วยเอง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม