02 ตุลาคม 2562

แม่เบี้ย ฉบับหักมุม

แม่เบี้ย ฉบับหักมุม
**ผมไม่ได้มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์งานเขียนของ อ.วาณิช จรุงกิจอนันต์ เพียงหยิบพล็อตเรื่องและตัวละครที่ทุกคนรู้จักดีอยู่แล้วมาดัดแปลงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น เป็นการผสานเรื่องแม่เบี้ย งานเขียนสืบสวนของเคโงะ และเรื่องราวเกี่ยวกับงูพิษ หากท่านใดคิดว่าไม่เหมาะสมและสมควรลบก็แจ้งได้นะครับ**
กริ๊งงง เสียงโทรศัพท์ดังลั่นห้องทำงาน หมอหนุ่มใหญ่สะดุ้งตื่นจากการงีบกลางวัน หยิบเครื่องโทรศัพท์ไร้สายข้างตัวมารับ "ครับ ผมหมอนะเดชครับ" เสียงอีกฝั่งตอบกลับมาว่า "คุณหมอคะ มีสายนอกจากสถานีตำรวจค่ะ"
นะเดชไม่ได้ตกใจมากนัก เขารู้ดีว่าปลายสายคือใคร "โอนเข้ามาได้เลยครับ"
ท่านรองผู้กำกับเป็นเพื่อนสนิทกับหมอนะเดชมาตั้งแต่เด็ก ท่านมักจะโทรมาปรึกษาเรื่องคดีและรำพึงรำพันให้ฟังบ่อย ๆ ครั้งนี้ก็คงจะเช่นกัน
" ไง หมอ นอนอยู่ล่ะสิ แหะ ๆ เย็นนี้ว่างไหม เดี๋ยวฉันไปหา เลี้ยงกาแฟแก้วนึง"
" แกจะมาปรึกษาเรื่องศพที่พบนั้นใช่ไหม แต่ร้านเดิมไม่เอาแล้วนะเว้ย คนเสิร์ฟมาเรียกฉันว่าคุณลุง เคือง !"
เย็นนั้น ท่านรองผู้กำกับแต่งชุดครึ่งท่อน นั่งรอในร้านกาแฟร้านใหม่ บนโต๊ะมีคาปูชิโนร้อนของตัวเอง ท่านรองสั่งอเมริกาโนแก้วโตเผื่อคนที่ท่านนัดเอาไว้ ทราบดีว่าเพื่อนติดกาแฟอย่างมากและไม่ดื่มอย่างอื่นยกเว้นกาแฟดำ พร้อมสโคนสองชิ้นที่เป็นของขึ้นชื่อของร้าน อีกสิบนาทีจึงจะถึงเวลานัด แต่ท่านรองชอบมาก่อนเวลา เขาเป็นคนตรงเวลา ไม่ชอบการโกงแม้แต่เรื่องเวลา ถือเป็นนายตำรวจตงฉินที่น่านับถืออีกคน
ผ่านไปห้านาที ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนเดินเข้ามาในร้าน มือขวาถือหมวกกันน็อกเต็มใบใบหนึ่ง "แต่งตัวเหมือนเด็กวัยรุ่น ไม่ยอมแก่" ท่านรองคิดในใจ และสังเกตเห็นรองเท้านันยาวสีขาวที่แทบจะระบุอัตลักษณ์บุคคลได้เลย เพราะชายหนุ่มใส่มาตั้งแต่หนุ่ม ไม่เคยเปลี่ยนยี่ห้อ ชายหนุ่มคนนี้คือหมอนะเดช เพื่อนสนิทของท่านรอง หมอเป็นฮิปปี้ รักอิสระในชีวิตและรักการขี่มอเตอร์ไซค์เป็นชีวิตจิตใจ
"รายที่ห้าแล้วนะ ในรอบแปดเดือน" ท่านรองเริ่มบทสนทนา
"แกจะบอกว่า สี่รายก่อนหน้านี้ก็เป็นกรณีงูกัดตายเหมือนกันหรือ" นะเดชซดกาแฟทีเดียวครึ่งแก้ว
"ศพรายที่ห้านี้ เสียชีวิตอยู่ข้างทาง ขาดอากาศหายใจ ไม่มีร่อยรอยถูกทำร้าย ที่เท้าขวามีรอยเขี้ยวสัตว์เป็นสองรูชัดเจน คนที่อยู่ในพื้นที่เขาลือกันว่าเป็นงูเจ้าที่" หมอนะเดชเล่าให้ฟังถึงศพที่เขาได้รับปรึกษาตอนที่อยู่เวร
ท่านรองทำท่าอึดอัด แปดเดือนมานี้ หลังจากคุณเมขลาเจ้าของเรือนไทยหลังนั้นกลับมาอยู่บ้านและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นรีสอร์ทท่องเที่ยว ราคาที่ดินขึ้นสูง อาเสี่ยชื่อดัง นักธุรกิจใหญ่หลายคนเข้ามาติดต่อซื้อขาย ในจำนวนนั้นมีสี่คนที่ไม่เพียงแต่ติดต่อค้าขายแต่ยังติดตาต้องใจคุณเมขลาเจ้าของรีสอร์ทอีกด้วย และตอนนี้ทั้งสี่คนเสียชีวิตทั้งสิ้น
"ปัญหาคือ เราไม่เคยเจองูชุกชุมในพื้นที่เลยนะ ก่อนหน้านี้ก็พบบ้าง และตอนนี้ก็หายไปเกือบหมด นี่มาโดนงูกัดต่อเนื่องกันห้าศพแบบนี้ มันก็เลยดูแปลก" ท่านรองเล่าถึงปัญหาคาใจ
"โดนงูกัด ผลชันสูตรก็เป็นแบบนั้น ญาติก็ไม่ได้ติดใจ แกติดใจอะไรรึ" สโคนสองขิ้นหมดในพริบตา
"แกจำชนะชลเพื่อนเราได้ไหม ที่ตอนนี้เป็นนักธุรกิจใหญ่ ตอนนี้สนใจจะมาซื้อเรือนไทยและมาติดพันคุณเมขลานี่แหละ ติดพันชนิดที่เมียเขากลุ้มใจเลย" ท่านรองเล่าเรื่องต่อไป
"แล้วแกไปยุ่งอะไรกับเขาล่ะ" นะเดชถาม
"ฉันเป็นห่วงมัน เลยมาถามแกว่า มันจะมีวิธีป้องกันงูกัดอย่างไรบ้าง แกทำวิจัยเรื่องงูกัดไม่ใช่รึตอนอยู่เมืองนอก แล้วแกจะป้องกันงูเจ้าที่ได้ไหม" ท่านรองบอกถึงเจตนาที่แท้จริงในการสนทนา
"อือ แล้วจะช่วยดูให้" หมอนะเดชรับคำ
สองสัปดาห์ที่ผ่านมา หมอนะเดชนั่งอ่านผลชันสูตรของคดีงูกัดทั้งสี่คดี ขนตำรับตำราและคอมพิวเตอร์มาสิงสถิตที่สถานีตำรวจ ทุกคนที่สถานีตำรวจรู้จักหมอนะเดชดี ท่านรองขอความช่วยเหลือหมอนะเดชหลายครั้งแต่ละครั้งคุณหมอจะมาอยู่เกือบสัปดาห์ ท่านรองสั่งให้ลูกน้องช่วยดูแลคุณหมอเต็มที่ และกำชับสายใจ แม่ค้ากาแฟมือหนึ่งประจำสถานีว่ากาแฟอย่าได้ขาด และห้ามให้คนอื่นมาเสิร์ฟ ต้องสายใจเท่านั้น ท่านรองรู้สเป๊กคุณหมอดี หากได้กาแฟและคนเสิร์ฟถูกใจ คุณหมอจะถวายหัวช่วยงานเลย
ในรายงานการชันสูตร ผู้เสียชีวิตทุกรายเสียชีวิตในเวลาเช้าตรู่ ผลชันสูตรไม่พบเลือดออกมากมายที่อวัยวะใด รวมทั้งที่ไต อันเป็นลักษณะที่พบบ่อยในศพที่เสียชีวิตจากงูพิษระบบไหลเวียนโลหิต มีแต่แผลที่เป็นรอยกัดชัดเจน มีรอยเขี้ยวพิษคู่ขนาดใหญ่ที่ยากจะปฏิเสธได้ว่าเกิดจากงูพิษกัด คาดการณ์จากเวลาที่มีคนพบผู้เสียชีวิตครั้งสุดท้ายคือช่วงดึก มาเสียชีวิตในตอนเช้า งูที่กัดน่าจะเป็นงูที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา
"ก็ถูกงูกัด ตรงไปตรงมาดี แล้วเจ้าตู๋มันติดใจอะไรเนี่ย" หมอนะเดชคิดในใจ
รอยถูกกัดทุกศพ อยู่ที่เหนือเอ็นร้อยหวายของเท้าขวา เหนือจากระดับตาตุ่มขึ้นไปด้านบนร่างกายประมาณห้าเซนติเมตร เป็นหลักฐานอย่างดีว่าเป็นเขี้ยวพิษงู และงูนั้นต้องตัวใหญ่มาก เขาจำได้ว่ามีตารางความสัมพันธ์ระหว่างระยะห่างเขี้ยวงู กับขนาดกระโหลกงู ที่พอบอกขนาดคร่าว ๆ ได้ หมอนะเดชหาไม้บรรทัด แต่ไม่พบเลยเขาลืมเอาไม้บรรทัดมา ภาพจากชันสูตรวางไม้บรรทัดไว้ก็จริงแต่ไม่ได้วางแนวแผล ทำให้กะระยะได้ยาก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก๊อก ๆ "คุณหมออยู่ไหมคะ สายใจนำกาแฟมาส่งค่ะ"
คุณหมอหยุดทำงานทุกอย่าง หันหน้าไปจัดทรงผมและขยับแว่นตา รีบหยิบระดาษมาซับใบหน้า นั่งลงในท่าที่คิดว่าหล่อที่สุด "เข้ามาเลยครับ สายใจ ประตูไม่ได้ล็อก" ทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งไปปลดล็อกเมื่อครู่เพราะรู้ว่าสายใจกำลังจะมาส่งกาแฟ
"กาแฟร้อน ๆ ตอนบ่าย ๆ นะคะพี่หมอ เอสเปรสโซ่สองช็อต ไม่ใส่น้ำตาลค่ะ คนอะไรก็ไม่รู้ เค้มเข้ม"
"แหม หอมกรุ่นทุกวันเลยนะครับ วันนี้หอมกว่าทุกวัน ไม่รู้กลิ่นกาแฟหรือแม่ค้า" หมอหนุ่มพูดแล้วก็เขินตัวเอง แก้เก้อด้วยการหยิบหลอดพลาสติกแบน ๆ มาทำหน้าที่ต่างไม้บรรทัด วัดแผลไม่ตามเรื่อง
"พี่หมอคะ เมื่อวานสายใจได้สูตรกาแฟมาใหม่ค่ะ คืนนี้จะลองทำดู พ่อก็ไม่ดื่มกาแฟ ไม่รู้จะให้ใครชิม พี่หมอไปช่วยชิมด้วยนะคะ" สายใจยิ้มสวย
"พ่อสายใจ พี่ได้ข่าวว่าเป็นเกษตรกรตัวอย่างไม่ใช่หรือ พี่ว่าว่าง ๆ จะเข้าไปคุยด้วยสักหน่อย" ว่าแล้วก็ยกกาแฟขึ้นซด
"เป็นไงบ้างคะ วันนี้สายใจทำสุดฝีมือเลยนะ" สายใจอยากรู้จริง ๆ เพราะเธอเพิ่งเรียนสูตรใหม่มา
"พี่ว่า ขมไปนิด พี่ชอบแบบเมื่อวานมากกว่า" หมอนะเดชหัวเราะ
"แหม พี่หมอ ใครจะชงได้เหมือนกันเป๊ะทุกวันล่ะค้า สายใจไปก่อนนะ คืนนี้อย่าลืมล่ะ"
หมอนะเดชยิ้ม มองกองเอกสารตรงหน้าแล้วพูดเบา ๆ กับตัวเองว่า "ใช่ ใครจะไปชงได้เหมือนกันเป๊ะทุกวัน"
ค่ำวันนั้นหมอนะเดชชวนท่านรองตู๋ไปเยี่ยมที่บ้านสายใจ ด้วยความตั้งใจจะไปคุยกับลุงกำนัน พ่อของสายใจ อดีตเกษตรกรดีเด่น ท่านรองแขวะนะเดชว่าโตจนครึ่งชีวิตแล้ว ยังไม่กล้าไปบ้านผู้หญิงคนเดียวอีกหรือไง แต่หมอนะเดชก็ไม่ว่าอะไร ได้แต่ยิ้มอาย ๆ
การสนทนาค่ำวันนั้น หมอนะเดชได้ถามถึงแหล่งที่อยู่อาศัยของงูเห่าในแถบนี้ ลุงกำนันเล่าว่าสักสามสี่ปีก่อนงูเห่าพอพบได้บ้างแถวรีสอร์ทของเมขลา แต่หนึ่งปีให้หลังมานี้กลับไม่พบงูเลย สงสัยจะหนีไปที่อื่นจากการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเมขลา
"แล้วงูเจ้าที่ ที่เขาร่ำลือกันล่ะครับ กัดคนตายมาสี่ศพแล้ว" หมอนะเดชพูดขึ้น
"นี่แกคิดว่า สี่ศพนั่นถูกงูเจ้าที่กัดตายรึ ไม่เอาน่า" ท่านรองขัดขึ้น
ลุงกำนันเล่าว่า เรื่องเล่าขานแถบนี้คือหากใครมาประสงค์ร้ายกับเจ้าบ้านเรือนไทยเก่าแก่ จะต้องมีอันเป็นไปจากงูกัดทุกรายไป เพราะมีงูเจ้าที่คอยปกป้องรักษาตระกูลนี้อยู่
"แล้วลุงเคยเจองูเจ้าที่บ้างไหมครับ" ท่านรองถาม
"ไม่เคยหรอก ลุงไม่ได้คิดร้ายกับหนูเมขลานี่นา ชาวบ้านเล่ากันว่าคนที่ตายไปสี่คนนั้นคงจะคิดร้ายกับหนูเมขลาแน่ ๆ นี่ก็มีเศรษฐีจากเมืองกรุงมาติดพันหนูเมขลาอีกคน ถ้าเป็นคนคิดร้ายงูคงไม่ปล่อยไว้ ถ้าเป็นคนดีก็คงรอด"
"หมอ ฉันห่วงชนะชลว่ะ" ท่านรองเอ่ยขึ้น
ที่ร้านอาหารคาราโอเกะในอำเภอ ท่านรองตู๋ หมอนะเดช ได้นัดชนะชลมาพบปะกันในฐานะเพื่อนเก่า แต่ท่านรองก็หวังจะได้ทราบเรื่องราวของเมขลาและรีสอร์ทแห่งนั้นด้วย
"นี่พวกแกเชื่อเรื่องตำนานนั่นจริง ๆ รึ คนนึงก็ตำรวจมือปราบ อีกคนก็ด็อกเตอร์จากยุโรป" ชนะชลหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินเรื่องที่ทั้งสองเป็นห่วง
"ก็ไม่ได้เชื่อ แต่มันก็ยังไม่มีข้อสรุปอื่น สี่คนที่ตายไปน่ะ หวังเคลมเมขลาทั้งนั้น ตายจากงูกัดด้วย เนี่ยไอ้หมอมันสงสัยงูเห่า" ท่านรองกล่าวขึ้น
"แล้วแกไปหาเมขลาที่บ้าน เจออะไรน่าสงสัยไหมล่ะ" หมอนะเดชถาม
"สงสัยน่ะไม่มีหรอก มีแต่สงสาร สงสารตัวเอง ฟ้าเหลืองทุกเช้าเลย" ชนะชลยิ้ม
"ระวังเถอะ ถ้าเมียแกรู้เข้า ฉันขี้เกียจทำสำนวนคดีฆาตกรรม" ท่านรองหัวเราะ
"มือชั้นนี้แล้วโว้ย จะบอกอะไรให้ ไอ้สี่คนนั่นนะ ไก่อ่อน สายเปย์อย่างเดียว ต่อให้ไม่ตายไปก็ไม่ได้เมขลาหรอก" ชนะชลพูดเสียงดังขึ้นด้วยอำนาจแอลกอฮอล์
"แกรู้จักสี่คนนั่นด้วยรึ" หมอนะเดชสงสัย
สี่คนที่เสียชีวิตไป เป็นนักธุรกิจในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ชนะชลเล่าว่าเป็นเสือผู้หญิงตัวฉกาจ ดารา นางแบบ ใช้เงินทุ่มไม่อั้น แต่สุดท้ายเมียจับได้ทุกที ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมเลิก แอบซุกเงินมาเปย์หญิง บางทีให้เป็นสิบ ๆ ล้านเลย เงินสดล้วน ตรวจสอบไม่ได้
"แล้วแกรู้ได้ไงว่าไหมแก้วจะไม่รู้เรื่องนี้" หมอนะเดชถาม
"ถ้ารู้ ก็เพราะพวกแกคนใดคนหนึ่งไปบอกนี่แหละ อย่าให้รู้นะเว้ยว่าใครคาบข่าวไปบอกไหมแก้ว อีกไม่นานแม่เมขลาจะต้องยอมสยบ ชนะชลอย่างแน่นอน"
ชนะชลแนะวิธีการแอบซ่อนเงินในบัญชีให้รองตู๋ฟัง ท่านรองตู๋บอกขำ ๆ ว่าถ้าจำเป็นเมื่อไรจะเอาไว้แบล็กเมล์ชนะชล
ระหว่างเดินทางกลับท่านรองถามนะเดชว่า
"ฉันว่าแกน่าจะรู้อะไรบ้างแล้วใช่ไหม แกไปขลุกอยู่ที่สถานีตั้งอาทิตย์นึง คนอะไรวะ กินกาแฟเปลืองชิบหาย นังสายใจมาเก็บเงินนี่นึกว่ากินสเต็ก ไม่ใช่กาแฟ"
"ก็คิดว่าน่าจะพอรู้บ้างล่ะ ว่าแต่อยากไปดูรีสอร์ทนั้นจัง ทำเลมันดีขนาดไหนที่เศรษฐีจากเมืองกรุงถึงจ้องมาซื้อกันนัก" หมอนะเดชเปรยให้ท่านรองฟัง
"งั้นพรุ่งนี้ไปกัน"
วันรุ่งขึ้นที่ห้องรับแขกของรีสอร์ท เมขลาออกมาต้อนรับแขกพิเศษทั้งสองคน ทั้งสองแนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนสนิทของชนะชล เพื่อนแนะนำให้มาพัก การสนทนามีแต่เรื่องทั่ว ๆ ไป ทั้งสองคุยสักพักก็ขอตัวออกมาเดินเล่น
"เข้าใจแล้วว่าทำไม ชนะชลกับพวกเศรษฐีบ้ากามทั้งหลายถึงชื่นชอบ โคตรสวย เซ็กซี่ ฉันงี้ไม่กล้าสบตาเลย" ท่านรองกลืนน้ำลาย
"ก็สวยนะ แต่เธอไม่เห็นมีความรู้ด้านการบริหารและการตลาดเลย คุยกันแค่แป๊บเดียว ฉันยังรู้เลย ทำไมถึงสามารถทำรีสอร์ทจนมีคนอยากซื้อได้ขนาดนี้" หมอนะเดชงงมาก
"สงสัยงูเจ้าที่จะมีจริงหรือไงหมอ อำนาจมืดงูเจ้าที่กระมัง" ท่านรองเย้า
"ฉันว่าแกลองตรวจสอบบัญชีและการเงินรีสอร์ทดูบ้างก็ดีนะ" หมอนะเดชพูดทีเล่นทีจริง
สักพักทั้งคู่ก็เดินมาถึงที่พักคนงาน ได้พบหัวหน้าคนงาน ลุงทิม ทั้งสองเข้าไปถามไถ่ว่าแถวนี้เคยมีงูเห่าตัวโตหรือรังงูบ้างไหม ลุงทิมบอกว่าตั้งแต่แกอยู่มาก็พอเจอบ้าง แต่งูตัวใหญ่ ๆ ไม่เคยเจอเลย คนงานแถวนี้ก็ไม่เคยเจอ ยังแปลกใจว่าสี่ศพที่ถูกงูกัดตายจะเป็นงูเจ้ากัดจริง ๆ กระมัง เพราะงูเป็น ๆ ยังไม่เห็นเจอเลยแม้แต่ตัวเดียว แล้วแกก็ขอตัวไปทำงานต่อ เอาถุงขยะสีดำใบใหญ่เตรียมจะไปเผาแบกขึ้นหลังอย่างคล่องแคล่ว แล้วไปวางไว้ข้างเตาเผาขยะ
"แกคิดว่าลุงทิมอยู่ที่นี่มานานหรือยัง" นะเดชถาม
"จากข้อมูลที่ได้ แกเฝ้าเรือนไทยมาตั้งแต่รุ่นแม่ของเมขลา ไม่ต่ำกว่า 50 ปี"
"แสดงว่าแกสงสัยคนในบ้าน ไม่สงสัยงูแล้วรึ ถึงได้ตรวจข้อมูลถี่ยิบขนาดนี้" นะเดชตั้งข้อสงสัย
"ก็ไม่เชิง มันเป็นแค่ข้อสงสัยน่ะ ยังไงผลชันสูตรก็ยังออกมาว่าเสียชีวิตเพราะงูกัดอยู่ดี" ท่านรองตอบลังเล
"ถ้างั้นแกควรจะเริ่มสงสัยให้มากขึ้นได้แล้วนะ ว่าทำไมคนแก่อายุแปดสิบจึงได้แบกถุงดำขนาดใหญ่ได้คล่องแคล่วแบบนี้ แถมสิ่งที่อยู่ในนี้คือ.." หมอนะเดชใช้มีดพกกรีดถุง เผยสิ่งที่อยู่ภายใน
"คราบงู !!" ท่านรองอุทาน
วันนี้ทั้งสองคนตั้งใจจะพูดกับชนะชลให้รู้เรื่องถึงความไม่ชอบมาพากลของรีสอร์ท และเตือนถึงอันตรายที่อาจมาเยือนชนะชล จึงพากันไปหาชนะชลที่สำนักงาน
"คุณชนะชล ไปดูกิจการที่รีสอร์ทน่ะครับ" ภาคภูมิ เลขาของชนะชลยิ้ม
"กิจการรีสอร์ทไหนหรือครับ" ท่านรองแปลกใจ
"รีสอร์ทเรือนไทยครับ ท่าทางจะซื้อด่วน ขนาดใช้เงินส่วนตัวซื้อไปก่อนเลยนะครับ โอนให้สด ๆ ร้อน ๆ เห็นว่าจะไปเซ็นสัญญากับเจ้าของวันนี้" ภาคภูมิพูดและนิ่งไปเหมือนนึกแปลกใจ
"แปลกมาก ปรกติคุณชนะชลจะไม่เอาเงินตัวเองออกไปก่อนแบบนี้เลยนะครับ" ภาคภูมิทิ้งท้ายอย่างสงสัย
"ตู๋ ไม่ชอบมาพากลแล้วล่ะ รีบไปกันเถอะ" นะเดชรู้สึกถึงสถานการณ์ผิดปกติจึงรีบพาท่านรองออกจากที่ทำงานของชนะชลและมุ่งหน้าไปที่รีสอร์ทเรือนไทย
ที่รีสอร์ท ที่ตอนนี้แทบจะเป็นรีสอร์ทร้างเพราะข่าวงูเจ้า นะเดชเห็นรถยุโรปคันใหญ่ของชนะชลจอดนิ่งอยู่ด้านหน้า ทั้งคู่เดินขึ้นไปที่เรือนรับรอง เป็นห้องโถงโล่ง มีเคานท์เตอร์บริการแต่ไม่มีคนอยู่เลย ท่านรองตะโกนขึ้นดัง ๆ "มีใครอยู่ไหมครับ" หลายนาทีผ่านไปไม่มีใครตอบ ท่านรองลดมือไปที่บั้นเอว แม้สวมเสื้อแจ็คเก็ตทับก็ยังพอมองออกว่านั่นคือปืนกระบอกเขื่องประจำตัวท่านรอง
"แปลกมาก" ท่านรองหันมาบอกหมอนะเดช
เสียงตึงตังโครมครามด้านล่างดังขึ้น ตามด้วยเสียงปิดประตูดังลั่น และเสียงคนเดินลงส้นหนัก ๆ ตามบันไดไม้ขึ้นมาจากห้องใต้ดิน อึดใจเดียวลุงทิมก็เดินขึ้นมา ดูแกเหนื่อย เหงื่อออกท่วม และลุกลี้ลุกลนเป็นอย่างยิ่ง
"คุณทั้งสองนั่นเอง มาหาคุณเมขลาหรือครับ"
"ใช่แล้วครับ และเราคิดว่าชนะชลน่าจะอยู่ที่นี่ด้วย ผมเห็นรถเขาจอดอยู่ด้านหน้า"
"ครับ เดี๋ยวผมไปเรียนคุณเมขลาก่อนนะครับ" ลุงทิมพูดก่อนจะเดินออกไปทางหลังเคาท์เตอร์ นอกจากนะเดชจะสังเกตเห็นปืนแล้ว ลุงทิมก็สังเกตเห็นรองเท้าบูต กางเกงสีกากี แม้มีเสื้อแจ็คเก็ตทับอยู่ลุงทิมก็มองออกว่า เพื่อนของชนะชลคนนี้ไม่ใช่เพื่อนธรรมดาเมื่อวันก่อนเสียแล้ว ตำรวจมาที่นี่ในเวลาที่ยุ่งยาก ลุงทิมกำลังคิดบางสิ่งพร้อมกับเดินจากไป
สิบกว่านาที ลุงทิมเดินออกมาอีกครั้งพร้อมเชิญทั้งคู่ไปห้องรับรอง "นั่งรอที่นี่สักครู่นะครับ เดี๋ยวคุณเมขลาจะลงมาพบ" พร้อมยกน้ำผลไม้มาให้และเดินออกไป ลุงทิมล็อกประตูด้านนอกอย่างเงียบกริบ ห้องรับรองนี้ไม่ใช่ห้องเดียวกันกับที่เมขลาเชิญทั้งคู่มาคุยกันเมื่อหลายวันก่อน ห้องรับรองห้องนี้ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีทางออกอื่นยกเว้นประตูนี่เท่านั้น ล็อกประตูเป็นแบบเซฟตี้พิเศษเสียด้วย ท่านรองตู๋กับหมอนะเดชอยู่ในห้องปิดตาย !!
"ทำไมยังไม่ลงมาอีกนะ นานแล้ว" ท่านรองร้อนใจกระวนกระวาย ยกน้ำผลไม้ขึ้นดื่ม
"เดี๋ยว" นะเดชร้องห้าม "ในสถานการณ์แบบนี้ฉันว่าอย่าดื่มน้ำนั่นเลย เชื่อตัวเองเอาไว้ดีที่สุด"
ท่านรองชะงัก ค่อย ๆ วางแก้วน้ำลง แล้วรีบไปเปิดประตู
"ชิบหาย ประตูล็อก" ท่านรองร้องออกมาดัง ๆ พร้อมเขย่าประตู
"มันต้องมีอะไรแน่ ๆ มาเร็วหมอ ช่วยกันพังออกไปดู"
นะเดชสุขุมกว่านั้น เขาบอกท่านรองว่าหากพังออกไป คนที่ล็อกเราไว้จะรู้และไหวตัว เราค่อย ๆ ออกไปโดยที่เขาไม่รู้ดีกว่า นะเดชทำให้ท่านรองตะลึงมากกับการใช้ขดสปริงในปากกาและตัวหนีบกระดาษปลดล็อกกลอนเซฟตี้พิเศษได้อย่างง่ายดาย
"โห นี่แกเป็นหมอหรือเป็นโจรวะ" ท่านรองอ้าปากค้าง
"ช่างมันเถอะ ล็อกแน่นขนาดนี้ คิดว่าคนที่ล็อกเราน่าจะมั่นใจว่าออกมาไม่ได้ ถ้าไม่หนีไปไกลแล้วก็คงทำงานที่ซ่อนเร้นอยู่จนเสร็จ"
ทั้งคู่วิ่งเงียบ ๆ ลงไปทางที่ลุงทิมเดินขึ้นมาจากห้องโถงล็อบบี้ เป็นทางลงบันได วนลงไปชั้นใต้ดิน ลงไปสู่ทางเดินแคบทอดยาวตรงไปอีกราวสามร้อยเมตร ข้างในเป็นห้องโล่ง ไม่มีหน้าต่าง ปิดทึบ ยกเว้นมีบันไดลิงขึ้นไปถึงทางออกฉุกเฉินบนเพดานที่เปิดออกสู่ภายนอกแบบท่อระบายน้ำ ทั้งสองแอบอยู่ใต้กองไม้ ท่านรองจับปืนกระชับในมือ นะเดชยกโทรศัพท์มาบันทึกภาพ..ภาพที่ไม่คิดว่าจะเป็นจริง
ชนะชลถูกมัดติดไว้กับเตียง มีผ้าปิดปาก เขาพยายามจะดิ้นแต่ไม่สามารถทำได้เพราะว่าเชือกมัดแน่นมาก และจากฤทธิ์ยาบางอย่าง ปลายเตียงนั้นสาวสวยเมขลานั่งยิ้มอย่างเลือดเย็น
"ขอบคุณนะคะ สำหรับเงินสดสามสิบล้านบาท ของขวัญชิ้นสุดท้ายที่คุณจะมอบให้ฉัน ฉันไม่ได้เจตนาจะทำร้ายคุณ แต่คุณต้องเข้าใจ คนตายเท่านั้นที่พูดไม่ได้"
เมขลาหยิบเครื่องมือบางอย่างทำด้วยวัสดุสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือ เป็นลักษณะปากคีบขนาดใหญ่ ติดสปริงทำให้ปากคีบอ้าออกได้จากการบังคับเล็กน้อย ปลายปากคีบมีแท่งโลหะแหลมคมมากยื่นออกมาสองแท่ง เมขลากดอ้าปากคีบออก ดึงขากางเกงของชนะชลขึ้น เป้าหมายการทำร้ายที่เหนือเอ็นร้อยหวายเท้าขวา เธอยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม ไร้ความปรานี
ทันใดนั้นมีเสียง ฟ่อ ฟ่อ ดังข้างท่านรอง ท่านรองหันปืนไปทางเสียงนั้น เห็นงูเห่าตัวเขื่องกำลังชูคอแผ่แม่เบี้ย อยู่ห่างจากท่านรองไปเพียงสองเมตร ท่านรองร้องตะโกนออกมาสุดเสียงในจังหวะเดียวกับที่งูพุ่งเข้าหาท่านรอง "เฮ้ย..งู"
เสียงปืนดังขึ้นสามนัด...
ปัจฉิมบท
รถตำรวจ รถพยาบาลและเจ้าหน้าที่จำนวนมากเดินอยู่เต็มพื้นที่ด้านหลังรีสอร์ท ทางออกฉุกเฉินบนเพดานนั้นเปิดสู่ภายนอกเป็นบ่อน้ำเก่า มีฝาปิดครอบไว้และบ่อน้ำที่ว่านั้นอยู่ด้านข้างที่พักคนงานที่ลุงทิมใช้เป็นที่พักอาศัยนั่นเอง
ชนะชลได้รับการปฐมพยาบาลและนำส่งโรงพยาบาล เขายังไม่ถูกงูกัดเพียงแต่ดื่มเหล้ามาก ทางตำรวจยังรอผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติเวชว่ามีสารกดประสาทใดอยู่ในตัวชนะชลอีกหรือไม่
เมขลาที่ได้ยินเสียงปืนและพยายามหลบหนีทางบันไดหนีไฟฉุกเฉินนั้น พลัดตกมาจากบันได กระดูกซี่โครงหักและทิ่มปอด รถพยาบาลรับไปรักษาต่ออย่างเร่งด่วน ลุงทิมถูกจับขณะหลบหนีที่สถานีรถขนส่ง
ที่ร้านกาแฟของสายใจ หมอนะเดชกับท่านรองนั่งดื่มกาแฟด้วยกัน
"ทำไมแกถึงสงสัยว่าเหยื่อถูกสังหารล่ะ ผลการพิสูจน์ก็พบรอยเขี้ยวงู เสียชีวิตจากหายใจล้มเหลว พบหลักฐานของพิษงู ไม่พบร่องรอยการทำร้ายอื่น ๆ " ท่านรองสงสัย
"มันก็จริงอย่างที่แกว่านั่นแหละ เพียงแต่พอเอาภาพหลักฐานทุกคนมาเทียบกัน มันจะดูแปลกที่รอยแผลทุกคนเกิดที่ตำแหน่งเดียวกัน ขาข้างขวา ระยะห่างของเขี้ยวก็เท่ากันเป๊ะ งูที่ไหนจะทำได้ ต่อให้เป็นงูตัวเดียวกันก็เถอะ และแม้เหยื่อจะนอนเฉย ๆ ให้กัด งูก็ไม่มีทางกัดที่เดียวกันแน่" นะเดชอธิบาย
"นอกจากนี้ งูเห่าน่ะเวลามันกัดนอกเหนือจากพิษงูแล้ว น้ำลายที่มีฤทธิ์ทำลายเนื้อเยื่อ เชื้อโรคในปากงู จะทำให้แผลถูกงูกัดฟกช้ำมีแผล บางคนถึงขั้นเป็นแผลเน่าลุกลาม และรอยแผลติดเชื้อก็จะพบตั้งแต่เหยื่อยังไม่ตาย แต่เพราะนี่คือการฉีดพิษผ่านอุปกรณ์ที่สร้างเหมือนกะโหลกงูและเขี้ยวงู มันถึงไม่มีรอยติดเชื้อที่ว่านี้" นะเดชเล่าต่อ
"จริงด้วย ทุกคนมีแผลเหมือนกันเป๊ะเลย พอมีข่าวงูเจ้า ทุกคนก็ถูกกลลวงทางความคิดไปทางงูกัดทั้งสิ้น" ท่านรองเสริมขึ้น
“ไม่อยากจะบอกเลยว่า ไอเดียที่คิดว่าไม่ใช่งู ก็มาจากสายใจนี่แหละ วันนั้นฉันลืมไม้บรรทัด เลยเอาหลอดพลาสติกแบนที่สายใจเอามาให้ตอนเสิร์ฟกาแฟลองวัดระยะระหว่างเขี้ยวงูแล้วตัดขนาด กะว่าจะไปเทียบกับไม้บรรทัดแต่พอลองไปเทียบในทุก ๆ ภาพในมุมเดียวกัน น่าประหลาดที่เท่ากันทุกแผล วันนั้นสายใจชงกาแฟมาให้ ฉันว่ามีขมไปหน่อย นั่นสิ ขนาดชงทุกวันรสชาติยังไม่เท่ากัน งูอะไรจะกัดตรงกันเป๊ะแบบนี้ทุกครั้ง คำตอบคือ มันต้องไม่ใช่งูแน่นอน” นะเดชเฉลย
ท่านรองบอกว่าที่นะเดชให้ไปตรวจสอบบัญชีของบริษัทนั้น พบว่าเดิมบริษัทขาดทุนและมีทุนสำรองต่ำมาก จนเมื่อไม่กี่เดือนมานี้มีการโอนเงินเข้าบัญชีครั้งละสิบล้านถึงสี่ครั้ง ก่อนการเสียชีวิตของเหยื่อทั้งสี่คน
“เมขลาไม่ได้มีฝีมือด้านการบริหารอย่างที่แกคิดจริง ๆ แต่มีความสามารถในการถ่ายโอนเงินในบัญชีได้รวดเร็วมาก เงินที่ผ่านบริษัทถูกถ่ายโอนออกไปตามที่ต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ทุกที่เป็นนอมินีของเมขลาทั้งสิ้น” ท่านรองเสริม
“แล้วที่แกไปดูซากงู แกเจออะไรรึ ท่านด็อก”
“ด็อกเตอร์ อย่าเรียกตกสิ .. งูตัวนั้นถูกตัดเขี้ยวพิษออกไป แถมในลังที่เราไปซ่อนน่ะ มีงูเต็มไปหมดถูกตัดเขี้ยวพิษออกทั้งนั้น งูมันไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้หนีการพัฒนารีสอร์ท แต่ถูกเมขลาและลุงทิมจับมา เอาพิษงูมาใช้ สังหารแล้วเอากะโหลกไปสร้างปากคีบเลียนแบบงูกัดอันนั้น ฉันก็คิดไม่ถึงว่าจะมีคนใช้อุบายแบบนี้ ดูเหมือนถูกกัดจริงและใช้พิษงูจริงเสียด้วย” นะเดชเล่าสิ่งที่เขาไปตรวจพบ
“ลุงทิมเป็นคนทำ เมขลาขู่บังคับลุงทิมให้จัดการเรื่องงูให้ เพราะเมียแกเคยทุจริตบริษัทเอาไว้ ลุงแกก็ไม่รู้ว่าจะเอาพิษงูไปทำอะไร และแกบอกด้วยว่าให้เอาข่าวงูเจ้าไปแพร่กระจายด้วย” ท่านรองเล่าให้นะเดชฟังบ้าง
“ตั๋วเครื่องบิน วีซ่าไปต่างประเทศ เมขลาเตรียมไว้แล้ว นี่ถ้าเจ้าชนะชลตาย ผลออกมาถูกงูกัด เมขลาก็หลุดข้อสงสัย ไปใช้ชีวิตเมืองนอกสบาย ๆ น่ากลัวจริง ๆ ผู้หญิงคนนี้” ท่านรองกล่าว
“นั่นสิ มันน่ากลัวเกินไป” นะเดชพูดทิ้งท้ายปริศนา
นะเดชนั่งอ่านผลวิเคราะห์พิษงูที่ท่านรองส่งมาให้ สมัยเขาไปเรียนเมืองนอกเขาทำวิจัยเรื่องงู ไปเก๋บตัวอย่างที่ป่าอะเมซอนอยู่ถึงหกเดือน เขารู้ได้ทันทีว่าผลการวิเคราะห์นี้อาจจะพลิกโลกได้ มันเป็นพิษงูที่คุณสมบัติรุนแรงมาก มากกว่าในธรรมชาติ เหตุใดจึงเกิดพิษงูแบบนี้ได้ในตัวอย่างที่นำมาจากขวดพิษงูของเมขลา หรือมีการกลายพันธุ์ของงูเกิดขึ้นหรือเมขลาทำอะไรกับงูเหล่านั้น
เย็นวันนั้นเขาเดินทางไปที่โรงพยาบาลที่เมขลารักษาตัว โดยโทรแจ้งท่านรองไว้ล่วงหน้าเพื่อท่านรองจะได้แจ้งหน่วยอารักขาผู้ต้องหาสำคัญ เขามีเรื่องมากมายอยากจะถามเมขลา ว่าเมขลาทำเรื่องทั้งหมดนี้ “คนเดียว” จริงหรือ
เขาแวะไปที่ร้านกาแฟด้านล่างอาคารโรงพยาบาลที่มีร้านสะดวกซื้อมาเปิดทำการ สั่งกาแฟร้อนสองแก้วตั้งใจจะไปฝากผู้หมวดป้อม เขาสนิทกับผู้หมวดดี ผู้หมวดเป็นรุ่นน้องโรงเรียนเดียวกันและทุกวันนี้เขาและผู้หมวดซ้อมฟุตบอลด้วยกันบ่อย ๆ
เมื่อซื้อกาแฟเสร็จหมอนะเดชแวะเข้าห้องน้ำ
“หมวด เจอพอดี นี่ผมซื้อกาแฟมาฝากด้วยนะ” หมอนะเดชทักอย่างรื่นเริง
“ผมก็กำลังลงมาซื้อกาแฟ หมอเขาเข้าไปตรวจอาการ ให้จ่าพิชิตแกเฝ้าหน้าห้องเอาไว้ เดี๋ยวเราขึ้นไปพร้อมกันก็ได้ครับ” หมวดป้อมเข้าไปสั่งกาแฟเพิ่มอีกแก้วและโดนัทอีกสี่ชิ้น หลังจากนั้นทั่งคู่เดินไปที่ชั้นลิฟต์ด้วยกัน
ประตูลิฟต์เปิดที่ชั้นสี่ มีชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามาก หมอนะเดชทักอย่างสนิทสนมว่า “ไง หมอป๊อก สบายดีหรือ”
“สวัสดีพี่นะเดช ไม่ได้เจอกันนานเลยนะพี่ ผมก็เรื่อย ๆ น่ะพี่ ช่วงนี้งานหนัก” หมอป๊อกยิ้มแย้มแต่สีหน้าและแววตาดูเหนื่อย
“อะไรกัน ยังหนุ่มแน่น แค่สองชั้นต้องกดลิฟต์ด้วยหรือ” หมอนะเดชแซว
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ คือ คนไข้ชั้นหกที่กำลังจะไปดูเป็นคนไข้พิเศษ ทางโรงพยาบาลปิดบันไดไม่ให้ผ่าน ต้องเข้าออกชั้นหกทางลิฟต์เท่านั้น ท่าน ผอ. โทรแจ้งเมื่อวานว่าว่าเป็นคนไข้คดี ฝากมาดูและลงบันทึกบาดแผลให้ด้วย นี่ก็แวะเอากล้องมาจากห้องทำงาน” หมอป๊อกเล่า ห้องพักแพทย์โรงพยาบาลนี้อยู่ชั้นสี่
นะเดชสะดุ้งตกใจ หันหน้ามาทางหมวดป้อม “อ้าว แล้วหมอคนที่เข้าไปตรวจเมขลา เป็นอีกคนหรือครับ น้องเขาเป็นเจ้าของไข้ ยังไม่ได้เข้าไปดูเลย”
ประตูลิฟต์เปิดพอดี สัญชาตญานของนะเดชบอกว่ามันไม่น่าจะปรกติแล้ว เขาออกวิ่งไปที่ห้องทันที หมวดป้อมและหมอป๊อกวิ่งตามออกไป ห้องพักชั้นนี้มีคนไข้แค่สองห้อง นะเดชพุ่งไปยังห้องที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้อง
“จ่า หมอไปหรือยัง” หมวดป้อมถาม
“ออกไปสักครู่แล้วล่ะครับ” จ่าพิชิตยืนขึ้นรายงาน
“ชิบหาย” ทั้งหมดวิ่งเข้าไปในห้อง
เมขลานอนนิ่งบนเตียง ไม่มีการขยับใด ๆ หมอนะเดชและหมอป๊อกเข้าไปตรวจชีพจรและการหายใจ พบว่าเมขลาไม่หายใจ ไม่มีชีพจร จึงเริ่มทำการกู้ชีพ หมวดป้อมบอกให้จ่าวิ่งไปตามทีมพยาบาลมา โดยเร็ว
หลังจากทีมช่วยชีวิตมาถึง หมอนะเดชถอยออกมาจากวงล้อมที่ล้อมรอบตัวเมขลาไว้ สายตาปราดมองร่างซีดเผือด ท่อระบายเลือดจากทรวงอกยังทำหน้าที่ของมันได้ดี ไม่มีการอุดตัน ไม่มีเลือดออกที่จุดใด คลื่นไฟฟ้าหัวใจขึ้นลงตามจังหวะการกดหน้าอก เมื่อไม่กดก็ราบเรียบไร้การตอบสนอง การหายใจนั่นเกิดตามการส่งลมเข้าปอดของเครื่องช่วยหายใจ ผ่านทางท่อลมขนาดใหญ่ที่หมอป๊อกใส่ท่อให้ ทรวงอกขึ้นลงอย่างไม่มีแรงต้านใด ๆ กล้ามเนื้อไม่เกร็งไม่กระตุก
นะเดชถอยออกมาอีกก้าว แล้วปราดตามองรอบข้างอีกครั้ง แล้วคำถามที่เขาต้องการมาถามเมขลาวันนี้ก็ได้รับการตอบอย่างแจ่มชัด
..
..
รอยแผลเขี้ยวงูกัดที่เหนือจุดต่อเอ็นร้อยหวายเท้าขวา เหมือนกับเหยื่อทุกรายที่เมขลาสังหารนั่นเอง !!
จบบริบูรณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม