18 พฤศจิกายน 2559

ชายผู้หายจากเอดส์

คุณเคยผ่านเหตุการณ์ใดมา
คุณเคยคิดว่าคุณโชคร้ายแค่ไหน
คุณเคยคิดว่าโชคชะตาหันหน้าหนีคุณแล้วหรือไม่
..
..ก่อนจะตอบ อ่านเรื่องราวของชายคนนี้ก่อน ในปี พ.ศ. 2538 ชายผู้นี้ได้ทราบว่าตัวเองติดเชื้อไวรัสร้าย ไวรัสเอชไอวี ซึ่งในขณะนั้นการรักษายังไม่ได้ดีเหมือนทุกวันนี้ ยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาการรักษา เขาได้เข้ารับการรักษาและติดตามการรักษา ได้รับยาต้านไวรัสจนกระทั่งร่างกายของเขากลับมาแข็งแรง และตรวจระดับไวรัสในเลือดได้ต่ำมาก (ปัจจุบันเราก็สามารถกดไวรัสได้ต่ำมากๆ โดยขนาดที่ถือว่ากดได้นั้นคือ ไวรัสไม่เกิน 20 ตัวต่อเลือดหนึ่งซีซี)
    ชายคนนี้รักษาโรคอยู่กว่า 10 ปี จนวันหนึ่งเขาไปติดตามผล แพทย์ที่ดูแลแจ้งให้ทราบว่าเขาเป็นลูคีเมีย..โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน ช่างเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมากๆ แต่ตอนนั้นเขาอายุเพียง 40 ปี ร่างกายแข็งแรงดีจึงตัดสินใจเข้ารับการรักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัดและการปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งเป็นการรักษามาตรฐานในขณะนั้น (ชายคนนี้อยู่ในประเทศเยอรมนีครับ ตอนนั้นกำแพงเบอร์ลินล่มสลายไปแล้ว)
  หลังจากที่เขาสามารถรักษาทั้งเอชไอวีจนควบคุมได้ และรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวด้วยการให้ยาเคมีบำบัดอันแสนจะทรมาน และยังต่อด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก ถ้าใครทราบจะรู้ว่าการปลูกถ่ายไม่ง่าย กว่าจะเอาเม็ดเลือดขาวในตัวออกไปทั้งหมดโดยให้ยาไปทำลายเซลทั้งมะเร็งและเซลปกติให้ตายเรียบ ต้องฉายแสง จนกว่าเม็ดเลือดขาวและภูมิคุ้มกันในตัวจะหายเกลี้ยง เพื่อจะได้ปลูกถ่ายสิ่งใหม่เข้าไปอย่างไม่มีปฏิกิริยา
    แต่คุณๆอย่าลืมนะว่า เขาเป็นผู้ป่วยเอชไอวี ที่เม็ดเลือดขาวไม่ดีและติดเชื้อง่ายอยู่แล้ว แม้ว่าจะรักษาดีก็ตาม สุดท้ายเขาก็หายจากมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งคงต้องผ่านการรักษาและผลแทรกซ้อนมากมาย เขาเริ่มหมดหวังและคิดว่าถ้ากลับมาเป็นอีกคงจะไม่สู้แล้ว
  แต่สุดท้าย โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวก็กลับมาเกิดซ้ำ ความที่เขาผ่านการรักษาเอชไอวี และปลูกถ่ายไขกระดูกมาแล้วหนึ่งครั้ง เขาคิดทบทวนและกลับมาสู้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวอีกครั้ง ได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกอีกครั้ง (ตอนนี้ยาและการรักษาทั้งเอชไอวีและมะเร็งพัฒนาขึ้นมาก) กลุ่มแพทย์ชาวเยอรมันก็ได้ทุ่มเท หาเซลต้นกำเนิดที่เข้าได้กับเขามาปลูกถ่ายจนได้
   หลังจากการรักษาสำเร็จดี เขาหายจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวครั้งนี้ มันยังไม่กลับมารบกวนเขาอีก แต่ทว่า...สิ่งที่เขาได้จากการปลูกถ่ายเซลต้นกำเนิดเม็ดเลือดในครั้งหลังนี้ คือ delta32 mutations คือเซลเม็ดเลือดขาวชนิดที่มีการกลายพันธุ์ ... แบบที่เชื้อเอชไอวี ไม่สามารถทำร้ายเซลเม็ดเลือดขาวเขาได้อีก
  ..ใช่ครับ..เขาหายจากการติดเชื้อ..เอชไอวี..
  ธิโมธี บราวน์ ชายชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในเบอร์ลินคนนี้ เป็นคนเดียวในโลกที่สามารถพูดได้ว่า "ฉันเคยเป็นเอดส์มาแล้วหนหนึ่ง" การรักษาโดยการให้ยาเคมี ฉายแสง ได้ทำลายเม็ดเลือดขาวที่มีเชื้อเอชไอวีของเขาไปหมดสิ้น (จริงแล้วเอชไอวียังแฝงอยู่ในอีกหลายๆเซลนะครับ เช่นในสมอง ในไทมัส ในลำไส้) ตรวจโดยวิธีที่ไวมากที่สุดก็ไม่พบ เขาสามารถหยุดยาต้านไวรัส โดยที่ตรวจไม่พบไวรัสอีกเลย
   เอชไอวีจะเข้าสู่เซลได้นั้น ที่ผิวเซลจะต้องมีตัวรับที่ชื่อ CCR5 และ CXCR4 ในคนบางคนมีการกลายพันธุ์ของสารพันธุกรรมทำให้ไม่สามารถสร้าง CCR5 ได้ ทำให้เอชไอวีเข้าไปทำลายเซลไม่ได้ ตัวไวรัสก็จะตายไป (ไวรัสต้องอาศัยทรัพยากรในเซลในการแพร่พันธุ์) ซึ่งเราก็เคยพบการกลายพันธุ์แบบนี้
   แพทย์ได้ไปตามดูเซลต้นกำเนิดที่มาปลูกถ่ายให้คุณบราวน์ ก็พบว่าเซลเม็ดเลือดขาวใหม่ที่อยู่ในตัวคุณบราวน์นั้น มาจากผู้บริจาคเซลที่มีการกลายพันธุ์ของ CCR5 นั่นเอง
   จริงๆเราเคยพบว่าคนที่มี CCR5 ที่กลายพันธุ์จะติดเชื้อเอชไอวียากมาก หรือแม้แต่พัฒนายาที่ไปจับกับเจ้า CCR5 ไม่ให้เอชไอวีเข้าเซลที่เรียกว่า entry inhibitor หรือ maraviroc แต่ผลการรักษาไม่ดีเท่าไร
   จึงนับว่า คุณบราวน์เป็นมนุษย์คนแรกและคนเดียวในโลกที่รักษาเอชไอวี..แล้วหาย และรู้จักไปทั่วโลกในชื่อ berlin patient... ใครๆอาจคิดว่านี่คือโชคหนึ่งในหลายล้าน แต่ทางการแพทย์มันกลับจุดประกายความหวังในการรักษา เอชไอวี ให้หายขาดได้ในอนาคต
  ปัจจุบันคุณบราวน์ยังดำรงชีวิตอยู่ (เท่าที่ผมทราบล่าสุดก็ยังไม่พบเชื้อขึ้นมาอีก) และได้จัดตั้งมูลนิธิ Timothy Ray Brown ที่วอชิงตันดีซี อเมริกา เพื่อให้ทุนในการศึกษาวิจัยการรักษาโรคเอดส์ แม้ว่าหลังจากนั้นเราจะพยายามสร้างคุณบราวน์คนที่สองขึ้นมา แต่สุดท้ายก็กลับมาตรวจพบเชื้อเอชไอวีอยู่ดี
  คุณบราวน์..ชายผู้ความตาย..ปฏิเสธ
หวังว่าเรื่องราวที่ผมเล่าน่าจะ ทำให้คนที่ท้อแท้ หมดพลัง ลุกขึ้นมาสู้ต่อ อย่ายอมแพ้แก่โชคชะตานะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม