รีวิวเลย กับเพจเพื่อนบ้านหนอนน้อยอ่านเปเปอร์ ครั้งนี้อาจารย์มาเป็นตำราวิชาการเลยกับการตั้งเครื่องช่วยหายใจ
31 มีนาคม 2568
การตั้งเครื่องช่วยหายใจ หนอนน้อยอ่านเปเปอร์
ต้องยอมรับว่าการตั้งเครื่องช่วยหายใจที่ดี จำเป็นต้องรู้จัก lung mechanic และ respiratory physiology ที่แม่นยำ ทั้งภาวะปกติและภาวะโรคแบบต่าง ๆ แต่นั่นยังไม่พอ เรายังต้องทราบกลไกการทำงานของเครื่องช่วยหายใจด้วย ถึงแม้ปัจจุบันเครื่องจะตั้งโปรแกรมให้ง่ายขึ้นมากแล้ว แต่ความเข้าใจนี้ยังจำเป็น (สมัยผม เราตั้ง Bird)
แต่ผมว่าอาจารย์เข้าใน pain point อันนี้ของนักเรียนแพทย์ หมอจบใหม่ คนที่ต้องวนมาทำงานไอซียู น้องพยาบาลที่ต้องควบคุมเครื่อง ว่าการเข้าใจลึกซึ้ง มันต้องอาศัยประสบการณ์ อาจารย์จึง สรุปเนื้อหาที่ “ต้องรู้ เพื่อ “นำไปใช้” แบบสำเร็จรูป เรียกว่าช่วยเหลือคนไข้ได้เลย ส่วนการเรียนรู้เชิงลึก ก็ค่อย ๆ หาประสบการณ์เอาเอง
อธิบายพื้นฐานเครื่อง คำศัพท์ต่าง ๆ เช่น cycling คืออะไร mandatory mode กับ support mode ใครกระตุ้นเครื่อง การตั้งค่าปุ่มต่าง ๆ พารามิเตอร์ต่าง ๆ มันมีไว้ควบคุมสรีรวิทยาตรงไหน ครบหมดทั้ง sense, trigger
ตามมาด้วยการสอนการอ่านกราฟที่หน้าจอ ค่าต่าง ๆ ที่ขึ้นมา ว่าที่เราตั้งน่ะ มันได้ตามที่ตั้งไหมและถ้ากราฟแบบนี้ เราต้องทำอย่างไร
ต่อด้วยการตั้งค่าโหมดต่าง ๆ ว่าจุดสำคัญคืออะไร เหมาะกับคนไข้แบบใด รวมไปถึงการหย่าเครื่องช่วยหายใจด้วย ว่าจะเริ่ม กลาง จบ อย่างไร ด้วยการใช้เครื่อง สอบแบบทุกพารามิเตอร์เลยนะ ค่านี้ควรเริ่มเท่าไร ปรับเพิ่มครั้งละเท่าไร จะดูกราฟหรือค่าใด เพื่อประเมินการตอบสนอง และจะปรับแก้อย่างไร ไม่ว่า VCV,PCV, BiPAP, NIV
เรื่องสุดท้ายสำคัญมาก คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับเครื่องจักร จะปรับอย่างไรให้คนไข้ได้ประโยชน์สูงสุด และจะใช้ทรัพยากรเครื่องช่วยหายใจอย่างไรให้มันผลิดอกออกผลคุ้มค่าที่สุด ในการแก้ไขปัญหาคนไข้และโรค
ในเล่มมีคำอธิบายที่ง่าย ไม่ซับซ้อน มีศัพท์เทคนิคบ้าง ถือว่าไม่เยอะ บุคลากรทางการแพทย์ทุกระดับสามารถเข้าใจได้ดี มีรูป มีกราฟ ที่อธิบายรายละเอียดแบบ user manual ที่เข้าใจง่าย ขนาดตัวอักษรอ่านง่าย และฟ้อนต์สบายตา (อยากถามจริง ๆ ว่าใช้ฟอนต์อะไร) มีการแบ่งจุดสนใจด้วยแถบสีพาสเทลที่ไม่ทำร้ายสายตา อ่านง่าย เน้นชัด
แต่..แต่ ผมเห็นว่า และอาจารย์ผู้เขียนก็เห็นเช่นกัน ว่านี่คือ ระดับต้น เท่านั้น ถ้าต้องการรายละเอียดมากขึ้น ลงลึกขึ้น หรือจะใช้ไปสอบบอร์ดที่ย่อยไปกว่าอายุรศาสตร์ อาจใช้ไม่ได้นะครับ เหมาะกับการเป็นคู่มือปฏิบัติงานมากกว่า
เล่มขนาด เอห้า หนา 210 หน้าเท่านั้น หน้าปกสวย ชัดเจนว่าใครจัดทำ มีแถบค้นหาให้ มีที่คั่นลายเดียวกับปกเลย
เขียนโดย นพ.วศิน จิริศานต์ หรือเจ้าของเพจ หนอนน้อยอ่านเปเปอร์ นั่นเอง อาจารย์จัดพิมพ์และจำหน่ายเองเช่นเคยครับ ราคาปก 395 บาท หาซื้อได้ตามร้านหนังสือ ศูนย์หนังสือจุฬา สั่งในร้านค้าออนไลน์ หรือหน้าเพจได้ครับ
29 มีนาคม 2568
แผลเสี่ยงบาดทะยัก
สำหรับผู้ที่มีแผลฉีกขาดจากเหตุแผ่นดินไหว ที่เกิดจากการขูดขีดวัสดุต่าง ๆ หรือกระแทกพื้นดิน
ถือเป็นแผลเสี่ยงบาดทะยักครับ

-ไม่ต้องฉีด immunoglonulin
-ถ้ารับวัคซีนมาครบและไม่เกิน 5 ปี ไม่ต้องกระตุ้น
-ถ้ารับวัคซีนครบมาเกินห้าปี ให้กระตุ้น หนึ่งเข็ม

-ให้ฉีดให้ครบ 3 เข็ม
-ถ้าแผลใหญ่ หรือสกปรกมาก คุณหมออาจพิจารณาการฉีด immunoglobulin เพื่อเพิ่มการป้องกันในทันที
หวังว่าทุกคนคงปลอดภัย
อาการวิงเวียนหลังจากแผ่นดินไหว
อาการวิงเวียนหลังจากแผ่นดินไหว
ท่านอาจรู้สึกโคลงเคลง วิงเวียน แม้หลังจากยุติเหตุการณ์แล้ว เพราะการรับสัญญาณ ภาพ การสั่นสะเทือน การเคลื่อนที่ ที่ไม่สอดคล้องกันของระบบร่างกาย อีกอย่างคือ เราไม่คุ้นชิน
มีอาการต่อเนื่องได้ 1-2 วันเลยนะครับ
ไม่ต้องตกใจ นั่งพัก ให้มองจุดโฟกัสไกล ๆ นิ่ง ๆ ชั่วครู่ ก็จะดีขึ้น ร่วมกับการจิบเครื่องดื่มอุ่น ๆ และงดแอลกอฮอล์
ไม่จำเป็นต้องใช้ยานะครับ
26 มีนาคม 2568
การใช้ยาต้านเบต้าในโรคหัวใจ จะขัดกับหลักการใช้ยากระตุ้นเบต้าในโรคหืดหรือถุงลมโป่งพองไหม
ย้ำอีกครั้ง การใช้ยาต้านเบต้าในโรคหัวใจ จะขัดกับหลักการใช้ยากระตุ้นเบต้าในโรคหืดหรือถุงลมโป่งพองไหม
สำหรับประชาชนนะครับ พื้นฐานตรงนีัคือ ระบบประสาทอัตโนมัติจะมีการทำงานผ่านตัวรับหลายตัว ทำให้ร่างกายทำงานแบบต่าง ๆ เช่นหลอดเลือดหด หลอดลมขยาย หัวใจเต้นเร็ว และเราก็สามารถจำลองยา ให้ไปทำงานเลียนแบบตัวกระตุ้นหรือตัวยับยั้งแบบต่าง ๆ นี้ได้ด้วย
ในผู้ป่วยโรคหัวใจ จะมีการใช้ยาต้านเบต้า ช่วยลดอัตราการเสียชีวิต ลดหัวใจวาย ลดหัวใจขาดเลือด คุมการเต้นชีพจร เกือบทั้งหมดเป็นยากิน ทำงานกับตัวรับเบต้า-1 ที่หัวใจเป็นหลัก
ส่วนผู้ป่วยที่หลอดลมตีบไม่ว่าจะเป็นหืดหรือถุงลมโป่งพอง จะมีการใช้ยากระตุ้นเบต้า ลดอาการกำเริบ ควบคุมสมรรถภาพปอด ช่วยให้คุณภาพชีวิตดี เกือบทั้งหมดเป็นยาสูดพ่น ทำงานกับตัวรับเบต้า-2 ที่หลอดลมเป็นหลัก
แต่บางทีก็มีคนไข้ที่ต้องใช้ยาสองตัวนี้พร้อมกัน เช่น เป็นถุงลมโป่งพองด้วย หลอดเลือดหัวใจตีบด้วย จะใช้ยาต้านและยากระตุ้นเบต้าพร้อมกันจะเป็นอะไรไหม แม้ว่าจะเป็นคนละเบต้า แต่มันข้ามถึงกันได้บ้าง
จริง ๆ แล้วมีงานวิจัยและการรวบรวมงานวิจัยเยอะมากนะครับ ว่าใช้ได้ อย่าให้คนไข้เสียโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากยา แม้พื้นฐานความรู้ทางการแพทย์บอกว่ามันมี “โอกาส” เกิดผลข้ามชนิดได้ แต่เมื่อทดลองตามหลักฐานกลับพบว่า
1.เกือบทั้งหมด ไม่เกิดผลข้ามกันตีกันอย่างที่คาด
2.มีผู้ป่วยถุงลมโป่งพองเกิดกำเริบจากการใช้ยาต้านเบต้า จำนวนเพียงเล็กน้อย แต่ไม่เสียชีวิต ไม่รุนแรง และคุ้มค่าจากประโยชน์ของยาต้านเบต้า
3.ส่วนยาสูดพ่น มันไม่ค่อยข้ามไปกระตุ้นหัวใจ ยกเว้นใจสั่นได้ เพราะยาออกฤทธิ์เฉพาะที่ เข้ากระแสเลือดน้อยมาก
4.ถ้าเราเลือกใช้ยาต้านเบต้าชนิด “ยุ่งแต่ใจ ไม่ไปปอด” คือ cardioselective beta blocker มันมีความเฉพาะกับเบต้า-1 เอามาก ผลลัพธ์ยิ่งปลอดภัยกับปอด
5.ยาตามข้อ 4 เช่น metoprolol,bisoprolol, nebivolol และ atenolol
สรุปว่า ใช้ได้ ไม่ว่าใช้ยาแล้วหรือเริ่มใหม่ แต่ต้องแนะนำผลที่อาจเกิดแม้เพียงน้อยนิด และตัวคนสั่งต้องระลึกข้อนึ้ไว้ตลอด เตรียมแผนแก้ไขด้วย อย่าให้เสียโอกาสที่ต้องใช้ยาตัวใดตัวหนึ่ง
ท่านเก่งมาก อ่านจนจบ ผมจับเวลาด้วยนาฬิกาตัวเองแล้ว 10 นาทีพอดี และขอยืนยันว่าเรื่องที่เล่ามา เป็นความจริง
ERJ Open Research 2021 7(1): 00801-2020;
24 มีนาคม 2568
ช่องคลอดอักเสบและของฝากถึงสามี
ช่องคลอดอักเสบและของฝากถึงสามี
โรคตกขาวชนิด bacterial vaginosis เกิดจากเชื้อโรคที่เจริญเติบโตอย่างผิดปกติในช่องคลอด ส่วนมากคือเชื้อ gardnerella และเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน เกิดได้จากอนามัยช่องคลอดที่ไม่ดี โยเฉพาะจากการสวนล้างช่องคลอดด้วยผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จนเชื้อแบคทีเรียประจำถิ่นที่ปกป้องช่องคลอดลดลง
อาการที่พบคือมีตกขาวมาก อาจจะมีฟอง กลิ่นเหม็นฉุนของสารเอมีน หรือเราเรียกว่ากลิ่นปลานั่นเอง การรักษาคือการพักการใช้งานช่องคลอด หยุดผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รักษาอนามัยช่องคลอดภายนอก และใช้ยา metronidazole กับครีม clindamycin ทาในช่องคลอด เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
ส่วนของฝากถึงสามี คือ การรักษาคู่นอน แม้ปัจจุบันยังไม่มีคำแนะนำในการรักษาคู่นอนสำหรับโรคนี้ แต่มีการศึกษาที่น่าสนใจ ลงตีพิมพ์ในวารสาร New England Journal of Medicine วันที่ 5 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยมี 164 คู่หญิงชาย (monogamy) ที่ฝ่ายหญิงป่วยโรคนี้ มี 81 คู่ที่ใช้ยากับฝ่ายชายทั้งยากินและยาทาเพื่อเอาไปทาที่ส่วนหัวอวัยวะเพศ เป็นเวลาเจ็ดวัน กับอีก 83 คู่ที่ให้การรักษาปกติ ไม่มีของฝากไปถึงสามี แล้ววัดผลการเกิดซ้ำที่สามเดือน
ผลปรากฏว่าการศึกษาต้องยกเลิกก่อนกำหนด เพราะในคู่ที่มีของฝากไปใช้สามี มีอัตราการเกิดซ้ำที่ 35% ส่วนกลุ่มที่สามีไม่ต้องใช้ยา เกิดซ้ำถึง 63% ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่ผลข้างเคียงสำคัญของยา คือคลื่นไส้อาเจียน ก็เกิดมากกว่าในกลุ่มที่สามีใช้ยา นั่นหมายความว่าหากฝ่ายหญิงตรวจพบโรคช่องคลอดอักเสบติดเชื้อแบบนี้ การฝากยาไปให้ฝ่ายชายใช้ จะช่วยให้ฝ่ายหญิงเกิดโรคนี้ลดลง แต่ในชีวิตจริงเราจะพบว่าการฝากยาไปให้อีกฝ่าย ทำได้ยากและแทบไม่เกิด
ในอนาคต อาจจะต้องเพิ่มอีกโรคที่ต้องรักษาคู่นอน แต่ครั้งนี้ไม่ได้รักษาเพื่อป้องกันฝ่ายชาย แต่รักษาเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายหญิงเกิดโรคซ้ำ เรียกว่า เสียสละเพื่อรัก อย่างแท้จริง
..
..
หมอ : หมอฝากยากินและครีม ไปให้แฟนหนูใช้ด้วย หนูจะได้ไม่เป็นบ่อย
คนไข้ : ได้ค่ะหมอ ว่าแต่..
หมอ : เขายอมกินยาแน่ครับ เพราะเขารักคุณ ผลข้างเคียงเล็กน้อยเจ็ดวัน แพ้ความรักแท้ครับ
คนไข้ : ไม่ใช่ประเด็นนั้นค่ะ แต่หนูของยาไปฝากแฟนส์สัก..หะ..ห้าชุด ได้ไหมคะ
หมอ : ….อึ้ง ..เงียบ..และใช้ไม้เกาหลังอันเดิมต่อไป
19 มีนาคม 2568
มะม่วง
มะม่วง
มะม่วงสุก 100 กรัม ให้พลังงาน 75 กิโลแคลอรี่ มะม่วงสุกหนึ่งลูกกลาง จะได้พลังงานประมาณ 170 กิโลแคลอรี่
แต่คุณ ๆ ไม่เลยกินเป็นลูก บางคนซัดสามลูก ก็แตะ ๆ 400 แคล ไม่นับข้าวเหนียวและกะทิ
เป็นแหล่งวิตามินเอที่สำคัญ แถมยังมีเบต้าแคโรทีนเยอะมากด้วย กินมาก ๆ ต่อเนื่อง ในบางคนจะมีภาวะ carotenemia เกิดเบต้าแคโรทีนสะสมในเลือด ผิวหนัง ต่อมไขมัน
ทำให้ตัวเหลือง แต่ตาไม่เหลือง และไม่มีอาการใดของ juandice คือเหลืองจากสารบิลิรูบิน
วิธีแก้ไขคือ กินอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนลดลง
หรือ
หรือ
หรือ
..แหลกให้บันยะบันยังบ้างนะลูกนะ
18 มีนาคม 2568
financial incentive program
financial incentive program : เลิกแล้วรวย !!
หนึ่งในคำแนะนำการเลิกบุหรี่ของ GOLD คือ การใช้ FIP เพื่อช่วยจูงใจในการเลิกบุหรี่
ในอดีตมีการศึกษามากมายเกี่ยวกับการเลิกบุหรี่ที่ได้รับการสนับสนุนเงิน เช่น การแจกคูปองเพื่อนำไปรับหมากฝรั่งอดบุหรี่
การสนับสนุนเงินค่าเดินทางเพื่อมาติดตามผลการเลิกบุหรี่ การแจกเงิน…ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกนะ…เพื่อให้ไปรับน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นวิธีใด ก็ช่วยในการเลิกบุหรี่ แต่คำถามคือ อะไรที่ช่วย เงิน หรือสิ่งที่เงินเอาไปซื้อหา
มีการศึกษาต่อมาเปรียบเทียบการเลิกบุหรี่มาตรฐานเทียบกับการเลิกมาตรฐานเช่นกันแต่มีการมอบเงินรางวัลถ้าสามารถทำได้เป้าหมาย เช่น แจก 100 ดอลล่าร์หากครบกำหนดตรวจติดตามแล้วไม่พบคาร์บอนมอนอกไซด์ในลมหายใจ หรือให้เงินสามงวดตามระยะเวลาการติดตาม โดยแต่ละงวดเงินจะเพิ่มขึ้นหากถึงเป้าหมาย
รวมทั้งมาตรการการลดเงินหรืองดจ่ายเงิน หากตรวจพบหลักฐานการสูบบุหรี่เกิดขึ้น (ตรวจทางชีวเคมี)
สรุปว่าการแจกเงิน …เรียกใหม่ดีกว่า เดี๋ยวจะมีคนมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรียกว่า FIP ส่งผลเพิ่มโอกาสการเลิกบุหรี่ได้จริง ซึ่งมีหลายแบบนะ ทั้งแจกรายบุคคล แจกแบบโบนัสกลุ่ม แจกแบบค่อย ๆ เพิ่ม
มีการศึกษาเรื่องการนำไปใช้ในชีวิตจริงพบว่าสามารถเพิ่มการเลิกบุหรี่ได้ เพิ่มความต่อเนื่องของการรักษาได้ และพบว่ายิ่งจำนวนเงินมาก โอกาสเลิกได้มากกว่า พบว่าจ่ายบ่อย แบบเงินน้อยจ่ายบ่อย เลิกได้มากกว่าเงินหนักจ่ายทีเดียว
ยังไม่มีการศึกษาแยกกลุ่มรายได้ของผู้เลิกบุหรี่ แต่จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มที่ด้อยโอกาสทางสังคม เขาใช้คำนี้ชอบมาก socioecomonic disadventages จะชื่นชอบมาตรการนี้และอยู่ต่อเนื่องกับมาตรการนี้มากกว่าคนมีสตางค์ แถมยังมีบทวิเคราะห์อีกว่า คนที่มีสตางค์ก็จะต้องการ FIP ที่สูงกว่าคนด้อยโอกาส
มีการศึกษาทำเรื่องนี้ในกรุงเทพ พบว่าการใช้ FIP เพิ่มความสำเร็จการเลิกบุหรี่ได้จริง (แต่เฉพาะบางวิธี) และตัวเลขเงินที่ส่งผลในการศึกษานี้เมื่อปี 2015 คือ 40 ดอลล่าร์สหรัฐต่อคนต่อหนึ่งคอร์สสิบสองสัปดาห์
เอาจริง ๆ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับการแจกเงิน ..เอ้ย..FIP แบบเงินสด แต่ผมอยากให้เป็นส่วนลดภาษี หรือคูปองซื้อของจำเป็น ส่วนลดเงินส่งประกันสังคม อะไรประมาณนี้มากกว่าครับ
17 มีนาคม 2568
LABA/LAMA ยาขยายหลอดลมแบบ dual action
LABA/LAMA ยาขยายหลอดลมแบบ dual action
ตามแนวทางการรักษาผู้ป่วยหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังหรือถุงลมโป่งพองที่เรารู้จักกัน ที่ชื่อว่า GOLD ปี 2025 กล่าวว่าในการรักษาถุงลมโป่งพองแบบเรื้อรังและอาการคงที่ ในกรณีอาการมากจะแนะนำใช้ยาขยายหลอดลมแบบคู่ long acting beta2 agonist (LABA) และ long acting muscarinic antagonist (LAMA) หรือถ้าอาการกำเริบอีกจะใส่ยาสูดสเตียรอยด์ เพิ่มไปจาก LABA/LAMA
ทำไมต้องเป็น LAMA/LABA มีอ้างอิงสามฉบับจะมาเล่าย่อ ๆ ให้ฟัง เพื่อให้เห็นว่าเหตุผลคำแนะนำทางการแพทย์มันจะมีที่มาที่ไปเสมอ ใครสนใจไปอ่านในคอมเม้นต์ ทำมีลิงค์ให้ด้วย
และพอสรุปง่าย ๆ ให้พวกเราได้เข้าใจการรักษาถุงลมโป่งพองชนิดไม่กำเริบได้ง่าย ๆ
1.สำหรับอาการไม่รุนแรงและโอกาสกำเริบต่ำ ใช้ยาขยายหลอดลมเพียงอย่างเดียว จะแบบออกฤทธิ์สั้นหรือยาวได้หมด ขอให้ใช้ถูกวิธี
2.ในกรณีอาการมากขึ้น แต่ยังไม่กำเริบหรือโอกาสกำเริบไม่มาก ขยับยาสูดขยายหลอดลมเป็นแบบ LAMA/LABA ไม่แนะนำใช้เดี่ยวในระยะนี้ หรือไม่เปลี่ยน LAMA หรือ LABA สลับกัน
3.อุปกรณ์แบบยารวม ดีกว่าแบบแยก คือ การกระจายยาทั้งสองสม่ำเสมอกว่า ไม่ยุ่งยากกับเทคนิคการสูด การติดตามยาสูงกว่า
4.ถ้าไม่กำเริบหรือโอกาสกำเริบต่ำ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาสูดสเตียรอยด์ (อันนี้ต่างกับโรคหืดเลยนะ) และถ้าใช้อยู่จะค่อย ๆ ลดขนาดและหยุดสเตียรอยด์
5.ในกรณีโอกาสกำเริบสูงมาก หรือกำลังกำเริบ หรือหลังกำเริบ จะใช้ยาสูดรวมมิตร LAMA/LABA/ICS ไม่แนะนำใช้แบบสองตัวนะครับ
6.อีกหนึ่งกรณีที่อาจพิจารณายารวมมิตร คือ ตรวจระดับ eosinophils ในเลือดสูง อันนี้จะได้ประโยชน์จากยาสูดสเตียรอยด์ และแนะนำใช้ยารวมมิตรเช่นกัน
7.สำหรับยาแบบสามชนิด ใช้แบบรวมดีกว่าแบบแยก ไม่ว่าจะรักษาหืดหรือถุงลมโป่งพอง ถ้าไม่มี..ก็ใช้แยกแต่ต้องทบทวนวิธีการสูดให้แม่นยำ
8.อาการมากหรืออาการน้อย เราจะใช้ระบบคะแนน mrc หรือ CAT ที่มีฉบับแปลไทยทั้งคู่ เอาไว้ประเมินว่าผู้ป่วยอาการมากหรือน้อย จะได้เป็นเกณฑ์เดียวกัน
9.เนื่องจากโรคถุงลมโป่งพองเป็นโรคที่เรื้อรัง มีอาการตลอด เราจึงแนะนำสูดยาไปตลอดหากไม่มีข้อห้าม สามารถปรับขึ้นลงได้ตามอาการและความรุนแรง ต้องติดตามไปตลอด
16 มีนาคม 2568
อยากเป็นเทวดา ต้องไขว่คว้าด้วยสองมือสองขาของตัวเอง
ผมในวัยเลยครึ่งชีวิตมาแล้ว นับถอยหลังลงทุกวัน ทั้งชีวิต และอาชีพ
ผมเคยอยู่เวร 36 ชั่วโมงโดยไม่มีความผิดปกติ ผมเคยใส่สายกระตุ้นหัวใจอย่างแม่นยำเพียงครัังเดียว ทุกวันนี้เพียงทำงานต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงก็ล้า เพียงจะเย็บสายติดผิวหนังยังต้องมองลอดแว่น
วันเวลาแห่งความเป็นแพทย์ของผมลดลงทุกนาที
ผมจึงทำงานทางความคิด เผยแพร่ความรู้ หวังให้ประชาชนตื่นรู้ หวังให้แพทย์รุ่นน้องได้ทราบถึงประสบการณ์ หวังให้สังคมมีความเข้าใจสุขภาพ หวังให้วิชาแพทย์ไม่ได้สิงสถิตอยู่บนหิ้ง บอกตัวเองอย่างนี้ ตอนก้มกราบอนุเสาวรีย์พระราชบิดา
แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมได้พบแพทย์อาวุโสท่านหนึ่ง มีหน้าตาในวงการ ท่านบอกว่า สิ่งที่ผมทำอยู่ จะทำให้วงการแพทย์รักษาคนไข้ยากขึ้น คนไข้จะเกิดคำถาม และตั้งข้อสงสัยในศรัทธาของแพทย์ที่รักษา วงการแพทย์จะเกิดปัญหาได้
ผมเงียบ และไม่พูดอะไรเลย
แต่ผมอยากบอกกับทุกคนว่า จงตื่นรู้เถิด จงตั้งคำถามเถิด ชีวิตของคนไข้ คนไข้ต้องรับผิดชอบเอง จะรับผิดชอบได้ ต้องรู้เท่าทัน มีสติ มีความรู้ และจะเกิดปัญญา แพทย์เป็นเพียงผู้ช่วยและผู้ชี้ทาง
ปัญหาไม่ได้เกิดจากเรารู้เท่ากัน ปัญหาเกิดจากเรารู้ “ไม่เท่ากัน” และสื่อสาร “ไม่เข้าใจกัน”
มันทำให้ผมย้อนกลับมาคิดว่า เราทำให้ของ “เสื่อม” จริงหรือ
ผมคิดเสมอว่า แพทย์กับคนไข้ จะต้องยืนเท่ากัน บนพื้นเท่ากัน ไม่มีใครสูงกว่า ไม่มีใครต่ำกว่าใคร มีเมตตาได้ มีกรุณาได้ แต่เราไม่ใช่เจ้าชีวิตใคร และ ไม่ใช่เทวดาโดยตำแหน่ง
การทำสื่อออนไลน์ สอนวิชาแพทย์อย่างไร้รูปแบบกับประชาชน มีบททดสอบตัวเองและถูกทดสอบโดยคนอื่นมาตลอด นี่คือหนึ่งครั้งที่ทำให้ไหวหวั่นมากที่สุด
และผมเลือกจะศรัทธาตัวเองมากกว่า
“อยากเป็นเทวดา ต้องไขว่คว้าด้วยสองมือสองขาของตัวเอง”
11 มีนาคม 2568
ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
วันนี้ไม่มีเรื่องราวทางการแพทย์ มีแต่เรื่องที่ผมยิ้มได้
เวลาที่เรามีเรื่องไม่สบายใจ การมองหาสิ่งดี ข้อดีรอบตัวแล้วชื่นชมสิ่งนั้น มันคือการเยียวยาจิตใจที่ดี
ระยะนี้ในตัวเมือง มีการก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดแยก จึงมีทางเบี่ยงมากมาย เลี่ยงไปมาพาไปที่ปั๊ม ทำให้ผมต้องแวะเวียนเข้าปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง เพื่อแวะซื้อของไปทำอาหารเช้าพรุ่งนี้
ที่หน้าร้านสะดวกซื้อ มีชายอายุประมาณ 60 ปี ปูผ้าพลาสติกนั่งอยู่หน้าร้าน ง่วนอยู่กับการทำงานหัตถศิลป์จากใบตอง ต้นกล้วย ใบจาก เป็นตัวตั๊กแตน ที่แต่ละตัวมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน
พร้อมป้ายเขียนว่า ทำขายของจากงานฝีมือ ตัวเล็ก 20 ตัวใหญ่ 40 ใครอยากเรียน นั่งเรียนได้เลยคิดค่าวิชา 299
ทำจริง ทำสวย อาชีพสุจริต ไม่งอมืองอเท้า ไม่โกง ไม่ได้หลอกลวงใคร แถมใบหน้าก็ดูมีความสุขเวลาสานตั๊กแตน ทักทายกับคนซื้ออย่างยิ้มแย้ม และขายดีเสียด้วย
ผมก็ซื้อมา 1 ตัว ผมจำเป็นไหม ก็ไม่ แต่อยากอุดหนุนเขา ชายคนนี้ทำให้ผมคิดถึงพ่อ
ตอนที่เรียนมัธยม ผมออกจากบ้านกับพ่อแต่เช้า ทุกเช้าพ่อจะแวะซื้อหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับ คนขายเป็นหญิงอายุ 60-65 ปี วางขายหนังสือพิมพ์แค่ไทยรัฐกับเดลินิวส์ ม้วนและมัดวางเป็นกระบอกบนโต๊ะพลาสติกพับได้
พ่อผมซื้อทุกวัน ทั้งที่เดินไปอีกไม่กี่สิบเมตร จะมีแผงหนังสือใหญ่ มีหนังสือพิมพ์และนิตยสารครบทุกหัวเลย แต่พ่อก็ยังซื้อเดลินิวส์เจ้านี้เสมอ
ผมเคยถามพ่อว่า ทำไมเราไม่ไปซื้อร้านใหญ่ร้านนั้น พ่อผมบอกว่า ยังไงเราก็ซื้ออยู่แล้ว ค่าหนังสือพิมพ์ของเรามีค่ากับคุณป้าคนนั้นมาก การอุดหนุนเขา เราไม่ได้เสียอะไร แต่เขาอยู่ได้
เราสองคนพ่อลูกอ่านหนังสือพิมพ์ของคุณป้าคนนั้นทุกวัน จนคุณป้าจากไป
คนขายตั๊กแตนสาน ทำให้ผมคิดถึงเรื่องนี้ นึกได้ว่าเพราะพ่อทำให้เราคิดแบบนี้ได้ ตอนที่ผมทำคลินิก ผมตั้งใจจะซื้อหาว่าจ้าง จากช่างท้องถิ่น ร้านในละแวกนั้น ช่วยกันอุดหนุนกัน และทำได้ตามนั้น
ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำแบบนี้เพราะอะไร จนวันนี้จึงได้รู้ว่า เพราะคุณพ่อสอนสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก จนผมซึมซับโดยไม่รู้ตัว ทำตามโดยไม่ต้องคิดมาก
ลืมเรื่องไม่สบายใจในวันนี้ และมีแรงทำสิ่งดี ๆ ในวันพรุ่งนี้ต่อไปครับ
10 มีนาคม 2568
ต่อมน้ำเหลืองโต
ต่อมน้ำเหลืองโต
ต่อมน้ำเหลือง (lymph node) เป็นอวัยวะในระบบน้ำเหลือง ทำหน้าที่หลักคือเป็นศูนย์ชุมทางน้ำเหลือง สถานีตรวจจับความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นเซลล์ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นสารอักเสบ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแปลกปลอม เมื่อสิ่งผิดปกติมาถึงต่อมน้ำเหลืองจะเกิดการดักจับ ผลิตเซลล์ต่อสู้ เร่งการทำงาน ทำให้เกิดต่อมน้ำเหลืองบวมโต
แสดงว่าต่อมน้ำเหลืองทำงานตลอดเวลาครับ โตบ้างยุบบ้างสลับกันไป โตมากโตน้อย ด้วยหลายปัจจัย ที่เราเองอาจคลำพบได้หรือเวลาคุณหมอตรวจร่างกายก็จะคลำพบได้ และหลายครั้งก็ยุบเองในเวลาไม่กี่วัน
แต่จะมีความผิดปกติของต่อมน้ำเหลืองบางอย่างที่มีความสำคัญที่จะต้องหาสาเหตุ หรือต้องติดตามว่าอาจจะเป็นโรค ไม่ว่าเป็นโรคติดเชื้อ โรคจากการอักเสบเรื้อรัง โรคเนื้องอกของระบบโลหิต หรือเนื้องอกแพร่กระจายมาจากที่อื่น ตำรามาตรฐานจะระบุค่า likelihood ratio คือโอกาสเกิดโรคถ้าตรวจพบความผิดปกติ อันนี้ไม่ขึ้นกับความชุกของโรคใด ผมอ่านมาหลายเล่ม ขอเรียงลำดับตามโอกาสเกิดโรคจากมากไปน้อยนะครับ
1.ต่อมน้ำเหลืองที่ยึดติดกับอวัยวะด้านใต้ของมัน ปกติต่อมน้ำเหลืองที่คลำได้ จะอยู่ได้ผิวหนัง ขยับตามขั้นไขมันใต้ผิวหนัง แต่ถ้าต่อมน้ำเหลืองนั้นยึดติด ไม่ขยับ ไม่โยกไปมา อันนี้ต้องระวังว่ามีคือของจริง ต้องหาโรคจริง ๆ ที่พบบ่อยคือแถวลำคอ บริเวณไหปลาร้าและรักแร้
2.ขนาดที่โต ปกติเราจะถือว่าต่อมน้ำเหลืองโต เมื่อมีขนาดส่วนที่กว้างที่สุดมากกว่า 10 มิลลิเมตร แต่หากต่อมน้ำเหลืองที่โตมากกว่า 9 เซนติเมตร (พยายามไปค้นว่าเอาตัวเลขมาจากไหนเนี่ย) จะมีโอกาสเป็นโรคสูงมาก แต่ตัวเลขทั่วไปก็จะคิดว่าถ้าเกิน 4 เซนติเมตร ก็ต้องทำการสืบค้นและเฝ้าระวังแล้วครับ
3.ลักษณะทางกายภาพที่บ่งชี้ว่าน่าจะเป็นโรคหรือต้องสืบค้นคือ เนื้อแข็ง ประมาณเยลลี่กัมมี่ หรือยางลบดินสอ อันนี้ถือว่าแข็งมากแล้วครับ
หรือผิวไม่เรียบ ปกติแล้วจากต่อมน้ำเหลืองขึ้นมาจนคลำได้ จะผ่านเนื้อเยื่อหลายชั้น จะแปรสภาพเป็นเรียบดี แต่ถ้าขรุขระ อันนี้ของจริงล่ะครับ
4.ตำแหน่ง ปรกติแล้วตำแหน่งของต่อมน้ำเหลืองที่โต จะบ่งชี้บริเวณชุมทางของท่อน้ำเหลืองที่เข้ามาสู่ต่อม เช่น ใต้คาง ก็จะรับผิดชอบ ผิวหนังบริเวณคาง ริมฝีปาก เรื่อยไปถึง ฟันล่าง ใต้ลิ้น
ตำแหน่งที่ไม่ค่อยโต และหากโตก็จะต้องสงสัยว่าเกิดโรคหรือต้องค้นหา คือ ตำแหน่งเหนือกว่ากระดูกไหปลาร้า นับจากด้านล่างของลำคอมาจนถึงขอบบนของกระดูกไหปลาร้า ทั้งซ้ายและขวาครับ
5.อายุมากกว่า 40 ปี น้ำหนักโอกาสการเกิดโรคหรือต้องสืบค้นที่ต้องทำ อาจไม่มากเท่าข้อที่ผ่านมาก แต่เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น โอกาสเกิดโรคมะเร็งจะเพิ่มขึ้น การตรวจพบต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะโตมาก แข็ง หรือโตมาต่อเนื่อง คงต้องระวังและสืบค้นมากขึ้นครับ
De Quervain’s tendinitis
บันทึกหมอป่วย ก็เลยมาบอกให้ชาวบ้านรู้ด้วยกันกับ De Quervain’s tendinitis
ในวินาทีที่โคนนิ้วหัวแม่มือขวาด้านนอก เกิดเจ็บแปลบขึ้นมาทันที อกหักใช่ไหมแบบนี้ … ไม่ใช่ล่ะ เกิดเจ็บทันที ยิ่งเหยียดยิ่งงอยิ่งเจ็บ ก็ไม่ได้ถูกกระแทกอะไรนี่นา จะว่าเป็นปลอกเอ็นอักเสบจากโรคหนองใน ก็ไร้ซึ่งความเสี่ยง (เราควรจะดีใจไหมนะ)
หรือจะเป็นข้อนิ้วหัวแม่มือเสื่อมจากการใช้งาน มันก็เฉียบพลันเสียเหลือเกิน ก็คงเป็นโรคนี้แหละ โรคเอ็นอักเสบ เดอ กาแวง
เรามีสมมติฐานว่าเกิดจากการใช้งานนิ้วหัวแม่มือซ้ำ ๆ บ่อย ๆ หนัก แล้วเกิดการอักเสบและการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อแถบนั้น เรียกว่า myxoid degeneration โดยเฉพาะที่ปลอกหุ้มเอ็นนิ้วหัวแม่มือสองเส้นคือ abductor pollicis longus และ extensor policis brevis
ซึ่งการทดสอบว่าอักเสบจริงไหม เราจะทำการทดสอบ provocative test คือ ดึงรั้งในท่าที่ทำให้เอ็นเกิดบาดเจ็บนี่แหละ ว่ามันเจ็บปวดมากขึ้นไหม
ด้วยความซาดิสม์ จึงทำการทดสอบตัวเองด้วยสองวิธีคือ
Fingelstein's test ดึงนิ้วหัวแม่มือข้างที่เจ็บให้เหยียดตรงตึง แล้วโยกอย่างแรงไปทางนิ้วก้อยทันที …เปรี๊ยะ เจ็บตรงโคนนิ้วหัวแม่มือ ใช่แหง ๆ วิธีนี้ถ้าทำถูกจะมีความจำเพาะและแม่นยำสูงมาก
Eichhoff's test ให้พับนิ้วหัวแม่มือข้างที่ปวดเข้ามาใจกลางฝ่ามือ แล้วใช้นิ้วอีกสี่กำไว้ แล้วโยกข้อมือไปทางนิ้วก้อย จะโยกเองก็ได้ หรือจับโยกก็ได้ ถ้าโยกแล้วเจ็บ…เปรี๊ยะ เจ็บจนชิน มันกินในหัวใจ ก็น่าจะใช่
สองวิธีนี้มักจะถูกจำสับสนกัน คิดโดยหมอคนละท่าน ชื่อต่างกัน แต่หลักการเดียวกัน
ปัจจุบันมีแนะนำอีกหนึ่งวิธีคือ WHAT (Wrist Hyperflexion and Abduction the Thumb test) ให้คนไข้งอข้อมือให้มากที่สุด ท่าปอบหยิบนั่นแหละ แล้วดันนั้นหัวแม่มือออกมาในขณะงอข้อมือ ดันออกมาสู้แรงกับผู้ตรวจ วิธีนี้จะเป็นการสร้างความตึงและอักเสบสูงสุดของเอ็นทั้งสอง บนกระดูก scaphoid ของข้อมือ เป็นการเลียนแบบสภาพโรคตรง ๆ ถ้าเจ็บ..ใจคนรักโดนรังแก ข้าจะเผาเมืองแปร ให้มันวอดวาย ก็ใช่เลย
สรุปว่าอาการเหมือน ความเสี่ยงได้ (Assassin’s Creed Shadows) ตรวจตัวเองด้วยใจซาดิสม์ ก็ใช่อีก เราคงเป็น เดอ กาแวง เป็นแน่แท้ ก็คงต้องรักษา
การรักษาประกอบด้วยการไม่ใช้ยา ลดการใช้งาน (แต่จะเปลี่ยนมาทำงานมือซ้ายก็คงยาก) ใส่ผ้ายืดเพื่อลดองศาการเคลื่อนที่ มันมีแบบสำเร็จรูปเลย ประคบอุ่น หรือจะไปทำอัลตร้าซาวนด์เฉพาะที่ได้เช่นกัน
ยาก็คือยาแก้ปวด ลดการอักเสบทั่วไป ผมยังนิยมพาราเซตามอลอยู่ครับ ยังคุมปวดได้ดี
ถ้ายังไม่หายก็ยังมีการฉีดสารสเตียรอยด์ที่ปลอกหุ้มเอ็นที่ข้อมือ ที่ลดอาการได้ดี แต่ไม่ได้กินผมร้อก ผมเป็นคนกลัวเข็มครับ หรือสุดท้ายคือการผ่าตัดเพื่อกรีดแยกพังผืด แยกปลอกเอ็น
แล้วจะป้องกันได้ไหม อันนี้ไปถามผู้รู้มาครับ น่าเชื่อถือ เขาแนะนำแบบนี้
อย่าใช้มือผิดท่า เช่นพิมพ์งานด้วยท่าที่ที่งอข้อมือมากไป หรือ เล่นกีฬาที่ใช้ไม้ตีแบบจับผิดท่า
เวลาใช้มือนาน ๆ ก็พักเบรกบ้าง
การเหยียดยืดที่ดี ได้รับคำแนะนำให้บีบลูกบอลบริหารมือ โดยบีบและคลายช้า ๆ ก็เลยไปจัดมาลูกนึง ว่าจะไปพิมพ์รูปคนที่ไม่ชอบมาห่อแล้วบีบซะหน่อย เพิ่มแรงจูงใจ
เอาละ..ก็ใช้งานกันไป ดูแลกันไป ร่างกายคน ไม่ใช่เครื่องจักร ก็มีเสียมีเสื่อม ต้องหมั่นคอยดูแล และรักษาดวงใจ เก็บเอาไว้จนวันที่ฉันเคียงคู่เธอ … เฮ้อ ไปรับยาช่องสองกันนะครับ
09 มีนาคม 2568
เปิดซิงลุงหมอ..บุกคาเฟ่แมว
Kisscat คาเฟ่แมว อยู่ไม่ไกล เคยได้ยินเรื่องคาเฟ่แมวมานานแล้ว ไม่เคยเข้าไปเลย เคยเดินผ่านและแวะเข้าคาเฟ่เมดแถว อากิฮาบาระเท่านั้น
เอาวะ..ลองดู
ต้องบอกก่อนว่า สมัยเด็กลุงหมอโดนหมากัดสามรอบ เคยโดนฉีดยารอบสะดือ แมวกัดหนึ่งรอบ จึงเข้ากับหมาแมวได้ไม่ดี เรียกว่าบางทีกลัวเลยล่ะ
เป็นร้านเล็ก ๆ ในเมืองปากช่อง ก่อนเข้าร้านก็ล้างไม้ล้างมือตามธรรมเนียม และบังคับถอดรองเท้า สวมถุงเท้า …ขอบอกว่าขนแมวจะติดเต็มถุงเท้าคุณแน่นอน
เข้าไปก็ได้ยินเสียงเด็ก ๆ วิ่งเล่นกันโครมคราม และมีเจ้าถิ่นตัวหนึ่งนั่งอยู่บนเค้าน์เตอร์ … นี่เขาให้แมวมาอยู่เค้าน์เตอร์เลยรึ ที่นี่ไม่ใช้คนเลยรึ
ไม่ใช่..สักพักเจ้าหน้าที่ก็ออกมาต้อนรับ แจ้งว่า ที่นี่ไม่มีค่าเข้า แต่ต้องซื้อเครื่องดื่มและขนม รวมหนึ่งชุด ได้แถมขนมแมวเปียกหนึ่งห่อ แล้วนั่งเล่นกับเด็ก ๆ ได้เลย
พอสั่งอาหารเสร็จ เด็ก ๆ กลุ่มหนึ่งก็โผล่หน้าสลอนออกมา คงรู้ว่า อีตาลุงนี่คือลูกค้า จะต้องมีขนมแมวแน่นอน
ส่วนแมววัยกลางคน นอนอืด แค่มองด้วยหางตาเท่านั้น
ลุงหมอเริ่มเหงื่อซึม มือสั่น ๆ โห มากันหกเจ็ดตัว มารุมที่ขา ราวกับสาว ๆ เห็นพี่ติ๊ก เจษ เข้าใจความรู้สึกพี่ติ๊กเลย … พวกตรูมารอขนมเฟร้ย มนุษย์ลุง
แต่พอยื่นขนมแมวเปียกลงไป คราวนี้มากันครึ่งร้านเลย มานัวเนีย ล้อมหน้าล้อมหลัง …มาทางนี้สิฟระ หันมาทางนี้สินุด
เออ รู้สึกดีเหมือนกัน
แต่พอขนมหมด ทุกตัวก็มองหน้า …ขนมแถมของนุดหมดแล้ว กรุณาไปซื้อมาใหม่ และแล้วก็หมดไปห้าซอง ทุกตัวยิ้มกริ่ม อิ่มกันถ้วนหน้า ถถถถ..ทำงานเป็นทีม เป็นแก๊งค์ตกทองเชียวนะ
ครับ หมดแล้วมันก็ไป
ลุงหมอเดินไปหยิบโมบาย ผูกติดกับแท่งไม้ พอนึกออกนะครับ เอามาตกแมว ด้วยความที่มีกระดิ่งติดตรงปลาย พอสะบัดมีเสียง ทุกตัวก็หันมามอง แล้วเมิน …พวกตรูเบื่อแล้ว
แต่ก็มีแมวสีเทาขนสั้นตัวนึง เดินเข้ามา จ้องโมบาย ทำท่าตื่นเต้น และกระโดดจับอยู่สามสี่รอบ ผมคิดว่าคงเป็นเวรของตัวนี้ หรือเมื่อครู่อาจจับได้ไม้สั้น แล้วมันก็ไป
หลังจากนั้นมนุษย์ลุงก็กลายสภาพเป็นสิงโตหิน เด็ก ๆ และวัยรุ่น เดินผ่านไปมาก็ไม่ได้สนใจ ไม่ชายตามอง … ก็นุดไม่มีอาหารนี่หว่า
ลองหยิบไม้เกาหลังแมว เอามาเกาหลังแมวส้มตัวใกล้ ๆ มันยอมให้เกาอยู่แป๊บนึง แล้วก็เดินหนี หันกลับไปเลียขนให้เรียบ หันมามองหน้า ประมาณว่า ตรูเซ็ตมาแต่เช้า มรึงเกาซะ ขนกระเจิง
สิงโตหินนั่งสักพัก ความรู้สึกว่า ขนาดแมวยังเมิน ก็มาเกาะกุมหัวใจ จึงเดินไปที่หน้าเค้าน์เตอร์ เพื่อรับกาแฟ และนั่งดื่มตรงนั้น
ระหว่างที่จิบ มีพลพรรคแมวเดินมาดูบ้างครั้งสองครัง ประมาณว่า ลุง..ยังอยู่อีกเรอะ
สิงโตหินมองไปดูคนอื่น มีแมวน้อยมาคลอเคลีย ยอมให้ลูบหลังลูบคอ เล่นไอ้โมบายอันนั้นอย่างสนุกสนาน …โธ่ เจ้าพวกแมวสองมาตรฐาน
ผมจึงแจ้งคิดเงิน ชำระเสร็จแล้ว ลองผิวปากเรียก เผื่อมีใครสนใจ ปรากฏว่า ทุกตัวกันมามอง เสร็จแล้วก็หันหน้ากลับไปทำกิจกรรมของตัวเองต่อไป ..แปลเป็นภาษาคนได้ว่า เออ ขอบใจที่แวะมา ขับรถกลับดี ๆ ล่ะ ตาลุง
ครับ กาแฟอร่อยดี พร้อมกับขนแมวเต็มขากางเกง ดีที่น้องเจ้าหน้าที่ช่วยเอาลูกกลิ้งเก็บขนมาให้
ผมคงเหมาะกับกาแฟ แต่ไม่เหมาะกับแมว
ดังนั้นถ้าจะชวนไปห้อง ไม่ต้องบอกว่ามาดูแมวนะครับ บอกตรง ๆ ไปเลยดีกว่าครับ
08 มีนาคม 2568
การควบคุมโรคหืดที่ไม่รุนแรง (GINA 2024)
การควบคุมโรคหืดที่ไม่รุนแรง (GINA 2024)
สาเหตุที่อยากอธิบายเรื่องนี้ เพราะกลุ่มหืดไม่รุนแรง ถ้าคุมไม่ดีจะกลายเป็นหืดรุนแรงที่รักษายากในที่สุด อีกอย่างคือ กลุ่มหืดไม่รุนแรงมักจะสบายดี ไม่ได้นัดติดตามบ่อย มีโอกาสขาดยาและเข้าใจการรักษาคลาดเคลื่อนได้บ่อย
1.ไม่ใช้ยาพ่นรักษาอาการแบบออกฤทธิ์เร็ว ขอเรียก SABA เพียงตัวเดียวในการควบคุมโรคหืด ต้องใช้ยาสูดพ่นสเตียรอยด์ร่วมด้วยเสมอ
2.การรักษาจะแบ่งเป็น 2 tract คือ แบบแนะนำและแบบทางเลือก และต้องประเมินอาการ ใช้วิธีรักษาที่ไม่ใช้ยาร่วมด้วยเสมอ
3.tract แนะนำ จะใช้ยาขยายหลอดลม formoterol และยาสูดสเตียรอยด์เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันจะเป็นอุปกรณ์รวมใช้อันเดียว .. บอกนิดนึงว่า formoterol มันออกฤทธิ์ยาวนานเกือบทั้งวัน แต่เนื่องจากมันทำงานเร็วมากพอกันกับ SABA จึงมาใช้แก้ไขอาการเฉียบพลันได้ด้วย
4.tract แนะนำ จะใช้ยาในข้อสาม เมื่อเวลามีอาการ หรือถ้าอาการเกิดเริ่มบ่อย ก็จะใช้ยาในข้อสามทุกวัน และสูดเพิ่มเวลามีอาการ เรียกว่า พกอันเดียวได้ทั้งควบคุมและแก้ไข
5.มาดู tract ทางเลือกกันบ้าง อันนี้จะแบ่งเป็นสองขั้น สำหรับขั้นแรก อาการเบา ๆ เกิดน้อยครั้ง จะใช้ยาสูด SABA เวลามีอาการ “และ” ร่วมกับยาสูดสเตียรอยด์พร้อมกันเสมอ นั่นคือใช้สองอุปกรณ์
6.สำหรับ tract ทางเลือกที่อาการเยอะขึ้น แต่ยังไม่รุนแรง พอคุมได้ จะใช้ยาสูดสเตียรอยด์ขนาดต่ำคุมอาการไว้ทุกวัน และเมื่อกำเริบจะใช้ยาสูด SABA คู่กับยาสูดสเตียรอยด์ที่ใช้อยู่ เพิ่มเติมเข้าไป
7.ถ้าอาการมากขึ้นแล้ว ไม่ว่า tract แนะนำหรือทางเลือกจะใช้ ยาขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์นานคู่กับยาสูดสเตียรอยด์เป็นหลัก
8.ข้อแตกต่างสำคัญของสอง tract คือ tract แนะนำจะเน้นยาขยายหลอดลม formoterol ออกฤทธิ์เร็วและอยู่นาน ส่วน tract ทางเลือกไม่ได้กำหนดชนิดยา ยืดหยุ่นกว่า แต่ต้องใช้หลายอุปกรณ์ อาจสับสนได้
9.อีกความสำคัญที่อุปกรณ์รวม ที่ดีกว่าอุปกรณ์แยก ถึงแม้เป็นตัวยาเดียวกัน เพราะในอุปกรณ์เดียวกันเวลาสูดพ่น การกระจายยาของยาขยายหลอดลมและสเตียรอยด์จะสม่ำเสมอ มากกว่าการใช้สองหรือสามอุปกรณ์ที่ต่างกัน คนละเวลากัน
10.ไม่ว่าจะ tract ใด ใช้ยากี่ตัว สิ่งสำคัญคือ อย่าหยุดรักษา อย่าหยุดติดตาม เพราะโรคหืดคือโรคอักเสบเรื้อรัง หากเราหยุดรักษาหยุดติดตาม อาจจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับ fixed obstruction ไปแล้ว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยม
-
แบบประเมินอาการโรคถุงลมโป่งพอง(COPD Assessment Test) หรือ CAT เป็นแบบทดสอบมาตรฐานที่ใช้ประเมินอาการผู้ป่วยในแต่ละครั้ง ทำไมต้องใช้แบ...
-
ภาพ image challenge ในวารสาร NEJM สัปดาห์นี้ ลงภาพขาซ้ายของชายชราอายุ 81 ปี มีอาการปวดขาซ้าย และขาซ้ายเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีแดงอมม่วงคล้ำขึ...
-
ภาพนี้ลงในวารสาร New England Journal of Medicine สัปดาห์นี้ เรื่องราวของชายอายุ 34 ปี มีอาการไข้ไอหอบมา 5 วัน เมื่อตรวจร่างกายฟังเสียงหัวใจ...