LABA/LAMA ยาขยายหลอดลมแบบ dual action
ตามแนวทางการรักษาผู้ป่วยหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังหรือถุงลมโป่งพองที่เรารู้จักกัน ที่ชื่อว่า GOLD ปี 2025 กล่าวว่าในการรักษาถุงลมโป่งพองแบบเรื้อรังและอาการคงที่ ในกรณีอาการมากจะแนะนำใช้ยาขยายหลอดลมแบบคู่ long acting beta2 agonist (LABA) และ long acting muscarinic antagonist (LAMA) หรือถ้าอาการกำเริบอีกจะใส่ยาสูดสเตียรอยด์ เพิ่มไปจาก LABA/LAMA
ทำไมต้องเป็น LAMA/LABA มีอ้างอิงสามฉบับจะมาเล่าย่อ ๆ ให้ฟัง เพื่อให้เห็นว่าเหตุผลคำแนะนำทางการแพทย์มันจะมีที่มาที่ไปเสมอ ใครสนใจไปอ่านในคอมเม้นต์ ทำมีลิงค์ให้ด้วย
และพอสรุปง่าย ๆ ให้พวกเราได้เข้าใจการรักษาถุงลมโป่งพองชนิดไม่กำเริบได้ง่าย ๆ
1.สำหรับอาการไม่รุนแรงและโอกาสกำเริบต่ำ ใช้ยาขยายหลอดลมเพียงอย่างเดียว จะแบบออกฤทธิ์สั้นหรือยาวได้หมด ขอให้ใช้ถูกวิธี
2.ในกรณีอาการมากขึ้น แต่ยังไม่กำเริบหรือโอกาสกำเริบไม่มาก ขยับยาสูดขยายหลอดลมเป็นแบบ LAMA/LABA ไม่แนะนำใช้เดี่ยวในระยะนี้ หรือไม่เปลี่ยน LAMA หรือ LABA สลับกัน
3.อุปกรณ์แบบยารวม ดีกว่าแบบแยก คือ การกระจายยาทั้งสองสม่ำเสมอกว่า ไม่ยุ่งยากกับเทคนิคการสูด การติดตามยาสูงกว่า
4.ถ้าไม่กำเริบหรือโอกาสกำเริบต่ำ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาสูดสเตียรอยด์ (อันนี้ต่างกับโรคหืดเลยนะ) และถ้าใช้อยู่จะค่อย ๆ ลดขนาดและหยุดสเตียรอยด์
5.ในกรณีโอกาสกำเริบสูงมาก หรือกำลังกำเริบ หรือหลังกำเริบ จะใช้ยาสูดรวมมิตร LAMA/LABA/ICS ไม่แนะนำใช้แบบสองตัวนะครับ
6.อีกหนึ่งกรณีที่อาจพิจารณายารวมมิตร คือ ตรวจระดับ eosinophils ในเลือดสูง อันนี้จะได้ประโยชน์จากยาสูดสเตียรอยด์ และแนะนำใช้ยารวมมิตรเช่นกัน
7.สำหรับยาแบบสามชนิด ใช้แบบรวมดีกว่าแบบแยก ไม่ว่าจะรักษาหืดหรือถุงลมโป่งพอง ถ้าไม่มี..ก็ใช้แยกแต่ต้องทบทวนวิธีการสูดให้แม่นยำ
8.อาการมากหรืออาการน้อย เราจะใช้ระบบคะแนน mrc หรือ CAT ที่มีฉบับแปลไทยทั้งคู่ เอาไว้ประเมินว่าผู้ป่วยอาการมากหรือน้อย จะได้เป็นเกณฑ์เดียวกัน
9.เนื่องจากโรคถุงลมโป่งพองเป็นโรคที่เรื้อรัง มีอาการตลอด เราจึงแนะนำสูดยาไปตลอดหากไม่มีข้อห้าม สามารถปรับขึ้นลงได้ตามอาการและความรุนแรง ต้องติดตามไปตลอด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น