27 มิถุนายน 2568

ฝีฝักบัว (carbuncle)

 ฝีฝักบัว (carbuncle)

ถ้าเรามองเม็ดบัวหนึ่งเม็ดคือรูขุมขนหนึ่งรู ฝีฝักบัวคือ รูขุมขนทั้งฝักที่เป็นฝี “ต่อเนื่องกัน” ไม่ใช่พร้อมกัน ไม่เคลียร์ล่ะสิ ไปอ่านกันต่อ
เราเริ่มต้นที่รูขุมขน (hair follicle) แต่ละรูขุมขนจะมีเส้นขน ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ ซึ่งจะมีการอุดตันด้วยไขมัน เหงื่อ และมีการอักเสบเกิดเป็นสิว (acnes) ที่จะอุดตรงต่อมไขมันหรือรูเปิดท่อทั้งหลาย จึงมักจะเกิดตรงพื้นที่ไขมันมากเช่นใบหน้า อก
และถ้าการอักเสบมันลุกลามไปทั่วทั้งรูขุมขน จนเกิดเป็นตุ่มหนองตามรูขุมขน (folliculitis) และหากการอักเสบนั้นลุกลามรอบพื้นที่ไขมันของรูขุมขนจนเกิดเป็นฝี ขอบเขตหุ้มรอบรูขุมขนเรียกว่า furuncle ความเป็นฝีหรือ abscess จะมีโพรง มีผนัง มีขอบเขตค่อนข้างชัด
ขอบเขตชัดเกิดจากอีกหนึ่งกายวิภาค คือระหว่างรูขุมขน มันไม่ได้ต่อกันครับ มันมีสายใยบาง ๆ ผูกปลายข้างนึงไว้ที่ฉัน ... ไม่ใช่ล่ะ มันมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่แยกแต่ละรูที่เรียกว่า interfollicular septum
furancle จะไปเกิดกับพื้นที่ที่มีเส้นผมเยอะ ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นพื้นที่ที่ "มันเยิ้ม" เช่น ตีนผม รักแร้ หรือพื้นที่จุดที่อุดตันง่าย เช่น ก้น
และหากการอักเสบติดเชื้อมันไม่จบแค่รูขุมขนเพียงรูเดียวล่ะ อันนี้แหละที่เราเรียกว่าฝีฝักบัวหรือ carbuncle
ตอนแรกผมเข้าใจว่า เป็นการอักเสบพร้อม ๆ กันในหลาย ๆ รูขุมขน แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ มันเริ่มจากฝี furuncle นี่แหละ พอฝีสุกเต่งเต็มที่ มีการบวมโดยรอบ แรงดันในฝีของที่ว่างรูขุมขนมันเริ่มมากขึ้น และเริ่มลุกล้ำช่องอื่น แต่ก็ไปไม่ได้ไงติดเยื่อ interfollicular septum
ยกเว้นแบคทีเรียบางอย่าง ที่ไม่ยอมอยู่เฉย มันสามารถสร้างเอนไซม์เพื่อย่อยสลายโปรตีน septum และขยายอาณาเขตให้กินหรู อยู่สบายขึ้น ไอ้เจ้าเอนไซม์นี้มีหลายตัว แต่ตัวหลักที่ทำให้เกิดโพรงหนองลุกลามมาต่อกันเป็นฝักบัวคือเอนไซม์ hyaluronidase สลายเนื้อเยื่อไฮยาลิน
และแบคทีเรียตัวดีที่มีอาวุธหนักนี้คือ Staphylococcus aureus (ส่วนใหญ่นะ) แบคทีเรียรูปกลมที่อยู่ตามผิวหนังเรานั่นเอง
เป็นคำอธิบายว่าเชื้อโรคที่พบบ่อยในฝีฝักบัวจะเป็น S.aureus และการใช้ยาต้านจุลชีพจะต้องต้าน S.aureus ได้ด้วย นั่นคือ cloxacillin หรือ cephalosporins ต่างจากการติดเชื้อผิวหนังจุดอื่นเช่น cellulitis ที่มักเป็น streptococcus หรือ ฝีใต้ผิวหนังที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียไม่ต้องอาศัยออกซิเจน
เอาล่ะ เรามาต่อที่เชื้อ staphylococcus มันสร้างเอนไซม์ย่อยสลาย septum และขยายอาณาเขตไปรูขุมขนรอบข้าง กินไปเรื่อย ๆ ทีละรู ทีละรู จาก furuncle ก็ขยับเป็น carbuncle แม้จะมีหัวหนองแต่ละรู แต่ความเป็นจริงด้านใต้นั้น พรุนถึงกันหมดแล้ว
แล้วมันจะลุกลามไปถึงไหน มันจะฝักบัวลามไปทั้งตัวไหม ... ไม่แน่นอน เพราะพื้นที่รูขุมขนจะมีทั้งหนาแน่นและกระจาย มันไม่ได้ต่อกันหมด จึงจำกัดพื้นที่การทำลาย
และในแง่ระบบภูมิคุ้มกัน เซลล์ภูมิคุ้มกันที่อยู่ตำแหน่งนั้นจะทำให้เกิดกระบวนการอักเสบ การบวมรอบฝี เอนไซม์ต่าง ๆ จะทำให้เชื้อมันแผ่ขยายออกไปรอบด้านได้ยากขึ้น เซลล์อักเสบและกระบวนการอักเสบจะล้อมเชื้อโรคเป็นโพรงฝี ขังไม่ให้ลุกลามและระดมพลมาจัดการเชื้อโรคในพื้นที่สังหาร
ข้อดีคือจำกัดความเสียหาย ข้อที่ไม่ดีคือ ยาฆ่าเชื้อจะเข้าไม่ถึงจุดที่เชื้ออยู่ ขนาดแค่ furancle ยังเข้ายาก ไม่ค้องพูดถึงค่ายกล carbuncle ยาฆ่าเชื้อเข้าแทบไม่ถึง ใช้ยาอะไรก็พอกัน คือ ไม่ได้ผลเหมือนกัน
มีการศึกษาแบบ meta-analyis เทียบการรักษาด้วยยาแบบต่าง ๆ ด้วยนะครับ ปรากฏไม่มีตัวไหนดีกว่ากัน
เป็นเหตุผลว่าการรักษา carbuncle จะเป็นการผ่าตัดเพื่อระบายหนอง ทำลายโพรงหนอง โพรงรูขุมขนที่ต่อกันทั้งหลายนี่แหละ ส่วนการใช้ยาฆ่าเชื้อเป็นเพียงการรักษาเสริมครับ
ไหนใครชอบกินเม็ดบัวจากฝักบ้าง

26 มิถุนายน 2568

อาหารคนไข้

 อาหารคนไข้

เวลาที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาใน รพ. หรือป่วยที่บ้าน จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ต้องการอาหารมาก ๆ หรือพลังงานสูงนะครับ
สำหรับกรณีเจ็บป่วยไม่รุนแรง ไม่วิกฤต เขาก็ต้องการพลังงานและสารอาหารเท่า ๆ กับปกตินั่นแหละ อาจจะไม่มากเท่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเป็นภาวะที่ร่างกายเกิด catabolisms ใช้พลังงานเพื่อการอักเสบ การหาย ไม่ได้เอาไปสร้างร่างกาย
ส่วนใหญ่จะใช้พลังงานไม่มาก พลังงานสำรองที่เราเก็บไว้ก็พอ คนไข้จึงกินเพิ่มไม่มากนัก เพราะร่างกายไม่ได้ต้องการมาก
ยิ่งในภาวะป่วยวิกฤต ร่างกายยิ่งเข้าสู่ระยะสงวนพลังงาน อาจต้องการพลังงานเพียง 50% ของที่ต้องการปกติ เมื่อภาวะวิกฤตลดลง จึงต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น
และเมื่ออาการป่วยเบาลง และเข้าสู่ระยะพักฟื้น เสริมสร้าง จึงใช้พลังงาน สารอาหาร และต้องการมากขึ้น เราค่อยเติมในช่วงนั้นครับ
พวกเราไปเยี่ยมไข้ เฝ้าไข้ ก็ไม่ต้องให้ผู้ป่วย "กินเยอะ ๆ จะได้หายเร็ว" นะครับ ให้เขากินตามที่เขาต้องการก็พอ
ในภาพคืออาหารเช้าของผู้ป่วยโควิดบางคน (คนที่คุณไม่มีทางรู้ว่าใคร) มีไข่ต้ม มันฝรั่งต้ม ถั่วแดงต้ม นมกล่องเล็ก แค่นี้ก็พอครับ

24 มิถุนายน 2568

ในที่สุดก็ถึงเวลาของผมแล้ว COVID-19 : non-expert opinion

 ในที่สุดก็ถึงเวลาของผมแล้ว COVID-19 : non-expert opinion

เชื่อไหมว่า ตั้งแต่ปี 2020 ที่รักษาคนไข้โควิดมา ผมยังไม่เคยตรวจพบ covid-19 ไม่ว่าจะ ATK หรือ RT-PCR ไม่เคยกักตัว ดูแลคนไข้ เพื่อนร่วมงาน ญาติสนิทมิตรสหาย มาตลอด 5 ปี
ไม่เคยล้ม ไม่เคยท้อ ตามสัญญา
แต่มันคงถึงเวลาของผมแล้ว .. อาการเจ็บคอและอ่อนเพลีย ผมไม่เคยมีอาการแบบนี้ แม้ว่าจะใช้เสียงในการสอนคนไข้ตลอดวันก็ไม่มีอาการ ออกกำลังกายได้ 20 นาทีก็เริ่มเพลีย (ปกติจะ 45 นาที) แต่ไม่มีไข้ ออกซิเจนปลายนิ้วปกติ
ติดเชื้อแน่นอน ผมบอกตัวเอง ไม่มีหลักฐานอะไร เป็นความเห็นผู้ไม่เชี่ยวชาญล้วน ๆ ไม่เหมือนหวัด หวัดใหญ่ นิวมอเนีย ที่เคยเจอมา คงเหลืออย่างเดียว โควิด-19
สัมผัสไหม…เรียกว่าเชื้อโรคหมุนรอบตัวเราจะดีกว่า
มีโรคประจำตัวไหม … ถ้าไม่นับใจเกเร ก็มีไขมันในเลือดสูง ไม่นับว่าเสี่ยงสำหรับโควิด
ร่างกายแข็งแรงไหม ก็พอตัวนะ กินอิ่ม นอนหลับ เดินขึ้นตึก 10 ชั้นสบาย ๆ เตะปี๊บดังถึงดอนเมือง
แต่อย่างไรก็ใช่ ผมเริ่มมาตรการทันที แยกตัว สวมหน้ากาก ล้างมือจนเปื่อย แยกห้องน้ำ กินข้าวกล่องคนเดียว (อันนี้เรื่องปกติ ไม่ต้องปรับตัว)
ยาที่ใช้ : พาราเซตามอล, น้ำชาอุ่น, ยาหม่อง
ผมตรวจ เอทีเค ในวันที่สองของอาการ ขโมยสินค้าคลินิกตัวเองมาตรวจ เงินก็ยังไม่จ่าย ผลตรวจก็อย่างที่เห็น ขีด test โคตรเข้ม
หยุดงาน แยกตัว ผมเจ็บคอและมีน้ำมูก จึงใช้การล้างจมูกและยา loratadine เพื่อลดน้ำมูก ยาแก้ไอเจ็บคอที่ใช้ ผมทำเองคือใช้น้ำขิงและมะนาว ยาอมให้ชุ่มคอก็ใช้นะ อมยาตะขาบห้าตัวจนจะกลายเป็นคุณยายวรนาถอยู่แล้ว
ดื่มน้ำสามลิตรต่อวัน ทุก ๆ หนึ่งชั่วโมงถ้าไม่หลับ ไม่เคยเยี่ยวใสขนาดนี้มาก่อน 55
แจ้งคนไข้ว่าหยุดร้าน รู้สึกแปลกพอควรแต่มีความสุขมาก เวลาคนไข้บอกว่า “คุณหมอรักษาสุขภาพตัวเองนะครับ” “หายเร็ว ๆ นะคะ”
สิ่งนี้สอนว่า การจะเป็นคนที่สมบูรณ์ คุณต้องเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับจึงจะมีความสุข
อ่านหนังสือจบไปสี่เล่ม ดูละครสงครามส่งด่วนจนจบ (รุ่ยเจี๋ยคือสุดยอด)
อาการไม่ได้รุนแรง ไอบ้างเวลาพูดบ่อย ๆ คือคุยโทรศัพท์กับคุณแม่ที่โทรมาแนะนำการปฏิบัติตัวตลอด ไม่มีไข้ ไม่หอบ ไม่เหนื่อย push-up ได้, sit-up ได้
ครบวันที่ห้า ลองตรวจดู (จริง ๆ ไม่ต้องตรวจนะครับ) ว่า ชายชราหน้าหนุ่ม วัคซีนสี่เข็ม ไม่ได้ใช้ยาต้านไวรัสใด จะกำจัดเชื้อได้ไหม ก็ปรากฏว่าขึ้นอยู่นะ จางมาก แต่ก็นับว่าเป็นผลบวกนะครับ
โอกาสแพร่เชื้อต่ำมากแล้ว แต่คงสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อย ๆ ต่อไปก่อนสักพัก ส่วนกินข้าวคนเดียว เกาหลังคนเดียว อันนี้ทำอยู่แล้วเป็นประจำ
การมีต้นทุนสุขภาพชีวิตที่ดีมันมีความสำคัญมากนะครับ ผมลงทุนเวลา ลงทุนแรงกาย ลงทุนความคิด ลงทุนเงินบางส่วน เพื่อดูแลรักษาสุขภาพมาตลอดตั้งแต่จบแพทย์ ไม่อยากป่วยหนัก อยากมีสุขภาพที่ดีเพื่อดูแลคนอื่น และเรียนรู้โลกกว้างอีกนาน ๆ health is wealth
และตอนนี้ผมกินดอกผลมันแล้ว ผมป่วยแต่ไม่หนัก ผมมีเรี่ยวแรงกายและใจในการทำกิจกรรมสารพัดอย่าง ที่สำคัญมีความสุขด้วย
และที่สำคัญกว่านั้น มอบความสุขให้คนอื่นและช่วยคนอื่นได้ด้วย
ถ้าเรารักตัวเอง ดูแลตัวเองไม่ได้ เราจะไปดูแลคนอื่นได้อย่างไร

แนวทางการรักษาโรคโควิด-19 ปี 2568 : สำหรับประชาชน

 แนวทางการรักษาโรคโควิด-19 ปี 2568 : สำหรับประชาชน

1.ยังมีคำแนะนำให้เว้นระยะ ล้างมือ ใส่หน้ากาก แยกโรค เป็นเวลาอย่างน้อย 5 วัน แต่ไม่ได้ระบุต้องหยุดงานนะครับ ให้พิจารณาแยกโรคให้เหมาะสม
2.ในกรณีติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ หรืออาการน้อยถึงปานกลาง ให้รักษาตามอาการ
3.ถ้ามีอาการร่วมกับมีความเสี่ยงการเกิดโรครุนแรง หรือ มีภาวะปอดอักเสบแต่ยังไม่ต้องใช้ออกซิเจน แนะนำใช้ยาต้านไวรัสภายใน 3-5 วัน และใช้สเตียรอยด์ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือเพิ่มยากดภูมิเข้าไปอีก (baricitinib, tocilizumab) ถ้าอาการไม่ดีขึ้น
4.ในข้อสามและสี่ สามาถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ ยาต้านไวรัสที่แนะนำคือ nirmatrelvir/ritonavir หรือยาฉีด remdesivir
5.ในกรณีอาการรุนแรงหรือต้องใช้ oxygen แนะนำเข้ารักษาในรพ. และให้ยา remdesivir โดยเร็ว
6.หากอาการรุนแรงมาก จนต้องใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ แนะนำใช้ steroid,baricitinib,tocilizumab และการประคับประคอง ส่วนเรื่องการให้ยา remdesivir ในผู้ป่วยข้อนี้ ให้พิจารณาเป็นราย ๆ ไป เนื่องจากไม่มีการศึกษารองรับที่ชัดเจน
7.หากช็อกติดเชื้อหรือมีภาวะทางเดินหายใจ ARDS ให้รักษาตามมาตรฐานปกติ
8.ปรากฏการณ์อันหนึ่งที่พบได้คือ COVID-19 rebound คือรักษาด้วยยาต้านไวรัสจนอาการดีแล้ว แต่กลับมาพบอาการอีกหรือตรวจเจอเชื้ออีก มักจะเกิดใน 1 สัปดาห์ อันนี้เจอได้ ให้ประคับประคองอาการ ไม่ต้องให้ยาต้านซ้ำ และแยกตัวต่อเนื่องอีก 5 วัน (**แต่ไม่มีคำแนะนำให้ตรวจซ้ำในทุกรายนะ)
9.molnupiravir สามารถใช้ได้เมื่อไม่มียาต้านอื่น หรือมีข้อห้ามการใช้ยาอื่น และห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ แม้แต่ชายก็ควรคุมกำเนิดหลังกินยาเป็นเวลา 3 เดือน เพราะรายงานความพิการในทารก
10.ไม่แนะนำการใช้ยาฟ้าทะลายโจรเพื่อหวังผลลดการป่วยหรือตาย จากโรคโควิด-19
11.การรักษาด้วยยาต้านไวรัส ผลการรักษาที่สำคัญคือ ลดระยะการป่วย ลดการเข้ารับการรักษาในรพ. หรือในไอซียู แต่ส่วนมากไม่ลดอัตราการตาย การประคับประคองอาการนับว่ามีความสำคัญมากทีเดียว
ย้ำ…ผู้ป่วยอายุ 60 ปี หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง (โดยเฉพาะการกดภูมิคุ้มกัน) ยังต้องระวังอยู่ครับ

22 มิถุนายน 2568

liraglutide ..semaglutide..ไม่นานมานี้ก็ tirzepatide

 สงคราม ปัก(เข็ม)ด่วน

จาก liraglutide ..semaglutide..ไม่นานมานี้ก็ tirzepatide
พัฒนาจาก GLP-1a ในสองตัวแรก จนมาเป็น GLP-1a ร่วม GIP พัฒนาจากลดน้ำหนักในผู้ป่วยเบาหวาน มาเป็นลดน้ำหนักโดยไม่ต้องเป็นเบาหวาน
ล่าสุด Mazdutide เป็น GLP-1a ร่วมกับ glucagon receptor dual agonist ฉีดสัปดาห์ละครั้ง ทำการศึกษาในจีนชื่อ GLORY-1 ลดน้ำหนักประมาณ 10% ในเวลา 8 เดือน เทียบกับยาหลอก เมื่อใช้ร่วมกับการคุมอาหาร
ประเด็นคือ ค่าเฉลี่ยดัชนีมวลกายผู้ร่วมการศึกษาประมาณ 31 เท่านั้น ต่างจากการศึกษาอื่นที่ใช้ค่า 35-40
สงคราม GLP-1a เริ่มแล้ว และผมยังย้ำเสมอว่า การควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ยังเป็นหัวใจหลักในการลดน้ำหนัก เพราะไม่ได้มีเป้าหมายเพียงตัวเลขน้ำหนัก แต่คือ สุขภาพที่ดี ชีวิตคุณภาพ และโรคที่ลดลง

การป่วยและตายอย่างปริศนาในเมือง Sverdlovsk

 ไม่ได้พาทุกคนไปเที่ยวกันสักพักแล้ว เช้าวันนี้จะพาทุกท่านไปเที่ยวรัสเซียกัน กรุณาไปชงกาแฟและอุ่นขนมปัง มานั่งบนโซฟาอุ่น ๆ แล้วเดินทางกันเลยครับ

เรามาเริ่มที่ทะเลดำ พรมแดนแยกยุโรปจากเอเชีย ทางตอนเหนือของทะเลดำ คือ พื้นที่สงครามยูเครนรัสเซียในปัจจุบัน โดยเฉพาะแคว้น Luhansk ดินแดนที่รัสเซียอ้างว่า ประชาชนที่นี่ต้องการอยู่กับรัสเซียมากกว่า และรัสเซียได้รับรองความเป็นเอกราชของ Luhansk ด้วย
แต่เราไม่ได้พามาเมืองลูฮาสค์ ทางตะวันออกสุดของยูเครนที่ติดรัสเซียครับ เราจะลงใต้ลงมาอีกจนเกือบจรดพรมแดน ที่นั่นมีเมืองสำคัญที่เราเคยพาท่านมาครั้งนึง
Yekaterinberg เมืองที่เป็นจุดสังหาร ซาร์ นิโคลัสที่สองแห่งราชวงศ์โรมานอฟ ในตอนนั้นเราจบเมื่อโรมานอฟสิ้นสุดลง เวลานั้นเป็นช่วงจบสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และจักรวรรดิรัสเซีย เปลี่ยนไปเป็น สหภาพโซเวียต ม่านเหล็กแห่งคอมมิวนิสต์
มีความพยายามจะเปลี่ยนสัญลักษณ์จากยุคจักรวรรดิมาเป็นยุคสังคมนิยม แม้แต่ชื่อเมือง เช่น เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก กลายเป็น เปโตรกราดและเลนินกราด (ตอนหลังก็เปลี่ยนกลับ) อีกเมืองคือ Yekaterinberg เปลี่ยนไปเป็น Sverdlovsk ในปี 1924 ตามชื่อเทศมนตรี Yakov Sverdlov และเมือง Sverdlovsk นี่เองคือเป้าหมายของเรา
2 เมษายน 1979 : มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่เมืองนี้ รายงานผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์ 94 ราย ผู้ป่วยทั้งหมดอาการรุนแรง ในจำนวนนี้เสียชีวิตถึง 68 ราย ภายในเวลาไม่กี่วัน ตามรายงานท้องถิ่นของทางการโซเวียต
ทางการโซเวียต แจ้งต่อสาธารณะว่า เป็นการระบาดจากการปนเปื้อนเนื้อวัวที่ติดโรคแอนแทรกซ์จากปศุสัตว์ท้องถิ่น ดูเรื่องราวก็น่าจะเรียบร้อยดี
ถ้าไม่อยู่บนพื้นฐานบางอย่าง ในปี 1979 ลิโอนิด เบรซเรฟ ผู้นำสูงสุดโซเวียตนำระบบแห่งความกลัวเข้ามาปกครองโซเวียตในยุคตกต่ำ มีการใช้หน่วยข่าวกรองเคจีบี เข้าควบคุม ขู่ และครอบงำกิจกรรมทางการเมืองทุกรูปแบบ ทำให้บรรยากาศการเมืองและสงครามเย็นน่าสะพรึงกลัวมาก ตบท้ายด้วยการบุกยึดอัฟกานิสถาน แน่นอน จะบุกยึดต้องมีข่าวเรื่องกองกำลังและอาวุธ
ข่าวเรื่องอาวุธที่โซเวียตซุ่มพัฒนาเพื่อการสงครามก็หลุดการเซนเซอร์ออกมาเป็นระยะ หนึ่งในนั้นคือข่าวเล็ก ๆ เรื่องการระบาดในเมือง Sverdlovsk
เดือนตุลาคม ปี 1979 มีสื่อหนังสือพิมพ์ภาษารัสเซียของเมืองแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนีตะวันตก ลงข่าวว่ามีการป่วยและตายอย่างปริศนาในเมือง Sverdlovsk เมื่อ 6 เดือนก่อน โดยไม่รู้แหล่งที่มาของการตายที่ชัดเจนว่าเกิดจากเชื้อโรคใด และสื่อรายนี้ก็ยังไม่หยุดคุ้ย
จนเมื่อต้นปี 1980 สื่อเจ้าเดียวกันนี้ได้ตีพิมพ์ว่า มีการระเบิดของโรงงานทหารแห่งหนึ่งในเมือง Sverdlovsk และนั่นคือสาเหตุการป่วยตายกว่าพันรายในเดือนเมษายน 1979 สอดคล้องกับการรายงานทางการโซเวียตว่ามีผู้เสียชีวิต 68 ราย เนื่องจากกินเนื้อสัตว์ปนเปื้อนแอนแทรกซ์ และรายงานว่ามีการกำจัดเชื้อบางชนิดไล่ตามทิศทาง “ลม” จากเมือง Sverdlovsk อีกด้วย
เอาล่ะสิ สื่อตะวันตกจอมขุดคุ้ย เผชิญหน้ากับเคจีบีหน้าบึ้งของโซเวียต ความจริงเป็นเช่นไร และใครตอแหล
อนึ่ง ก่อนไปต่อนะครับ แทรกความรู้สองข้อ ข้อแรก ในปี 1979 มีเมืองแฟรงก์เฟิร์ตอยู่ 2 เมืองในเยอรมัน คือ
Frankfurt am main เมืองแฟรงก์เฟิร์ตที่เรารู้จักกันดีในตอนนี้ เดิมอยู่ในเยอรมันตะวันตก เป็นเมืองแฟรงก์เฟิร์ตในเรื่องราวของเรา
Frankfurt an der order เมืองนี้อยู่เยอรมันตะวันออก ติดกับโปแลนด์
เรื่องที่สองคือ ยุคปี 1979 เคจีบี หรือหน่วยข่าวกรองโซเวียตสมัยสงครามเย็น มีอำนาจมาก บิดข่าวกรองใดก็ได้และแทรกซึมไปทั่วโลก ท่านวลาดีเมียร์ ปูติน ปธน.รัสเซีย ในเวลานี้คือหนึ่งในสายลับเคจีบี
เอาล่ะเรามาว่ากันต่อ
ข่าวในต้นปี 1980 ไม่เงียบอีกต่อไป ทางฝั่งโลกตะวันตกนำโดยอังกฤษ คิดว่าเป็นไปได้ว่าไม่ใช่การระบาดของแอนแทรกซ์ตามปกติ แต่เป็นการรั่วไหลของสปอร์เชื้อจากโรงงานอาวุธชีวภาพของโซเวียต หรือ อาจเป็นการทดลองที่ไม่สามารถคุมได้
ร้อนถึงพี่ใหญ่โลกเสรี สหรัฐอเมริกา ตอนนั้นออกมาเรียกร้องให้ทางการโซเวียตเปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้
ศาสตราจารย์ Matthew Meselson จากฮาร์วาร์ดได้รับเชิญมาช่วยแกะปริศนาชิ้นนี้ อาจารย์มีเซลสัน เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ต่อต้านการใช้อาวุธชีวภาพ
รายงานของมีเซลสันระบุว่าน่าจะเกิดจากการแพร่ของสปอร์จากโรงงานอาวุธชีวภาพ โดยอาศัยหลักฐานแวดล้อม ข่อมูลจากผู้รอดชีวิต ญาติผู้เสียชีวิต หลักฐานจากปศุสัตว์ แต่ไม่มีหลักฐานปฐมภูมิที่ครบถ้วน ทั้งเวชระเบียน และข้อมูลโรงงานปริศนาในเมือง Sverdlovsk ทั้งหมดอยู่ในความควบคุมของเคจีบี
หลายท่านอาจงงว่าอเมริกามาเรียกร้องทำไม ก็เพราะทั้งโซเวียตและอเมริกาต่างได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามอาวุธชีวภาพในปี 1972 แต่อนุสัญญานี้ไม่มีกำลังคนไปตรวจสอบ ใช้รายงานของแต่ละประเทศที่ส่งมาแทน
ส่วนรายงานจากทางโซเวียตอย่างเป็นทางการ ระบุเชิญผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ มาร่วมพิสูจน์ ผลออกมาว่า เป็นแอนแทรกซ์จากการปนเปื้อนในอาหารแน่นอน โดยประทับตรารับรองจากเคจีบี
สงครามเย็นระหว่างโรนัลด์ เรแกนและเบรซเรฟ ต่อสู้รุนแรงจนหมดยุคสมัย โซเวียตเริ่มเปลี่ยนไปจากนโยบายเสรีภาพและอิสระ ในยุคประธานาธิบดีกอร์บาชอฟ และสิ้นสุดสหภาพโซเวียตในเดือนธันวาคม 1991 สิ่งที่เราไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในปี 1992
บอริสต์ เยลซิน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ประกาศต่อสาธารณะว่า การระบาดของโรคแอนแทรกซ์ที่เมือง Sverdlovsk ปี 1979 เกิดจากการรั่วไหลของอาวุธชีวภาพ ที่โซเวียตละเมิดข้อตกลงไม่พัฒนาอาวุธชีวภาพ พร้อมอนุญาตให้ผู้ตรวจสอบภายนอกเข้าไปตรวจสอบได้ หลังจากเกิดเหตุไป 13 ปี
Matthew Meselson คนเดิมเข้าไปตรวจสอบพื้นที่จริง เก็บตัวอย่างสปอร์ที่กระจายออกมาวิเคราะห์ สรุปได้ว่าเป็นการระบาดของสปอร์เชื้อ Bacillus anthracis จากโรงงานจริง คือ สปอร์อยู่ในสิ่งแวดล้อมได้เกือบร้อยปีนะครับ ถ้าสปอร์เล็กพอ ลมแรงพอ อากาศแห้ง สปอร์ไปได้ไกลเกือบร้อยกิโลเมตร และการระบาดในวงกว้างด้วยสปอร์แบบนี้ มีเหตุเดียว คือ อาวุธชีวภาพ
ด้วยหลักฐานปฐมภูมิที่ถูกเคจีบีทำลายไปมากแล้ว เยลต์ซินแจ้งว่าไม่ได้ระเบิดนะ การรั่วไหลเกิดจากคนงานลืมเปลี่ยนไส้ตัวกรองระบบควบคุมอากาศตามเวลา จึงเกิดเหตุขึ้น
เป็นอันจบข่าวการระบาดของ inhalation anthrax จากสปอร์เชื้อที่เก็บในโรงงานอาวุธชีวภาพเมือง Sverdlovsk เมื่อปี 1979 …
แต่ไม่มีใครพูดถึง การระเบิดและเสียงระเบิดที่เมืองนี้ ณ วันที่ 2 เมษายน 1979 ว่าระเบิดหรือไม่ และใครเป็นผู้เข้ามาระเบิด
บทส่งท้าย
ริมทะเลดำ ปี 1979
มองต่ำลงจากหน้าผา มีเรือลำหนึ่งจอดรออยู่ ภาพตัดมาที่สายลับคนหนึ่งของ IMF หน้าคล้ายอีธาน ฮันท์ ในมือมีเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี สายลับคนนั้นโยนจรวดอาร์พีจีทิ้งน้ำ
ก่อนจะกระโดดหน้าผาไปยังเรือเล็ก เขาดึงหน้ากากอีธานฮันท์ออก เผยเห็นใบหน้าหนุ่มคมเข้ม รอยยิ้มมหาเสน่ห์ มองมาที่แผ่นอกแน่นเปรี๊ยะ มีเสื้อยืดคอกลมสีขาว พร้อมลายสกรีนอักษรสีน้ำเงินบนอกเสื้อว่า “อายุรศาสตร์ ง่ายนิดเดียว”

21 มิถุนายน 2568

sanford

 ของหายากในประเทศเรา สั่ง amazon เอาก็ได้

ผมสั่งหนังสือจาก amazon บ่อยสุดแล้ว แบบอีบุ๊กคินเดิลคือง่ายที่สุด สั่งปุ๊บมาปรากฏปั๊บ อ่านได้เลย ส่วนมากราคาถูกกว่าแบบเล่ม ไม่เสียค่าส่ง ไม่เสียภาษี
แต่แบบเล่ม ใช้เวลาประมาณ 10 วัน มีค่าขนส่งและภาษี (มีโปรส่งฟรี แต่ต้องซื้อปริมาณหนึ่ง) ก่อนกดชำระจะปรากฏราคามาให้ ในกรณีภาษีต่ำกว่าคาดก็ได้เงินคืน
ระบบ amazon เท่าที่ใช้มาปลอดภัยมากนะครับ ทั้งบัตรเครดิตและเพย์พาล (ผมทำเพย์พาลมาตั้งแต่ก่อนเขาปิดในไทย)
เวลากดซื้อ ดูก่อนว่าเขาส่งมาไทยไหม ส่วนมากถ้าเป็น amazon international จะส่งมาให้ เขามี partner ในไทยครับ อันนี้ KEX มาส่งให้
มีทั้งแบบมือหนึ่ง มือสอง ปกแข็งปกอ่อน ผมเคยได้สมุดภาพบันทึกผลงานของคนวาดภาพประกอบ final fantasy มาในราคา 10 ดอลล่าร์สหรัฐ
มาถึง sanford ผมก็ไม่ได้ซื้อทุกปีนะครับ โดยเฉลี่ยคือ 3 ปีต่อเล่ม ผมไม่ถนัดเปิดแอป ชอบพกแบบเล่มมากกว่า มีแบบเย็บห่วง และเล่มใหญ่ตั้งโต๊ะด้วยนะ เล่มนี้ 1680 บาทไทย ที่ราคาแลกเปลี่ยน 10 วันก่อน
เล่มนี้เปลี่ยนพอควรกับแนวทางการรักษา infective endocarditis, MRSA, วัคซีน
ใครอยากลองหนังสือที่ไม่มีในไทย ก็ประมาณ 90% ของหนังสือทั่วโลก ไปที่แอมาซอนได้ครับ
ไม่ต้องดอง เยอะเยอะ อย่างใครเขา
อ่านเอา ดองเอา เท่าที่ไหว
ไม่มีตังค์ มายืม (หนังสือ) ได้ ไม่เป็นไร
แต่เอาไป เอามาคืน ด้วยนะเธอววว์

วัคซีนรวมโควิดและไข้หวัดใหญ่ ชนิด m RNA-1083

 วัคซีนรวมโควิดและไข้หวัดใหญ่ ชนิด m RNA-1083

อีกหนึ่งความล้ำสมัยของพัฒนาการการแพทย์ วัคซีนรวมสำหรับผู้สูงวัย เราเคยเห็นแต่ในเด็กน้อยเนอะ
วัคซีนรายปีของผู้สูงวัยคือไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 บางคนไม่สามารถมาฉีดสองรอบได้ แล้วถ้ารวมเป็นอันเดียวจะใช้ได้ไหม
mRNA-1083 เป็นตัวรวมของวัคซีน mRNA-1283 ที่ผลิตจากตัวสร้างแอนติเจนถึงสองชนิด รวมกับ mRNA-1010 ของไข้หวัดใหญ่สี่สายพันธุ์ มารวมใน lipid nanoparticles ที่นำอาร์เอ็นเอเข้าเซลล์และกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในเวลาเดียวกัน รวมกันในเข็มเดียว
ทำการศึกษาในคนอายุ 50-64 ประมาณ 4000 ราย และเกิน 65 อีก 4000 ราย อย่างละครึ่ง กลุ่มศึกษาฉีด mRNA1083 กลุ่มควบคุมฉีดโควิด mRNA1273 และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทั้งขนาดปกติและขนาดสูง แล้วติดตามผลหลังฉีดที่สามสิบวัน
พบว่ากลุ่มได้วัคซีนตัวใหม่ ระดับภูมิคุ้มกันเฉลี่ยไม่ด้อยไปกว่าตัวแยก และนับจำนวนคนที่ภูมิขึ้นก็ไม่ด้อยกว่าเช่นกัน โดยผลข้างเคียงอยู่ในระดับเล็กน้อยทั้งคู่ ตัวเลขเจอผลข้างเคียงเล็กน้อยที่ 80% ทั้งหมด
มาที่ขั้นต่อไป ขั้นแรกพิสูจน์ว่าไม่ด้อยกว่านะครับ ขั้นที่สองจะพิสูจน์ว่า “เหนือกว่า”
**ขนาดทำในอเมริกา คนที่ได้วัคซีนมาก่อนยังแค่ 30-40%**
ผลออกมาว่าระดับภูมิคุ้มกันเฉลี่ยด้วย geometric means วัคซีนรวมมีระดับสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ และนับจำนวนคนที่ภูมิขึ้น ก็เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกีบกลุ่มวัคซีนแยก
นั่นคือ mRNA-1083 แบบรวมนี้กระตุ้นภูมิดีมาก ข้อดีของมันคือ ไม่ต้องมาฉีดหลายเข็ม และเทคโนโลยี mRNA สามารถทำวัคซีนได้ครั้งละมาก ๆ และรวดเร็ว (เพราะสายพันธุ์เปลี่ยนเร็ว) ราคาไม่แพง ความแปรปรวนต่ำมาก (บริสุทธิ์)
แต่การศึกษานี้ไม่ได้บอกถึง efficacy และ effectiveness ของการป้องกันโรคหรือป้องกันผลแทรกซ้อนของโรค แม้จะอ้างอิงจาก ผลการศึกษาวัคซีนเดิมได้ก็จริง แต่คิดว่าผู้ผลิตคงจะทำ efficacy and effectiveness studies ออกมาอย่างแน่นอน
อ้างอิง
Rudman Spergel AK, Wu I, Deng W, et al. Immunogenicity and Safety of Influenza and COVID-19 Multicomponent Vaccine in Adults ≥50 Years: A Randomized Clinical Trial. JAMA. 2025;333(22):1977–1987. doi:10.1001/jama.2025.5646

17 มิถุนายน 2568

การกินยาความดันก่อนนอน

 เม็ดยาก่อนนอน

จริง ๆ แล้วเคยมีการศึกษาชื่อ time ออกมาก่อนหน้านี้แล้วล่ะว่า การกินยาความดันก่อนนอน ก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มประโยชน์ในแง่ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
ครั้งนี้มีการศึกษา bedmed เป็นการศึกษาในแคนาดา ทำในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง 2700 กว่าคน อายุเฉลี่ยประมาณ 67 ปี ไม่ค่อยมีโรคร่วม ให้กินยาตามที่คุณหมอประจำให้กินนั่นแหละ แต่แบ่งครึ่งนึงกินเช้า ครึ่งนึงกินก่อนนอน
ส่วนมากจะใช้ยาชนิด ออกฤทธิ์ยาวกินทีเดียว (การศึกษามีการปรับระเบียบวิธีวิจัยกลางคันเพราะตัวเลข event rates ไม่ถึงเป้า ในช่วง interim)
ติดตามไปห้าปี พบว่าการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดก็ไม่ได้ต่างกัน ผลข้างเคียงจากยาก็ไม่ต่างกัน การคุมความดันช่วงกลางวันพอกัน
แต่กลุ่มกินยาก่อนนอนจะคุมความดันช่วงนอนและตอนตื่นได้ดีกว่าเล็กน้อย แต่ข้อเสียคือ ลืมกินยาบ่อยกว่า
สรุปจากข้อมูลยุคปัจจุบันว่าถ้าวินัยดี ไม่ขาดยา ใช้ยาออกฤทธิ์ทำงาน 24 ชั่วโมง .. คุณจะกินยาตอนไหนก็ไม่สำคัญ
Garrison SR, Bakal JA, Kolber MR, et al. Antihypertensive Medication Timing and Cardiovascular Events and Death: The BedMed Randomized Clinical Trial. JAMA. 2025;333(23):2061–2072. doi:10.1001/jama.2025.4390

15 มิถุนายน 2568

flatbush diabetes , ketosis-prone diabetes

 Flatbush

400 กว่าปีก่อน …
ในยุคแห่งการตื่นรู้และสิ้นสุดของยุคกลาง เรามักจะถือว่าเริ่มต้นเมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินเรือไปค้นพบทวีปอเมริกา
หลังจากการค้นพบของโคลัมบัส ที่เดินทางด้วยค่าจ้างและทุนรอนของราชอาณาจักรสเปน เราอาจจะคิดว่าสิ่งที่ค้นพบย่อมเป็นของสเปน แต่ความเป็นจริงตลอดศตวรรษที่ 16 ประเทศสเปน โปรตุเกส และเนเธอร์แลนด์ ได้แย่งชิงความเป็นเจ้าอาณานิคมและการเดินเรือ สเปนจะเน้นเดินเรือแล้วยึดครอง โปรตุเกสและสำรวจและหาทรัพยากร ส่วนดัตช์จะมาในรูปบริษัทร่วมทุนรัฐและเอกชน ที่เรารู้จักคือบริษัทดัตช์อีสอินเดีย ที่มายังมะละกาและปัตตาเวีย และบริษัทดัตช์เวสต์อีนดีส ที่มุ่งหน้าอเมริกา
แต่ละประเทศในยุโรปเข้าครอบครองอาณานิคมในอเมริกา ตั้งพื้นที่และเขตแดนกันตามชอบ อยู่ด้วยกันได้บ้างไม่ได้บ้าง บางทีอาณานิคมที่อเมริการักกันดี แต่ต้องมาตีกันเพราะแผ่นดินแม่ตีกัน โดยพื้นที่ที่ถือว่าเป็นทำเลทองคือพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกของอเมริกา แต่ละประเทศต่างแย่งกันครอบครอง
ซึ่งครอบครองกันตามอัธยาศัยจนเมื่อตอนกลางศตวรรษที่ 17 อังกฤษมีชัยชนะเหนือสเปนในสงครามยุทธนาวีชนะกองเรืออาร์มาด้า และแผ่ขยายเข้าครอบครองพื้นที่ทำเลทองตั้งเป็น the 13 colonies มลรัฐแรกเริ่มทั้ง 13
นั่นรวมถึงดินแดนบริเวณเกาะลองไอส์แลนด์ เกาะแมนฮัตตัน บริเวณริมน้ำฮัตสัน ที่ตอนแรกบริษัทดัตช์เวสต์อินดีส ได้ขอซื้อผืนดินจากชนพื้นเมือง กลุ่ม Lenape ตั้งเป็นเมืองในชื่อ new amsterdam และเมื่อถูกอังกฤษยึดครอง บริเวณนี้เปลี่ยนชื่อเป็น New York ตามชื่อ ดยุคแห่งยอร์ค ผู้ซึ่งต่อมากลายเป็นพระเจ้าเจมส์ที่สองแห่งอังกฤษ
นั่นหมายความว่า พื้นที่นิวยอร์คยังมีคนท้องถิ่นเดิม บรรดาเชื้อสายทาสในอดีต สืบเชื้อสายกันมาโดยเฉพาะพื้นที่ดั้งเดิม ที่เป็นอาคารเก่าแก่และโบสถ์คริสต์คาทอลิก (ดัตช์ก็สร้างโบสถ์ และที่น่าสนใจคือเจมส์ที่สอง ก็เป็นคาทอลิก) ตั้งอยู่ทางตะวันตกสุดของเกาะลองไอส์แลนด์ เป็นพื้นที่ที่ปัจจุบันเรียกว่า flatbush มาจากภาษาดัตช์ Vlacke Bos แปลว่าพุ่มไม้เตี้ย เป็นการทำ anglicization คือเปลี่ยนภาษาดั้งเดิม เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อแสดงว่าตูข้ายิ่งใหญ่ ในยุคกลางถึงปลายศตวรรษที่ 17
หากสามารถทำการสืบสายยีนได้ พื้นที่ตรงนี้น่าจะใกล้เคียงชนพื้นเมืองเดิม เพราะเมืองขยายออกไปโดยรอบ แต่พื้นที่บริเวณนี้ยังเงียบสงบประดุจแช่แข็งเวลาเอาไว้ มีการย้ายถิ่นฐานไม่มากนัก ส่วนพื้นที่อื่นมักจะผสมสายพันธุ์ยุโรป เอเชีย และแอฟริกา จนปนเปไปหมด
ถ้าใครอ่านวารวารทางการแพทย์ การศึกษาที่ทำในอเมริกา จะมีการแยกกลุ่มเชื้อชาติที่ชัดเจน white, african-american, black, hispanic แต่ที่ flatbush นี่น่าจะยังเป็นกลุ่มเดิมตั้งแต่ก่อนดัตช์มายึดครอง
ปี 1984 วารสาร New England Journal of Medicine ได้ตีพิมพ์รายงานผู้ป่วยผู้ใหญ่จากย่าน flatbush ที่มีภาวะเลือดเป็นกรดจากเบาหวานทั้งที่เป็นเบาหวานชนิด non-insulin-dependent DM (NIDDM) หรือเบาหวานชนิดที่สอง ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
เพราะภาวะเลือดเป็นกรดมักจะพบในเบาหวานชนิดที่หนึ่ง ที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันตัวเอง ไปทำลายเบต้าเซลล์ที่สร้างอินซูลินจนเกลี้ยง มักจะมีอาการแรกที่พบคือเลือดเป็นกรด (diabetic ketoacidosis : DKA)
แต่นี่กลับพบในเบาหวานชนิดที่สอง แต่มันก็คงเกิดได้นะ หนึ่งในร้อย หนึ่งในพัน หรือมีเหตุปัจจัยอื่น ๆ แต่ความบังเอิญดูจะไม่บังเอิญเสียแล้ว ในอีกเจ็ดปีต่อมา 1994 ปีที่แผ่นดินอเมริกาจัดฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก
รายงานผู้ป่วยเลือดเป็นกรด DKA อีก 21 ราย ในเบาหวานชนิดที่สองที่ได้รับการตรวจหาแอนติบอดีเรียบร้อยว่า ไม่มีแอนติบอดีที่ไปจับทำลายเบต้าเซลล์ของตับอ่อน นั่นคือไม่ใช่เบาหวานชนิดที่หนึ่งอย่างแน่นอน และจะพบในกลุ่ม african-american นี้เท่านั้น
เป็นจุดกำเนิดการศึกษาเบาหวานชนิดที่ชื่อว่า Ketosis-prone diabetes (KPD) ที่พบว่าเบาหวานชนิดที่สอง ก็มีกลุ่มที่เกิด DKA ได้ง่าย โดยคนที่ศึกษาเรื่องนี้และตั้งชื่อ KPD
หรือเรียกตามพื้นที่ศึกษาและพบผู้ป่วยแบบนี้บ่อยว่า flatbush diabetes คนนั้นคือ Mary Ann Banerji แพทย์ด้านต่อมไร้ท่อ ที่รพ.คิงส์เค้าท์ตี้ ที่ย่านบรู๊คลิน นิวยอร์ก หนึ่งในทีมศึกษาการศึกษา ACCORD อันเป็นการศึกษาระดับตำนานของโรคเบาหวาน
ทำให้เราได้รู้จัก flatbush diabetes , ketosis-prone diabetes เบาหวานชนิดที่สองในเชื้อชาติ african american ที่จะเกิด DKA ได้ถึง 50%
จบการรายงานด้วยอาหารเหนืออร่อย ๆ ..จอผักกาด, ลาบหมู, น้ำพริกน้ำปู๋, สามชั้นทอดกรอบ เสียดายวันนี้ไม่มีแกงขนุนอ่อนครับ

14 มิถุนายน 2568

กินพืชที่มีส่วนประกอบเหมือน statin แทนได้ไหม

 แทนกันได้ไหม ?

มีแฟนเพจท่านหนึ่งถามว่า เขาพบไขมัน LDL ในเลือดสูง ความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจในสิบปีเกิน 10% เขาทราบดีว่าควรกินยา statin เขาถามว่า
.."กินพืชที่มีส่วนประกอบเหมือน statin แทนได้ไหม ไม่อยากกินยา"
เอาล่ะ มันจะได้หรือไม่ ต้องว่ากันด้วยการศึกษาว่าพืชนั้นมีผลลัพธ์การปกป้องได้จริงเมื่อเทียบยาหลอก
ไม่สามารถคิดโยงว่า เมื่อ statin มันทำได้ พืชที่มีส่วนประกอบเหมือน statin จะใช้ได้ไปด้วย
โครงสร้างส่วนใหญ่เหมือน แต่ส่วนน้อยที่ต่าง ผลก็ต่างกันได้ครับ
ขนาดของสารที่ออกฤทธิ์มันเทียบเท่ากันหรือ
มีผลข้างเคียงหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นผลข้างเคียงจากสารอื่นก็ได้
ความบริสุทธิ์ การปนเปื้อน
ยังไม่ต้องถึง ระเบียบวิธีวิจัยนะครับ ชีวเคมีพื้นฐานก็อธิบายแทนกันไม่ได้แล้ว ถ้าอย่างนั้น ก็กินเปลือกต้นหลิวแทนแอสไพรินกันได้แล้ว
จะกินก็ไม่ผิด แต่จะมาคาดหวังและอ้างผลแบบข้ามขั้นไม่ได้ครับ และต้องจำไว้เสมอว่า "ไม่ใช่แฟน ทำแทนได้ก็ไม่เหมือน" ครับ

คำประกาศของสมาคมแพทย์โรคหัวใจอเมริกา เกี่ยวกับผลของแอลกอฮอล์ต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

 สำหรับผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์

คำประกาศของสมาคมแพทย์โรคหัวใจอเมริกา เกี่ยวกับผลของแอลกอฮอล์ต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่รวบรวมจากการศึกษาต่าง ๆ ผมสรุปได้สามข้อ
1. ข้อมูลเดิมที่เคยมีว่าการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณไม่มากคือ 1-2 ดื่มมาตรฐานต่อวัน จะช่วยลดโรคหัวใจนั้น...มีความน่าเชื่อถือไม่สูง เพราะทั้งหมดมาจากการศึกษาเฝ้าติดตามที่มีอคติและตัวรบกวนผลจำนวนมาก ควบคุมไม่ได้
อีกทั้งเกือบทั้งหมดเป็นการรายงานตัวเองไม่มีผลอื่นมายืนยันการรายงานตัวเองนั้น ที่ส่วนมากจะรายงานการดื่มต่ำกว่าความจริง และรายงานโรคไม่แม่นยำ
เมื่อคิดเกลี่ยตัวแปร พบว่า ไม่ได้ "ลด" โรคหัวใจอย่างที่อ้าง
2. ไม่มีปริมาณการดื่มที่ "ปลอดภัย" หรือไม่มีปริมาณการดื่ม "ไม่เกินนี้" ที่ปลอดภัย เพราะไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนจากการศึกษา ข้อมูลคำแนะนำจึงปรับเป็น หากดื่มมาก (เกิน สองดื่มมาตรฐานต่อวัน) เพิ่มโรคแน่นอน หรือดื่มน้อยครั้งก็จริง แต่ว่าแต่ละครั้งก็เยอะ เพิ่มโรคเช่นกัน
ส่วนดื่มน้อยกว่าปริมาณดังกล่าว แม้จะอันตรายไม่เท่า แต่ไม่ปลอดภัย
3. การดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลเสียต่อโรคหัวใจในทุกมิติ ไม่ว่า กล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลว หลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน หัวใจเต้นผิดจังหวะ อัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ ดังนั้นถ้าคุณมีโรคหัวใจและหลอดเลือดแล้ว ควรเลิกเหล้า หรือหากมีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด ก็ไม่ควรดื่มเหล้ามาก ครั้นจะดื่มเล็กน้อย (เล็กน้อยจริง ๆ นะจ๊ะ) ก็ต้องรับความเสี่ยงที่จะเกิดได้ด้วย
ส่วนฉบับเต็ม ใครต้องการอ่าน ผมมีอ้างอิงไปเปิดหาได้ฟรี

12 มิถุนายน 2568

กินง่าย ได้สารอาหาร ..ไม่ต้องแพง

 กินง่าย ได้สารอาหาร ..ไม่ต้องแพง

ไม่กี่วันมานี้ มีผู้ติดตามเพจมาที่ร้าน มาขอคำแนะนำเรื่องอาหาร เขาได้ฟังอินฟลูเอนเซอร์ท่านหนึ่ง มีชื่อเสียงด้านการจัดอาหารสุขภาพ เขาบอกว่าก็ยังไม่รู้ว่าผลจะดีหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ แพงเหลือใจ ไม่ไหวแล้ว
ผมเลยลองทำเมนูอาหารเช้าง่าย ๆ เผื่อทุกท่าน ที่ไม่มีเวลามากนัก คือ ถั่วแดงต้มและมันฝรั่งต้ม
คุณสามารถซื้อวัตถุดิบทั้งสองอย่างได้ในราคาถูกมาก ถั่วแดงเก็บในที่แห้งได้นาน ส่วนมันฝรั่งซื้อมาพอหนึ่งสัปดาห์ก็พอ 5-7 หัวกลาง
หนึ่งมื้อผมจะใช้ถั่วแดงครึ่งถ้วยและมันฝรั่งหนึ่งหัว แต่คุณสามารถทำเผื่อไว้ 2-3 มื้อแบบผมได้
แช่ถั่วแดงไว้ 5 ชั่วโมง ไม่ได้มีสูตรอะไร ผมว่างแช่ห้าชั่วโมงครับ กะให้เปลือกนุ่มลง เม็ดบานออก
ล้างทำความสะอาดให้ดี หั่นมันฝรั่งเป็นลูกบาศก์ ขนาดตามชอบ มันสุกเร็วดีและสม่ำเสมอ จะแช่มันฝรั่งเอาไว้ในน้ำดื่มและโรยเกลือลงไปประมาณ สองช้อนชา ผสมให้เกลือละลาย
คราวนี้เรามาจัดการถั่วแดงก่อน ต้มในน้ำระดับแค่พอท่วม ต้มไฟอ่อน 20 นาที ถ้าใครชอบเม็ดถั่วนุ่ม บาน ก็ต้มนานกว่านี้ได้ ผมชอบพอกรุบ ตรวจสอบโดยหยิบมาเคี้ยวเอา ง่ายดี เสร็จแล้วพักและสะเด็ดน้ำ
ต่อมาต้มมันฝรั่งหวาน ใช้น้ำเกลือที่แช่นั่นแหละต้มประมาณ 10-15 นาที ใช้เวลาน้อย เพราะเราหั่นเล็กและแช่น้ำ จนมันฝรั่งนุ่ม สุก เหลืองสวย
สะเด็ดน้ำ ...โอ๊ย หอมเว้ย ..ชิมแล้วจะมีรสคล้ายเฟร้นช์ฟรายแบบต้ม เค็มปะแล่ม พอมีรสชาติ จะโรยน้ำมันงาหรือพริกไทยผง เสริมรสชาติก็ได้
เสร็จแล้ว ใส่กล่องเอาไว้ แช่ช่องเย็นปกติ เมื่อจะกิน ให้แบ่งมาเอามาต้มอุ่นสัก 2-3 นาที หรือเข้าหม้อทอดไร้น้ำมันให้พออุ่น
สามารถกินกับโยเกิร์ต กล้วย ไข่ต้ม นมสด มะเขือเทศสด ถั่วและมันฝรั่งเป็นอาหารมื้อเช้าที่ได้พลังงานมา 250 แคลอรี่ คาร์บที่ให้พลังงาน มีเส้นใย 15-20 กรัมเลยครับ โปรตีนจากถั่ว และสารพัดวิตามินกับแร่ธาตุ โดยเฉพาะโปตัสเซียม อุดมมาก พลังงานพอตลอดเช้า อิ่มถึงเที่ยง ไม่มีการผัดทอดใด ๆ
ที่สำคัญโคตรถูกครับ เอาไปใช้ได้อีกหลายเมนูอีกด้วย

07 มิถุนายน 2568

SIMPLER ข้อคิดก่อนย้ายคนไข้ออกจากไอซียู: ของฝากสำหรับชาวไอซียู

 SIMPLER ข้อคิดก่อนย้ายคนไข้ออกจากไอซียู: ของฝากสำหรับชาวไอซียู

 

สมัยผมหนุ่ม ห้าวเป้ง คุมไอซียู เวลาราวนด์วอร์ดจะถามตัวเองและน้อง ว่า เคสนี้ยังจำเป็นต้องอยู่ในไอซียูไหม และสิ่งที่ผมตัดสินใจมันหยาบมาก คือ ข้อบ่งชี้การเข้าไอซียูคืออะไร และตอนนี้ข้อบ่งชี้นั้นหมดหรือยัง ถ้าหมดจะส่งคืนวอร์ดสามัญทันที .. ในตอนนั้นไม่ได้คิดปัจจัยแวดล้อมอื่นเลย เตียงในไอซียูจึงมี turnover rate สูงมาก โดยที่อัตราการเสียชีวิตไม่ลด แสดงว่าผมรักษาแย่ แต่บริหารเตียงได้ดี

 

เช่นผู้ป่วยที่เป็น diabetic ketoacidosis เข้าห้องไอซียูด้วยสาเหตุนี้ พอหมดภาวะเลือดเป็นกรดและคุมน้ำตาลได้ ผมก็จะจำหน่ายออกจากไอซียูเลย แม้ว่าโรคปอดอักเสบรุนแรงเขายังคุมไม่ได้ สายสวนต่าง ยังคาอยู่ ผมก็ไม่สน ถือว่า indication of ICU stay หมดแล้วเป็นจบกัน

 

มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น ต่อมาสูงวัยขึ้น ความคิดรอบด้านเชิงการจัดการมันครบถ้วน สามารถตัดสินว่าใครเหมาะสมที่จะออกจากไอซียูได้อย่างราบรื่น มีความสุขทั้งผู้ป่วย ผู้รักษา ญาติ ทีมงาน 

 

คิดและใช้สัญชาติญาณ ไม่ได้เรียบเรียงให้ง่ายอย่าง simpler นี้ เรามาพิจารณากันรายข้อเลยครับอ้อ แต่ต้องเริ่มด้วย ข้อบ่งชี้ในการเข้ารักษาในไอซียูต้องได้รับการดูแลให้เรียบร้อยเสียก่อน

 

S: stable vital signs: อันนี้สำคัญสุดนะครับ ถ้าสัญญาณชีพไม่คงที่ มันคือข้อบ่งชี้การรักษาในไอซียู ดังนั้นจะออกจากไอซียูได้ต้องคงที่ ไม่ใช่คงที่แต่แว่บตามองตอนมาราวนด์ แต่ต้องทบทวนบันทึกการพยาบาลหรือบันทึกข้อมูลจากเครื่องว่าคงที่มาสักระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง 

  stable ไม่จำเป็นต้อง good หรือ best แต่เป็นคงที่เพียงพอปลอดภัยที่จะอยู่วอร์ดสามัญ โดยไม่ต้องมาเฝ้าหน้าจอหรือวัดค่าทุก 30 นาที เพราะกำลังคนวอร์ดสามัญไม่มากพอจะเฝ้าแบบนี้ มันจะแก้ไขความผิดปกติไม่ทัน

  vital signs ของผมคือ temperature, respiratory rate, blood pressure, mean arterial pressure, ถ้าวัด cardiac output หรือ peripheral resistance ได้ ก็นับด้วย, heart rate และ rhythms ต้องคงที่และปลอดภัย, urine output และ oxygen saturation 

 

I: intact aeration: ปัญหาที่จะทำให้ผู้ป่วยแย่ลงได้เร็วมากคือ ปัญหาทางเดินหายใจไม่คงที่ ผู้ป่วยต้องตื่นมากพอที่จะไม่สำลัก สามารถไอพอได้ ขับเสมหะได้ เสมหะไม่อุดตัน ทางเดินหายใจส่วนล่างไม่ตีบแคบจนถึงขั้นหอบหรือต้องใช้ accessory muscle ความคงตัวของทางเดินหายใจต้องคงที่อย่างน้อยก็ 6-8 ชั่วโมง ต่อเนื่องกัน หลังจากถอดท่อช่วยหายใจ

 

  ตามมาตรฐานแล้วจะต้องไม่มีอุปกรณ์เสริมใด สำหรับการช่วยหายใจเลย ถึงจะย้ายออกจากไอซียูได้ แต่ปัจจุบันอุปกรณ์บางชนิดสามารถใช้งานได้ง่าย สะดวก วอร์ดสามัญก็สามารถจัดการได้ดี ดังนั้นผู้ป่วยที่ยังมีอุปกรณ์เสริมง่าย เช่น high flow nasal cannula ก็ยังรับได้นะครับ

 

  ประเมินการหายใจ การพูด การไอ การกลืน การสำลัก อาจขอความช่วยเหลือจากนักวิชาชีพกายภาพบำบัดได้นะครับ 

 

M: Medications review: เรื่องยามีความสำคัญมาก พึงระลึกไว้เสมอว่าสรีรวิทยาของผู้ป่วยวิกฤต ต่างจากผู้ป่วยทั่วไป ดังนั้น การใช้ยา เภสัชวิทยา ผลแทรกซ้อน จะต่างออกไป ยาบางชนิดต้องการความแม่นยำในการบริหารยาอย่างมาก เช่น ยากระตุ้นความดันโลหิต norepinephrine ต้องใช้เครื่องกำหนดยาเสมอ และให้ทางหลอดเลือดดำส่วนกลาง ยาบางชนิดต้องเฝ้าสังเกตอาการใกล้ชิด เช่น ยาแก้ปวดมอร์ฟีนแบบหยด ถ้ายังมียากลุ่มอันตรายและต้องเฝ้าระวัง น่าจะย้ายออกจากไอซียูได้ง่ายนัก

 

  ก่อนที่จะย้ายออก จึงต้องมีการทบทวนยาเสมอ ว่าเมื่อหมดภาวะวิกฤตแล้ว ยาอะไรควรหยุด หรือเปลี่ยนเป็นตัวยาที่ไม่ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด เช่น เปลี่ยนจากอินซูลินชนิดหยดเข้าหลอดเลือด เป็นแบบฉีดใต้ผิวหนัง ไม่อย่างนั้นภาระงานที่หอผู้ป่วยสามัญจะไม่เหมาะสมกับการเฝ้าระวัง หรือยาใดที่หมดจำเป็นให้หยุดไป เพราะเวลาเข้าไอซียู เราจะรักษาชีวิตไว้ก่อน หลายครั้งมียามากมาย แต่พอหมดจำเป็นกลับลืมหยุดไป อันนั้นจะยิ่งเกิดโทษ หรือมีคุณหมอหลายคนมาสั่งยา บางตัวซ้ำ บางตัวตีกัน  

  ก่อนจะย้ายออกจึงต้องทบทวนยาให้เหมาะสมกับการใช้ยาในวอร์ดสามัญและไม่ควรมียาที่ต้องเฝ้าระวังเคร่งครัดครับ

 P: prepared psychology การเตรียมตัวผู้ป่วยนอกเหนือจากการฝึกการหายใจ กายภาพบำบัด จะต้องแจ้งด้วยว่า กำลังจะย้ายออกไปที่วอร์ดสามัญ ซึ่งจะไม่มีการดูแลใกล้ชิดถี่ยิบแบบนี้ ผู้ป่วยหลายคนรู้สึกไม่สบายใจ และหลายคนก็ส่งผลให้กังวลจนเกิดอาการทางกาย ต้องย้ายเข้ามาในไอซียูใหม่ ในกรณีผู้ป่วยรู้ตัวดีนั้น ทีมไอซียูทั้งหมอและพยาบาล ต้องให้ความมั่นใจว่าผู้ป่วยปลอดภัยมากพอและควรปฏิบัติตัวเมื่ออยู่วอร์ดสามัญอย่างไร

 

  และรวมไปถึงญาติ ที่ทุกคนจะกังวลว่าตอนนี้อาการดีพอแล้วหรือ จะปลอดภัยไหม ต้องย้ายเข้ามาอีกไหม ต้องสื่อสารกับญาติเสมอนะครับ และข้อกังวลตรงนี้เป็นหนึ่งในข้อร้องเรียนและฟ้องร้องกันอีกด้วย หากไม่เข้าใจหรือสื่อสารไม่ดี นอกจากประเด็นทางการแพทย์ ประเด็นด้านการสื่อสารกับญาติและสร้างความมั่นใจ มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน

  เตรียมทีมวอร์ดสามัญด้วย ต้องเข้าใจว่ากำลังคนและภาระหน้าที่ของวอร์ดสามัญ ไม่สามารถดูแลผู้ป่วยแบบหนึ่งต่อหนึ่งหรือหนึ่งต่อสองได้เหมือนไอซียู เขาดูแลคนไข้ 7-8 ต่อหนึ่ง ดังนั้น จะต้องเตรียมความพร้อมและความมั่นใจของทีมการรักษาวอร์ดสามัญด้วยครับ ถ้ามีข้อกังวลสงสัย อาจทำให้เกิดปัญหาในการดูแลคนไข้ได้

 

L: lingering catheters: สายต่าง ที่เชื่อมต่อกับผู้ป่วย ควรนำออกให้มากที่สุดก่อนที่จะย้ายออก และบางสายถ้ายังไม่สามารถนำออกได้ ก็ไม่ควรย้ายออกจากไอซียู นั่นคือสายที่ต้องการการเฝ้าระวังตำแหน่ง สารหล่อสาย หรือการติดเชื้อ เช่น สายสวนหลอดเลือดแดงที่ต้องมียาต้านเลือดแข็งเฮปารินหล่อสาย หรือสายระบายน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจที่ต้องระวังตำแหน่งสายและการติดเชื้อ สายเหล่านี้ยังต้องการการเฝ้าระวังและควรอยู่ในไอซียู (ถ้าไอซียูว่างพอ

 

  เป็นหลักการพื้นฐานอยู่แล้วนะครับ สายต่าง ใส่เมื่อจะใช้ หมดความจำเป็นให้ถอดออกเสมอ อาจจะมีสายสวนบางอย่างที่อาจติดตัวผู้ป่วยไปใช้ต่อในวอร์ดสามัญได้ และต้องแจ้งผู้ป่วย ญาติ และทีมวอร์ดสามัญให้รับรู้และดูแลต่อได้ ซึ่งต้องตกลงกันระหว่างทีมไอซียูและทีมวอร์ดสามัญ (อย่าตีกันล่ะ) เช่นสายสวนปัสสาวะ สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลางเพื่อให้สารอาหารสารน้ำ

  ทุกสายสวนจะต้องมีการทบทวนความจำเป็นในการใส่สายอยู่เสมอ ถอดออกเมื่อหมดจำเป็น อีกหนึ่งประการสำคัญของการคงอยู่ของสายสวนคือผลแทรกซ้อนของการใส่สาย การติดเชื้อ การเกิดหลอดเลือดดำอุดตัน  

E: extreme laboratory findings: การมีผลแล็บที่ผิดปกติสุดขั้ว นอกเหนือจากว่าเป็นข้อผิดพลาดของการส่งตรวจ นั่นคือ ภาวะวิกฤตเดิมอาจยังไม่หยุด ยังไม่ได้รับการแก้ไข หรือมีภาวะวิกฤตใหม่แทรกขึ้นมา จำต้องทบทวนการย้ายออกจากไอซียูกันอีกครั้ง

  การแก้ไขผลแล็บที่ผิดปกติสุดขั้ว มักจะต้องใช้ความสามารถและอุปกรณ์ในไอซียู ถ้าย้ายออกก็อาจต้องย้ายเข้ามาใหม่ เช่น โซเดียมในเลือด โปแตสเซียมในเลือด คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดคั่ง 

   ก่อนออกจากไอซียู นอกเหนือจากการทำ medications reviewed ในตัว M ของ SIMPLER ยังต้องทำ laboratory wrap up เสมอ ทั้งแล็บเดิมที่มี ที่อยู่ในประเด็นแก้ไข และแล็บที่ต้องเจาะซ้ำประเมินใหม่ก่อนจะย้ายจากไอซียู 

R: return plans: อันนี้เป็นความร่วมมือกันของทีมไอซียูและทีมวอร์ดสามัญอย่างแท้จริง ทั้งหมอและพยาบาล เพื่อการกำหนดสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังในช่วงเปลี่ยนวอร์ด อะไรที่เป็นสาระ อะไรที่เป็นค่าวิกฤตที่ต้องเฝ้า และเมื่อเกิดปัญหาเหล่านั้น จะต้องแก้ไขที่วอร์ดสามัญอย่างไร หรือเมื่อไรที่จะต้องย้ายเข้าไอซียูซ้ำ

  วอร์ดสามัญจะต้องเพิ่มงานมากขึ้นในช่วงแรก หรือในหลายโรงพยาบาลจะมีหอผู้ป่วย intermediate ward ที่เป็นโซ่ข้อกลางในช่วงการเฝ้าระวังนี้ ไม่เข้มเท่าไอซียู ดูแลเน้นประเด็นที่เราจะเฝ้าระวัง  และทีมไอซียูก็ต้องมีการจัดเตรียม บริหารเตียงและทรัพยากร หากผู้ป่วยที่เพิ่งย้ายออกไป มีความจำเป็นต้องย้ายกลับเข้ามาใหม่  การย้ายแบบนี้เกิดขึ้นได้ เพราะความเปลี่ยนแปลงทางคลินิกยังเป็นพลวัตต่อเนื่อง แต่การทำ return plans จะช่วยลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรได้ครับ

  ต้องแจ้งข้อมูลนี้กับญาติด้วย เพื่อจะไดรับความร่วมมือที่ดีในการรักษาและเป้าหมายที่ตรงกัน หากญาติไม่เข้าใจจะทำให้การดูแลผู้ป่วยสะดุด หรือเกิดข้อกังขา ข้อร้องเรียนได้ง่ายครับ

 


บทความที่ได้รับความนิยม