the crematorium : ฉากหนึ่งของการสังหาร
คีย์แมนสำคัญสามคน (ในความคิดสรุปของผมนะ) คือ ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในและผบ.หน่วย SS คนที่สองคือ โยเซฟ เกิบเบิลส์ รัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการ สองคนนี้ใช้การปลูกฝังความเกลียดชังอย่างเป็นระบบ ฝังลึกในในชาวเยอรมันยุคหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่สิ้นหวัง หมดพลัง
จนเมื่อความเกลียดชังพุ่งถึงขีดสุด คนสุดท้ายที่เข้ามาออกแบบแผน final solution สำหรับชาวยิวมากมายที่กองทัพนาซีจับกุมได้ตามพื้นที่ยึดครอง คือ อดอล์ฟ ไอชค์มานน์ นั่นคือการทำ extermination การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
เดิมทีนั้นหน่วย SS ใช้การยิงทิ้งอย่างไร้เหตุผล ไม่ว่าชาวยิวนั้นจะผิดหรือถูก จะมีข้อแก้ตัวหรือไม่ ยิงทิ้งข้างถนน ยิงทิ้งในสลัม (ghetto) ที่นำคนยิวมารวมกัน ยิงทิ้งระหว่างออกไปทำงานให้กองทัพ
ในค่ายกักกันเอาชวิตช์หนึ่ง เมื่อเดินผ่านซุ้มประตู arbeit macht frei คุณจะได้ผ่านบาร์รัคต่าง ๆ ที่จัดแสดงความโหดร้ายในค่าย ตามแต่โปรแกรมทัวร์ที่ซื้อ (คุณต้องซื้อครับ) ผมเลือกโปรแกรมแบบเอ็กซคลูซีฟ พาเข้าทุกบาร์รัคที่จัดแสดง
คุณจะผ่านโรงนอนที่สภาพแย่กว่าโรงวัว พื้นนอนปูด้วยเศษหญ้าผ้ากระสอบ แค่นั้นเองนะครับในฤดูหนาวที่ต่ำกว่าศูนย์องศา
คุณจะผ่านกองรองเท้าที่เจ้าของไม่มีวันได้ใส่อีก กองกระเป๋า แว่นตา ขาเทียม เส้นผม สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้นาซียึดจากนักโทษ แยกของที่เอาไปใช้ได้ เอาไปหลอมทำอาวุธ หรือแม้แต่เส้นผมก็เอาไปทอผ้า ที่นั้นมีเก้าอี้ผ้าใบ ที่ให้นักโทษทำขึ้นจากเส้นผมนักโทษด้วยกันเอง
ผ่านการจัดแสดงต่าง ๆ ที่ดึงอารมณ์คุณจนถึงจุดที่เศร้าหมองที่สุด ผ่านกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวยิวที่มาสวดภาวนาให้บรรพบุรุษ จนมาถึง block ที่ 10 อันเป็นบาร์รัคที่นำคนมาทดลองทางการแพทย์ต่าง ๆ ตรงชั้นล่างของบล็อก จะมีโถงกว้างและราวเหล็กติดตั้งอยู่มากมาย ก่อนจะเปิดประตูด้านข้างที่เชื่อมกับ block ที่ 11
ห้องโถงที่ว่านี้นักโทษจะถูกนำมาเข้าแถว ให้ถอดเสื้อผ้าพาดบนราวเหล็ก แล้วเดินออกไปประตูข้างนั้น ระหว่างบล็อกที่สิบและสิบเอ็ด ที่กำแพงดำทะมึน เก่า ชื้น สูงประมาณสามเมตร กว้างราวสี่เมตรครึ่ง ล้อมด้วยแผงกั้นและมีแท่นบูชาอยู่ด้านหน้า
ที่นี่ นักโทษจะถูกเรียงแถวมายืนหน้ากำแพงรายคน และถูกยิง ยิงไปเรื่อย ๆ คิวต่อไปอาจกลัวจนเข่าอ่อนก็จะถูกหามออกมาโดนยิง ซึ่งคนที่หามก็คือ คิวต่อไปอีกด้วย ยิงเพราะ ‘คุณต่างจากเรา’ เสื้อผ้าที่ถอดฟาดราวอยู่จะมีนักโทษรุ่นใหม่รับไปใส่ต่อ รอวันที่จะมาถอดซ้ำที่นี่
สังหารจนปริมาณศพมากขึ้น แรก ๆ ก็ฝัง ก็จุดไฟเผา แต่พอมากเกินไป การกำจัดศพเริ่มมีปัญหา เริ่มเน่า
เมื่อมาตรการ final solution ออกมาพร้อมกับการสังหารแบบใหม่ การรมแก๊ส ที่สังหารนักโทษได้ครั้งละมาก และที่กองกำลัง SS ระบุไว้ในจดหมายเหตุหน้าหนึ่งของ final solution คือ มันไม่เปลืองกระสุน !!
จึงมีการก่อสร้างห้องเผาศพ (crematorium) ที่เอาชวิตช์หนึ่ง ติดกับห้องรมแก๊ส ลักษณะคล้ายเมรุเผาบ้านเรา แต่ขนาดใหญ่กว่ามาก และบรรจุได้ 2-3 ร่างต่อครั้ง แต่ความจริงคืออัดเผาครั้งละเป็นสิบ ต้องใช้แท่งเหล็กอัดเข้าไป
มีสองเตาติดกัน มีรางนำร่างเข้าออกและประตูขนซากที่เหลือไปทำลายอีก ในหนังสือ ‘inside the gas chamber’ ที่ทุกเสียงบอกว่า ถ่ายทอดได้เหมือนจริงมาก ระบุว่า ผู้ที่ต้องทำหน้าที่เผาร่างคือนักโทษด้วยกันเอง ที่บางครั้งต้องยัดเอาร่างของญาติกัน พี่น้องกัน เข้าสู่เตาเผา โดยรู้ดีว่า อีกไม่นานก็จะถึงคิวของตัวเอง
เตาเผาทำหน้าที่กำจัดร่างได้ทั้งวันทั้งคืน เขม่าร่างมนุษย์กระจายไปทั่วพื้นที่
ที่ค่ายเบียคาเนาหรือเอาชวิตช์สอง มีการออกแบบเตาเผาที่สมบูรณ์ทางวิศวกรรม เชื่อมต่อกับห้องรมแก๊สขนาดยักษ์ โมเดลในห้องจัดแสดง แสดงถึงแบบจำลองที่น่าขนลุกนั้น และมีการใช้งานจริงประมาณ ปีครึ่ง ก่อนที่กองทัพแดงของโซเวียตใกล้เข้ามา
นาซีตัดสินใจทำลายห้องรมแก๊สและเตาเผายักษ์ ทั้ง 4 เตา เพื่อไม่ให้หลงเหลือเป็นหลักฐาน ทุกวันจึงเหลือแต่ซาก แต่ทึ่เอาชวิตช์หนึ่ง ทุกอย่างยังมีสภาพสมบูรณ์
นาทีที่ผมเดินตามเส้นทางแห่งความตาย เข้าห้องรมแก๊ส ทางเดียวกับนักโทษ มองกำแพงและเพดานเหมือนที่นักโทษเห็น เคลื่อนที่ออกมาที่เตาเผา และออกจากพื้นที่สังหาร ด้วยเส้นทางเดียวกัน ต่างกันที่ผมหดหู่ เสียใจ และเคารพพวกเขา
แต่พวกเขา ไม่มีโอกาสนี้
สงครามและความเห็นต่างสุดขั้ว ช่างเลวร้ายนัก สำหรับผม นี่คือการ dehumanization ที่โหดร้ายที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษย์ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น