24 กันยายน 2559

บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์

บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์  ตกลงว่า จะใช้ดีไหม..

    มิตรสหายท่านหนึ่งส่งข้อมูลการใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ (ขอเรียกว่า EC) ว่าในปัจจุบันมีการใช้และการโฆษณาที่อาจจะนำพาไปสู่ความเข้าใจผิดได้ ผมจึงได้อ่านเรื่องราวทั้งหมดแล้วมาเล่าให้ฟัง จริงๆก็เขียนมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ขอเจาะลึกแล้วกัน ส่วนว่าจะดีไม่ดี คุณๆช่วยตัดสินใจนะครับ
    EC เป็นอุปกรณ์ที่คิดค้นประดิษฐ์ขึ้นมาราวๆปี 2002 แต่มาใช้มากและเป็นที่นิยมตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา ความนิยมจากหลักแสนขึ้นมาเป็นหลายล้านในช่วงเวลาไม่ถึง 10 ปี ผมไม่ทราบวัตุประสงค์ของอุปกรณ์ชิ้นนี้ว่าสร้างมาทำไมกันแน่ ว่าจะมาลดปริมาณบุหรี่ หรือมาทดแทนบุหรี่จริง
   EC ประกอบด้วย ปากสูดที่เราใช้สูดควัน ต่อกับหลอดเก็บนิโคตินเหลวขนาด 10 ซีซี มีหลากหลายความเข้มข้น ต่อจากนั้นก็เป็นอุปกรณ์ atomizer เป็นเซนเซอร์ตรวจจับแรงสูด กระตุ้นให้ทำงานหรือรุ่นเก่าๆ จะเป็นสวิตช์ไว้กด วงจรคอมพิวเตอร์จะทำงานดึงเอานิโคตินเหลวมาผ่านขดลวดความร้อนจนกลายเป็นไอ สูดเข้าทางปากสูด ปลายสุดจะเป็นแบตเตอรี่พลังงาน ที่มีหลอด LED ตรงปลายสว่างวาบๆ เวลาใช้งานเหมือนบุหรี่จริง แบตเตอรี่นี้เป็น ลิเธียมไอออน ชาร์จผ่านยูเอสบีเหมือน ไอโฟน สะดวกมากครับ
   ทุกประเทศเราถือว่า EC เป็นอุปกรณ์การนำส่งนิโคตินเข้าร่างกาย ไม่ได้เป็นยาสูบหรือยา ดังนั้นจึงไม่มีกฎเกณฑ์ควบคุมมากมายเหมือนยาสูบ ไม่มีการควบคุมอย่างเคร่งครัด และอุปกรณ์ทั้งหลายยี่ห้อนั้นไม่ได้มีปริมาณที่เท่ากัน ในประเทศไทยนั้น EC เป็นสิ่งผิดกฎหมายนะครับ
    EC จะไม่มีควันพิษเหมือนบุหรี่ เขม่า สารเผาไหม้ต่างๆเหมือนบุหรี่ที่เรารู้จักดี แต่ว่าเราก็ต้องแลกกับสารเผาไหม้ตัวใหม่ ที่เรายังไม่รู้ว่าในระยะยาวจะมีผลอย่างไร คือสาร propylene glycol, glycerin, aldehyde การเผาไหม้ของสารเหล่านี้เผาในความร้อนสูงมากเป็นควันในช่วงเวลาไม่นาน   สำหรับบุหรี่นั้นมีมาเป็นพันปี เรารู้จักมันดี แต่ EC เรายังไม่ทราบผลระยะยาวเพราะเพิ่งใช้กันมาสิบปีเอง ต้องรอผลการศึกษาระยะยาวต่อไป
   ยังไม่นับโลหะหนักต่างๆ สีและรสชาติต่างๆ ที่อาจมีอันตรายได้ การศึกษาพบว่ามีสารพิษจริงแต่ระดับก็ไม่ได้สูงไปกว่าเกณฑ์มาตรฐานอุตสาหกรรมครับ
    สิ่งที่บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ส่งให้ผู้สูบเต็มที่คือปริมาณนิโคตินครับ เพราะเอานิโคตินมาสกัดเข้มข้น ปกติบุหรี่หนึ่งมวนให้นิโคติน 1.2 มิลลิกรัม EC หนึ่งหลอด 10 ซีซี ที่ความเข้มข้น 1.8% ได้นิโคติน 18 มิลลิกรัมต่อการสูบหนึ่งหลอด ประมาณบุหรี่จริงหนึ่งซอง และหลอด EC ก็มีหลายความเข้มข้น 0.6 ถึง 3.6%
   คิดได้อย่างนี้นะครับ ถ้าคุณคิดว่าจะลดปริมาณบุหรี่จริงลง เราก็ต้องสูบไม่เกินวันละ 1 หลอด เพราะถ้าเราสูบมากๆครั้ง ปริมาณนิโคตินก็จะยังมากเท่าบุหรี่จริงอยู่ดี หรือถ้าเราคิดว่า เราใช้ EC มาตัดลดทอนบุหรี่จริงๆลง แต่เราสูบทั้งสองอย่าง แม้ปริมาณควันพิษลดลงแต่ปรืลิมาณนิโคตินไม่ลดลง ปริมาณนิโคติน..ก็คือ ปริมาณบ่งชี้การติดบุหรี่นั่นเอง จึงไม่ได้ลดปริมาณนิโคตินมากนัก ถ้าเราใช้ เจ้า EC ไม่เป็น
   คนที่ไม่เคยสูบ และจะเริ่มสูบ EC เพราะมีบทเรียนจากคนรุ่นก่อนว่าบุหรี่จริงทำให้เกิดโรคปอดเรื้อรัง  โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด หันมาสูบ EC เพราะคิดว่าพิษควันน้อยกว่า ซึ่งก็จริงครับแต่ว่า คนรุ่นใหม่นี้ซึ่งผลการสำรวจจะพบในหมู่เยาวชนมากกว่า ก็จะใช้ EC ติดนิโคตินซึ่งนำพาไปสู่การสูบบุหรี่จริงต่อไป แต่ว่าข้อมูลตรงนี้ยังบอกว่าปริมาณผู้สูบหน้าใหม่ไม่ได้เพิ่มมากนัก และยังไม่พบความสัมพันธ์ของผู้สูบบุหรี่หน้าใหม่กับการเริ่มใช้ EC มากนัก ยังต้องรอดูต่อๆไปว่าความกังวลนี้จะเป็นจริงหรือไม่
  แล้วเลิกบุหรี่ได้จริงไหม  ข้อมูลจากการศึกษาส่วนมากมาจากการศึกษาแบบเก็บข้อมูลย้อนหลังหรือสอบถามผู้ที่เลิก ผู้ที่อยากเลิก มีการศึกษาที่เรียกว่า การทดลองทางคลินิกที่ทางการแพทย์เราถือว่า น่าเชื่อถือและเอามาใช้เพื่อการรักษาได้นั้น มีน้อยมาก ที่น้อยมากนั้นก็ไม่ใช่การศึกษาที่มีการควบคุมดี ยังมีข้อจำกัดการศึกษาอีกมาก
  ถามว่าหลักฐานที่มีแค่นี้พอหรือยัง..ยังครับ..ทุกสมาคมวิชาชีพลงความเห็นเหมือนกันหมดว่าหลักฐานยังไม่มากพอที่จะใช้ EC เป็นอุปกรณ์เลิกบุหรี่ และไม่มีหลักฐานมากพอที่จะบอกว่า EC ใช้แล้วจะเลิกบุหรี่ได้มากขึ้น
  แล้วที่ข่าวออกมาล่ะ..มันมีข้อเท็จจริงแค่ว่า ถ้าคุณคิดจะเลิกบุหรี่จริงจัง ซึ่งต้องใช้กระบวนการทางพฤติกรรม การติดตามผล การใช้ยา แบบคลินิกเลิกบุหรี่ แล้วทนการลงแดงบุหรี่ไม่ได้ อาจใช้ EC ปริมาณเล็กน้อยเพื่อลดความอยากครับ ภายใต้การควบคุมของทีมเลิกบุหรี่ที่เคร่งครัด และใช้วิธีอื่นๆเช่นหมากฝรั่งนิโคติน หรือ แผ่นแปะนิโคตินแล้วไม่ได้ผลเท่านั้น (USPSTF และ AHA)
  EC ก็จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจว่าลดปริมาณบุหรี่จริงลงได้ ช่วยเสริมการเลิกบุหรี่ให้ราบรื่นเท่านั้น ส่วนการไปซื้อมาใช้เอง ไม่ได้จำกัดปริมาณ ไม่ได้ทำพฤติกรรมบำบัด ไม่ได้ใข้ยาเลิกบุหรี่ร่วมด้วย ไม่ได้เข้าคลินิกติดตามผล จากการศึกษาพบว่า ไม่ได้ทำให้อัตราความพยายามเลิกบุหรี่ลดลง และ อัตราความสำเร็จก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นด้วย
  แล้วทำไมสมาคมต่างๆไม่ประกาศให้ชัดไปเลยว่า ให้ใช้หรือห้ามใช้ ... ก็เพราะว่าการศึกษายังมีไม่มาก ต้องรอผลการศึกษาให้ชัดเจนก่อน อีกทั้งคุณค่าของมันในการลดโทษจากควันบุหรี่ที่เห็นชัดๆนั้นก็ยังมีอยู่มากเช่นกัน เรียกว่า ข้อมูลตอนนี้ยังไม่บ่งชี้ทางใดทางหนึ่งชัดๆ ต้องศึกษาและติดตามต่อไป
   ในส่วนตัวผมแล้ว..การเลิกบุหรี่..คือการเลิกนิโคติน ตัวที่ทำให้ติดบุหรี่ มันก็ต้องเลิกหมดทั้ง cigarette, e-cigarette, gum, patch ในวันที่เรียกว่า "quit date" เพียงแต่เราต้องมีกลยุทธ์ครับ
"รู้บุหรี่ รู้เรา เลิกร้อยคน สำเร็จร้อยครั้ง"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม