22 มิถุนายน 2565

Sydenham's Chorea หรือ St.Vitus Dance

 chorea

โคเรีย เป็นคำเรียกการเคลื่อนที่ผิดปกติ (มากกว่าปกติ) ของกล้ามเนื้อ เกิดแบบไม่สามารถควบคุมได้ ไม่มีจังหวะแน่นอนตายตัว เคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ แบบไร้เป้าหมาย ลองหมุนข้อมือไปเรื่อย ๆ ด้วยความถี่ไม่คงที่ ทิศทางสลับไปเรื่อย ๆ แบบรำละคร นั่นคือโคเรีย
การเคลื่อนที่เกินปกติแบบนี้ มักจะดีขึ้นตอนหลับ เมื่อตื่นจะมีอาการมากขึ้น
โคเรียเกิดจากการสื่อสารที่ผิดปกติไปของระบบประสาท มีโรคทางระบบประสาทโดยตรงหลายโรคที่ทำให้เกิดอาการนี้ เช่น โรคฮันติงตัน โรควิลสัน ส่วนอีกสาเหตุคือเป็นโรคระบบอื่นแล้วมาเกิดโคเรีย ที่พบบ่อยคือ น้ำตาลในเลือดสูง โรคภูมิคุ้มกันตัวเองผิดปกติ
โรคภูมิคุ้มกันตัวเองผิดปกติโรคหนึ่ง ที่อดีตพบมากแต่ปัจจุบันพบน้อยลง คือ โคเรียจากไข้รูมาติก (acute rheumatic fever)
ไข้รูมาติก เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย สเตร๊ปโตคอคคัส (group A) ในลำคอ แล้วบางชิ้นส่วนของแบคทีเรียนี้ เกิดไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ให้ภูมิคุ้มกันมาจับทำลายตัวเอง (autoantibody) โดยโรคไข้รูมาติกจะมีเกณฑ์การวินิจฉัย จากอวัยวะสำคัญห้าอย่างที่มีปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันผิดปกติ
หัวใจอักเสบ (carditis)
ข้ออักเสบ (arthritis)
ผื่นผิวหนังอักเสบ (erythyma marginatum)
ก้อนใต้ผิวหนัง อักเสบใต้ผิวหนัง (sunbcutaneous nodules)
โคเรีย
โคเรียที่เป็นเกณฑ์การวินิจฉัยนี้ เป็นโคเรียจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ เรามีชื่อเรียกว่า Sydenham's Chorea อ่านว่า ซิด-ดะ-แหน่ม (แหน่ม ออกเสียงเบาๆ)
การรักษาโรคแบ่งเป็นตามสาเหตุ เช่นแก้ไขภาวะน้ำตาลสูง ให้ยาขับทองแดงในโรควิลสัน และการให้ยาเพื่อยับยั้งการเคลื่อนที่ เช่น haloperidol, fluphenazine, tetrabenazine ที่แต่ละตัวมีผลข้างเคียงแทรกซ้อนสูง ควรดูแลการใช้ยาและปรับโดยคุณหมอที่ชำนาญ
เห็นอะโพสโทรฟี่เอส แสดงว่า ซิดดะแหน่ม น่าจะเป็นชื่อคน คนนั้นคือ Thomas Sydenham ผู้ที่ได้ชื่อว่า บิดาแห่งการแพทย์ของอังกฤษ หรือ ฮิปโปเตรตีสแห่งอังกฤษ … เขาคือใคร
เรื่องราวของ Thomas Sydenham เจ้าของชื่อซิดดะแหน่มโคเรีย อันโด่งดัง
ในสมัยศตวรรษที่สิบเจ็ด แม้จะผ่านยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการมากว่าสองร้อยปีแล้ว ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เริ่มสะสมความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ มีการอ่าน การศึกษาและตีพิมพ์มากขึ้น (จากการเกิดแท่นพิมพ์ของกูเต็นเบิร์กในศตวรรษที่สิบห้า) คนยุคนั้นยังตื่นเต้นกับความรู้ที่เพิ่งเผยแพร่ออกมา การตกผลึกและคำถามมากมายยังไม่เกิด วิชาแพทย์ก็เช่นกัน
ตำราแพทย์ของ วาเซเลียส, อาวิเชนนา ได้รับความนิยมในหมู่นักเรียนนักศึกษา หรือในหมู่แพทย์ การเรียนยุคนั้นคือ อ่านสอนตามกันมา และบอกกันรุ่นต่อรุ่น การเรียนแบบวิเคราะห์ปัญหา รวบรวมข้อมูลข้างเตียง เพิ่งมาเป็นตำราในปลายศตวรรษที่สิบเก้านี้เอง โดยคนที่โด่งดังมากคือเซอร์วิลเลี่ยม ออสเลอร์
แต่ในปีช่วงปี 1666-1676 มีคุณหมอท่านหนึ่ง ได้เปลี่ยนวิธีการเรียนแพทย์จากท่องจำนำไปใช้ มาเป็นการเก็บข้อมูลข้างเตียง การเฝ้าสังเกตอาการทางคลินิก มาปรับและเชื่อมโยงกับตำรา ไม่ได้ท่องเอามารักษาอย่างเดียว และไม่ได้เอาอาการทางคลินิกมาใช้โดยไม่มีหลักการ เรียกว่าเป็นจุดผสมผสานเชื่อมโยง คุณหมอท่านนั้นคือ ทอมัส ซิดดะแหน่ม ขอเรียกว่าทอมัสแล้วกัน
คุณหมอทอมัสเกิดปี 1624 ที่อังกฤษ เรียนแพทย์ที่ออกซเฟิร์ด แต่ไม่จบกว่าจะจบก็อีกเป็นสิบปี และไปจบแพทย์ที่เคมบริดจ์ ระหว่างเรียนก็ไปรบในสงครามกลางเมืองอังกฤษ (Great Rebellion) เรียนจบแล้วก็ไปออกรบอีก
ขนาดชอบออกรบแบบนั้น คุณหมอยังมีเวลามาสอนและแต่งตำราแพทย์ the Observationes Mediciae สอนเรื่องการสังเกตอาการ คิดวิเคราะห์ และสรุปหาเหตุของโรคกับการรักษษ ตามหลักการและตำรา ที่ในตอนแรกมีคนต้านเยอะมาก เพราะบรรดาแฟนพันธุ์แท้ของตำราดั้งเดิม และแนวคิดเดิม เขาใช้เวลากว่ายี่สิบปี ทำให้วิชา clinical medicine เริ่มเป็นที่ยอมรับ
คุณหมอทอมัสได้ชื่อว่าเป็นฮิปโปเครตีสแห่งอังกฤษ เพราะการรักษาและอธิบายคนไข้ ตามอาการและอาการแสดง ธรรมชาติของโรค แบบที่ฮิปโปเครตีสทำในอดีต นอกเหนือจากนี้ ท่านยังฝากผลงานไว้มากมาย เช่น อธิบายผื่นในโรค scarlet fever ท่านได้เอาวิชาการรักษามาเลเรียด้วยเปลือกต้นซิงโคนามาเผยแพร่ใช้ จนมียาควินินจากเปลือกไม้ซิงโคนา และเรียกการเคลื่อนที่ผิดปกติ ที่พบในโรคระบบภูมิคุ้มกันตัวเอง ในตอนนั้นพบในโรคไข้รูมาติก เราจึงเรียกอาการโคเรียในไข้รูมาติกว่า Sydenham’s chorea
มีคำเรียก sydenham’s chorea อีกอย่างว่า St.Vitus Dance …. ทำไมล่ะ
ย้อนกลับไปที่อาณาจักรโรมันในยุคต้นศตวรรษที่สาม ตอนนั้นศาสนาคริสต์เริ่มมีผู้นับถือและเข้ามาเป็นสมาชิกมากขึ้น แต่ถ้านับจำนวนแล้วยังน้อยกว่าศาสนาเดิมของพวกโรมัน นับถือเทพเจ้า การเติบโตขึ้นของผู้นับถือศาสนาคริสต์ สร้างความไหวหวั่นให้กับกลุ่มนับถือศาสนาเดิมของโรมัน อำนาจและความมั่นคงเริ่มสะเทือน ความเปลี่ยนแปลงอันนี้เห็นผลชัดเจนสุดในปี 284
ตอนนั้นจักรพรรดิโรมันคือ ไดอะคลิเชียน เขานับถือความเชื่อโรมันอย่างสุดโต่ง และตั้งพรรคพวกชั้นปกครองที่นับถือความเชื่อแบบเดียวกัน พรรคพวกเหล่านี้กำลังจ้องหาโอกาสตัดกำลังการโตของศาสนาคริสต์ จนเมื่อปี 299 มีเหตุการณ์ความขัดแย้งกันของสองความเชื่อ ทำให้จักรพรรดิลงดาบด้วยการตัดสิทธิชาวคริสต์ จำกัดการดำรงชีวิต ตัดสินคดีความที่ไม่เป็นกลาง
ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น มีการใช้ความรุนแรงมากขึ้น มีการจับกุมโดยไม่ไต่สวน มีการทรมาน สังหาร เพราะลิ่วล้อของจักรพรรดิเชียร์การปราบปรามชาวคริสต์ และมารุนแรงมากที่สุดในเหตุการณ์ Diacletianic Persecution การสังหารหมู่ชาวคริสต์ในปี 303 มีหนึ่งในชาวคริสต์ที่ถูกสังหารคือ Vitas
Vitas ที่ถูกสังหารในคราวนั้น ได้รับการยกย่องในศตวรรษที่ 14 ในช่วงที่ยุโรปกำลังเผชิญภัยที่รุนแรงที่สุดในยุคนั้นคือกาฬโรค (Black Death) คร่าประชากรยุโรปไปเกินครึ่ง ตอนนั้นที่เยอรมันได้มีการยกย่อนักบูญ 14 ท่านในฐานะนักบุญผู้ปัดเป่าโรคและภัยร้าย เพื่อเป็นความหวังของการผ่านยุคสมัยอันเลวร้าย และอย่างที่เราเกริ่น Vitas ได้รับการยกย่องเป็น Saint Vitas ผู้ช่วยเหลือดูแลปัดเป่าโรคลมชัก
การเฉลิมฉลองนักบุญทั้งสิบสี่ เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในยุโรปตั้งแต่ศตวรรษที่สิบสี่เรื่อยมา มีรายละเอียด วันเฉลิมฉลองแตกต่างกันบ้างในแต่ละประเทศ ที่น่าสนใจคือที่เยอรมนี ที่นอกจากมีวัดเฉพาะของนักบุญไวทาสแล้ว การเฉลิมฉลองจะเป็นการเต้นรำรอบรูปปั้นบูชาของท่าน ความสัมพันธ์ของนักบุญผู้ปัดเป่าโรคลมชัก (ที่มีการเคลื่อนที่ผิดปกติ แต่จะเป็นจังหวะซ้ำ ๆ) และการฉลองนักบุญที่ใช้การเต้นรำรอบรูปปั้นอย่างต่อเนื่องด้วยท่าทางที่แตกต่างกัน มองดูเหมือนการเคลื่อนที่ผิดปกติแบบโคเรีย จึงเรียกอีกชื่อของโคเรียว่าเรียกว่า St. Vitas Dance
เป็นการเชื่อมโยง Acute Rheumatic Fever + Thomas Sydenham + St. Vitas dance = Sydenham's chorea ในที่สุดครับ
อาจเป็นรูปภาพของ 1 คน และ สตรอว์เบอร์รี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม