08 สิงหาคม 2568

การศึกษา HOPE ยาสลายลิ่มเลือดหลัง 4.5 ชั่วโมง

 HOPE ประตูแห่งความหวัง

การรักษาอัมพาตเฉียบพลัน ภายใน 4.5 ชั่วโมง การใช้ยาสลายลิ่มเลือด alteplase ช่วยลดความพิการมาแล้วมากมาย ถ้าเกิน 4.5 ชั่วโมง ก็ยังมีการให้ยาผ่านสายสวนและการใส่สายสวนเพื่อดึงลิ่มเลือดออกมา
ดูเหมือนว่า อัมพาต จะกลายเป็นอดีต
แต่ชีวิตจริง มีคนที่มาไม่ทัน 4.5 ชั่วโมงเยอะมาก มีคนที่เกิดเหตุในช่วงเกิน 4.5 ชั่วโมงเยอะมาก มีคนที่ไม่สามารถเข้าสู่การสวนหลอดเลือดเยอะมาก มีคนที่ไม่สามารถเข้าถึงการถ่ายภาพเอ็กซเรย์ขั้นสูงเยอะมาก
การศึกษา HOPE เขาก็เอาคนกลุ่มนี้แหละ 4.5-24 ชั่วโมง มาทำ CTscan ที่เรียกว่า perfusion CT ทำได้โดยตั้งโหมดเครื่อง ฉีดสี เปิดโปรแกรม ใส่เอไอช่วยอ่านคำนวณ ถ้าอ่านค่าออกมาว่า ยังพอช่วยได้ ก็ให้ยาเลย
ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ได้ยา สามารถลดความพิการลงได้อย่างมีนัยสำคัญเทียบกับไม่ให้ยา และถามว่าแล้วเลือดออกมากขึ้นไหม ก็ต้องตอบว่ามากขึ้นจริง แต่ที่มากขึ้นนี้ก็ไม่ได้ตายมากกว่าเดิม
พูดสั้น ๆ ใช้ยาเดิมมาตรการเดิม ช่วยคนไข้ได้เยอะขึ้น ตายไม่เพิ่ม (ไม่ช่วยเขาก็อัมพาตแน่ ๆ) เพิ่มเติมคือต้องมีเครื่องซีทีที่ตั้งโปรแกรมอ่านค่าได้ ทำเอไอให้แม่นยำ จะช่วยคนได้อีกมาก ช่วยลดความพิการได้อีกมาก
ตอนนี้ยังไม่ระบุในคำแนะนำครับ แต่ถ้ามีเปิดแบบนี้ เดี๋ยวก็มีทำอีก ทำเพิ่ม จนได้ข้อมูลมากพอ ยิ่งพี่จีนด้วยแล้ว ทำเร็ว ทำเยอะ ใช้เอไอคล่อง เดี๋ยวก็มีคำแนะนำออกมาว่าขยายเวลาได้ถึง 24 ชั่วโมง

07 สิงหาคม 2568

สำหรับชาวไอซียู : UK-ROX : ไม่ต้องใช้ออกซิเจนมากเกินไปแล้ว

 สำหรับชาวไอซียู : UK-ROX : ไม่ต้องใช้ออกซิเจนมากเกินไปแล้ว

การศึกษา UK-ROX ที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร JAMA เป็นการศึกษาไอซียูในขนาดใหญ่มาก 16500 ราย ถือว่าใหญ่มากสำหรับการศึกษาไอซียู เพราะส่วนมากการศึกษา critical care มันจะมี exclusion criteria เยอะมากและจะหาเคสเข้าเกณฑ์ในเวลาที่กำหนดจนสามารถทำ central randomized ไม่ง่าย แต่การศึกษานี้ทำได้ ส่วนหนึ่งเพราะเป็น pragmatic design คือทำตามที่ปฏิบัติอยู่แล้ว กำหนดเกณฑ์แค่หลวม ๆ เท่านั้น
การศึกษานี้ตั้งเป้าตอบคำถามว่าในผู้ป่วยวิกฤตที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ เราจำเป็นต้องปรับออกซิเจนจนความอิ่มตัวสูง ๆ เลยไหม ถ้าเราปรับแค่ 90% จะทำให้เสียชีวิตมากขึ้นไหม เพราะหากไม่มีความผิดปกติมากนักในเรื่องของการละลายของออกซิเจนในเลือดและการจับออกซิเจนของเม็ดเลือดแดง นั่นก็คือคนไข้วิกฤตส่วนใหญ่นั่นแหละ ความสัมพันธ์ของความดันออกซิเจนและความอิ่มตัวออกซิเจนจะไม่ต่างจากคนปกติ และหากเราวัดความอิ่มตัวออกซิเจนปลายนิ้วได้ประมาณ 90% ความดันออกซิเจนในเลือดแดงจะอยู่ที่ 60 มิลลิเมตรปรอท เป็นค่าที่เพียงพอในการส่งออกซิเจนไปที่อวัยวะต่าง ๆ จากจุดที่ PaO2 เท่ากับ 60 และ FiO2 ประมาณ 90 ถ้าเพิ่มความดันออกซิเจนมากขึ้นด้วยการเพิ่มสัดส่วนออกซิเจนในลมหายใจ จะไม่ได้เพิ่มความอิ่มตัวออกซิเจนปลายนิ้วมากเท่าไรแล้ว
ถ้างั้นเพิ่มออกซิเจนมากขึ้นก็อาจไม่ช่วยอะไรเท่าไร เอาแค่ FiO2 88%-92% น่าจะพอแล้ว ...มาดูผลการศึกษากัน
ผู้ป่วยส่วนใหญ่อายุ 60 ปี เป็นชายถึง 65% ส่วนมากเป็นชาวยุโรป ป่วยก่อนใส่ท่อประมาณ 5 วัน สาเหตุส่วนมากของการใส่ท่อคือ ติดเชื้อในกระแสเลือด ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 16500 รายแบ่งครึ่ง ๆ กลุ่มศึกษาจะปรับ FiO2 จนได้ SpO2 ที่ 90% คือถ้าเกินก็จะปรับลดลง ส่วนกลุ่มควบคุมจะปรับตามแนวทางการรักษาแต่ละที่ ค่ากลางอยู่ที่ 95% โยเป้าหมายการศึกษาจะดูอัตราการเสียชีวิตที่ 90 วัน
**ข้อสังเกต ก่อนเข้าการศึกษาผู้ป่วยอาการไม่ได้แย่มากนัก ค่า APACHE II เฉลี่ยที่ 16 คะแนน และค่า SpO2 ที่ 97% เลยทีเดียว**
ปรากฏว่าอัตราการเสียชีวิตของทั้งสองกลุ่มอยู่ที่ 35.4% และ 34.9% แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญ นั่นคือไม่จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนเยอะมากก็ได้
**ข้อสังเกต ในกลุ่มศึกษามีค่าเฉลี่ย SpO2 ประมาณ 93% และระยะเวลาที่ผู้ป่วยได้เป้า 88%-92% อยู่ที่ 62% ของเวลาทั้งหมด นั่นคือ ในกลุ่มทดลองยังไม่ได้เป้าจริงของการศึกษาเท่าที่ควรจะเป็น ผลการศึกษาอาจเคลมมากกว่าที่ควรเป็น**
บอกว่าไม่ต้องกังวลมากนักกับค่าความอิ่มตัวออกซิเจนปลายนิ้ว 90% ถ้าผู้ป่วยเราไม่ได้หนักมากและไม่ได้มีปัญหาเรื่องการจับตัวการละลายตัวของออกซิเจน และอาการทั่วไปคงที่ ไม่ต้องเพิ่มสัดส่วนออกซิเจนหรือตั้งเครื่องเพิ่มเพื่อให้ได้ค่า SpO2 สูง เพราะการเพิ่มสัดส่วนออกซิเจนก็อาจเกิดอันตรายจากออกซิเจนมากไป หรือการปรับตั้งเครื่องเพื่อให้ได้ค่า SpO2 เพิ่มขึ้นอาจทำให้เกิด barotrauma ได้
มีการศึกษาในแนวนี้ออกมากมายเลยนะครับ ว่าในภาวะวิกฤตหลายโรคเราไม่จำเป็นต้องให้ออกซิเจนจนได้ SpO2 สูง ไม่ว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดสมองตีบเฉียบพลัน โรคติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะช็อก หรือแม้แต่โรคของปอดโดยตรงเช่น ARDS และแนวทางเวชปฏิบัติส่วนมากก็ไม่ต้องให้ออกซิเจนสูงเกินจำเป็นอีกต่อไป ตอนนี้เห็นว่าจะมีแต่ hypoxemic respiratory failure และการให้ออกซิเจนเวลา CPR ที่ยังต้องใช้สัดส่วนออกซิเจนสูง
แต่สุดท้ายการรักษาในไอซียูจะต้องปรับตามผู้ป่วยแต่ละราย ไม่มีแนวทางวิเศษใช้ได้ทุกคน เพียงแต่การศึกษาและความรู้ใหม่ ๆ บอกเราว่าออกซิเจนสูง ๆ ไม่จำเป็นและไม่เกิดประโยชน์มากขึ้นในภาพรวม ไม่จำเป็นต้อง drive ให้ได้ SpO2 สูงโดยต้องแลกกับอันตรายอื่นก็ได้
ใครมีความเห็นเพิ่มเติม มาแชร์กันได้ครับ ผมว่าผมอาจมองไม่ครบถ้วนครับ มาช่วยกันเติมครับ

Handbook of Antimicrobial Agents : คู่มือยาฆ่าเชื้อจากหน่วยโรคติดเชื้อศิริราช

 Handbook of Antimicrobial Agents : คู่มือยาฆ่าเชื้อจากหน่วยโรคติดเชื้อศิริราช

คู่มือทางการแพทย์ที่ออกมาประจำเพราะต้องปรับปรุงให้ทันสมัยและความก้าวหน้าของตัวยา คือ คู่มือโรคติดเชื้อและการใช้ยาฆ่าเชื้อ สิ่งที่ผู้ใช้ทุกคนอยากได้คือ practical point ใช้ยาเมื่อไร ขนาดยาเป็นอย่างไร ต้องปรับยาตามตับไตหรือไม่ กินอย่างไร ก่อนหรือหลังอาหาร ข้อควรระวังพิเศษเฉพาะยา ใช้ในหญิงตั้งครรภ์ได้ไหม เวลาให้ทางหลอดเลือดต้องผสมอะไร อัตราการไหลเท่าไรดี ส่วนข้อมูลทางเภสัชหรืออ้างอิงทางวิชาการขอมีบ้างประกอบความเข้าใจ
คุณได้ทุกอย่างจากเล่มนี้ เหมือนผู้แต่งจะรู้ว่า คนอ่านอยากอ่านอะไร มีความถามอะไร หนังสือตอบให้เลย ที่ชอบมากคือทริกสำคัญที่เรามักหลงลืม ยานี้กินก่อนอาหาร ยานี้ห้ามกินกับยาลดกรด ยานี้ต้องกินกับอาหารมัน ยานี้ต้องวัดระดับยา ทริกพวกนี้สำคัญ หนังสือคู่มือเขาเขียนแหละครับ แต่เขาไม่ “เน้น” practical point เหล่านี้
ไม่ต้องอิงทฤษฎีมากมาย แบบว่าเนี่ย เอาไปใช้ได้เลย โดนใจ clinician มาก ทุกอนูของพื้นที่หนังสือเรียกว่าคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์มาก เอาไปใช้ได้หมด ขอใช้คำว่า “concise” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
มีครบในทุกเชื้อที่พบในชีวิตจริง เจอบ่อยใช้บ่อยก็มีเนื้อหามาก เจอน้อยหายากก็มีเนื้อหาน้อย (ส่วนมากคุณก็ส่งปรึกษาอยู่แล้ว) ทั้งแบคทีเรีย รา ไวรัส ปรสิต ยาทุกตัวที่มีในท้องตลาดตอนนี้ด้วย ก็ตำราในไทยนี่นา และแต่ละตัวก็สั้น ๆ หาหัวข้อที่ต้องการได้ง่าย
แต่..แต่..จะเอาไปใช้อ่านสอบ หรือจะอ่านเพื่อความเข้าใจไม่ได้นะครับ เป็นธรรมชาติของคู่มือ ออกแบบมาใช้งาน ไม่ได้ใช้เรียนใช้สอบ นักเรียนแพทย์ แพทย์ประจำบ้าน เภสัชกร อันนี้ไม่พอนะครับ
สุดท้ายคือราคาไม่แพงครับ คู่มือใช้ยาฆ่าเชื้อในไทย ผมว่าน่าใช้กว่า Sanford หรือแอปยาใด ๆ เพราะมันคือระบาดวิทยาของเรา ยาที่อย.เราอนุมัติ เทียบหน้าต่อหน้าแล้วนับว่าถูกมากนะครับ คุณซื้อหนังสือนิยายเล่มใหญ่ ๆ นี่ก็ 300-400 บาทแล้วนะครับ
บรรณาธิการโดย อ.ภาคภูมิ พุ่มพวง, อ.สุรภี เทียนกริม เขียนโดยคณาจารย์โรคติดเชื้อ คณะแพทย์ศิริราช ปกสวยมากครับ ราคาปก 350 บาท หาซื้อได้ที่ศูนย์หนังสือจุฬา
เช่นเคยนะครับ ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดกับทางผู้จัดทำ เล่มนี้ซื้อมาจากศูนย์หนังสือจุฬา มาแนะนำเป็นแนวทางให้พวกเราได้พิจารณาเลือกซื้อหากัน



06 สิงหาคม 2568

Acute Radiation Syndrome

 Acute Radiation Syndrome

น่าจะเป็นคำศัพท์ใหม่ที่ใช้อธิบายอาการอันเกิดจากได้รับกัมมันตภาพรังสีมากเกินไป จริง ๆ มีรายงานอาการมานานแล้วตั้งแต่เรินเก้นค้นพบรังสีเอ็กซ์ และอาการที่เกิดกับนักวิจัยค้นคว้าสารกัมมันตรังสีทั้งหลาย แต่ส่วนใหญ่เกิดเป็น chronic radiation syndrome เพราะไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร กว่าจะรู้ก็นานแล้ว หรือเกิดมะเร็งจากการสัมผัสกัมมันตภาพรังสีอย่างยาวนาน
ภาวะบาดเจ็บจากรังสี หมายถึงการสัมผัสรังสีไม่ว่าจะทั้งตัวหรือเฉพาะส่วนเป็นปริมาณสูงในเวลาสั้น ๆ เช่น 1 Gy ต่อชั่วโมง ปริมาณรังสีและระยะเวลาที่สัมผัสจะเป็นตัวกำหนดความรุนแรง รวมทั้งชนิดของรังสีก็จะเป็นตัวบ่งบอกการทำลายเช่นรังสีแอลฟ่า รังสีเบต้า รังสีแกมม่า จะมีเป้าการทำลายที่ต่างกัน
ตัวอย่างเช่นถ้าโดนรังสี 1-5 Gy ประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะเริ่มมีอาการแล้ว อาการที่พบบ่อยคือ คลื่นไส้อาเจียน และถ้าโดนรังสีปริมาณมากขึ้นหรือนานขึ้น อาการจะเพิ่มขึ้นตามระบบเช่น ตั้งแต่ 8-15 Gy จะมีอาการปวดศีรษะ การรับรู้ลดลง มีไข้สูง หรือถ้ามากกว่า 30 Gy อันนี้มีอาการชัก หมดสติ เสียชีวิตได้เลย
และยังตามมาด้วยอาการทางระบบโลหิตวิทยา ที่พบมากคือเม็ดเลือดขาวต่ำลง เพราะอายุเม็ดเลือดขาวนั้นสั้นมาก บอกถึงการทำลายเซลล์ในไขกระดูกได้ดี และเม็ดเลือดขาวที่ต่ำลงถือเป็นการพยากรณ์โรคที่แย่ของภาวะนี้ มักจะเกิดใน 7-10 วันต่อมา ตามมาด้วยเลือดออกตามอวัยวะต่าง ๆ ในพิพิธภัณฑ์ที่ฮิโรชิมา แสดงส่วนของอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นจุดเลือดออกในคอ ลิ้น ผิวหนังที่ไหม้ดำ และขาดเลือด ส่วนของเนื้อสมองที่เต็มไปด้วยจุดเลือดออก ทั้งหมดนี้มาจากผู้เคราะห์ร้ายในช่วง 20 วันแรกหลังสัมผัสการระเบิด
ประมาณการณ์ว่ากว่าแสนคน ที่ป่วยเป็น acute radiation syndrome และเสียชีวิตในสัปดาห์แรก ตามตัวเลขที่ศึกษาหากเกิดภาวะที่สัมผัสมากกว่า 15 Gy แล้วไม่ได้รับการรักษาโอกาสเสียชีวิตจะสูงถึง 95% เลยทีเดียว สาเหตุการเสียชีวิตส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อ เพราะเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่สองเมื่อเม็ดเลือดขาวต่ำมาก จะเกิดการติดเชื้อรุนแรง พอมาผนวกกับการทำลายทางกายภาพของกัมมันตรังสี ความเสียหายเดิมจากความร้อนและแรงกระแทก การติดเชื้อจึงแทบจะคุมไม่ได้
และยังไม่นับสารพัดมะเร็งที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอและยีนที่รอสังหารต่อเนื่อง นับว่า atomic bomb เป็นอาวุธสังหารสมบูรณ์แบบเลยทีเดียวครับ
การระเบิดที่ฮิโรชิมาในรัศมี 1 กิโลเมตรแรกจะมีรังสีมาก 10-20 Gy เลยทีเดียว ดังนั้นผู้คนรอบพื้นที่สวนสันติภาพ ถ้ารอดจากแรงระเบิดและรังสีความร้อน ก็จะเสียชีวิตจากภาวะนี้ ส่วนการระเบิดที่เชอโนบิล แม้จะมีปริมาณสารกัมมันตรังสีเยอะมาก แต่ว่าผู้ที่สัมผัสมีการป้องกันพอสมควร
ความเสียหายมากมายที่สุดจึงเกิดที่ฮิโรชิมาและนางาซากินี่เอง ประมาณว่าผู้คนในเวลานั้นได้รับรังสีมากกว่า 50-60 Gy ในสองสามวันเลย การฉายแสงเพื่อรักษาจะใช้ 40-50 Gy ต่อคอร์สนะครับ ย้ำว่าต่อคอร์ส และจะค่อย ๆ เพิ่ม รวมทั้งเล็งเป้าที่ชัดเจน รังสีก็ถูกควบคุม พิษและความเสียหายจึงไม่เกิดมากนัก
ความรู้ความเข้าใจเรื่องบาดเจ็บจากรังสีทั้งระยะเฉียบพลันและเรื้อรัง มีที่มาส่วนใหญ่จากการศึกษาสิ่งที่เกิดหลังการระเบิดที่ฮิโรชิมา เนื่องจากพื้นที่ฮิโรชิมาเป็นพื้นที่ราบ ปริมาณการสัมผัสรังสีชัดเจน มีคนที่ได้รับผลกระทบพร้อมกันเป็นวงกว้าง ส่วนระเบิดแฟตแมนที่นางาซากิ แม้จะขนาดใหญ่กว่า แต่เนื่องจากภูมิประเทศของนางาซากิเป็นเขาและที่สูงสลับต่ำ การกระจายรังสีจึงไม่มาก อีกทั้งบ้านเรือนที่ฮิโรชิมาอยู่กันหนาแน่น โครงสร้างบ้านเป็นดินและกระดาษ ความเสียหายจึงเยอะกว่าที่นางาซากิ
อีกทั้งเวลาที่ทิ้งระเบิดคือ 08.15 ในวันธรรมดา ผู้คนและนักเรียนจึงเต็มท้องถนน มีคนที่อยู่ในบ้านและหลบภัยน้อยมาก โรงพยาบาลชิมะอันเป็นจุดใต้การระเบิด เหลือแต่ห้องใต้ดินครับ
“now I become death, the destroyer of worlds”

The legacy : hibakusha : ฮิบัคฉะ ผู้รอดชีวิตจากระเบิดนิวเคลียร์

 The legacy : hibakusha : ฮิบัคฉะ ผู้รอดชีวิตจากระเบิดนิวเคลียร์

รำลึกเหตุการณ์ที่ฮิโรชิมาและนางาซากิเมื่อ 80 ปีก่อน เพื่อให้รับรู้ถึงภัยสงครามและอันตรายจากระเบิดนิวเคลียร์ วันนี้มีพิธีที่สวนสันติภาพฮิโรชิมาด้วยครับ ผมขอหยิบเรื่องราวของบรรดาผู้รอดชีวิตมาบอกเล่ากัน
คนญี่ปุ่น (รวมถึงรัฐบาลด้วย) เรียกคนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้ว่า ฮิบัคฉะ (อันนี้ฟังจากภาษาของเขา) คนกลุ่มนี้ควรจะได้รับการดูแลถูกไหมครับ เพราะเป็นเหยื่อสงครามโดยตรง โดยที่ไม่รู้เรื่องราวและเกือบทั้งหมดเป็นพลเรือน แต่ในความเป็นจริงมีคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชื่นชอบฮิบัคฉะ ทั้งมองว่าเป็นปัญหาเพราะมีกัมมันตรังสีติดตัว ทำให้ฮิบัคฉะอยู่ยากพอสมควร ต่อมากลุ่มฮิบัคฉะได้รับการยอมรับในสังคมมากขึ้น มีการบอกเล่าเรื่องราวในวันเกิดเหตุ หลายคนเขียนหนังสือและสื่อต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ถูกคัดกรองและเฝ้าระวังจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกา เนื้อหาที่ปรากฏอยู่จึงเป็นแค่บรรยายเหตุการณ์และความทุกข์ทรมาน ส่วนการกล่าวโทษอเมริกาจะถูกควบคุม
แต่ยุคนี้ ยุคข้อมูลข่าวสาร ทุกคนทราบหมดแล้ว บรรดาฮิบัคฉะมีชีวิตที่ได้รับการยอมรับเรียบร้อย เรามารู้จักฮิบัคฉะบางคนกันนะครับ
1.michihiko hachiya คุณหมอฮาจิยะ เป็นคุณหมอคนแรก ๆ ที่เข้าถึงจุดเกิดเหตุ รพ.ของคุณหมออยู่ห่างจากจุดทิ้งระเบิดเล็กน้อย คุณหมอเป็นคนเขียนหนังสือ Hiroshima diary ลงในวารสารการแพทย์ญี่ปุ่น บันทึกเรื่องราววันที่ 6-30 สค กล่าวถึงการเจ็บป่วยและความทุกข์ยากหลังระเบิดลง ตอนนี้มีหนังสือขายและผมก็มีหนึ่งเล่มคือ the doctor of Hiroshima
2.setsuko thurlow หรือชื่อเดิม setsuko nakamura สุภาพสตรีผู้รอดชีวิตนี้ยังเป็นนักเรียนเมื่อวันระเบิดลง เธอเติบโตและเรียนต่อที่ฮิโรชิม่า จนได้ทุนไปศึกษาต่อที่อเมริกาและแคนาดา ได้เข้าร่วมกิจกรรมต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์มาตลอด และก่อนตั้ง international campaign of abolish nuclear weapon จนได้รับรางวัลโนเบลในปี 2017
3.keiji nakasawa ผู้รอดชีวิตท่านนี้เราอาจเคยเห็นผลงานเขามาแล้ว เขาถ่ายทอดประสบการณ์หลังระเบิดลงมาทางสื่อมากมาย โดยสื่อทึ่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักมากในประเทศไทยคือ barefoot ken การ์ตูนเรื่อง เก็น เจ้าหนูสู้ชีวิต แต่ผลงานส่วนมากเขาจะอยู่เบื้องหลังเนื่องจากถูกติดตามโดย CIA
4.tsutomu yamakuchi นี่น่าจะเป็นฮิบัคฉะที่โด่งดังที่สุด เพราะเขาคือคนที่รอดจากอาวุธนิวเคลียร์ทั้งสองครั้ง ในวันที่ 6 สค เขามาทำงานของบริษัทมิตซูบิชิอยู่ที่ฮิโรชิมา วันที่ระเบิดเขาได้รับบาดเจ็บและหมดสติ แต่ก็ฟื้นมาได้หลังจากได้รับการปฐมพยาบาล และเดินทางกลับออฟฟิศตัวเองที่นางาซากิในวันที่ 8 สค และไปทำงานตามปกติในวันที่ 9 สค วันที่ระเบิดแฟตแมนมาลงที่นางาซากิ
ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วระเบิดลูกที่สองเจตนาไปลงที่โคคุระ แต่สภาพอากาศที่โคคุระไม่ดีนัก เลยเปลี่ยนจุดมาเป็นนางาซากิแทน และยามากูชิไม่เคยคิดว่าระเบิดจะมาลง และจริง ๆ แล้วเขาไม่เคยคิดว่าญี่ปุ่นจะก่อสงครามด้วยซ้ำ เขาเพียงแต่ทำงานที่ได้รับมอบหมายจากบริษัทอย่างเต็มที่เท่านั้น
บริษัทมิตซูบิชิเป็นกลุ่มทุนไซบัตซึในยุคพัฒนาอุตสาหกรรมแรก ๆ ของญี่ปุ่นเลยนะครับ ไม่ทราบว่ามีส่วนร่วมกับสงครามไหม แต่พนักงานระดับล่างทั้งหมดไม่รู้หรอก การทำงานของยามากูชิไม่ได้คิดเรื่องสงครามเลย พอเรื่องราวของเขาโด่งดัง เขาก็เขียนหนังสือและเข้าร่วมในภาพยนตร์สารคดี twiced survived อีกด้วย
5.กลุ่ม nihon hidankyo กลุ่มที่ทำงานเพื่อสันติภาพและลดอาวุธนิวเคลียร์ รวมทั้งบอกให้โลกรู้จึงภัยสงครามจากนิวเคลียร์รวมทั้งชีวิตที่แสนเศร้าของฮิบัคฉะ โดยผู้ที่ประสบภัยนิวเคลียร์จากฮิโรชิมาและนางาซากิ รวมทั้งผู้ที่รอดชีวิตจากการทดลองระเบิดของสหรัฐบนเรือประมงไดโกะ ฟุคุเรียว มารุ กลุ่มนี้รณรงค์มาตลอดจนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี 2024 โดยตัวแทนคือ ทารุมิ ทานากะ ผู้รอดชีวิตจากนางาซากิ
และเป็นคำขวัญของผู้ที่ต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลกว่า “No More Hiroshimas” นั่นเองครับ

บทความที่ได้รับความนิยม