31 มกราคม 2565

กินโฟลิกแล้วจะเกิดพิษไหม

 กินโฟลิกแล้วจะเกิดพิษไหม

หลังจากที่เรื่องราวของโฟลิกได้เผยแพร่ออกไป สมาชิกของเราท่านหนึ่งได้ตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัยของโฟลิกครับ กลัวว่าทุกคนจะไปซื้อโฟลิกกันแบบไม่มีความจำเป็น ผมจึงได้รวบรวมข้อสงสัยและนำมาเล่าสู่กันฟังครับ

คำแนะนำการกินโฟลิกในแต่ละวันของผู้ใหญ่คือ 400 ไมโครกรัมต่อวัน ในหญิงตั้งครรภ์จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 550 ไมโครกรัมต่อวัน และมีการกำหนดค่า Upper Tolerated Level ของโฟลิกอยู่ที่ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน แบบนี้กินยาเม็ดขนาด 5000 ไมโครกรัมจะไม่แย่หรือ

หลังจากที่ไปสืบค้นดูครับ ค่า UTL ของโฟลิกนี้ มีที่มาไม่หนักแน่นนัก เกิดมาจากการรักษาโรค megaloblastic anemia ที่เกิดจากการขาดวิตามินบี 12 (ใครสงสัยย้อนกลับไปดูตอนเกร็ดความรู้เรื่องโฟลิก) ด้วยยาเม็ดโฟลิก อาจจะทำให้โรคนี้ดีขึ้นได้ด้วย ทั้ง ๆ ที่เกิดจากการขาดวิตามินบี12 เพราะทำให้อาการโลหิตจางดีขึ้น แต่ว่าการขาดวิตามินบี12 นอกจากโลหิตจางแล้ว ส่วนใหญ่จะมีอาการผิดปกติทางระบบประสาทร่วมด้วย เรียกว่า subacute combined degeneration

ทำให้เวลาเราให้โฟลิก อาการโลหิตจางดีขึ้น ก็คิดว่าหายแล้ว แต่จริง ๆ ยังไม่หาย แค่ดีขึ้นในมิติเดียว เราเลยไม่ให้วิตามินบี 12 เมื่อผ่านไปนานเข้า ให้โฟลิกไปเรื่อย ๆ อาการของระบบประสาทที่มันยังคงอยู่ มันเริ่มรุนแรงและแสดงให้เห็นชัดเจน รูปการจึงออกมาว่า การให้โฟลิกปริมาณมาก ๆ นานๆ อาจมีผลเสียต่อระบบประสาท ก็เลยกำหนดค่าที่ไม่ควรกินมากกว่านี้นะ เดี๋ยวจะเกิดอันตรายต่อระบบประสาท

ในเวลาต่อ ๆ มาเรามีความสามารถในการแยกโรคขาดโฟลิกกับขาดวิตามินบี12 ออกจากกันชัดเจนขึ้น จึงมีคำถามที่ว่า UTL ที่ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน มันยังจริงไหม และจริงกับคนปรกติดีหรือไม่

มีการศึกษาแบบเก็บข้อมูลมาพอสมควรเกี่ยวกับสถานการณ์จริงที่มีการใช้ยาเม็ดโฟลิกขนาด 5 มิลลิกรัมต่อวันในกรณีต่าง ๆ พบว่าแทบไม่เกิดผลข้างเคียง แถมรายที่เกิดก็ยังบอกยากว่าเป็นจากโฟลิก ผลการศึกษาที่ออกมาเกือบทั้งหมดสรุปว่าหากใช้ในไม่เกินขนาด 5 มิลลิกรัมต่อวันนั้น โอกาสเกิดผลข้างเคียงเช่น คลื่นไส้ แสบร้อนตามตัว พบน้อยมาก และหากใช้เกิน 5 มิลลิกรัม โอกาสพบผลข้างเคียง “อันไม่รุนแรงและบอกยากว่าเกิดจากโฟลิก” พบมากขึ้น...นิดนึง

มีวารสารด้านการสาธารณสุขตีพิมพ์ว่า ระดับ UTL ที่ 1000 มิลลิกรัมต่อวันนี้ อาจเป็นกำแพงขวางกั้นการใช้โฟลิกในหญิงตั้งครรภ์ได้ เพราะกังวลเรื่องนี้ทั้งที่ยังไม่มีข้อเท็จจริงถึงผลเสียอันรุนแรงของโฟลิกเลย

เราก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีกรณีกินโฟลิกโดยไม่จำเป็นและเกินขนาดแล้วเกิดพิษหรือไม่ เพราะปัจจุบันมีการบังคับเติมโฟลิกในผลิตภัณฑ์อาหารแล้วหลายชนิด พื้นฐานกรดโฟลิกที่ได้รับในแต่ละวันจากอาหารจะขยับสูงขึ้น

ปัจจุบันทางองค์การเภสัชกรรมได้ผลิตยาเม็กโฟลิกเดี่ยวขนาด 400 มิลลิกรัมออกมาจำหน่ายแล้ว เพื่อให้หญิงที่วางแผนจะตั้งครรภ์ได้รับโฟลิกที่เพียงพอและไม่ต้องกังวลว่าจะเริ่มมากจนเกินไป โดยเริ่มได้ตั้งแต่ 1-3 เดือนก่อนตั้งครรภ์และกินไปจนคลอด เพื่อรับประกันว่าโฟลิกไม่ขาด ป้องกันการเกิดโรค neural tube defect และโอกาสจะได้โฟลิกเกินขนาดก็จะลดลงด้วย

ทั้งหมดนี้ก็จะสรุปว่า แม้ยาเม็ดโฟลิกจะปลอดภัยสูงถึงสูงมาก แต่ก็ควรจะใช้เมื่อมีข้อบ่งชี้คือ ขาดโฟลิกหรือกินเพื่อป้องกันความพิการก่อนการตั้งครรภ์ ไม่ควรซื้อมากินโดยไม่มีความจำเป็น และหากไม่มีข้อบ่งชี้การใช้ยาเม็ดโฟลิก สามารถเพิ่มปริมาณโฟลิกได้จากอาหารครับ โดยเฉพาะผักผลไม้สดที่ไม่ผ่านการแปรรูปทางอุตสาหกรรม

ความรู้ตรงจุดนี้มาจากหลักฐานสนับสนุนในระดับ การเฝ้าสังเกต การรายงานกรณีศึกษา ยังไม่มีผลการวิจัยระดับขนาดใหญ่หรือการรวบรวมงานวิจัยอย่างเป็นระบบ ความรู้จึงยังเปลี่ยนแปลงได้และมีหลากหลายความเห็น สามารถมาแลกเปลี่ยนความคิดกันได้นะครับ

ที่มา

1. Devnath, G.P., Kumaran, S., Rajiv, R., Shaha, K.K. and Nagaraj, A. (2017), Fatal Folic Acid Toxicity in Humans. J Forensic Sci, 62: 1668-1670. https://doi.org/10.1111/1556-4029.13489

2. Wald, N.J., Morris, J.K. & Blakemore, C. Public health failure in the prevention of neural tube defects: time to abandon the tolerable upper intake level of folate. Public Health Rev 39, 2 (2018). https://doi.org/10.1186/s40985-018-0079-6

3. Maruvada P, Stover PJ, Mason JB, et al. Knowledge gaps in understanding the metabolic and clinical effects of excess folates/folic acid: a summary, and perspectives, from an NIH workshop. Am J Clin Nutr. 2020;112(5):1390-1403. doi:10.1093/ajcn/nqaa259

4. Selhub J, Rosenberg IH. Excessive folic acid intake and relation to adverse health outcome. Biochimie. 2016 Jul;126:71-8. doi: 10.1016/j.biochi.2016.04.010. Epub 2016 Apr 27. PMID: 27131640.

อาจเป็นรูปภาพของ 1 คน

30 มกราคม 2565

อ้วนลงพุง ไม่ออกกำลัง ..เซ็กซ์เสื่อม

 อ้วนลงพุง ไม่ออกกำลัง ..เซ็กซ์เสื่อม

ลงพาดหัวใน CNN health เห็นปั๊บ ต้องอ่านสักหน่อย
https://edition.cnn.com/…/exercise-good-for-sexu…/index.html

สรุปว่า อ้วนลงพุง ไม่ขยับ ไม่ออกกำลังกาย สัมพันธ์กับนกเขาไม่ขัน หน้าหันลงดิน กินน้ำตกบ่อ รอจนแห้งผาก และอ้างอิงการศึกษาหลายตัวเลยครับมีลิ้งค์หมด หลายอัน ผมอ่านคร่าว ๆ ทุกอันและอ่านละเอียดอยู่หนึ่งอันคือ อันนี้
Janiszewski PM, Janssen I, Ross R. Abdominal obesity and physical inactivity are associated with erectile dysfunction independent of body mass index. J Sex Med. 2009 Jul;6(7):1990-8. doi: 10.1111/j.1743-6109.2009.01302.x. Epub 2009 Apr 28. PMID: 19453892.

นอกเหนือจากเรื่องนกเขาไม่ขัน ยังมีเรื่องไม่ถึงฝั่งฝัน รถผ้าป่าล่มกลางทางอีกด้วย เรียกว่าหากขี้เกียจออกกำลังกาย ปล่อยให้อ้วน เรื่องบนเตียงจะอ่อนแอลงด้วย ในทางตรงกันข้าม ถ้าขยันออกกำลังสม่ำเสมอ ดูแลตัวเอง นอกจากได้สุขภาพกาย ยังได้สุขภาพเซ็กซ์ที่แข็งแกร่ง พลังม้าพลังช้างกันไปด้วย

ไม่เพียงแต่สุขภาพเพศชาย ยังรวมถึงสุขภาพเพศหญิงด้วย คนที่ออกกำลังกายประจำ ไม่ปล่อยให้อ้วนลงพุง จะมีความสุข ถึงฝั่งฝัน และ 'ต้องการ' มากขึ้นด้วย

แบบนี้ทำไง จูงมือกันไปวิ่งเลยสิ …?!?!?

แต่พอไปอ่านลิ้งค์จากตัวข่าวนะครับ เราจะพบความน่าสงสัยหลายประการ

1. การศึกษาทั้งหมดเป็นการสอบถาม เป็นการสัมภาษณ์ มีโอกาสที่จะจำไม่ได้ (จำไม่ได้ว่ากับใครนี่คงตาย) หรือกระมิดกระเมี้ยนไม่กล้าบอกความจริงได้ หรือผิดพลาดในทางสถิติได้มาก เรียกว่าตัวระบุปริมาณผลลัพธ์เรื่องความสุข ความพึงพอใจนี้ อาจจะประเมินยาก

2. การศึกษาในเชิงสรีรวิทยา วัดเลือดที่ไปไหลเวียนที่อวัยวะสำคัญ วัดสารต่าง ๆ ล้วนเป็นตัวชี้วัดขั้นกลาง (intermediate or surrogate outcome) ไม่สามารถมาบ่งชี้ความสุขที่แท้จริงได้

3. การศึกษามีความเอียงพอสมควร เพราะคนที่ไม่อ้วนลงพุง ก็คือคนสุขภาพดีอยู่แล้ว ส่วนมากก็จะไม่มีปัญหาทางเพศ ส่วนคนที่อ้วนลงพุงก็มักจะมีโรคร่วมสุขภาพไม่ดี ความสำราญทางนี้ก็ลดถอยลง จึงจะเอียงไปทางคนที่สุขภาพดีได้

4. ข่าวเขาจับงานวิจัยมา 'ยำ' รวมกัน ขึ้นต้นด้วย อ้วน ไม่ออกกำลัง เซ็กซ์เสื่อม ปิดด้วยการศึกษาไม่อ้วนและออกกำลัง เซ็กซ์ดี ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช้การศึกษากลุ่มเดียวกันหรือมีประเด็นเกี่ยวกัน และไม่ได้รีวิวอย่างเป็นระบบ จะมาสรุปเป็นเหตุเป็นผลว่า ร่างกายฟิตแล้วเซ็กซ์จะดี และถ้าคุณไม่ฟิตเซ็กซ์จะแย่ แบบนี้ไม่ได้

5. สุดท้าย ถ้าคุณสามารถมีเวลาจัดการตัวเอง หาเวลาออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดูแลตัวเองได้ แสดงว่าคุณจัดการตัวเองได้ดีแหละ ทุกเรื่องมันก็จะดีตามไปด้วย อย่าว่าแต่เซ็กซ์เลย สุขภาพใจ สุขภาพสังคมมันก็ดีตามกัน

แต่น่าจะบอกได้ว่า การออกกำลังกายเป็นประจำ และ ควบคุมไม่ให้อ้วนลงพุง มันทำให้สุขภาพโดยรวมดี อาจรวมถึงสุขภาพบนเตียงด้วย หรือใครจะใช้เรื่องเซ็กซ์เป็นแรงบันดาลใจในการออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนักก็ใช้ได้นะครับ ไม่เชื่อลองถาม salikahappymen

ส่วนใครจะที่ บนรถ บนระเบียง บนอ่างอาบน้ำ ก็น่าจะใช้ได้เหมือนกันนะครับ

ปล. ผมเพิ่งออกกำลังกายมา เหงื่อท่วมตัว ออกทุกวันไม่หยุด ดัชนีมวลกาย 23 ....หึหึ

อาจเป็นรูปภาพของ ไฟ และ สถานที่ในร่ม

29 มกราคม 2565

Schindler's List

 เมื่อวานมีคนคอมเม้นต์เรื่อง ไม่อยากอ่านหนังสือเกี่ยวกับการสังหารชาวยิวในค่ายกักกัน

หนังสือที่เป็นแรงบันดาลในให้ภาพยนตร์เรื่อง Schindler's List คือเล่มนี้ครับ ตอนนี้มีแปลไทยแล้วด้วยของมูลนิธิหนังสือเพื่อสังคม ราคาที่ซีเอ็ด 450 บาท

ผมยังไม่ได้อ่านภาษาไทยครับ แต่ซื้อเล่มนี้มาอ่านตั้งแต่ก่อนไปค่ายกักกัน ไปดูโรงงานกระเบื้องของออสการ์ ชินด์เล่อร์ ดูหนังเรื่องนี้มาไม่ต่ำกว่า 5 รอบ

ขอบอกว่าใครอยากอ่านและศึกษาเรื่อง holocaust, Nazi Concentration Camp ถ้าอ่านหนังสือ จะไม่หดหู่เท่าดูหนังนะครับ พออ่านได้ แม้จะอึมครึม มาคุ โศก แต่ในภาพยนตร์เขาเค้นอารมณ์ออกมาได้มากกว่า

ส่วนตัวผม ขอบอกเลยว่าตอนอ่านตอนดูหนัง ไม่เท่าไร

แต่มา ท้องไส้ปั่นป่วน น้ำตาไหล ขนลุก หนาวยะเยือก จิตตกสุด เมื่อได้ไปยืนในห้องรมแก๊ส มองเห็นรอยเล็บบนกำแพง และเตาเผาศพ ในห้องเงียบกริบ มีเพียงแสงเทียนเล่มน้อย ๆ แทนดวงวิญญาณของบรรดานักโทษยิว ที่ต้องมารับชะตากรรมโลกไม่ลืมที่นี่

อยากเล่าเรื่องนี้อีกรอบจัง

อาจเป็นรูปภาพของ 1 คน, หนังสือ และ ข้อความพูดว่า "SCHINDLER'S LIST NOVEL Ot THE ACCLAIMED #1BESTSELLING CLASSIC THOMAS KENEALLY kindle"

สินทรัพย์ดิจิตัล

 ลองอ่านเรื่องสินทรัพย์ดิจิตัล

เล่มนี้อ่านง่าย ปูพื้นฐานเตรียมต่อยอดเล่มต่อไปได้ดีมากครับ

อธิบายศัพท์ ความเข้าใจพื้นฐาน หลักการและการเริ่มต้นลงทุน เพื่อเป็นพื้นฐานในเล่มต่อไป

แต่งโดย นเรศ เหล่าพรรณราย สำนักพิมพ์พราว เล่มละ 200 บาทครับ

ใครมีเล่มไหนแนะนำ บอกกันบ้างครับ

อาจเป็นรูปภาพของ หนังสือ

methotrexate

 เกร็ดความรู้เล็กน้อย เกี่ยวกับโฟลิกและยาเม็ด methotrexate (MTX)

นักเขียนและแอดมินเพจจอมขี้เกียจ สามารถปั้นเรื่องราวหนึ่งเรื่องที่เขาอ่าน ออกมาเป็นผลงานย่อย ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปค้นและพิมพ์เพิ่ม ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน (อย่าแอบอมยิ้มสิครับ) เมื่อจบเรื่องหลักของโฟลิกและยา mtx เราก็มาพักสมองกับเรื่องราวเบา ๆ กันบ้าง

คุณรู้ไหมว่า methotrexate เป็นยาตัวแรกที่ออกแบบมาเพื่อพวกเรา..อ๊ะ อ๊ะ ไม่ใช่ ..เป็นยาเคมีบำบัดตัวแรกที่ออกแบบและสร้างมาเพื่อวัตถุประสงค์ฆ่าเซลล์มะเร็ง

ย้อนกลับไปในปี 1940 ที่ดินแดนแห่งเสรีภาพ สหรัฐอเมริกา

ในยุคสมัยปี 1940 เรามีความรู้เรื่อง megaloblastic anemia ว่าสามารถให้วิตามิน บี12 แล้วหายได้ และทราบว่าหากใช้วิตามินบี12 แล้วไม่ตอบสนอง จะสามารถแก้ไขโดยการให้โฟลิก ตอนนั้นสรุปว่า megaloblastic anemia น่าจะเกิดจากการขาดวิตามินบี12หรือโฟลิก ใช้คำว่าน่าจะเกิด เพราะยังไม่รู้กลไกการเกิดโรคที่ชัดเจน รู้แต่ว่าให้ยาตัวนี้แล้วหาย และบอกไม่ได้ด้วยว่าเกิดจากการขาดวิตามินบี12 หรือโฟลิก เพราะไม่ได้วัดระดับสารนั้นในร่างกายว่าสัมพันธ์กับการเกิด megaloblastic anemia หรือไม่

แต่ก็มีองค์ความรู้ในตอนนั้นว่า เราใช้โฟลิกรักษา megaloblastic anemia ได้

เอาล่ะ เรื่องมันเกิดตอนนี้แหละครับ เวลาที่เราตรวจฟิล์มเลือดและตรวจเซลล์ในไขกระดูกของโรค megaloblastic anemia เราพบว่าโรคนี้มันมีภาพลักษณะของเม็ดเลือดและไขกระดูกได้หลายแบบ และไอ้เจ้าหลายแบบนี้น่ะ บางแบบมันไปเหมือนกับภาพที่พบจากมะเร็งเม็ดเลือดขาว ทำให้มีการวินิจฉัยที่ก้ำกึ่งและสับสนระหว่างมะเร็งเม็ดเลือดขาวกับโรค megaloblastic anemia เมื่อมันก้ำกึ่งแบบนี้ ก็จะมีบางคนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น megaloblastic anemia แทนที่จะเป็นมะเร็ง และได้รับการรักษาด้วยโฟลิก เพราะเข้าใจผิด !!

ใจเย็น ๆ สมัยนั้นไม่มีการตรวจยีน การตรวจอย่างทันสมัยแบบปัจจุบัน เวลาเราอ่านและศึกษาประวัติศาสตร์ เราต้องคิดว่าเราเป็นคนยุคสมัยนั้นและรู้เท่าคนสมัยนั้นด้วย เราจึงเข้าใจประวัติศาสตร์ได้

เมื่อผิดฝาผิดตัวแบบนี้ ปรากฏว่าคนที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวและได้รับโฟลิกรักษา เพราะเข้าใจผิดว่าเป็น megaloblastic anemia คนเหล่านี้อาการแย่ลง แย่ลงมากกว่าคนที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแต่ไม่ได้รับการรักษาใด ๆ เสียอีก หรือโฟลิกจะเกี่ยวข้องกับมะเร็ง ความจริงอันนี้ไปสะดุดตานักวิจัยท่านหนึ่งเข้า

Sidney Farber นักพยาธิวิทยาชาวอเมริกัน ได้เก็บรวบรวมกรณีศึกษาเรื่องการใช้โฟลิกผิดโรค แล้วโรคแย่ลง ทั้งการศึกษารายงานทางคลินิก และจากการผ่าศพพิสูจน์ทางพยาธิวิทยา (อย่าลืมเธอชำนาญด้านพยาธิวิทยา) ได้รับรู้ความจริงเพิ่มเติมว่า

การให้โฟลิกในขนาดสูง ทำให้เซลล์มะเร็งโตมากขึ้น

ถ้าทำให้ขาดโฟลิก หรือมีภาวะขาดโฟลิก เซลล์มะเร็งจะฝ่อตาย

เธอเริ่มคิดถึงบทบาทของการยับยั้งโฟลิก เพื่อใช้จัดการเซลล์มะเร็ง อาจเป็นความหวังในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด Acute Lymphoblastic Leukemia ที่ยุคนั้นถือว่าหากเป็นแล้วแทบจะเขียนพินัยกรรมได้ทันที

*** นอกเรื่องและ tie in สักนิด ถ้าจำได้มะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL ใช้ยา 6-MP เป็นยาในการรักษา และปัจจุบันเราสามารถตรวจหายีน NUDT15 ที่ควบคุมการจัดการยานี้ได้ ทำให้สามารถปรับยาหรือทำนายผลการเกิดผลข้างเคียงของยา 6-MP ในแง่กดการทำงานของไขกระดูกได้อย่างแม่นยำ เป็นงานวิจัยในคนไทย สามารถอ่านซ้ำได้ที่ลิ้งค์นี้

https://facebook.com/3071642073151805

***

กลับมาต่อกัน ตอนนี้คุณฟาร์เบอร์มีความคิดจะสร้างสารเคมีที่ต้านโฟลิกขึ้นมาเพื่อที่จะพิสูจน์ความคิดว่าหากสามารถต้านการทำงานของโฟลิกได้ เซลล์มะเร็งจะตาย และโรคมะเร็งน่าจะรักษาได้

จากความร่วมมือข้ามแล็บและมหาวิทยาลัยกว่า 7 ปี (ที่นานเพราะติดสงครามโลกครั้งที่สอง) มีการสร้างสารต้านการทำงานโฟลิกเกิดขึ้นหลายตัวเพื่อมาใช้ในการศึกษา เช่น pteroylaspartic acid, methylpteroic acid โดยนำสารต่าง ๆ เหล่านี้มาฉีดให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในระยะเวลาสั้น ๆ เช่นกันในขณะนั้นกฎเกณฑ์จริยธรรมงานวิจัยในคนและคำประกาศเฮลซิงกิยังไม่เกิดขึ้น จึงสามารถทดลองการรักษาได้เลย คุณฟาร์เบอร์ได้ศึกษาและลงตีพิมพ์ในวารสาร New England Journal of Medicine ในปี 1948 (NEJM 1948; 238: 787-93) สรุปความดังนี้

เมื่อใช้สาร teropterin หรือ diopterin (คือรูปแบบหนึ่งของกรดโฟลิก หรือ pteroylglutamic acid) ให้กับผู้ป่วยโรค ALL ไปแล้วนั้น พบว่าจากการตรวจศพเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวมากขึ้นกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้

ในขณะที่ใช้ pteroylaspartic acid พบว่าผู้ป่วยมีลักษณะไขกระดูกที่มีเซลล์มะเร็งลดลงอย่างชัดเจน

เอาล่ะน่าจะเริ่มมาถูกทิศถูกทางแล้ว นอกจากการศึกษาและตีพิมพ์ของฟาร์เบอร์แล้ว ในปี 1947 นักวิทยาศาสตร์สามารถสังเคราะห์ สารต้านโฟลิกอีกตัวคือ aminopterin และทดลองฉีดคนไข้มะเร็งเม็ดเลือดขาวไป 16 ราย อาการดีขึ้น 10 ราย อาการเท่าเดิม 6 ราย เจ้าสาร aminopterin นี่เองเป็นบรรพบุรุษของ methotrexate ในปัจจุบัน

เรียกว่าเป็นรัฐธรร...เอ๊ย เป็นยาที่ดีไซน์มาเพื่อฆ่ามะเร็งตัวแรกเลย เพื่อมาต้านการสังเคราะห์โฟลิก โดยยับยั้งเอนไซม์ไดไฮโดรโฟเลตรีดักเตส ยังยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว ยาต้านมะเร็งยุคแรก จะเป็นยาที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติหรือจากการผลิตเพื่อวัตถุประสงค์อื่น แต่มาพบว่าสามารถต้านมะเร็งได้ ต่างจากการสร้างยา methotrexate

การวิจัยยาต้านโฟลิกเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เข้าสู่การวิจัยในคนเต็มรูปตามจริยธรรมงานวิจัยในคนตั้งแต่ยุคทศวรรษ 50 ผ่านจาก aminopterin มาเป็น amethopterin เพราะปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในช่วงสงครามเย็น ซึ่งก็คือ methotrexate ในปัจจุบันนั่นเอง (แอดมินเพจนี้มันเป็นอะไร อะไร ๆ ก็โยงช่วงเวลาสงครามตลอด)

เป็นเกร็ดความรู้เบา ๆ ของประวัติยาที่เรากล่าวถึงมาตลอดสัปดาห์นี้ครับ

ปล. Yennefer ยืนหนึ่งในใจ

อาจเป็นรูปภาพของ 1 คน และ ข้อความ

28 มกราคม 2565

เด็กที่กินไส้กรอกแล้วเกิดภาวะ methemoglobinemia

 มีคนส่งลิ้งค์เรื่อง เด็กที่กินไส้กรอกแล้วเกิดภาวะ methemoglobinemia

อยากบอกว่า ภาวะนี้เกิดได้จริง และแทบไม่มีโอกาสรู้ล่วงหน้า ถ้าคุณไม่เคยทราบมาก่อนว่าเป็นโรคเลือด เช่น thalassemia หรือ G-6-PD

เมื่อไรก็ตามที่เกิดภาวะนี้ นอกจากประเด็น สิ่งกระตุ้นเช่น ไนเตรท ไนไตร๊ต์ ในอาหาร ลูกเหม็น สารเคมี ถั่วปากอ้า ที่อาจทำให้เกิด

ก็ต้องคำนึงถึงว่าคนคนนั้น มีโรคอะไรที่เป็นโรคเดิมอยู่ด้วย เพราะคนปรกติจะสามารถจัดการ oxidative stress ต่อเม็ดเลือดแดงได้ดี แต่หากมีโรคก็จะเกิดภาวะนี้ได้

คงต้องไปดูว่า เด็ก ๆ เหล่านั้นมีโรคประจำตัวที่แอบแฝงและอาจจะเพิ่งทราบตอนที่เกิดเรื่องนี่แหละ และตรวจสอบไส้กรอกที่เป็นวัตถุพยานว่า มีสารปนเปื้อนเกินปรกติหรือไม่

มีลิ้งค์เดิมที่เคยเขียนเอาไว้มาให้อ่านกัน

ปล. ทราบข่าวนี้ หลังจากซื้อไส้กรอกมาใส่ในตู้เย็นเรียบร้อยแล้ว

http://medicine4layman.blogspot.com/…/methemoglobinemia.htm…

http://medicine4layman.blogspot.com/…/methemoglobinemia.htm…

อาจเป็นรูปภาพของ อาหาร

คนทั่วไปที่ไม่ได้กินยา Methotrexate ควรกินโฟลิกหรือไม่

 ต่อเรื่องกินโฟลิกสักเล็กน้อย

คราวที่แล้วเราได้รู้ว่าคนที่กินยา methotrexate สามารถกินโฟลิกได้โดยที่ไม่ได้รบกวนการรักษาด้วยยา methotrexate และคนที่ใช้ยา methotrexate ก็ควรกินโฟลิกสัปดาห์ละเม็ด ป้องกันการขาดโฟลิกและลดผลข้างเคียงของยา methotrexate

แล้วในคนทั่วไปที่ไม่ได้กินยา Methotrexate ควรกินโฟลิกหรือไม่

โฟลิก เป็นวิตามินที่สำคัญในการสังเคราะห์สารพันธุกรรม โฟลิกละลายน้ำ ถูกทำลายง่ายด้วยความร้อน ฟังดูเราก็น่าจะขาดโฟลิกได้ง่าย แต่จริง ๆ แล้วเราต้องการโฟลิกวันละไม่มากนัก คำแนะนำ RDI ของโฟลิกในคนไทยคือ 400 ไมโครกรัมต่อวัน

โฟลิกมีมากในผัก ผักที่มีปริมาณโฟลิกสูงเช่น ดอกกะหล่ำ ผักกุยช่าย กะหล่ำปลี แตงกวา บร็อคโคลี่ สารพัดผักสด หากเรากินอาหารครบห้าหมู่และหลากหลายพอ เราจะได้โฟลิกครบและเพียงพอ แต่ในยุคปัจจุบันที่ชีวิตเร่งรัด การรับประทานผักลดลง กระบวนการผลิตอาหารที่ใช้ความร้อน อาหารสำเร็จ อาหารแช่แข็ง ทำให้โฟลิกในอาหารถูกทำลายไปสูงสุดถึง 50%

แบบนี้เราก็ป้องกันการขาดโฟลิกได้ง่าย โดยการจัดสรรอาหารที่ดีขึ้น แต่ตัวเลขความต้องการโฟลิกของหญิงตั้งครรภ์จะมากกว่าคนทั่วไปครับ ตัวเลขของหญิงตั้งครรภ์จะอยู่ที่ 550 ไมโครกรัมต่อวัน หญิงตั้งครรภ์จึงมีโอกาสขาดโฟลิกมากกว่าคนปกติ แล้วสำคัญอย่างไร ?

ในคนทั่วไป การขาดโฟลิกจะทำให้เกิดโรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงขนาดใหญ่ (Megaloblastic anemia) อันเกิดจากการสร้างเม็ดเลือดที่ผิดปกติไป ส่วนในคนท้อง นอกจากจะทำให้เกิดโรคซีดแล้ว ยังเพิ่มโอกาสที่ทารกจะเกิดความผิดปกติ ท่อไขสันหลังและกะโหลกจะปิดไม่สนิท ทำให้มีเนื้อเยื่อสมองหรือไขสันหลัง ทะลักออกมา ไม่มีกะโหลกหรือกระดูกสันหลังหุ้ม เรียกว่า neural tube defect นอกเหนือจากนี้ยังสัมพันธ์กับการเกิดโรคปากแหว่งเพดานโหว่ในทารกอีกด้วย

ดังนั้นในหญิงที่วางแผนจะมีบุตร ไม่ต้องรอให้ขาดประจำเดือนก่อนนะครับ เริ่มกินโฟลิกวันละเม็ดได้เลย โฟลิกเม็ดขนาดเม็ดละ 5 มิลลิกรัม กินไปจนกว่าจะคลอดได้เลยครับ สามารถกินคู่กับยาธาตุเหล็กได้ด้วย หรือยาบางยี่ห้อเป็นยาเม็ดรวมธาตุเหล็ก วิตามิน และโฟลิกก็สะดวกดี

ส่วนในคนที่ไม่ตั้งครรภ์ หากกินอาหารครบและหลากหลาย จะไม่ขาดโฟลิก ถ้าขาดอาจต้องไปพิจารณาเรื่องการดูดซึมที่ผิดปกติตรงลำไส้เล็กส่วนต้น

ต่อไปของหมั้นและสินสอดก็ใช้ยาเม็ดโฟลิกสักสิบกล่องแทนเงินสิบหมื่นทองสิบบาท น่าจะคุ้มทุนมากกว่าครับ

อาจเป็นรูปภาพของ 1 คน และ ข้อความพูดว่า "FOLIC ACID"

27 มกราคม 2565

Inside the Gas Chambers

 27 มกราคม 1945

กองทัพของสหภาพโซเวียตบุกเข้าปลดปล่อยค่ายกักกันเอ๊าชวิตช์ มีหลักฐานที่ทำให้ทั้งโลกรู้ว่า มีการกักกัน ใช้แรงงาน สังหารหมู่

วันนี้จึงถือว่าเป็น International Holocaust Remembrance Day

รำลึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ว่าเป็นอาชญากรรมของมนุษยชาติ และตระหนักว่าอย่าให้เกิดอีก

สำหรับหนังสือเรื่องการสังหารหมู่ เล่มที่ผมอ่านแล้วกินใจ ประเมินดูแล้วไม่กล่าวเกินจริงด้วยอารมณ์ แต่อธิบายด้วยความจริงและโศกเศร้ามาก

คือเล่มนี้ Inside the Gas Chambers

เขียนจากผู้ที่ทำหน้าที่รมแก๊ส เผาร่าง เอ่อ..ทางนาซีเขาใช้นักโทษนี่แหละครับ มาทำหน้าที่นี้

ผมซื้อหนังสือเล่มมาจากร้านหนังสือในค่ายเอ๊าชวิตช์ 1 (ไปสิงที่ค่ายมาสองวัน ทุกคนเอ่ยถึงเล่มนี้หมด)

และซื้อมาอ่านจริง ๆ ในคินเดิล หนังสือเล่มไว้เป็นที่ระลึก

ใครสนใจสามารถสั่งทาง Amazon หรือ Kindle Store ได้

อาจเป็นรูปภาพของ ทางรถไฟ และ ข้อความพูดว่า "SHLOMO VENEZIA Inside the Gas Chambers EIGHT MONTHS IN THE SONDERKOMMANDO OF AUSCHWITZ "This Holocaust survivor's estimony, others, read with trembling. ELIE WIESEL Nobel Laureate HOLOCAUST MEMORIAL MUSEUM kindle"

25 มกราคม 2565

Bystander Smoker

 สุภาพสตรีรายหนึ่ง ไอมีเสมหะเล็กน้อย เป็น ๆ หาย ๆ มาสองสามเดือน รักษาหลายที่ไม่หายสักที แต่ก็ไม่ได้รักษาต่อเนื่อง เพราะต้องทำงาน เคยตรวจหาวัณโรคก็ไม่พบ เอกซเรย์ปอดปรกติ น้ำหนักไม่ลด ไม่สูบบุหรี่

เธอทำงานได้น้อยลง เพราะไอมากก็เหนื่อย หลัง ๆ มานี้ไม่ไอก็เหนื่อย

เมื่อปิดห้องตรวจให้เงียบ หลับตาตั้งสติ ตั้งใจฟัง ได้ยินเสียงลมหายใจออกที่ยาวกว่าปรกติ เมื่อสิ้นสุดลมหายใจออก ได้ยินเสียง ...วิ้ด เบา ๆ

ผลการวัดสมรรถภาพปอด พบมีการอุดกั้นของหลอดลม หลังสูดยาขยายหลอดลม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเหมือนโรคหืด

สรุปว่าคุณสุภาพสตรีเป็นโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง หรือถุงลมโป่งพอง

คำถามที่ถามสุภาพสตรีท่านนั้น "คนรอบตัวสูบบุหรี่ไหม และอยู่กับเขาไหมเวลาสูบ"

ได้คำตอบว่า สามีเธอสูบบุหรี่วันละหนึ่งซองมากว่า 30 ปีที่อยู่ด้วยกัน งานที่ทำคือขายของที่บ้าน อยู่ใกล้ชิดกันตลอด เธอเคยบอกให้เขาเลิกบุหรี่หลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ

Bystander Smoker หรือ Second Hand Smoker มีความเสี่ยงและโอกาสเกิดโรคจากควันบุหรี่ ไม่แพ้คนที่สูบบุหรี่โดยตรง

เลิกบุหรี่ ปรึกษาแพทย์ใกล้บ้าน หรือโทรสายด่วนเลิกบุหรี่ 1600

24 มกราคม 2565

 รีวิว "Handbook of Infectious Disease"

หนังสือจากสาขาวิชาโรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ขนาดเล่มกะทัดรัดเล่มนี้มีอะไร มาตามดูกัน

อย่างแรก มีเนื้อหาโรคติดเชื้อที่เรียกได้ว่าครอบคลุมโรคที่พบในประเทศเรา ทั้งไวรัส แบคทีเรีย ปรสิต เชื้อรา เมื่อทราบชื่อเชื้อ ชื่อโรค มาเปิดหาการจัดการโรคและผู้ป่วยได้เลย เนื้อหาเหมาะกับการรักษา แต่อาจน้อยไปสำหรับตอบสอบ เรียกว่า กันตายแต่ไม่กันตก

อย่างสอง มีการแบ่งเป็นโรคติดเชื้อตามระบบอวัยวะต่าง ๆ และติดเชื้อในกระแสเลือด ไข้ไม่ทราบสาเหตุ ว่าแต่ละอย่าง คิดอย่างไร จัดการอย่างไร แบบง่าย เร็ว กระชับ ไม่ตกหล่น

อย่างที่สาม ความรู้พื้นฐานโรคติดเชื้อที่สำคัญ … มาก มีสรุปไว้ให้ชัดเจน เอาไปใช้ได้เลย จุลชีววิทยาพื้นฐาน การเก็บตัวอย่างสิ่งส่งตรวจ การแปลผลแล็บที่เกี่ยวข้อง รูปภาพเชื้อที่เจอเวลาทำแล็บข้างเตียง

อย่างที่สี่ มีเรื่องการจัดการเชื้อดื้อยา การควบคุมการติดเชื้อ ตารางวัคซีน การจัดการโควิด รายการยาที่มีในบ้านเรา ขนาด การปรับตามตับไต มีครบ

อย่างที่ห้า เด็ดมาก เป็น killing feature คือ tip and pitfall ในทุก ๆ เรื่อง อ่านดูแล้วจะอ๋อ..อันนี้ฉันก็พลาด

สรุปว่าเหมาะกับการใช้งานจริงมากกว่าใช้อ่านสอบหรืออ่านเพื่อความเข้าใจ เล่มปกสวย พิมพ์สีในหน้ารูปภาพ ขนาดเอห้า เล่มไม่หนา ราคาปก 500 สั่งผ่านลิ้งค์ที่แปะไว้ ราคา 450 มีข้อสังเกตคือ ไม่มีดัชนี อาจเปิดยาก ตัวหนังสือเล็กไปหน่อย (คนสายตายาวอย่างผมต้องใช้เวลานิดนึง) และไม่มี quick access ที่สันหนังสือ ต้องเปิดจากสารบัญ

บรรณาธิการ อ.รุจิภาส สิริจตุภัทร, อ.ภาคภูมิ พุ่มพวง, อ.วลัยพร วังจินดา จัดพิมพ์โดยอายุรศาสตร์ศิริราชครับ

https://docs.google.com/…/1FAIpQLSdEJD0nsCZzG37b2…/viewform…

อาจเป็นรูปภาพของ หนังสือ และ ข้อความพูดว่า "SIRIRAJ INFECTIOUS DISEASE Otvtclone elMadeina aulty to D Û N Handbook of Infectious Disease บรรณาธิการ รุจิภาส สิริจตุภัทร ภาคภูมิ ผุ่มพวง วลัยพร วังจินดา"
ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ
ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

Folic กินคู่ methotrexate

 Folic กินคู่ methotrexate

ยาเม็ด methotrexate ใช้รักษาโรคระบบภูมิคุ้มกันหลายอย่าง เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคสะเก็ดเงิน ยาตัวนี้จัดเป็นยายับยั้งการสร้างดีเอ็นเอของเซลล์ ในขั้นตอนการสังเคราะห์โฟเลต การใช้ยานี้จะใช้แค่สัปดาห์ละหนึ่งถึงสองครั้ง

โรคระบบภูมิคุ้มกันนี้ มักจะพบในสุภาพสตรีมากกว่าสุภาพบุรุษ และมักพบในหญิงวัยเจริญพันธุ์

ข้อแรก … ยา methotrexate ไม่ใช้ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ดังนั้น จะใช้ยาต้องไม่ตั้งครรภ์ และถ้าจะตั้งครรภ์ก็หยุดยาอย่างน้อยสามเดือน และถ้าใช้นมผสมสำหรับทารกแทน

ข้อสอง … เราแนะนำหญิงที่วางแผนจะตั้งครรภ์ให้กินยาเม็ดโฟลิก เพื่อลดโอกาสเกิดความพิการของกระดูกสันหลังและไขสันหลังของทารก แต่ถ้าหญิงใดใช้ยา methotrexate ที่ชื่อว่าเป็น antifolate คือต้านโฟเลต ยาเม็ดโฟลิก แบบนี้จะทำอย่างไร

คำตอบ ก็กินโฟลิกต่อไป โฟลิกที่กินไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงการรักษาด้วยยาเม็ด methotrexate แต่อย่างใด แถมลดผลข้างเคียงของยา methotrexate อีกด้วย โดยเฉพาะ ตับอักเสบ เยื่อบุปากอักเสบ ในเมื่อโรคมักพบในหญิงเจริญพันธุ์ ก็กินโฟลิกคู่กับ methotrexate ได้ แนะนำกินสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละเม็ด ในวันถัดจากวันที่กินยา methotrexate

และถ้าจะตั้งครรภ์ ให้ปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อน ว่าจะจัดการควบคุมโรคอย่างไร เพราะต้องหยุดยา methotrexate

แต่ถ้าจะไม่ตั้งครรภ์ ก็เกาหลังและนั่งขุดรูต่อไปครับ

1.S. L. Whittle, R. A. Hughes, Folate supplementation and methotrexate treatment in rheumatoid arthritis: a review, Rheumatology, Volume 43, Issue 3, March 2004, Pages 267–271, https://doi.org/10.1093/rheumatology/keh088

2.Folic Acid and Folinic Acid for Reducing Side Effects in Patients Receiving Methotrexate for Rheumatoid Arthritis

Beverley Shea, Michael V. Swinden, Elizabeth Tanjong Ghogomu, Zulma Ortiz, Wanruchada Katchamart, Tamara Rader, Claire Bombardier, George A. Wells, Peter Tugwell

The Journal of Rheumatology Jun 2014, 41 (6) 1049-1060; DOI: 10.3899/jrheum.130738

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

23 มกราคม 2565

Nadia Nadim

 Wonder Woman เป็นชาวอัฟกัน

คุณอาจเคยรู้จัก wonder woman ลูกครึ่งเทพกับชาวแอมาซอน แต่วันนี้ผมจะพาไปรู้จักสุดยอดสตรีผู้สร้างแรงบันดาลใจแห่งอัฟกัน Nadia Nadim

อัฟกานิสถาน ดินแดนแห่งภูเขาและทะเลทราย ดินแดนที่เหล่ามหาอำนาจปรารถนาเข้ามายึดครอง ดินแดนแห่งความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรมโบราณ ระหว่างปี 1979-1989 สหภาพโซเวียตได้เข้ายึดครองอัฟกานิสถาน ก่อให้เกิดเหล่าผู้กู้ชาติชาวอัฟกานิสถาน เกิดจากหลายชนเผ่า หลายกลุ่มมารวมตัวกัน ที่เราอาจจะรู้จักดีคือ นักรบมุจาฮีดีน กดดันโซเวียตอย่างต่อเนื่องภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา (ยุคสงครามเย็น) จนโซเวียตถอนทหารออกไปสมบูรณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ 1989

หลังจากที่อัฟกานิสถานได้รับการปลดปล่อย ได้มีการพัฒนาประเทศอย่างมาก สิทธิเสรีภาพของประชาชนกลับคืนมา โดยเฉพาะสิทธิสตรีที่กลับมาใกล้เคียงบรรดาชาติเอเชียด้วยกัน ทิศทางประเทศดูฟื้นฟูได้ดี เป็นแบบนี้อยู่เพียงไม่กี่ปี เงาทะมึนก็กลับมาครอบงำอัฟกานิสถานอีกครั้ง ด้วยเงื้อมมือของ ตาลีบัน

กลุ่มตาลีบันเข้ายึดครองคาบูลได้เมื่อปี 1996 และย้ายฐานที่มั่นไปที่กันดาฮาร์ ในช่วงนี้ได้สังหารผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับตน ยึดนโยบายชายเป็นใหญ่อย่างมาก กดขี่สิทธิสตรี หนึ่งในครอบครัวที่ได้รับผลกระทบคือครอบครัวของนาดิม พ่อของเธอที่เป็นทหารถูกสังหารโดยตาลีบัน ในปี 2000 ทำให้ครอบครัวของนาดิมต้องระเห็จระเหเร่ร่อน ลี้ภัยสงคราม ไปที่ยุโรป

เด็กหญิง Nadia Nadim ขณะนั้นมีอายุ 12 ปี ต้องย้ายถิ่นอพยพไปที่เดนมาร์กตามแม่ไป ขณะที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ในฐานะผู้ลี้ภัยค่อนข้างลำบาก เธอพูดกับใครลำบากมากเพราะกำแพงภาษา ที่นั่นเธอได้เรียนแต่วิชาคณิตศาสตร์เพราะแม่เธอเป็นคนสอนเอง คุณแม่ของนาเดียจบการศึกษาดีแม้ในฐานะหญิงอัฟกัน ในสมัยก่อนที่ตาลีบันเข้าครองเมือง เมื่อตาลีบันเข้าครองเมืองแล้ว สิทธิการศึกษาของสตรีแทบหมดไป

สิ่งหนึ่งที่นาเดียชื่นชอบหลังจากเข้าสู่แผ่นดินยุโรปคือ ฟุตบอล เมื่อเธอได้เข้าเรียนและมีโอกาสเข้าทีมฟุตบอลท้องถิ่น นาเดียได้ฉายแววนักเตะออกมาอย่างเฉิดฉาย ไม่ใช่นักเตะประเภทเทคนิคดีอย่างโรนัลดินโญ่ ไม่ใช่โป้งปิดบัญชีแบบเลวานดอฟสกี้ แต่เป็นประเภทพาวเวอร์เพลย์ เล่นไม่หยุด ควบคุมเกม ประมาณ โทนี่ โครส ของเยอรมนี ทำให้หลายทีมสนใจและเปิดประตูทางเป็นนักฟุตบอลอาชีพตั้งแต่นั้น

ไม่พอ...เมื่อเธอลี้ภัยและมีถิ่นฐานในเดนมาร์กมานานกว่า 5 ปีและอายุเกิน 18 เธอมีโอกาสติดทีมหญิงชาติเดนมาร์กอีกด้วย ทักษะนักเตะของเธอพัฒนาขึ้นจนได้เซ็นสัญญาร่วมทีมหญิงชื่อดังหลายทีม ไม่ว่าจะเป็นแมนเชสเตอร์ซิตี้ หรือปารีส เซนต์ เยแมง ตอนนี้เธอเข้าสู่ช่วงท้ายอาชีพ และย้ายไปค้าแข้งในเมเจอร์ลีก สหรัฐอเมริกา

ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยโอกาสทางการศึกษาที่น้อยมากสมัยที่เธอเป็นเด็กที่อัฟกานิสถาน ทำให้ตัวเธอและครอบครัวกระหายใคร่เรียนอย่างมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งสมัยไฮสกูล เธอได้เรียนวิชาแนะแนว ซึ่งให้เธอได้ลองไปอยู่ในสถานที่ทำงานของอาชีพต่าง ๆ เธอได้เลือกคลินิกแพทย์แถวบ้าน ด้วยเหตุผลว่ามันใกล้และเธอจะได้ไม่ต้องตื่นเช้า !!

แต่หลังจากดูงานในคลินิก เธอพบว่างานการรักษาสามารถช่วยคนได้มากมาย และมีโอกาสช่วยคนด้อยโอกาสแบบที่เธอเคยประสบมาก่อน (สมัยที่ตาลีบันครองอำนาจ ไม่ได้สนใจพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานมากนัก) เธอจึงแอบวางแผนที่จะเรียนต่อแพทย์เมื่อมีเวลา

แน่นอนว่าไม่ง่าย เพราะในเวลานั้นเธอต้องเล่นฟุตบอลไปด้วย โชคดีที่ทีมฟุตบอลจะลงซ้อมรอบเย็นที่เธอเลิกเรียนแล้ว เธอต้องจัดสรรเวลาอย่างหนักเพื่อจะเตรียมตัวสอบเข้าและเก็บงำเป็นความลับไม่บอกใคร สุดท้ายเธอสอบเข้าได้ในจังหวะที่ติดทีมชาติเดนมาร์กพอดี

เธอตัดสินใจเรียนไปด้วย เล่นฟุตบอลไปด้วย และไม่ทิ้งโอกาสในทีมชาติ คำปรามาสว่า "ไม่มีใครเรียนแพทย์ไปและเล่นฟุตบอลไปด้วยกันได้หรอก" มันทำให้เธอมุ่งมั่น ว่าฉันต้องทำให้ได้

แน่นอน การเรียนยากลำบาก ต้องจัดสรรเวลา ต้องฝึกซ้อม ต้องเจรจากับสโมสรและคณะแพทย์ แต่สุดท้ายเธอสามารถหาเลี้ยงชีพได้จากการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ สามารถเติมฝันของเธอในวัยเด็ก ลบความทรงจำอันโหดร้ายจากการเป็นผู้ลี้ภัย และติดทีมชาติอีกด้วย หลังจากที่เธอเรียนจบ เรียกว่าเรื่องราวของเธอได้เป็นแบบอย่างและแรงใจให้กับเด็ก ๆ ทั่วเดนมาร์ก

เธอตัดสินใจที่จะทำงานเพื่อการกุศลกับยูนิเซฟและยูเนสโก เพื่อช่วยดูแลผู้ลี้ภัย เป็นปากเสียงให้บรรดาผู้ลี้ภัยในค่ายผู้อพยพ สนับสนุนโอกาสทางสังคมให้กับเด็กผู้ลี้ภัย แบบที่เธอเคยประสบมาก่อนในอดีต และเดินหน้าต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีในอัฟกานิสถานภายใต้การปกครองของรัฐบาลตาลีบันคำรบสองในอัฟกัน

อ่านเรื่องราวของเธอแล้วช่างน่าทึ่งครับ จากเด็กที่ขาดโอกาส ต้องลี้ภัย มาเจอสิ่งแวดล้อมใหม่ ต้องปรับตัว หาเลี้ยงตัวจากฟุตบอล ก้าวหน้าจนติดทีมชาติ สู้เรียนแพทย์ในเวลาที่ตัวเองก็ไม่ได้สบายและทำจนสำเร็จ ใช้เรื่องราวของตัวเองเพื่อผลักดันสังคม สู้เพื่อผู้ด้อยโอกาส เป็นแบบอย่างของเด็ก ๆ แบบนี้มันวันเดอร์วูแมนชัด ๆ

ยังไม่พอครับ เธอกำลังเรียนต่อสาขา reconstruction surgery หรือศัลยกรรมตกแต่ง ที่อเมริกาอีกด้วยนะครับ

ใครที่ท้อแท้ เบิร์นเอ้าต์ หมดไฟ ของให้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ คิดถึงสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็น คิดถึงเป้าที่เราวางไว้แต่แรก โอกาสของเรายังมีก็จงเดินหน้าสู้ต่อไปครับ คนที่ลำบากกว่าและต่อสู้หนักกว่าเรายังมีอีกมากครับ

อาจเป็นรูปภาพของ 2 คน และ ผู้คนกำลังยืน

22 มกราคม 2565

แนะนำกินปลาทะเล

 คำแนะนำอาหารเกือบทุกแนวทาง แนะนำกินปลาทะเล ประมาณสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

เพื่อเพิ่มไขมันดี โดยเฉพาะโอเมก้าสาม ช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือด

โปรตีนก็เป็นโปรตีนคุณภาพ

ใช้ปลาทะเลฉ่ำน้ำมัน ที่แนะนำคือ ปลาทูน่า ปลาคอด แซลมอน แต่ก็จะกินกะพง ปลาทูก็ได้เช่นกัน
ในภาพคือ แซลมอนซาซิมิ ฉ่ำ ๆ สด ๆ เนื้อนุ่มละมุนลิ้น คีบคำอ้วน จุ่มซอสใส่วะซาบิ ฟินนนเชียวแหละ

ราตรีสวัสดิ์

อาจเป็นรูปภาพของ อาหาร

เดินทางไกลไปหาเพนกวิน

 “เดินทางไกลไปหาเพนกวิน”

เดินทางไปแอนตาร์กติกา ก็ดูไม่น่าจะมีอะไรตื่นเต้น หรือจะเดินทางไปดูเพนกวิน ใคร ๆ ก็สามารถไปดูได้ แต่ถ้าคนคนนั้นคือ สุภาพสตรีอายุ 86 ปี และเดินทางคนเดียวเพื่อไปยังจุดที่ลำบากมากที่สุดจุดหนึ่งในแอนตาร์กติกา และไม่ได้ไปเที่ยว แต่ไปเพื่อ “ช่วย” นกเพนกวิน มันก็จะเป็นเรื่องน่าสนใจขึ้นมาทันที

สุภาพสตรีวัย 86 เวรอนิก้า แม็คกรีดี เธอมีความสุขทางกายตามสภาพ มีบ้านหลังโต มีเงิน มีคนดูแล มีสุขภาพที่ดีพอที่จะเดินไปซื้อคุ้กกี้และจิบชายามบ่ายได้ทุกวัน ตอนนี้เธออยู่คนเดียว สามีตายจากไปแล้ว เป็นคุณยายแก่ ๆ (ที่ตามเรื่องบอกว่า ไม่ได้น่ารักน่ากอดสักเท่าไร) เข้มงวดและขี้บ่น โดยเฉพาะหากใครก็ตามเปิดประตูทิ้งไว้ เธอจะบ่นจนคนนั้นต้องมาปิด หรือไม่ก็ลุกไปปิดเอง

แต่ตัวเธอเองก็ซ่อนเร้นเรื่องราวในอดีตอันเป็นความลับมาตลอด ปกปิดไว้ภายใต้ท่าทางอันทระนงและเข้มแข็งอันนั้น

อยู่มาวันหนึ่ง การดูสารคดีชีวิตสัตว์ที่ไปถ่ายทำชีวิตของนกเพนกวินกับทีมนักวิทยาศาสตร์อนุรักษ์นกเพนกวิน ที่เกาะล็อกเก็ตในแอนตาร์กติกา ก็เปลี่ยนชีวิตและไปสะกิด “บางอย่าง” ที่เธอซ่อนเร้นมาเป็นเวลานานกว่า 50 ปี เธอตัดสินใจที่จะทำสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้คือ เดินทางไปที่เกาะนั้น เดินทางไปเพื่อเห็นนกเพนกวินและทีมนักวิทยาศาสตร์นั้นด้วยตาตัวเอง และก่อนหน้าที่เธอจะไป เธอได้ตัดสินใจตามหาญาติเพียงคนเดียวของเธอที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก ด้วยวัตถุปะสงค์บางอย่าง ที่จะเฉลยและค่อย ๆ เผยเรื่องราวช้า ๆ ตามการเล่าเรื่องไปขั้วโลกใต้ของเธอ

หนังสือกล่าวถึงการออกเดินทางไปที่ชั้วโลกใต้ ที่นั่นเวรอนิก้าจะไม่ได้มีความสะดวกสบาย ต้องทนสภาพอากาศอันหนาวเหน็บ พายุหิมะ และแค้มป์พักแรมของนักวิทยาศาสตร์ที่บ้าเพนกวินทั้งสามคน ที่ไม่น่าจะเป็นมิตรกับสุภาพสตรีวัย 86 ที่แสนเข้มงวดและดื้อรั้นสักเท่าไร แต่ความตั้งใจอันแรงกล้าของเธอที่จะไปเยี่ยมชมนกเพนกวิน เพื่อตัดสินใจบริจาคเงินก้อนโตให้กับกองทุนของนักวิจัยเหล่านี้ เอาชนะอุปสรรคและความยากลำบากได้

ที่นั่น...อิสระจากผู้คน มีแต่ธรรมชาติและเพนกวิน ได้ค่อย ๆ เปิดใจของสุภาพสตรีชรา ให้ย้อนถึงเรื่องราวในอดีตของเธอว่า อดีตอันแสนรวดร้าวก็เพียงแต่ปล่อยมันทิ้งไป เรายังสามารถทำสิ่งที่เหลืออยู่ให้ดีได้ และเผื่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เหมือนกับที่เธอตั้งใจจะช่วยอนุรักษ์บรรดาเพนกวินที่ใกล้จะสูญพันธุ์เหล่านี้ และเรื่องราวความรักความเอาใจใส่เพนกวินก็ได้ผูกโยงไปถึง แพทริก หลานชายคนเดียวของเธอที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งไม่เคยพบกันมาเลย ว่าตัวเวโรนิกาเองจะเปิดใจรับ แพทริกได้ไหม

และแพทริกเองจะสามารถเปิดใจ เข้าใจ ว่าทำไมเวรอนิก้า จึงหายไปจากชีวิตของเขา หายไปจากชีวิตของพ่อของเขา มาตลอด เมื่อวันหนึ่งเวรอนิก้า เจอพายุหิมะ และล้มป่วยปางตาย แพทริกที่ต้องดั้นด้นมาหาเวรอนิก้า มาหาคำตอบสุดท้ายแห่งความลับของเวรอนิก้า ที่ทิ้งให้เขาไว้อ่านในสมุดบันทึก ก่อนจะมาที่แอนตาร์กติกา ว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร

ผ่านเรื่องราวที่สนุก ได้เห็นความดื้อรั้นของเวรอนิก้า ได้เห็นความวุ่นวายของนักวิทยาศาสตร์ทั้งสามคนที่ต้องต้อนรับเวรอนิก้า (เพราะเธอจ่ายงาม) ความน่ารักของ “พีบ” เพนกวินกำพร้าที่เธอเก็บมาดูแล และเปิดใจเธอช้า ๆ ค่อย ๆ เปิดความลับเรื่องราวของเวรอนิก้า และแพทริก รวมถึงจิ๊กซอว์สำคัญ คือ พ่อของแพทริก ว่าสุดท้ายเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่

ไม่ใช่บันทึกการเดินทาง ไม่ใช่นิยายรัก ไม่ใช่นิยายสืบสวน แต่อ่านสนุก แสบสันต์ ลงตัว มีความสุข อุ่นใจ ไม่ยาวจนเกินไปและไม่สั้นจนเสียอรรถรส

แต่งโดย Hazel Prior แปลโดย ธิดารัตน์ เจริญชัยชนะ หนังสือขนาดบีห้า หนา 405 หน้า จากสำนักพิมพ์ sandwich publishing ราคาปก 395 บาท หาซื้อได้ตามร้านชั้นนำ ผมซื้อจากนายอินทร์ ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้นะครับ

อาจเป็นรูปภาพของ 1 คน, หนังสือ และ ข้อความ