31 ตุลาคม 2558

เนื้อที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมทำให้เกิดมะเร็ง

เนื้อที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมทำให้เกิดมะเร็ง

ช่วงนี้เป็นข่าวดังมากเนื่องจากเป็นประกาศขององค์การอนามัยโลก ที่มีที่มาจากคณะกรรมการงานวิจัยขององค์การอนามัยโลกเอง ผมเองได้ทราบมานานแล้วว่า การบริโภคเนื้อแดงมากๆ ทำให้เกิดมะเร็ง แต่ครั้งนี้มาประกาศชัดเจน จึงขอค้นคว้าเจาะลึกแล้วเอามาเล่ากันฟัง
อย่างแรกต้องบอกว่า "เนื้อ" ไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็ง แต่เป็นสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิตต่างหากที่ทำให้เกิด เมื่อมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ก็จะมีการใส่สารต่างๆลงไป ที่ต้องสงสัยเกิดมะเร็งมีดังนี้

1.ไนโตรซามีน -- โดยทั่วไปเนื้อพวกนี้จะได้รับการผสมสารไนไตรท์ เพื่อให้เนื้อมีสีแดงๆ ดูสด เพื่อลดการติดเชื้อ เพื่อเพิ่มรสชาติ เวลาเราเอาเนื้อพวกนี้ไปประกอบอาหารที่ความร้อนสูงๆ โดนเฉพาะการปิ้งย่าง สารไนไตรท์จะเปลี่ยนไปเป็นไนโตรซามีนได้ สารไนโตรซามีนทดลองพิสูจน์แล้วว่าก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง

2.ไฮโดรคาร์บอน (polycyclic aromatic hydrocarbon) PAH สารนี้จะเกิดจากการเผาไหม้ โดยเฉพาะเวลาเราย่างเนื้อแล้วไขมันหยดติ๋งๆ ลงไปที่ถ่านไม้แล้วฟู่เป็นควัน แบบเสือร้องไห้ จะทำให้สาร PAH มาอยู่ที่ตัวเนื้อ และก่อเกิดปฏิกิริยาที่น่าจะก่อมะเร็งได้ เช่นกัน มีการศึกษาในสัตว์ทดลองว่า PAH ก่อมะเร็ง

3. heterocyclic amines เป็นสารประกอบโปรตีนที่เปลี่ยนรูปเวลาเราปรุงอาหารด้วยความร้อนสูงๆ เช่นทอดนานๆ ##ไฟแรงๆ หรือปิ้งย่าง ทั้งเนื้อสดและเนื้อผ่านกระบวนการแล้ว เคยมีการทดลองในสัตว์(อีกแล้ว) ว่าถ้าให้เนื้อที่มีสาร HCA สูงๆก็จะเกิดมะเร็ง แต่ก็เป็นการทดลองในสัตว์ทดลอง และปริมาณเนื้อที่เขาทดลองนั้น มากมายกว่าที่เรากินต่อวัน มากมายนัก

จะสังเกตว่าข้อมูลจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์จริงๆนั้น มาจากสัตว์ทดลอง (คงไม่มีใครยอมให้ทำในคนแน่ๆครับ) ส่วนข้อมูลในคนก็จะได้จากการรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ ย้ำๆนะครับข้อมูลในคนไม่ได้มาจากการศึกษาทดลองเปรียบเทียบ จึงยังไม่สามารถบอกได้ว่าสารต่างๆเหล่านี้เกิดมะเร็งในคน และจากเอกสารขององค์การอนามัยโลกเอง ได้กล่าวว่า อุบัติการณ์ของอาหารที่ทำให้เกิดมะเร็งยังไม่ชัดเจน แต่ที่เขาเคลมว่าจริงคือ ยิ่งกินปริมาณมากโอกาสเกิดมะเร็งยิ่งสูงต่างหาก

คำแนะนำ คือ กินได้ แต่อย่ากินทุกวัน ลดปริมาณลง ไปกินเนื้อสดๆดีกว่า และเวลาประกอบอาหารก็อย่าฮาร์ดคอร์นัก อย่าย่างจนดำกรอบ หรือ ควันตลบเป็นอาหารรมควันทุกมื้อ ก็น่าจะปลอดภัย และที่สำคัญโปรตีนจากสัตว์ยังเป็นสิ่งสำคัญมากครับ

อีกอย่างอาหารที่ผ่านกรรมวิธีทางอุตสาหกรรมนั้น ปริมาณเกลือจะมากมายมหาศาลครับ อันตรายต่อโรคไตและ ความดันโลหิตสูง อย่างรุนแรง

30 ตุลาคม 2558

โรคทางอายุรกรรมที่อาจเป็นปัญหาในผู้หญิงตั้งครรภ์

โรคทางอายุรกรรมที่อาจเป็นปัญหาในผู้หญิงตั้งครรภ์

โรคทางอายุรกรรมที่อาจเป็นปัญหาในผู้หญิงตั้งครรภ์มีหลายโรคนะครับ ผมได้รวบรวมเป็นหัวข้อคร่าวๆจากตำราต่างๆ โดยใช้รูปแบบการนำเสนอตาม Harrison Principles of internal medicine ถ้าท่านใดสนใจรายละเอียดปลีกย่อยต้องค้นเพิ่มนะครับ

1. ความดันโลหิตสูง ต้องระวังภาวะครรภ์เป็นพิษที่จะมีความดันขึ้นเป็นอันตรายต่อแม่และลูก อีกทั้งผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงก็ต้องปรับยา ไม่ให้เกิดพิษต่อเด็กโดยเฉพาะยากลุ่ม ACEi และ ARBs

2. โรคหัวใจ ต้องประเมินหัวใจนะครับ ลิ้นหัวใจตีบเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่พบบ่อยที่สุดในการตั้งครรภ์ โดยทั่วไปเราไม่แนะนำตั้งครรภ์ แต่ถ้าตั้งครรภ์แล้วก็ต้องเข้ารับการรักษาอย่างเคร่งครัด อีกโรคที่อันตรายและไม่แนะนำตั้งครรภ์คือ ความดันโลหิตในปอดสูง ภาวะที่พบได้ขณะหรือหลังตั้งครรภ์คือ กล้ามเนื้อหัวใจบกพร่องจากการตั้งครรภ์ แต่ก็จะดีขึ้นได้ครับ

3. โรคระบบต่อมไร้ท่อ ก็สองอันนี้เลย เบาหวาน และไทรอยด์ ทั้งคนที่เป็นเบาหวานมาก่อนตั้งครรภ์ หรือเป็นเบาหวานจากการตั้งครรภ์ ก็ต้องเข้ารับการสอนการกินที่เป๊ะๆ กินเกินเบาหวานแย่ กินน้อยทารกไม่โต และควรเปลี่ยนมาใช้ยาฉีดอินซูลิน ในช่วงตั้งครรภ์ ส่วนไทรอยด์นั้น ต้องปรับยาหมดทั้งไทรอยด์เกินหรือขาด และปรับยาตามไตรมาสการตั้งครรภ์ ไม่งั้นเด็กจะขาดไทรอยด์..เอ๋อ นะครับ

4. โรคระบบเลือด พบแน่ๆคือซีด เพราะทารกเอาธาตุเหล็กไป แม่ต้องเสริมให้พอ คนที่เป็นเลือดจางทาลัสซีเมียก็ต้องเข้ากระบวนการประเมินความเสี่ยงของลูก และอาจพบเกล็ดเลือดต่ำชั่วคราวตอนท้อง ซึ่งไม่มีอันตราย แต่ที่ต้องระวังคือ ลิ่มเลือดดำอุดตันที่อาจเกิดได้จากภาวะตั้งครรภ์แล้วลิ่มเลือดลอยไปอุดที่ปอด ดังนั้นควรระวังถ้าขาบวมข้างเดียว

5. โรคระบบทางเดินอาหาร อาจมีภาวะตับอักเสบเล็กน้อยได้ตามปกติ ในช่วงไตรมาสสามอาจมีไขมันเกาะตับทำให้เหลืองได้ จากฮอร์โมนของการตั้งครรภ์ และมักหายไปเมื่อคลอด ถ้าตับอักเสบรุนแรงและเหลืองอาจต้องระวังครรภ์เป็นพิษ preeclampsiaด้วย และคนท้องควรรับการตรวจไวรัสตับอักเสบบีทุกราย เพราะถ้าติดเชื้อก็จะต้องมีมาตรการป้องกันการติดเชื้อไปสู่ลูก

6. โรคไต มักไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงโรค ยกเว้นยาบางอย่างต้องปรับ เช่นยากดภูมิในการรักษาโรตไต ยาลดความดันกลุ่ม -ipril และ -sartan ที่อาจมีผลต่อเด็ก โรคไตส่วนมากเราแนะนำให้ควบคุมโรคให้สงบก่อนท้องครับ

7. โรคติดเชื้อ อันนี้ตัวแม่เลย โรคที่ต้องระวังและต้องเข้ารับการรักษา มีมาตรการชัดเจนเลย เช่น เริมที่อวัยวะเพศ, หัดเยอรมัน เอดส์ รวมถึงการติดเชื้อทั่วไป เช่น ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ไข้หวัดใหญ่ โรคพวกนี้ห้ามซื้อยากินเองครับเพราะยาบางอย่างมีผลกับเด็ก รักษาไม่ดีโรคก็จะไปที่เด็กด้วย และต้องระมัดระวังถ้าน้ำเดินก่อนกำหนดก็เพิ่มโอกาสการติดเชื้อทั้งแม่และลูก หลังคลอดก็มีโอกาสติดเชื้อในโพรงมดลูกได้บ่อยๆ

8. โรคระบบประสาท ที่สำคัญคือ ลมชักที่ต้องควบคุมให้ดีก่อน เลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับคนท้อง อาจต้องวัดระดับยากันชัก ให้สารโฟลิกเสริม ซึ่งต้องควบคุมต่อถึงตอนให้นมลูกด้วย

การตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยไม่ใช่เรื่องยากครับ ขอแค่ใส่ใจและปรึกษาแพทย์ตลอด จะได้ไม่เครียดทั้งแม่และเด็กครับ

29 ตุลาคม 2558

ภาวะฉุกเฉินของผู้ป่วยเบาหวาน

ภาวะฉุกเฉินของผู้ป่วยเบาหวาน

โดยปกติโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังครับ แต่ก็มีบางภาวะที่เป็นภาวะฉุกเฉินเช่นกับ ที่จำเป็นต้องรักษาเร่งด่วนเพราะมีอันตรายถึงชีวิตได้ วันนี้ผมจะมาพูดถึงภาวะ เลือดข้นจนอันตราย (hyperosmolar hyperglycemic state) ส่วนอีกภาวะคือเลือดเป็นกรดจากเบาหวานนั้นพบน้อยมาก จึงเอาไว้เขียนตอนว่างๆครับ

ภาวะนี้เกิดจากร่างกายมีน้ำตาลสูงมากจากเหตุกระตุ้นใดๆก็ตาม โดยเฉพาะจากการติดเชื้อ ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานก็ติดง่ายอยู่แล้ว เมื่อน้ำตาลสูงแต่ร่างกายจัดการน้ำตาลไม่ได้ ฮอร์โมนในการจัดการน้ำตาลมันรวนไปหมด โดยเฉพาะฮอร์โมนอินซูลินที่เป็นประเด็นหลักในการจัดการน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยเบาหวานซึ่งบกพร่องอยู่แล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะขาดอย่างรุนแรง
สิ่งที่เกิดคือ ระดับน้ำตาลพุ่งขึ้น 600-1000 เหมือนเลือดกลายเป็นน้ำเชื่อมข้นๆ เลือดหนืดมากๆๆ ความข้นอยู่ที่ 320 ปกติในเลือดอยู่ที่ 285-290 เองครับ น้ำจากอวัยวะต่างๆถูกดูดมาอยู่ในเลือดหมด เซลอวัยวะต่างๆก็เหี่ยวและหน้าที่ผิดปกติไป โดยเฉพาะสมอง ทำให้เบลอๆ ซึมๆ บางคนเอะอะโวยวาย หรือโคม่าไปเลย เกลือแร่ในเลือดก็ผิดปกติไปหมด ปัสสาวะออกเยอะมากจนขาดน้ำ จนช็อกเลยก็มีครับ อวัยวะอื่นๆก็จะบกพร่องตามไป ไต ตับ ปอด สูญเสียหน้าที่ สุดท้ายหัวใจก็จะเต้นผิดจังหวะจนอันตรายได้
มันเกิดกับทุกคนไหม--- ไม่หรอกครับ ส่วนมากเกิดกับคนที่คุมเบาหวานได้ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็อย่าประมาทนะครับ เกิดกับผู้ป่วยได้ทุกคน เมื่อเกิดแล้วก็ต้องรักษาอย่างรวดเร็วครับ

เวลาแก้ไข หมออายุกรรมจะให้น้ำเกลือปริมาณมาก 6000-8000 ซีซี โดยให้เร็วมากๆในช่วง 1-2 ชั่วโมงแรก 1000-2000 ซีซี ซึ่งอาจต้องระวังถ้าผู้ป่วยเบาหวานนั้น มีโรคหัวใจอยู่ด้วย และ ให้ฮอร์โมนอินซูลิน หยดเข้าทางหลอดเลือด แก้ไขเกลือแร่ต่างๆให้ดี และรักษาสาเหตุ โดยเฉพาะการติดเชื้อให้ดีด้วย และการแก้ไขเหล่านี้ต้องรีบทำเร็ว ซึ่งถ้าแก้ไขถูกต้องก็มักจะดีขึ้นใน 6-8 ชั่วโมง แต่ถ้ารักษาไม่ทันก็มีอัตราการเสียชีวิตถึง 15% ได้ครับ
และต้องตรวจน้ำตาลโดยเจาะปลายนิ้วและปรับอินซูลิน และปรับน้ำเกลือกันรายชั่วโมงเลยครับ ส่วนมากก็จะต้องอยู่ในไอซียู ไอซียูของผมก็มีแขกรับเชิญโรคนี้อยู่บ่อยๆ

ข้อมูลจาก ADA 2015 และ Canadian Diabetes Association Clinical Practice Guidelines

28 ตุลาคม 2558

ยาcolchicine ยาแก้ปวดเก๊าต์

ยาcolchicine ยาแก้ปวดเก๊าต์

ยา colchicine เป็นยาสำคัญที่ใช้ในการรักษาและป้องกันโรคเก๊าต์ ใช้กันมาก ราคาถูก แต่.. แต่.. อยากให้ท่านได้ทราบข้อจำกัดอันหนึ่งของยาตัวนี้ครับ
ยา colchicine เป็นยาที่มีช่วงการรักษาแคบ นั่นคือ กินน้อยไปก็ไม่มีผลการรักษา แต่พอขยับกินมากขึ้นอีกนิดเดียว ก็เกิดพิษได้ ขนาดที่อาจเกิดพิษไม่เท่ากันในแต่ละคน ขนาดที่บอกว่าน่าระวังแล้วคือ 0.8 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน เอาว่าประมาณ 50 กิโลกรัม ก็จะได้ขนาดไม่เกิน 4 มิลลิกรัมต่อวัน เม็ดหนึ่งมี 0.6 มิลลิกรัม ก็คงไม่น่าเกิน 6 เม็ดต่อวันครับ

ปกติเราก็จะกินยานี้แก้ปวดในทุกๆ3-4 ชั่วโมง ซ้ำได้จนหายปวด จังหวะนี้แหละครับที่มักจะเกิดพิษจากยานี้มากที่สุด เพราะปวดมากก็อยากหาย จะเกิดการกินยาเกินขึ้น อาหารพิษอันแรกที่มักพบคือ คลื่นไส้อาเจียน เราจึงมักเตือนผู้ป่วยเสมอว่า ถ้ากินยาจนมิอาการคลื่นไส้ ให้หยุดยา ก็เพราะว่ามันเริ่มเป็นพิษนั่นเองครับ และถ้าเราหยุดทัน พิษก็จะไม่ลุกลามต่อไป

แต่ถ้าเราหยุดไม่ทันก็จะเริ่มมีอวัยวะต่างๆ ทำงานผิดปกติ เริ่มมีใจสั่น ปากแห้ง ถ่ายเหลว ปัสสาวะออกน้อย หายใจไม่ออก ผมร่วง ระบบอวัยวะล้มเหลว วัดระดับยาในเลือดก็จะสูงกว่า 3 ng/dL ซึ่งต้องเข้ารับการรักษาพยุงอวัยวะต่างๆในห้องไอซียู รอจนพิษสลายไป ประมาณ 7-10 วัน และ ผมที่ร่วงก็จะเริ่มขึ้น และพิษยานี้ ไม่สามารถใช้การฟอกเลือดออกได้

ดังนั้นผู้ที่ใช้ยานี้ต้องระมัดระวังอย่างดี จะต้องไม่ใช้จนเกินขนาด และตรวจสอบปฏิกิริยาระหว่างยาให้ดีครับ

27 ตุลาคม 2558

พาหะนำโรคที่ทรงพลังที่สุด

พาหะนำโรคที่ทรงพลังที่สุด

คุณรู้หรือไม่ว่า พาหะนำโรคที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน คือ โซเชียลมีเดีย และ messengers

อุบัติการณ์ของโรคเอดส์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากตอนแรกๆในกลุ่มอาชีพบริการทางเพศ เริ่มเปลี่ยนมาเป็นกลุ่มชายรักชาย และกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น เนื่องจากการจูงใจ การเข้าถึงสื่อได้ง่าย สารในโลกโซเชียลที่ตรวจสอบได้ยากว่า จริงหรือปลอม ทำให้โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น

การหลั่งไหลของข้อมูลปริมาณมหาศาลที่ส่วนมากจะเชื่อไม่ได้ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด หลงทาง เป็นช่องทางให้มิจฉาชีพ หรือ การติดต่อแล้วนำพาไปสู่บริการทางเพศมากขึ้น เกิดการเป็นโรคมากขึ้น
และกำลังเข้าสู่กลุ่มเยาวชน วัยรุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ

อนาคตประเทศเราอาจมีผู้ติดเชื้อเอดส์มากมายถ้าหากยังไม่สามารถแก้ไข "พาหะ" อันนี้ได้ เคยมีผู้ทำการศึกษาว่าวัยรุ่นนั้น ระหว่างมีเพศสัมพันธ์หลายคน กับ มีเพศสัมพันธ์แค่คนเดียวแบบซื่อสัตย์นั้น อัตราการเกิดโรคจะแตกต่างกันไหม สรุปว่าทำการทดลองเก็บข้อมูลไม่สำเร็จ เพราะไม่สามารถหากลุ่มควบคุมอ้างอิง คือมีคู่นอนคนเดียว ได้เลย !!!?!%!&

โรคร้ายต่างๆมารอท่านอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน ของท่าน ของลูกหลานท่าน ของลูกศิษย์ท่าน และบางที...มันอาจแฝงลึกอยู่หลังจอสมาร์ทโฟนของท่านแล้ว

ด้วยความหวังดีจาก...อายุรศาสตร์ ง่ายนิดเดียว...

ข้อมูลจากปาฐกา "สมพนธ์ บุณยคุปต์" ประจำปี 2558 โดย อ.นรินทร หิรัญสุทธิกุล

26 ตุลาคม 2558

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ชนิด 4 สายพันธุ์

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ชนิด 4 สายพันธุ์

ปกติแล้ววัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่จำหน่ายอยู่นั้น มี 3 สายพันธุ์ เป็นสายพันธุ์ A 2 ชนิดและสายพันธุ์ B 1 ชนิด ซึ่งองค์การอนามัยโลกจะประกาศสายพันธุ์ในช่วงปลายปี เพื่อเอาไปสร้างวัคซีนสำหรับปีต่อไป ก็จะมีการระบาดสลับๆกันไป

ที่มาของ 4 สายคือ สายB นั้นมักจะระบาดสลับกันไปมาระหว่างสายพันธุ์ B victoria และ B yamakata คราวนี้ของเดิมวัคซีนเรามี B แค่สายเดียว ถ้าเราคาดเดาถูกก็ดีไป แต่ถ้าเราคาดเดาผิด แล้วบังเอิญปีนั้น สายพันธุ์ B ระบาดมาก วัคซีนที่เราฉีดก็จะไม่ครอบคลุมในปีนั้น
ที่ประเทศฝั่งตะวันตกโดยเฉพาะอเมริกานั้น สายพันธุ์ B ก่อเกิดโรค 50% เขาจึงคิดวัคซีนที่มี A สองสาย และ B สองสาย เพื่อครอบคลุมส่วนใหญ่

แต่ในประเทศไทยนั้น สายพันธุ์ B ก่อเกิดปัญหาแค่ 5-30% โดยมากอยู่ที่ 5% มีปี 2011 ที่มี B ระบาดมาก 25-30% และส่วนมากก็จะก่อปัญหาในเด็กโตถึงวัยรุ่น และกลุ่มผู้สูงวัยเกิน 65 ปี
ดังนั้นในประเทศไทย ก็อาจเลือกฉีดได้ในกลุ่มผู้สูงวัย โดยมีราคาสูงกว่าแบบ 3 สายพันธุ์เล็กน้อย หรือใครต้องการฉีดแบบ 4 สายพันธุ์ โดยไม่มีปัญหาค่าใช้จ่ายก็ไม่ผิดอะไร แต่ในแง่งบประมาณของประเทศ เทียบกับการระบาดอาจดูไม่คุ้มค่ามากนัก อีกทั้งปริมาณวัคซีน และ บริษัทที่จำหน่ายก็น้อย อาจเกิดปัญหา demand มากกว่า supply จนมีปัญหาทางการตลาด ราคา การกักตุนได้ ทั้งๆที่ตัวสามสายพันธุ์ก็ยังไม่แย่แต่อย่างใด

สุดท้ายวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ไม่ได้ลดการเกิดโรค แต่ลดความรุนแรงของการติดเชื้อ และลดการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลครับ
ข้อมูลจากงานประชุมวิชาการประจำปีโรคติดเชื้อ สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทยครั้งที่ 41 ประจำปี 2558 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

25 ตุลาคม 2558

เวลาหมออายุรกรรมไปประชุมวิชาการ เขาไปทำอะไร ปี2558

เวลาหมออายุรกรรมไปประชุมวิชาการ เขาไปทำอะไร

หมออายุรกรรมจะมีการประชุมวิชาการบ่อยมากๆ มีทั้งงานประชุมของสมาคมวิชาชีพ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ประชุมวิชาการคณะแพทย์ต่างๆ วิชาการของบริษัทยาต่างๆ เรามาติดตามกันครับว่า เขาไปทำอะไรกัน (บางข้อมูลได้จากตัวแทนท่องเที่ยว ผู้แทนยา คนขับรถตู้ มันเปิดมุมมองดีครับ)

เช้าตรู่ตั้งแต่ 0700 หรือ 0800 มักจะมีเซสชั่นเช้าสำหรับผู้ตื่นเช้า เข้าฟังเรื่องที่มักจะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผู้บรรยายหรือ เปิดให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมอภิปราย มักจะสนุกมากครับ แต่คนเข้าจะน้อย มันเช้าเกินครับ ส่วนมากยังไม่ตื่นหรือยังกินข้าวเช้าอยู่เลย
ช่วงสายๆ อันนี้เริ่มเข้มข้นล่ะครับ ผู้จัดก็รู้ว่าหมอๆเพิ่งจะตื่น ก็จะจัดบรรยายเต็มรูป เครียดอัดวิชาการกันหัวบวม อยู่ในห้องบางคนก็ตั้งใจจด บันทึกภาพ สมาธิสูง แต่แปลกดี เสียงไลน์มักจะติ๊งต่องๆ รอบตัวผมเลย จนประมาณสิบโมงครึ่ง ก็จะพักเบรก ผู้จัดงานก็จะจัดอาหารว่าง กาแฟ ไปอยู่ในห้องจัดแสดงผลิตภัณฑ์ยาต่างๆที่สนับสนุนงาน และเอาไปอยู่หลังห้องเลย เรียกว่าถ้าจะไปกินกาแฟล่ะก็ต้องผ่านบูธบริษัทยาเกือบหมด พอกินหมด อ้าวคูลเลอร์น้ำไปอยู่อีกมุมห้องนึง ก็เรียกว่าต้องผ่านบูธเกือบหมดนั่นแหละครับ

บริษัทเองก็ใช่ย่อย อาหารว่างของผู้จัดนี่ กาแฟชงเอง เติมนม เติมน้ำตาลเอาเอง ขนมเปี๊ยะชิ้นเล็กๆ แต่เจ้าบูธทั้งหลายดึงคนไว้ก่อนเลยครับ กาแฟสด คาปู เอสเปรสโซ่ โกโก้ แดดดี้โด เบเกอรี่ชื่อดัง ต้องคุยกับตัวแทน เล่นเกมต่างๆ ใครดึงได้นานจนหมดเวลาพักเบรก บูธอื่นๆก็อดไป หลังจากนั้นจะเป็นเซสชั่นวิชาการหนักๆอีกช่วงก่อนพักเที่ยง
พักเที่ยง อย่าหวังว่าจะได้ออกไปไหนครับ ทางผู้จัดมักจะทำเป็น กินไปฟังไป โดยแจกอาหารกล่องในห้องครับ โดยบริษัทยาเป็นสปอนเซอร์ฟังบรรยาย จริงๆแล้วก็เป็นวิชาการที่ดีนะครับ ไม่ได้เป็นข้อมูลชี้นำของบริษัทมากนัก ถ้ามีบรรยายพร้อมกัน อันนี้ต้องแข่งกันล่ะ เรื่องของใครน่าสน หรือ อาหารของใครเด็ดกว่ากัน

หลังจากนั้นช่วงบ่ายบรรยากาศวิชาการมักเบาลง การบรรยายมักเป็นการอภิปรายกรณีศึกษาผู้ป่วย ที่ผู้เข้าชมจะร่วมอภิปราย หรือมีอุปกรณ์การกดเลือกตัวเลือกอิเล็กทรอนิกส์ ที่จะโชว์คำตอบของผู้เข้าประชุมส่วนใหญ่ เป็นการมีส่วนร่วมอย่างสนุกสนาน ไม่ให้ง่วง หรือเป็นงานนำเสนอผลงานวิจัยใหม่ๆที่น่าสนใจ ในบางงานก็จะเป็นเวิร์กช็อป เช่น อ่านฟิล์มเอกซเรย์ของจริง ใช้เครื่องมือใหม่ๆ เครื่องช่วยหายใจ อัลตร้าซาวด์ แบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆสนุกดี ก็มักจะได้พักครึ่งช่วงบ่ายเหมือนช่วงเช้า แต่บรรยากาศจะเบาบางลง บางคนเหนื่อย ไม่อยากเดิน บางคนก็พัก ไม่ได้ออกมาสนุกเหมือนพักเบรกเช้า พวกน้องๆผู้แทนก็จะไม่ได้ตื้อมากนัก เพราะรู้ดีว่าหมอๆ เริ่มง่วงแล้ว
ส่วนมากงานมักเลิกเวลา 1600 บางงานก็จะมีบรรยายแบบ กินไปฟังไปตอนเย็นต่ออีก โดยมีอาหารเย็นแจกเช่นกัน และอาหารเย็นกับหัวข้อช่วงเย็น จะอลังการกว่าช่วงเที่ยงเพราะต้องดึงดูดใจให้มาเข้าฟังเพิ่ม จากตารางปกติ อาจเป็นสปีกเกอร์ชื่อดัง หรือหัวข้อที่เป็นทีเด็ด ประเด็นร้อนของงาน

ส่วนผู้ที่ไม่เข้าช่วงเย็น(ก็ไม่ได้เป็นข้อบังคับ) ก็มักจะไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสโรงแรม วิ่งที่สนาม ว่ายน้ำ ตีแบด หรือให้รถตู้หรือขับเอง ไปเที่ยว ช้อปปิ้งใกล้ๆ หรือบริษัทยาจัดปาร์ตี้เล็กๆกัน อันนี้เป็นเหตุผลเลยนะครับว่าทำไมชอบไปจัดตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เช่นพัทยา หัวหิน ชะอำ เชียงใหม่ เขาใหญ่ อุดร ภูเก็ต เพราะพวกหมอๆไม่ค่อยได้ลาหยุดพักกัน เวลาว่างจากงานประชุมก็เลยถือโอกาสมาพัก หรือพาครอบครัวมาพักด้วย บางงานก็เลิก1500น เพื่อให้ผู้เข้าประชุมได้พักบ้าง นั่นเอง โชเฟอร์รถตู้บอกว่า พวกหมออายุรกรรม ก็มักจะไปห้างใกล้ๆ หรือแหล่งกินมีชื่อใกล้ๆ กินเสร็จ แล้วก็กลับไม่ค่อยไปแวะต่อเท่าไร แต่ที่จะแวะแน่ๆเกือบร้อยทั้งร้อย คือแวะ...7-11 ครับ ซื้อของกินไปตุน
ช่วงค่ำๆเมื่อกินข้าว ออกกำลังเสร็จ บ้างก็ไปพักผ่อนกับครอบครัว บ้างก็ถือโอกาสนอนยาวๆๆ เพราะว่าเวลาปกติจะถูกปลุกตลอด บ้างก็มาจับกลุ่มคุยตามล็อบบี้ ริมหาด นานๆมาเจอกันที หรือเจอกันทุกวันแต่ภาระงานมันยุ่งไม่เคยได้คุยกัน --สำหรับแอดมิน จะหอบหนังไปดูครับ 10 เรื่อง แฮรรี่ พ็อตเตอร์1-7 ต่อด้วย pirate of caribean 1-4 เอาให้สลบคาหนังคาเขาเลย ---

ถามว่ามีเหล้ายาปลาปิ้งไหม มันก็มีครับคนที่รักบันเทิงก็มี แต่เท่าที่สัมผัสก็จะไม่มาก แล้วพวกมนุษย์ค้าวคาวมีไหม.. คำตอบคือมีครับ ส่วนมากจะไปปล่อยแก่กันตามคาราโอเกะครับ ร้องแบบว่า คาราบาวยังอาย พี่ตูน บอดี้สแลมนี่ม้วนเสื่อกลับบ้าน เต้นประกอบเพลงจนคุณๆลืมบี้ เดอะสตาร์ไปเลย แต่ตรงนี้ลงรายละเอียดไม่ได้มากนัก เพราะผมไม่ชอบไป ไปทีไรไม่ได้จับไมค์ มีหน้าที่คีย์เพลงทุกที เกือบทั้งหมดมักจะไม่เกินเที่ยงคืนหรอกครับ เพราะ meet the expert รอเราอยู่ 0700

24 ตุลาคม 2558

สาเหตุที่พบบ่อยและการหาสาเหตุในบริบทของคนไทย โลหิตจางจากการขาดเหล็ก

สาเหตุที่พบบ่อยและการหาสาเหตุในบริบทของคนไทย โลหิตจางจากการขาดเหล็ก

สาเหตุของการขาดธาตุเหล็กว่ากันถึงประเด็นที่พบบ่อยๆนะครับ อย่างแรกเลยคือเหล็กไม่เข้าตัว ปัญหาที่ขาดโภชนาการผมคงไม่พูดถึงเพราะแทบจะไม่พบอยู่แล้ว ยกเว้นรายที่ให้อาหารทางสายยางนานๆ แล้วขาดการประเมินภาวะโภชนาการ แต่สิ่งที่อาจเกิดได้คือ ลำไส้ท่านผิดปกติดูดซึมไม่ได้ เช่นท่านผ่าตัดลำไส้แล้วหมอไม่ได้คำนึงถึงตรงนี้ หรือมีโรคของลำไส้เช่น เนื้องอก ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ขาดสารตัวกลางที่จะคอยพาเหล็กจากลำไส้และตับไปที่อวัยวะต่างๆ ในหัวข้อเหล็กไม่เข้าตัวนี้ พบน้อยมากเช่นกันและการสืบค้นก็จะวุ่นวาย เช่นการตรวจพันธุกรรม การใช้กัมมันตภาพรังสีตรวจลำไส้ การกลืนกล้องแคปซูลเข้าไปดูลำไส้ หรือส่องกล้องลำไส้เล็ก ซึ่งอาจต้องสืบค้นในโรงเรียนแพทย์

สาเหตุที่พบบ่อยกว่ามากๆคือ การเสียเลือดเรื้อรัง พบบ่อยๆเสียได้สามทางครับ

ทางแรกพบมากสุด คือการเสียเลือดประจำเดือนในสตรี หญิงทุกคนเสียเลือดขนาด 200-800 ซีซี ในแต่ละเดือนซึ่งเสียเลือดและธาตุเหล็กพอควร จึงควรชดเชยธาตุเหล็กทางอาหารที่มีธาตุเหล็กมากเช่น เครื่องในสัตว์ นม เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว ถ้าประจำเดือนมากจนเกิดโลหิตจางต้องหาสาเหตุนะครับต้องไปตรวจภายใน เช่น อาจเกิดเนื้องอกมดลูก ฮอร์โมนเพศผิดปกติ

สาเหตุที่พบบ่อยรองลงมาคือ การเสียเลือดทางทางเดินอาหาร เป็นการเสียเล็กน้อย แต่นานๆ (ถ้าเสียมากๆทีเดียวก็จะมาพบแพทย์เพราะช็อก) บางครั้งเห็นด้วยตาเป็นอุจจาระสีดำๆ เหนียวๆ แต่ที่แย่คือ ส่วนมากไม่เห็นด้วยตาต้องตรวจอุจจาระด้วยวิธีพิเศษ สาเหตุที่พบมากของเลือดออกทางเดินอาหารนี้คือ แผลในกระเพาะอาหารเรื้อรัง กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง เนื้องอกทางเดินอาหารตามจุดต่างๆ หลอดเลือดผิดปกติในทางเดินอาหาร พยาธิปากขอ และ มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคเหล่านี้บางครั้งอาการแรกคือ "ซีด"

การตรวจหลักๆคือการตรวจอุจจาระ fecal occult blod test ที่ราคาถูก ง่าย ไม่เจ็บตัว เพื่อดูว่ามีเลือดออกจริง แค่ 50 ซีซีก็พบนะครับ และดูร่องรอยของพยาธิในลำไส้ได้ แล้วดูว่ามีประวัติบ่งชี้ว่าควรตรวจอะไรต่อ เราคงไม่ได้ตรวจดะไปเสียทุกอย่าง เพราะการตรวจต่อจากนี้ก็จะเริ่มเจ็บตัว ราคาแพง เช่นถ้าบ่งชี้แผลในกระเพาะ ก็จะส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน ถ้าบ่งชี้มะเร็งลำไส้ใหญ่ก็ส่งไปส่องกล้องลำไส้ส่วนล่าง หรือ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ลำไส้ใหญ่
ถ้าสงสัยหลอดเลือดอักเสบก็อาจฉีดสีดูหลอดเลือด หรือ สแกนโดยใช้เม็ดเลือดแดงติดสารกัมมันตภาพรังสี จะเห็นว่าการตรวจนั้นยากขึ้น แพงขึ้น เราจึงต้องเลือกดีๆ ถ้าตรวจดะไปหมดจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำมากๆ ทั้งหมอและคนไข้ต้องคุยกันจึงผลดี ผลเสีย ของการตรวจแต่ละอย่างครับ

สาเหตุสุดท้ายที่พบประปราย คือเสียเหล็กเรื้อรังทางปัสสาวะ จากการมีเม็ดเลือดแดงแตกเรื้อรัง เช่นโรค PNH ส่วนมากเป็นโรคทางโลหิตวิทยาครับ ใช้การวิเคราะห์ยีนผิดปกติ และ ตรวจหาเหล็กในปัสสาวะ urine hemosiderin

โรคที่พบในต่างประเทศผมไม่ได้พูดถึงครับ อยากจะบอกว่าการตรวจพื้นฐานคือการตรวจอุจจาระ ปัสสาวะ ตรวจภายใน ควรทำก่อน ก่อนตกอกตกใจ ไปส่องกล้องนู่นนี่ เพราะการตรวจไฮเทคมันมีความไวต่ำคือ ไม่พบไม่ได้หมายความว่าไม่มีโรคครับ และยังมีราคาแพง ไม่เหมาะกับคนไทยครับ

23 ตุลาคม 2558

โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก

โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก

โลหิตจางที่พบมากที่สุด เป็นปัญหามากที่สุด และถูกละเลยมากที่สุด ที่บอกแบบนี้เพราะว่า เราพบมันบ่อยมากจนคิดว่าไม่เกิดปัญหาทั้งๆที่ควรแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ ส่วนมากคือเคยตรวจเลือดแล้วพบว่าซีด แต่ไม่ได้หาสาเหตุหรือแก้ไข หรือพบว่าขาดธาตุเหล็กแล้วล่ะแต่ไม่ได้แก้ไข
ส่วนมากมักจะไม่มีอาการ ตรวจพบเวลาตรวจเลือดจากโรคใดก็ตาม พบซีด ความเข้มข้นเลือด 30-35% เม็ดเลือดเล็กๆ แต่ไม่ได้ตรวจต่อ ส่วนที่ซีดมากๆ ความเข้มข้นเลือดต่ำ 20-25% เหนื่อย หรือหัวใจวายแล้ว มักจะได้รับการวินิจฉัยได้ แต่ท่านคงไม่อยากจะไปได้รับการวินิจฉัยตอนนั้นใช่ไหมครับ

กาจวินิจฉัยง่ายๆโดยเอาฟิล์มเลือดไปดูด้วยตา ร่วมกับส่งเจาะเลือดวัดระดับธาตุเหล็กในเลือด ( ferritin < 30, transferrin saturation < 15%)
หรือลองให้ยาธาตุเหล็กไปสามถึงสี่สัปดาห์ แล้วดูว่าความเข้มข้นเลือดเพิ่มหรือไม่ วิธีลองให้เหล็กนี่ ค่าใช้จ่ายไม่สูงและใช้ได้ดีครับ

ส่วนการรักษาก็ให้ยาเม็ดธาตุเหล็ก 2-3 เม็ดต่อวัน ยาเม็ดธาตุเหล็กอาจทำให้อุจจาระดำๆร่วนๆได้ครับ (ถ้าดำจากเลือดจะเหนียวๆหนืดๆคล้ายยางมะตอย) ยาธาตุเหล็กควรกินเดี่ยวๆตอนท้องว่างครับ ควรกินห่างออกจากยาอื่นๆโดยเฉพาะ ยาลดกรด ยาไทรอยด์ฮอร์โมน ยาฆ่าเชื้อ ใช้ยาจนกว่าจะ รักษาเหตุได้
ครับจนกว่าจะรักษาสาเหตุได้
   การรักษาโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กมีสองส่วน ส่วนแรก แก้ไขอาการซีดและเติมธาตุเหล็ก ส่วนที่สองเป็นส่วนสำคัญและมักถูกละเลยเสมอ คือ ทำไมท่านจึงขาดธาตุเหล็ก เป็นต้นเหตุของโรค ถ้าไม่แก้ไขก็ไม่หาย สาเหตุนี้ผมจะมาอธิบายให้ฟังพรุ่งนี้ ในบริบทของชาวบ้านชาวไทย ที่รายได้ไม่มากนักครับ

22 ตุลาคม 2558

อาหารที่มีโปตัสเซียมสูง ผู้ป่วยโรคไตพึงระวัง

อาหารที่มีโปตัสเซียมสูง ผู้ป่วยโรคไตพึงระวัง

คิดสัดส่วนแค่ 100 กรัม ถ้าใครกินมากกว่านี้ต้องคูณเข้าไปด้วยครับ คิดว่าโปตัสเซียมที่เป็นยาที่กิน elixir KCl ที่กินเวลาร่างกายขาดโปตัสเซียมนั้น 15 ซีซี มีเกลือแร่โปตัสเซียม 20 mEq
ถ้าเรากินเข้าไปซัก 120 ซีซี ค่าโปตัสเซียมในเลือดจะเพิ่มประมาณหนึ่ง mmol/L เช่น จาก 4 ไปเป็น 5
โปตัสเซียมเกินในเลือดนี่ เสียชีวิต นะครับ เขาประหารชีวิตนักโทษด้วยการฉีดโปตัสเซียมนี่แหละ เข้าเส้นเลือด หัวใจจะหยุดทำงาน
ดังนั้น ผู้ป่วยโรคไตต้องระวังการกินอาหารโปตัสเซียมสูง เพราะอาจขับออกทางไตได้น้อยครับ

กลุ่มแรก ค่าโปตัสเซียมสูงมาก สูงกว่า 25 mEq ต่อ 100กรัม คือ มะเดื่อ กากน้ำตาล และ สาหร่ายทะเลครับ โดนเฉพาะสาหร่ายสดๆ ไม่ใช่ ยี่ห้อเถ้าแก่ยักษ์นะครับ พวกนี้กินสักครึ่งโล ก็ได้โปตัสเซียมเข้าไป 125 mEq เท่ากับ กินยา 120 ซีซี ข้างต้นเลยครับ

กลุ่มสอง สูงมากๆ 12.5-25 mEq ต่อ100กรัม ได้แก่ ถั่วชนิดต่างๆครับ ผลอาโวคาโด ผลไม้อบแห้งต่างๆ จมูกข้าวทั้ง ข้าวมีจมูก สารสกัดจมูกข้าว โปตัสเซียมเยอะมากๆๆ รำ-นานาชนิด ทั้งรำเป็นเม็ดๆ และที่ผสมในอาหาร
และที่คู่ครัวบ้านเรา คือ ถั่วลันเตาครับ

กลุ่มที่สาม ก็สูงแต่ก็ไม่มาก 6.2-12.4 mEq ต่อ 100กรัม อันได้แก่
ผัก-- ผักโขม,มะเขือเทศ, บร็อคโคลี่, กะหล่ำปลี, แครอท หรือจำง่ายๆ คือ ผักที่มีสีสันสวยๆจัดๆ นั่นแหละครับ
ผลไม้ -- กล้วย, ส้ม, แคนตาลูป
เนื้อแกะ, เนื้อวัว -- ปริมาณมากๆ และ โดยเฉพาะเอามาหมักทำสเต็ก

ส่วนท่านที่ไตปกติก็ --เอ็นจอยตามสบายครับ--

21 ตุลาคม 2558

อาการปวดศีรษะที่พึงระวัง (red flag signs of headache)

อาการปวดศีรษะที่พึงระวัง (red flag signs of headache)

อาการปวดศีษะรุนแรงร่วมกับมีอาการต่างๆเหล่านี้ ควรระวังว่าอาจไม่ใช่อาการปวดศีรษะธรรมดาทั่วไป แพทย์ ผู้ป่วย ผู้ดูแล ควรให้ความสำคัญครับ ที่มาจาก บทความ headache in emergency department ของ อ.เจษฎา อุดมมงคล รพ.พระมงกุฏฯ และค้นเพิ่มสะสมจาก Harrison, Cecil และ Davidson

1. อายุมากกว่า 50 ปี -- โดยเฉพาะถ้าปวดรุนแรงครั้งแรก คงต้องดูประวัติเสี่ยงอื่นๆ เช่น ความดัน เบาหวาน หกล้ม ร่วมด้วย

2.ปวดแบบรุนแรงมาก -- ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย นับตั้งแต่เริ่มจนปวดสุด ใช้เวลาไม่กี่วินาที และยังปวดมากขึ้นๆ ดดยเฉพาะคนไข้ที่มาห้องฉุกเฉินดึก ต้องระวังดีๆนะครับ เขาปวดจนตื่น และ ทนไม่ไหวจนต้องมากลางดึก ต้องใส่ใจมากๆครับ

3.อาการปวดแย่ลงในระยะเวลาเป็นวัน -- แสดงว่าโรคอาจรุนแรงมากๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่มีช่วงที่ดีขึ้นเลย ปวดจนต้องตื่น หรือ นอนไม่ได้

4.ตรวจร่างกายทางระบบประสาทผิดปกติ-- การตรวจร่างกายผิดปกติ เป็น hard signs หรือ อาการที่ไม่ค่อยหลอกนะครับ เช่น คอแข็ง แขนขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรงไป ตรวจตาพบเส้นประสาทสมองคู่ที่สองบวม พวกนี้ต้องคิดไว้ก่อนว่ามีโรคในกระโหลก จนกว่าจะพิสูจน์ว่าไม่ใช่

5.มีไข้ หรือ มีอาการระบบอื่นๆ-- เช่น ปวดใบหน้า ที่อาจบอกว่ามีหนองในโพรงกระโหลก หรือ ขยับปากบ่อยแล้วปวด (jaw claudication) ผื่นขึ้นทั้งตัว อาจคิดถึงโรคแพ้ภูมิตัวเอง (อาจมีเส้นเลือดในสมองอักเสบร่วมด้วย) อาจนำพาไปสู่การวินิจฉัยโรคอื่นๆ ได้ถูกต้อง หรือ ป้องกันการเกิดอันตรายต่อสมองได้

6.เวลาไอ เบ่ง จาม ปวดมากขึ้น -- เป็นหนึ่งในอาการของความดันในกระโหลกศีรษะที่เพิ่มขึ้น อาจมีสิ่งไม่พึงประสงค์มาอยู่ด้วย เช่น ก้อนเนื้องอก ก้อนเลือด น้ำในโพรงสองเกินไป หนอง เป็นต้น

7.ผู้ป่วยกลุ่มภูมิคุ้มกันบกพร่อง-- เช่นปลูกถ่ายอวัยวะ ให้ยาเคมีบำบัด เอดส์ ต้องระวังการติดเชื้อ ซึ่งจะเป็นเชื้ออะไรก็ได้ แต่ที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ เชื้อรา

8.บาดเจ็บที่ศีรษะมาก่อน-- ต้องระวังภาวะเลือดออกเลือดคั่ง ที่ค่อยๆออก ตอนแรกไม่มีอาการ พอผ่านๆไป 1-2 วัน เลือดเริ่มคั่งมากขึ้น จนเกิดอาการ (lucid interval) และโดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยกินยาต้านการแข็งตัวของเลือด และกลุ่มเกล็ดเลือดต่ำ

20 ตุลาคม 2558

ลมรั่วในเยื่อหุ้มปอดชนิดเกิดเอง

อยู่ดีๆ ลมก็รั่วในเยื่อหุ้มปอด (primary spontaneous pneumothorax)

ก็ตามนั้นครับ โดยทั่วไปลมจะรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดได้ก็ต้องรั่วจากปอดออกมา ภาษาง่ายๆเรียก "ปอดแตก" ไม่ใช่ "ปอดแหก" นะครับ เช่นเป็นมะเร็ง เป็นวัณโรค เป็นโรคถุงลมโป่งพอง หรือลมรั่วเข้ามาจากภายนอก ส่วนมากเกิดจากอุบัติเหตุที่ทรวงอก
แต่ก็ยังมีผู้ป่วยบางส่วน เกิดมาพร้อมกับลูกโป่งเล็กๆ ที่ขอบๆปอด (bleb) ที่อาจแตกได้ตลอดเวลา จนเกิด แตกเองขึ้นมา

  ครับ มันแตกเองครับ ไม่มีสาเหตุใดๆเลย มักจะพบในคนหนุ่มๆ อายุ20-30 ปี ผอมๆ สูงๆ ถ้าสูบบุหรี่ก็จะยิ่งเสี่ยงมาก และปัจจุบันเราพบว่าถ้าคนๆนั้น เกิดมีภาวะกลายพันธุ์ของยีน FLCN ที่คอยควบคุมการสร้างโปรตีน folliculin ในถุงลม ก็จะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคนี้ (ประมาณ 40% ที่พบการกลายพันธุ์นี้) มีการศึกษารายงานเคส 5 ราย ในวารสาร THORAX ปี 2004 บอกว่าฟังคอนเสิร์ต เสียงดังๆ แล้วปอดแตก !! จริงๆแล้วคงแตกเองล่ะครับ ไม่งั้นเมืองไทย คงแตกคาเวที เดอะวอยส์

   แตกแล้ว ถ้าลมรั่วมากๆก็อันตรายครับ ต้องระบายลมออก หรืออาจต้องผ่าตัดโดยใช่กล้องวีดีโอครับ เย็บเยื่อหุ้มปอด และ ตัดลูกโป่งที่เหลือออก เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ ประเด็นมันตรงนี้เลยครับ มันเกิดซ้ำได้บ่อยๆ โอกาสเกิดซ้ำครั้งที่สอง 52% โอกาสเกิดซ้ำครั้งที่สาม 62% โอกาสเกิดซ้ำครั้งที่สี่ 83% และมักเกิดข้างเดิม ดังนั้นถ้าทำได้ควรอุดรอยรั่วครับ โอกาสหน้าอาจแตกมากจนแย่ก็ได้ คนกลุ่มเสี่ยงเกิดซ้ำนี้ห้ามทำสองอย่าง คือห้ามสูบบุหรี่ กับ ห้ามดำน้ำครับ (แรงดันบรรยากาศมีผลนะ)

   ในรายที่แตกไม่มาก น้อยกว่า 15% บางทีก็ใช้แค่การให้ออกซิเจนความเข้มข้นสูง จะช่วยให้ดูดซึมลมดีขึ้น 4 เท่า จากสองสัปดาห์เหลือ 4-5 วัน เพราะลมทั่วๆไปมีออกซิเจนแค่ 21% แต่ถ้าเราดมออกซิเจน 60-80% ก็จะไปแทนที่ ไนโตรเจนได้ครับ
   ผู้ป่วยที่ผมพบนี้ เจ็บอกซ้ายเฉียบพลัน เหนื่อยมาก หายใจเข้าออกก็เจ็บ อาการเหมือนหัวใจเฉียบพลัน แต่การตรวจร่างกายจะชัดเจนครับ เป็น รายคลาสสิกของโรคนี้ครับ

อ้างอิง : ตำราโรคระบบทางเดินหายใจ สมาคมอุรเวชช์ พิมพ์ครั้งที่1
: .nlm.nih.gov ONLINE LIBRARY
: Thorax 2004;59:722-724
: Luh / J Zhejiang Univ-Sci B (Biomed &
Biotechnol) 2010 11(10):735-744

16 ตุลาคม 2558

ไขมันทรานส์ ไขมันตัวร้าย

ไขมันทรานส์ ไขมันตัวร้าย

เมื่อสัปดาห์ก่อนผมได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับไขมันในรูปละครเวที สัปดาห์นี้มีงานวิจัยออกมา เกี่ยวกับไขมันอิ่มตัว และไขมันไม่อิ่มตัวชนิดทรานส์ ตีพิมพ์จากสองวารสารระดับโลก

1. British Medical Journal 2015 เดือน สิงหาคม เกี่ยวกับการเปลี่ยนไขมันทรานส์ออกไป
2. journal of American Collages of Cardiology 2015; 66(14). เกี่ยวกับการเอาไขมันอิ่มตัวออกไป

ทั้งสองวารสารเป็นการรวบรวมเอาการศึกษาที่เคยทำเกี่ยวกับการเปลี่ยนไขมันตัวร้าย เป็นไขมันตัวดี ว่าจะลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือด จริงหรือไม่ ก็จะสรุปง่ายๆดังนี้

1. การเปลี่ยนไขมันอิ่มตัวออก แล้วชดเชยด้วย ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดดี จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจลงมาก

2. และต้องไมใช้ คาร์โบไฮเดรตที่ไม่ดี เช่นน้ำตาล น้ำหวาน เอามาแทนพลังงานจากไขมันอิ่มตัว ให้ใช้ ธัญพืช ข้าวไม่ขัดสีแทน

3.ลดพลังงานจากไขมันอิ่มตัวลงได้ 1% และใช้ ไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้าสามแทนนั้น ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจลง 2%

4. การใช้ ไขมันทรานส์ มาแทนพลังงานจากแหล่งอื่น พบว่า แม้อัตราตายโดยรวมไม่ลดลง แต่อัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจสูงพอๆกับไขมันอิ่มตัว

5. การลดไขมันทรานส์ ลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ลดพลังงานจากไขมันทราส์ 2% ลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ 25%

จะสรุปว่ามีหลักฐานเชิงประจักษ์ชัดเจนว่า การลดไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์นั้น ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจลง และควรชดเชยพลังงานที่ถูกลดไปด้วย ไขมันไม่อิ่มตัวที่ดี และ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเช่น ข้าว ธัญพืช

ไขมันอิ่มตัว : ไขมันและน้ำมันจากสัตว์ ไขมันจาก เนื้อติดมัน ติดหนัง น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว เนยเหลว มาร์การีน
ไขมันทรานส์ : น้ำมันที่ทอดซ้ำๆ น้ำมันที่ใช้ใน อุตสาหกรรมอาการ อันนี้ต้องอ่านฉลากโภชนาการ เนยเทียม มาร์การีน
ไขมันไม่อิ่มตัวที่ดี(MUFAs, PUFAs with omega3 or omega9)ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำมันดอกคาโนลา ถั่วธัญพืชเช่น อัลมอนด์ พิสตาชิโอ แมคคาเดเมีย เนื้อปลาทะเล น้ำมันปลา
(ไม่ใช่ น้ำมันตับปลา นะครับ)

สมัยก่อนการลดไขมันทำได้ไม่ดีนัก เพราะเราลดไขมันอิ่มตัว แต่เราเอาทรานส์แฟตมาแทน หรือเราไม่ยอมใช้คาร์โบไฮเดรตที่เป็นธัญพืช และเส้นใยอาหารครับ

14 ตุลาคม 2558

การช่วยชีวิตเบื้องต้น

การช่วยชีวิตเบื้องต้น

บทความนี้สรุปสาระที่ประชาชนอย่างเราๆท่านๆควรรู้ ควรทำ จากแนวทางการช่วยเหลือชีวิต ปี2010 ก่อนจะอัปเดตใหม่ ปลายเดือนนี้ เรามารู้ของเดิมกันก่อนครับ ผมขอสรุปเป็นภาษาง่ายแล้วกัน

1. เมื่อพบคนหมดสติที่ต้องช่วยชีวิต อย่างแรก สติเราต้องไม่หมด ดูรอบข้างนิดนึงว่าปลอดภัยหรือเปล่า พาคนเจ็บและตัวเองมาอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน ก่อนไปขั้นต่อไป

2.หาตัวช่วยเลย ไม่มีพระเอกในโลกแห่งการช่วยชีวิต ผมอยู่ในไอซียูมาทั้งวี่ทั้งวัน ตัวช่วยเจ๋งๆ อุปกรณ์เหนือๆ ยังต้องเรียกแผนกอื่นมาช่วยเลย ---ตะโกนเลย บอกต่อๆกันไปเรื่อยๆ
คนที่มาช่วยอาจเป็นงานกว่าเรา หรือ ช่วยทำนั่นโน่นนี่ได้ ผลัดกันปั๊มหัวใจ
จำไว้เลยครับ คนแรกที่ควรเรียกคือ สายด่วน 1669 เดี๋ยวเขาประสานอื่นๆให้

3.ตรวจชีพจรก่อนเลยอย่างแรก คลำที่คอเลยครับ แรงสุด อ้วนแค่ไหนก็คลำได้ จับคนเจ็บนอนหงายบนพื้นราบ เอานิ้วปร๊าดดด แตะที่กระเดือก ถ้าเป็นหญิงก็ให้คิดว่าเขามีกระเดือกนะครับ ลากนิ้วลงมามาข้างๆคลำชีพจรเลย หนึ่งอึดใจ ถ้าไม่มีชีพจรให้ตัดสินใจปั๊มเลย
ส่วนมากผู้ป่วยที่ต้องกู้ชีวิต มักมีสาเหตุจากหัวใจบีบเลือดไม่ได้หรือไม่พอ พบบ่อยมากๆคือ ไฟฟ้าหัวใจมันรวน ถ้าไฟมันรวนหัวใจไม่ทำงานเลยนะครับ หรือ หยุดเต้นกะทันหัน ถ้ายังมีชีพจรพอรอได้ครับ รอให้เจ้าหน้าที่เขามาประเมิน

4. เอามือประสานกัน กดที่กลางอกกลางตัว ท่าทางคนกดไม่สำคัญ สำคัญที่กดลึก 1 เซนติเมตร ยกให้เด้งคืนแล้วค่อยกดซ้ำ ให้หัวใจมันเติมเลือดเข้ามาก่อนค่อยกดต่อ เอาละเราได้ความแรงการกดแล้ว ความเร็วล่ะ อย่างน้อย 80ครั้งต่อนาทีครับ
เฮ้ยย...มากกว่า 1 ครั้งต่อวินาที ผมไม่ใช่เตียบ่อกี้นะแอดมิน ใครจะไปทำได้ --ถูกต้อง ไม่มีใครทำได้ แต่ถ้าเราตั้งเป้าน้อยมันก็น้อยครับ -- เอาล่ะ 80ครั้งต่อนาทีแล้วกัน

5. ปั๊มไปนานไหมล่ะ เมื่อยแล้ว... ไปเรื่อยๆครับไปเรื่อยๆ ถ้าเมื่อยก็ให้คนที่เราเรียกมาช่วยเมื่อกี้นั่นแหละครับมาช่วย อย่าให้ขาดตอนนะครับ หัวใจเราเรายังไม่อยากให้หยุด หัวใจเขาเขาก็ไม่อยากให้หยุด ใช้หลักธรรมนี้เลยครับ "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" จนกว่าจะมีรถพยาบาลมาช่วย หรือ อาจมีคุณชายพุฒิภัทรเดินอยู่แถวนั้น อยู่ใกล้ๆ แล้วมาช่วย

6. อ้าว..ไม่ช่วยหายใจแล้วหรือ เม้าท ทู เม้าท น่ะ (เหลือบมองคนเจ็บ อ่ะเจ้ยยย อั้ม พัดชรามา) อันนี้แล้วแต่สมัครใจครับ จากข้อมูลที่คนเจ็บแย่ไม่ใช่ว่าหายใจไม่ได้ แต่เกิดจากจัดท่าทางการวางคอไม่ถูก ไปอุดกั้นทางลม หรือมีสิ่งแปลกปลอมไปอุด อันนี้ให้ล้วงออก แล้วจัดท่าคนเจ็บให้คางเชิดสูงกว่าจมูกครับ ไม่ต้องเอาอะไรไปหนุนคอหนุนหัว ( head tilt chin lift ) ไม่เป่าช่วยก็ไม่ผิด ถ้าเป่าก็อย่าให้การปั๊มหัวใจชะงักไปนะครับ ให้คนที่มาช่วย คนเมื่อกี๊นั่นแหละ จะเป่าปาก เป่าจมูกก็ได้นะครับ ในตัวแนวทางเขียนไว้ชัดเจน ในอัตราปั๊มหัวใจ 30 ที เป่าลม 2 ที
ถ้ามีอุปกรณ์ช่วยพยุงทางเดินหายใจแล้ว ก็ไม่ต้องหยุดนะครับ ปั๊มหัวใจก็ทำไป เป่าลมก็เป่าไป

7. พิเศษ -- ในที่ที่มีเครื่อง AED automated external defibrillator เช่นในสนามบิน บนเครื่องบิน ให้ติดเครื่องนี้ก่อน เพื่อเครื่องจะได้วิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจว่าควรกระตุ้นไฟฟ้าหรือไม่ ถ้าควรเครื่องจะกระตุ้นทันที แล้วเราค่อย ปั๊มหัวใจ
อย่างที่บอกครับ ส่วนมากเกิดจากคลื่นไฟฟ้าหัวใจรวน ที่เรียกว่า ventricular fibrillation หรือ pulseless ventricular tachycardia ถ้าเรากระตุ้นเร็ว จะหายเร็ว อัตราตายลดลงครับ

สุดท้าย ทุกอย่างต้องทำโดยเร็วที่สุด ไม่ขาดขั้นตอน ไม่ลังเล คิดเสมอว่า เรากำลังช่วยลูกของใครสักคน ที่ตอนนี้อาจเป็นแม่ของใครสักคน ที่ครอบครัวเขา....รอเขาอยู่

13 ตุลาคม 2558

ไข้รากสาดใหญ่--การติดเชื้อ สครับ ไทฟัส

ไข้รากสาดใหญ่--การติดเชื้อ สครับ ไทฟัส

ไข้รากสาดใหญ่ เป็นโรคติดเชื้อในเขตร้อนที่ยังเป็นปัญหามากในบ้านเรา เพราะว่าภาวะโรคร้อน ทำให้สัตว์พาหะ คือสัตว์ฟันแทะ จำพวกหนู มีพฤติกรรมโยกย้ายเข้าเมืองมากขึ้น โรคที่เคยคิดว่าอยู่ในชนบท เลยต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้ว

ข้อมูลในอดีตที่เคยคิดว่าอยู่ตามท้องร่องท้องนา สุมทุมพุ่มไม้ หรือการระบาดอย่างหนัก ตอนที่กองทัพนโปเลียนเข้าบุกมอสโกว์ในปี 1812 หรือ การระบาดอย่างหนักในกองทหารเยอรมันที่เข้าบุกรัสเซีย และการระบาดในค่ายกักกันชาวยิว จนหนูน้อย แอนน์ แฟรงก์ ผู้เขียนบันทึกอันโด่งดัง ก็เสียชีวิตจากโรคนี้ (จริงๆไม่รู้ว่า ไทฟัส หรือ นาซีที่สังหารคนมากกว่ากัน และถ้านาซีทราบว่า doxycycline รักษาโรคนี้ได้ง่ายๆ ผลของสงครามอาจพลิกได้
Charles Nicolle นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้รับรางวัลโนเบล เมื่อทราบว่าพาหะจริงๆ ของโรคติดเชื้อแบคทีเรียไทฟัสนี้ คือ เจ้าไรอ่อน (chigger) ที่มีหลายสายพันธุ์ กัดหนู แล้วเอาเชื้อแบคทีเรีย Orientia tsutsugamushi (ชื่อ tsutsuga แปลว่า การเจ็บป่วย ส่วน mushi แปลว่า แมลง-- ภาษาญี่ปุ่น ตรงดี) มาจากหนูมายังคน จากการศึกษาในจังหวัดนครราชสีมา พบว่า ไข้ไม่ทราบสาเหตุนั้น เป็น ไทฟัส 34% และไม่ได้มาจากป่าดงพงหญ้าแต่อย่างใด มาจากในอำเภอเมืองก็มาก ดังนั้น ต้องคิดถึงโรคนี้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มเกษตรกรที่อยู่ในประเทศไทย

อาการของโรคก็ช่างทำร้ายใจหมอจริงๆ--คืออาการมันไม่มีอะไรจำเพาะ แต่ที่พบบ่อยๆคือ ไข้สูงไม่มีอาการติดเชื้อที่ระบบอวัยวะใดชัดเจน 3-4 วัน ปวดหัวรุนแรง ต่อมน้ำเหลืองโต ตับม้ามโต ผื่น เอาเป็นว่าถ้าแพทย์ประจำบ้านท่านใด ได้รับข้อสอบโรคนี้ก็ สวัสดีลาก่อน เพราะต้องแยกโรคเขตร้อนอื่นๆออกเป็นสิบโรคเลยครับ
แต่ที่พบ เด่นชัด ของโรคนี้คือ การพบแผลeschar มักพบบริเวณที่หมอจะตรวจไม่เจอ --มันช่างเป็นศัตรูกับหมอจริงๆ-- จะเป็นแผลขอบแดง มีรอยเนื้อตายสีดำคลุมอยู่ ขนาดเหมือนเอาบุหรี่มาจี้เนื้อเรา ประมาณนั้นครับ ผมเอาภาพมาให้ดูด้วยครับ บริเวณที่พบบ่อยๆ ก็ใต้ราวนม รักแร้ ขาหนีบ ร่องก้น หลังหู ว่ากันว่าเจ้าไรอ่อน มันชอบที่อุ่นๆครับ
พบแค่ 50% ของผู้ป่วยเท่านั้นครับ ผู้ป่วยไทฟัสบางรายก็ไม่มี eschar และ eschar ก็อาจพบได้อีกในหลายๆโรค แอนแทรกซ์

การตรวจเลือดผมจะไม่พูดถึงครับ มันยุ่งยากเอามากๆทีเดียว เอาเป็นว่า ผลเลือดแค่ "ช่วย" เท่านั้น ไม่ได้เป็นตัวฟันธงโรค หรือ โหวตโรคนี้ออกจากสารบบการคิด แต่อย่างใด
ส่วนการรักษานั้น ก็จะใช้ยาที่ราคาถูก หาง่าย ความไวต่อเชื้อสูงมาก แต่โดนไป 1-2 เม็ด คือยาเม็ด doxycycline เจ้าเชื้อ O.tsutsugamuchi นี้ก็ด่าวดายแดดิ้น สิ้นเรี่ยวสิ้นฤทธิ์ ชีวิตดับสูญ นั่นคือรักษา 2-3 วันก็มักจะหายแบบดราม่า บางทีก็ใช้เป็นการรักษาเพื่อวินิจฉัยได้ (therapeutic diagnosis) แต่ยาก็คลื่นไส้อาเจียนมากๆ อาจกินทันทีหลังอาหารจะช่วยลดอาการได้ ถ้าทนไม่ไหวจริงก็อาจใช้ยา azithromycin แทนได้ หรือถ้าอาการรุนแรงก็ใช้ยาฉีด chloramphenical ได้เช่นกันครับ

ข้อมูลทั้งหมดมาจาก WHO, ตำราเวชศาสตร์เขตร้อน ของคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล

 และ ปรมาจารย์ด้านการวิจัยและรักษาโรคนี้ ท่านทำวิจัยร่วมกับสถาบันวิทยาศาสตร์ การแพทย์ทหาร ที่มีความร่วมมือในระดับนานาชาติ ตีพิมพ์เป็นตำรา "โรคสครับไทฟัส" ท่านอาจารย์ สุนทร ชินประสาทศักดิ์ หัวหน้ากลุ่มงานเวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา

11 ตุลาคม 2558

เรื่องราวที่แสนประทับใจ

เรื่องราวที่แสนประทับใจ

ขอเล่าเรื่องราวที่แสนประทับใจ ตอนเป็นนักเรียนแพทย์ที่สถาบันใหญ่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อนานมาแล้ว ผมขึ้นปฏิบัติงานชั้นคลีนิคครั้งแรกตอนปี 4 ตึกผู้ป่วยศัลยกรรม

ตึกผู้ป่วย 72 ปีนี่ มี2ฝั่งครับ หญิงและชาย อยู่ตรงข้ามกัน เชื่อมด้วยทางเดินเล็กๆ ผมได้รับผู้ป่วยชายหนุ่ม ประมาณ 18 ปี ป่วยจากการกลืนน้ำยาล้างห้องน้ำ (caustic agent injuries) ประวัติว่า ถูกผู้ใหญ่กีดกันความรัก จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายพร้อมกับฝ่ายหญิง ต่อหน้าพ่อและแม่ แต่ว่าไม่ตาย จึงมาแอดมิดที่นี่ อาการเริ่มดีแล้ว แต่ซึมมาก ไม่ยอมกิน เข้าใจว่าฝ่ายหญิงตาย แต่ตัวเองรอด

ตอนบ่ายวันหนึ่งผมกับเพื่อนต้องเอารายงานไปให้อาจารย์ตรวจ ปรึกษาและวิจารณ์รายงาน ขณะรอเพื่อนก็เล่าให้ฟังว่า คนไข้ที่เขาได้รับเป็นผู้หญิง นอนที่ตึก 72 ปี อีกฝั่งหนึ่งมาแอดมิด เนื่องจาก --กินน้ำยาล้างห้องน้ำฆ่าตัวตาย เนื่องจาก รักไม่สมหวัง ตอนนี้อาการดีแล้ว แต่ซึมมาก เพราะคิดว่าฝ่ายชายตาย ตัวเองรอด

เฮ้ย...เหมือนเรื่องคนไข้ผมเลย แสดงว่าทั้งคู่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ ผมและเพื่อนเสนอรายงานกับอาจารย์ ตามปกติ

เช้าวันรุ่งขึ้น เราไปราวด์วอร์ดตามปกติ อาจารย์ท่านนั้นบอกแพทย์ประจำบ้านว่า คุณไปพาคนไข้ชาย ชื่อ.... มาพบผู้ป่วยรายนี้หน่อยสิ คุณ..เจ้าของไข้ไปด้วยนะ เราก็งงๆ แต่ก็ทำตาม

คุณเชื่อไหม..วินาทีที่พี่เรซิเดนท์พาคนไข้มาพบกับ ทั้งสองคนน้ำตาไหล พูดอะไรไม่ออก ฝ่ายชายเดินเข้าไปนั่งข้างเตียง กุมมือฝ่ามือฝ่ายหญิง...

 พวกเรา..ยืนนิ่งกันทั้งทีม น้ำตาไหล..

หลังจากนั้นอีกสามวัน ผู้ป่วยทั้งสองก็ดีขึ้น กลับบ้านได้ เรื่องนี้ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ก็ยังอยู่ในความทรงจำผม..ตลอดไป

10 ตุลาคม 2558

ซีรี่ส์ อาหาร ตอนจบ

ตอนอวสาน ..ความเดิมตอนที่แล้ว ดร.ก๋อง พ่อของคุณเคนสอนเรื่องฉลากอาหารอย่างละเอียดยิบ ทุกคนกำลังอึ้ง

แมวเหมียว : พ่อคะ สุดๆ สุดๆ สุดๆ แต่หนูจำไม่ค่อยได้
คุณเคน : ไม่เป็นไรครับ ความรู้พวกนี้มีอยู่ออนไลน์ แต่เลือกที่เชื่อถือได้นะครับ
ดร. ก๋อง : ใช่แล้วลูก หาได้ชัวร์จากเว็บไซต์ สถาบันโภชนศาสตร์ มหิดล..สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย..เครือข่ายคนไทยไร้พุง..ถ้าของต่างประเทศ ก็มี ASPEN, ESPEN ครับ
นิ้วก้อย : หนูแนะนำเพจ ..อายุรศาสตร์ ง่ายนิดเดียว..ค่ะ เอาความรู้มาย่อยให้ฟัง เข้าใจง่ายดี

เอาล่ะ ซูเปอร์จะปิดแล้ว ผมกับคุณเอื้อมใจไปจ่ายเงินก่อนนะครับ น้องแก้มบุ๋มแคชเชียร์ ทำตาเขียวแล้ว แล้วพบกันที่ฟิตเนสนะครับ ..แล้วเคน ก๋อง เอื้อมใจ ก็เดินแยกไป
คืนนั้น..ที่คฤหาสน์บ้านทรายกอง คุณเคนถาม ดร.ก๋องว่า เป็นไงครับพ่อ น้องนิ้วก้อยนี่ นิสัยดี ไม่หยิ่ง เรียบร้อย คุ้มค่าที่อุตส่าห์บินมาจากมาดากัสการ์ไหมครับ

ดร.ก๋อง : น้องเขาดีมากเลยลูก แต่รู้ได้ไงว่าเขาจะมาชอบคนแก่อย่างพ่อ
เคน : สเป็กคุณเธอ..ชอบแบบพ่อนี่แหละ แต่ส่วนมาก ก็มักจะมีครอบครัวแล้ว พ่อก็อยู่คนเดียวมานาน คราวนี้จะได้ ลงหลักปักฐาน ย้ายมาเมืองไทยซะที
ดร.ก๋อง : ก็ดีนะลูก น้องก้อยนี่ก็ดีทุกอย่าง เพียงแต่ว่า.....
เคน : เพียงแต่ว่าอะไรอีกครับ คนนี้ เพอร์เฟกต์

ดร.ก๋อง : เพียงแต่พ่อชอบ..เอ่อ..."ผู้หญิงสวย"

ไม่มีอะไรมาก สัปดาห์นี้งานมาก คนไข้มาก ต้องทำpowerpoint มาก เลยลองแต่งนิยาย ให้ความรู้ดูบ้าง ขอบคุณน้องๆที่โอพีดี ที่ยินดีให้ชื่อมาเป็นตัวละครครับ

09 ตุลาคม 2558

ซีรี่ส์ อาหาร ตอนที่ 5

ความเดิมจากตอนที่แล้ว คุณเคนและคณะไปเรียนรู้การเลือกอาหารไขมัน ในซูเปอร์มาร์เกต คุณเคนก็เชิญผู้เชี่ยวชาญเรื่องฉลากอาหาร

คุณเคน : ทุกคนครับ นี่คือคุณพ่อผมเอง ดร.ก๋อง สหรัด บินตรงมาจาก มาดากัสการ์เพื่อมาช่วยเราวันนี้
แมวเหมียวกับพี่เอื้อมใจซุบซิบกัน : ครอบครัวนี้มันหล่อจริงว่ะ แต่เย๊อะเยอะ บินมาจากมาดากัสการ์เพื่อมาช่วยลูกชายซื้อของในซูเปอร์เนี่ยนะ
ดร.ก๋อง : สวัสดีทุกคน เจ้าเคนอยากให้ผมมาเลือกอาหารให้ แล้วบอกว่าทุกคนอยากรู้เรื่องอาหาร ผมเลยไปอ่านแนวทางมาจาก สมาคมผู้ให้อาหารอเมริกา สมาคมผู้ให้อาหารฝั่งยุโรป (ASPEN and ESPEN) มาอธิบายให้ฟัง
นิ้วก้อย : พ่อคุณเคนเป็นหมอหรือคะ แล้วไปทำอะไรที่มาดากัสการ์คะ
คุณเคน : ไม่ใช่หรอกครับ พ่อผมเป็นนักร้องศิลปิน ชื่อดัง แต่สนใจเรื่องอาหารเช่นกัน ทำวิจัยจนเป็นด็อกเตอร์ ที่ไปอยู่มาดากัสการ์ เพราะไปเป็นโค้ชให้นักร้องที่นั่นครับ --พ่อครับ เรามาเริ่มกันเลยดีว่าครับ--
---ให้ดูรูปประกอบด้วยนะครับ---
เรามาดูฉลากกันพร้อมๆกันนะ เอาล่ะ

ส่วนแรก เขาเรียกว่า ปริมาณเสริฟ โดยทั่วไปปริมาณอาหารที่ระบุไว้จะคิดเป็นต่อหนึ่งเสริฟ เราต้องดูว่าอาหารหนึ่งถุงบรรจุของเราเป็นกี่เสริฟ ตัวอย่างในภาพนี้ หนึ่งเสริฟของเขานั้นคิดที่ 2/3 ถ้วย และในหนึ่งถุงมีบรรจุ 8 เสริฟ คือถ้ากินหมดถุงนี่ ค่าอาหารทั้งหมดก็ต้องคูณ 8เข้าไปนะครับ

ส่วนที่สอง..บอกปริมาณพลังงานต่อ หนึ่งเสริฟ..ย้ำๆคือต่อหนึ่งเสริฟนะครับ อย่างในรูปคือ 230 กิโลแคลอรี่ต่อหนึ่งเสริฟ คือ 2/3 ถ้วย ถ้ากินหมดถุงก็ 230×8 = 1840 กิโลแคลอรี่ครับ อันนี้มักจะสับสนที่สุด ต้องดูดีๆครับ และมีบอกว่าไอ้เจ้า 230 กิโลแคลต่อเสริฟนั้น มาจากไขมัน 72 คือคิดเป็น 31% ของปริมาณพลังงานที่ได้นั่นเอง

มาดูส่วนที่สามต่อไป บอกถึงปริมาณอาหารที่ต้องควบคุมจำกัด คือไขมันและเกลือ บอกว่าต่อหนึ่งเสริฟ มีไขมันทั้งสิ้นเท่าไร อย่าลืมคูณกลับนะครับ ถ้ากินหมด ในรูปคือ ต่อหนึ่งเสริฟมีไขมันทั้งสิ้น 8 กรัม คิดเป็น 12%ของน้ำหนักอาหารที่ควรได้ในแต่ละวัน สังเกตว่า น้ำหนักเป็น 12% แต่มีพลังงานตั้ง 31% ก็เพราะว่าหนึ่งส่วนไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคล มากกว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตที่ให้แค่ 4 กิโลแคลต่อหนึ่งกรัม บอกสัดส่วนไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์ ไขมันโคเลสเตอรอล และ ปริมาณเกลือ คิดเป็นกรัมต่อหนึ่งเสริฟ และคิดเป็นสัดส่วนเปอร์เซนต์ โดยเราไม่ควรบริโภคเกลือเกินกว่า 2.4 กรัมต่อวัน ซึ่งยากมากๆครับ

ส่วนที่4 เป็นสัดส่วนของอาหารที่เป็นส่วนประกอบที่เหลือ อันได้แก่คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไฟเบอร์ ไวตามินต่างๆ ซีรี่ส์นี้ไม่ได้กล่าวลงลึกถึงตัวอื่น แต่ก็ขอบอกคร่าวๆ ดูจากสัดส่วนแป้งแล้วได้ 37 กรัมต่อหนึ่งเสริฟ คิดเป็น 65% ของพลังงานที่ได้ เกิน 60% นี่ถือว่าแป้งมากนะครับ และมีสัดส่วนเส้นใย 12% โดยทั่วไปแนะนำเส้นใยที่สัดส่วน 15% ต่อวันครับ และส่วนโปรตีนที่ 3 กรัมต่อเสริฟ คิดเป็นโปรตีนแค่ 5% ซึ่งเรียกว่าน้อยมาก แสดงว่าอาหารชนิดนี้ เป็นอาหารแป้งสูง โปรตีนต่ำ ไขมันปานกลาง เป็นไขมันอิ่มตัวเสียมาก ส่วนไวตามินและเกลือแร่ ทางฉลากได้บอกมาเป็นสัดส่วนที่มีในอาหารเทียบกับปริมาณที่ควรได้ต่อวัน เช่น กินหนึ่งเสริฟ คือ 2/3 ถ้วยก็จะได้ไวตามินเอ เป็นปริมาณ 10% ของที่ควรได้ในแต่ละวัน

ส่วนสุดท้าย เป็นส่วนของสัดส่วนอาหารที่ควรได้ในแต่ละวันของคนที่ต้องการพลังงาน 2000 หรือ 2500 กิโลแคล คิดเป็นประมาณที่ นน ตัว 75-80 กิโลกรัมครับ เราควรพิจารณา พลังงานทั้งหมด สัดส่วนไขมัน คาร์บ โปรตีน ไขมันอิ่มตัว ทรานส์แฟต คอเลสเตอรอล และ เกลือครับ.


พรุ่งนี้มาฟังตอนจบของเรื่องสั้นเรื่องนี้นะครับ


08 ตุลาคม 2558

ซีรี่ส์ อาหาร ตอนที่ 4

ความเดิมจากตอนที่แล้ว คุณเคนได้ให้ความรู้เกี่ยวกับ ไขมัน กับสาวๆในฟิตเนสแล้ว ก็ได้ชวนไปซูเปอร์มาร์เกต ลองของจริง

นิ้วก้อย : รอนานแล้วนะเนี่ย เมื่อไหร่จะมากันสักที (แล้วก็ก้มหน้าก้มตา เล่นไอโฟนต่อไป)
ตึ้งตึ่ง !!! เสียงไลน์-- พี่ๆพวกหนูมาถึงแล้ว สักพักแล้ว ดูพี่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่พี่ไม่ยอมเงยหน้า เลยต้องไลน์เข้ามา-- ไลน์จากแมวเหมียว
นิ้วก้อยเขินจัดแล้วเดินข้ามถนนมา พี่เอื้อมใจทักเลย : คุยกับใครอยู่สาวน้อย ตั้งหน้าตั้งตาเชียว
นิ้วก้อย : เปล่าหรอกพี่ อ่านเพจ "อายุรศาสตร์ ง่ายนิดเดียว" อยู่ค่ะ ให้ความรู้ดีนะคะ
คุณเคน : เอาล่ะ เข้าไปเรียนนอกสถานที่ กันเถอะ
ทั้งหมดเดินไปที่ชั้นขายน้ำมันพืช คุณเอื้อมใจไปหยิบน้ำมันมะกอก มาแล้วพูดว่า : นี่ใช่ไหมคะ คุณเคน น้ำมันมะกอกที่จะมาใช้ทำอาหาร
คุณเคน : ใช่ครับ น้ำมันมะกอกเอามาใช้แทนน้ำมันพืชอื่นๆ เพราะมันประกอบด้วย ไขมันไม่อิ่มตัวแบบ MUFA ดีกว่าไขมันอิ่มตัวแบบ น้ำมันหมู หรือน้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลืองครับ
นิ้วก้อย : ใช้แทนได้เท่าที่ต้องการเลยหรือคะ

คุณเคน : ใช้แทนนะครับ ปริมาณโดยรวมก็ยังใช้ไม่มากอยู่ดี ประมาณว่า มื้อละ 1-2 ช้อนชาครับ กินมากๆก็อ้วนอยู่ดี
แมวเหมียว : แต่ซูเปอร์แถวบ้านของแมวเหมียวนะคะ
คุณเคน : ใช้น้ำมันดอกคาโนลา หรือ น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ครับ เดี๋ยวนี้มีมากแล้ว
เอื้อมใจ : แล้วน้ำมันมะพร้าวที่นิยมกันล่ะคะ
นิ้วก้อย : ที่อ่านมาจาก อาจารย์กู นะคะ เขาบอกว่า น้ำมันมะพร้าวเนี่ย เป็นไขมันอิ่มตัว แต่ว่าย่อยง่าย กินมากก็ไม่ดีค่ะ

แมวเหมียว : อาจารย์กู อีกแล้วนะพี่ ครั้งก่อนซื้อหวยก็ถามอาจารย์กู ไงล่ะ กินมาม่ากันทั้งเดือน
คุณเคน : ใช่แล้วครับ น้ำมันมะพร้าวนั้นมีไขมันอิ่มตัวสูงมาก แต่เป็นไขมันสายไม่ยาว ไม่ต้องใช้กระบวนการย่อยมากมาย นิยมในผู้ที่ทางเดินน้ำดีไม่ดี เพราะน้ำดีจากตับใช้ช่วยย่อยไขมันครับ เช่น ตัดถุงน้ำดี ท่อน้ำดีอุดตัน โรคตับเรื้อรังครับ
คุณเคนเดินไปหยิบชีส พี่เอื้อมใจก็เลยถามว่า : อ้าวคุณเคนหยิบชีสมาทำสลัด ไม่อ้วนหรือคะ คุณเคนยิ้มแล้วตอบว่า
คุณเคน : พี่เอื้อมครับ ผมตั้งใจทำสลัดแทนอาหารหนึ่งมื้อ ตั้งใจใส่สารอาหารให้ครบนะครับ มีแต่ผัก ก็ขาดอาหารแย่ ใส่ชีสดีกว่าเนยเหลว หรือ ใช้นำสลัดจากมาร์การีน เนยเทียม นะครับ
นิ้วก้อย : มันต่างกันด้วยหรือคะ

คุณเคน : ต่างมากนะครับ ชีสนี่ มีทั้งโปรตีน วิตามิน ไขมันโอเมก้าสาม ไม่มีไขมันทรานส์ เพียงแต่ว่า ชีสมีไขมันอิ่มตัวมาก ให้พลังงานสูง กินมากๆก็อ้วนครับ ก็เลยใส่ชีสดี ปริมาณไม่มากนัก เพื่อให้พลังงาน ให้โปรตีนเพิ่ม
แมวเหมียว : ชีสทั่วไปในร้าน 8-12 ใช้ได้ไหมคะ
คุณเคน : คงต้องอ่านฉลากดูก่อนครับ ว่าเป็นชีสธรรมชาติ ซึ่งดีกว่าชีสสังเคราะห์ และถ้าให้ดีควรเป็นชีสพลังงานต่ำ เช่น พาสซาเรลล่า หรือ ชีสจากนมแพะครับ
แมวเหมียว : ฉลากหรือคะ --พี่นิ้วก้อย เราเคยอ่านฉลากไหม
นิ้วก้อย : อ่านสิค้าา..นังแมวเหมียว ดิฉันก็กินคลีนนะคะ เพียงแต่..อ่านป้ายราคาก่อน
พี่เอื้อมใจ : เหมือนพี่เลย แถมพี่ดูของแถมด้วย ดูแสตมป์ด้วยค่ะ
คุณเคน --ส่ายหัว--เอาอีกล่ะ ไปนู่นอีกล่ะ : ไม่ต้องเถียงกันครับ วันนี้ผมชวนเพื่อนมาอีกคน เพื่อเตรียมมาดูเรื่องอาหารที่จะทำเสริฟในฟิตเนส เย็นนี้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการอ่านฉลากอาหารเลยนะ..อ้าวมาพอดี-- สวัสดีครับ ทุกคนนี่คือ.....

มีคนแย่งซีน น้องแก้มบุ๋ม แคชเชียร์คนสวย ตะโกนบอกว่า "พี่ๆคะ ถ้ายังไม่จ่ายเงิน ช่วยหลีกทางก่อนค่ะ ลูกค้าคนอื่นจะได้คิดตังค์ได้"

ติดตามตอนต่อไป primetime พรุ่งนี้ 19.00น ตามเดิมครับ

07 ตุลาคม 2558

ซีรี่ส์ อาหาร ตอนที่ 3

ความเดิมจากตอนที่แล้ว แมวน้อยกำลังถามคุณเคนเรื่อง ไขมันทรานส์ พอดีพี่เอื้อมใจวิ่งหนีเจ้าหนี้ไปชนกับอีกคนเข้า พอดี

เอื้อมใจ : คุณคือ....
คุณเคน : สวัสดีครับ น้าเดช
ทุกคนร้องพร้อมๆกัน ว้ายยย ณเดชณ์ คุณเคนคุณรู้จักณเดชน์ด้วย แนะนำด้วยสิคะ สิคะ สิคะ (คุณเคนเริ่มรำคาญ)
คุณเคน : นี่คือน้องของแม่ผมครับ แกชื่อเดช ก็คือ น้าเดช เข้าใจไหมครับ!!! น้าแกมารับน้ำมันที่ใช้แล้วไปทำ ไบโอดีเซล

น้าเดช : ใช่แล้วน้อง น้ำมันที่ใช้แล้วนี่ มันแย่มากเลยนะ แต่ก่อนพี่ก็กิน แต่คุณเคนแกแนะนำเรื่องไขมัน ก็เลยเลิก มาทำไบโอดีเซลเลยรู้ว่าน้ำมันใช้แล้วนี่ ไม่ควรกินเลยครับ ขนาดมาทำไบโอดีเซลยังคุณภาพไม่เท่าไหร่เลย

คุณเคน : ใช่แล้วครับ อย่างที่แมวเหมียวถาม
ไขมันไม่อิ่มตัวที่เรียกว่า PUFAs นั้น ในธรรมชาติก็อาจเกิดปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้อิ่มตัวมากขึ้น แข็งขึ้น ใกล้เคียงไขมันอิ่มตัว ในธรรมชาติก็เกิดเหตุการณ์นี้ เป็นไขมันซิส..ที่ไม่ค่อยอันตราย แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง การผ่านความร้อนความดัน ในกระบวนการทางอุตสาหกรรม และการทำอาหาร ทำให้ไขมันพวกนี้เปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ ที่มีโทษทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ใกล้เคียงกับไขมันอิ่มตัวเลยนะ ลองดูข้างซองขนมบัลแกเรียของคุณเอื้อมใจดูสิ เท่าไร แกวิ่งหนีเจ้าหนี้ ลืมขนมเลย
และไขมันทรานส์นั้น ก็พบมากในเนยเทียม มาร์การีน ที่เป็นส่วนผสมของเบเกอรี่ คุกกี้ ไอศกรีม เค้ก มันฝรั่งทอด ของพวกนี้วนเวียนอยู่รอบตัวเราทั้งนั้นเลย
นิ้วก้อย : ไขมันทรานส์ 5% อย่างนี้ เยอะหรือน้อยคะคุณเคน
แมวเหมียว : อันนี้แมวขอตอบค่ะ แมวรู้ แมวเห็น ต้องเรียกว่าน้อยใช่ไหมคะ

คุณเคน : ถูกแล้วครับ จากประกาศของสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งอเมริกา และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ ได้ประกาศว่า คนเราควรบริโภคไขมันอิ่มตัวรวมกับ ไขมันทรานส์ รวมกัน ไม่เกิน 10% ของพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน และไม่ควรบริโภคไขมันทรานส์เกินวันละ 7% ของปริมาณพลังงาน
นิ้วก้อย : อย่างที่เขียนในฉลากว่า มีไขมันทรานส์ 5 % ปริมาณที่แนะนำ ไม่เกิน 7% ใช่ไหมคะ แหมดีจัง มีทั้งบอกที่มีในถุง และบอกที่ควรได้รับในแต่ละวันด้วย
น้าเดช : อย่างนี้เลยครับ การอ่านฉลากอาหาร เจ้าเคน ไปสอนผมถึงบ้าน ตอนนี้ไปเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต อ่านแล้วอ่านอีก แม่บ้านบอกว่า ถ้าตกงานละก็ ไปสมัครที่ซูเปอร์ได้เลย--'เคน น้าเดชไปก่อนละนะ พรุ่งนี้ต้องไปถ่ายละครแต่เช้า

แมวเหมียวกับนิ้วก้อย : ตกลงแกคือ ณเดชน์ปลอมตัวมาใช่ไหมคะ คุณเคน
คุณเคน คิดในใจ-- พวกนี้นี่-- แล้วตอบไปว่า : แกล้อเล่นน่ะครับ เอ้อ..พรุ่งนี้ ผมนัดพี่เอื้อมใจไปซื้อของเมนูเพื่อสุขภาพเมนูใหม่ ที่ซูเปอร์มาร์เกต คุณสองคนสนใจไปด้วยกันไหมครับ จะได้ไปเปิดสอนอาหาร
นิ้วก้อย : ทำตาโตแล้วก็บอกว่า.......

ติดตามต่อพรุ่งนี้ 1900น เวลาเดิมนะครับ

06 ตุลาคม 2558

ซีรี่ส์ อาหาร ตอนที่ 2

จากตอนที่แล้ว : น้องนิ้วก้อยกับแมวเหมียว กำลังปรึกษาคุณเคนถึงสินค้าที่ซื้อมาจากคุณเอื้อมใจ ว่าดักไขมันได้จริงหรือไม่ คุณเอื้อมใจก็เดินมาพอดี

คุณเคน : กำลังคุยเรื่องไขมันน่ะครับ สองสาวนี่เขาสนใจสุขภาพ
เจ๊เอื้อม : นี่ล่ะค่า..สินค้าตัวใหม่ของพี่ ขนมกรอบตัวใหม่ สั่งมาจากบัลแกเรีย ยืนยันไขมันอิ่มตัวน้อยกว่า 10% ค่ะ
น้องก้อย : ว้าว เริ่ดมากเลยค่ะพี่
แมว : เริ่ดอีกล่ะพี่ เริ่ดทู้กอย่าง ถามจริงนะพี่ พี่รู้จักไขมันอิ่มตัวไง
ก้อย : รู้สิแก ไขมันอิ่มตัวก็คือ ไขมันที่กินแล้วอิ่มเร็วไง. อิ่มเร็วก็ไม่อ้วน
คุณเคน (ส่ายหัว) : เอาละๆ พอๆ ไม่ต้องเถียงกัน ผมช่วยนะ ไขมันอิ่มตัวเนี่ย มันจะคงรูป ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง เช่น ไขมันในสัตว์ หมูติดมัน ไก่มีหนัง เนย น้ำมันสัตว์ น้ำมันปาล์ม ส่วนไขมันไม่อิ่มตัวส่วนมากจะเหลว หรือสกัดออกมาได้ เช่น น้ำมันปลา น้ำมันธัญพืช
เจ๊เอื้อม : อย่างงี้ อันไหนจะดีล่ะคะ คุณเคน
คุณเคน : ว่ากันตามข้อมูลแล้ว ไขมันอิ่มตัวทำให้อ้วน และเกิดโรคหัวใจมากกว่านะครับ
แมว : อ้าว..ยังงี้ก็แจ่มแมว ไปหาไขมันไม่อิ่มตัวมาบริโภคซะ
ก้อย : อย่า..แก..พี่ถามอาจารย์กู มาแล้ว ไขมันไม่อิ่มตัวใช่ว่าจะดีทุกตัว จริงไหมคุณเคน
คุณเคน : น้องนิ้วก้อยครับ กูเกิ้ลบางทีก็ต้องดูที่มาข้อมูลด้วยนะ เชื่อไปหมดจะเสียหายนะครับ
ก้อย : ไม่ใช่กูเกิ้ลหรอกค่า

แมวแทรกขึ้นมาทันที : "กู"เองแหละ ไม่ใช่กูเกิ้ลหรอก ใช่ไม๊พี่
เจ๊เอื้อม : พอๆแล้วเด็กๆ พี่ขอถามคุณเคนล่ะกัน ไอ้ไขมันไม่อิ่มตัวเนี่ยมันดีไหม แล้วจะเลือกอย่างไร
คุณเคน ทำตาซึ้งๆ หล่อๆ ซับเหงื่อพอเท่ๆ แล้วพูดเสียงทุ้มนุ่มราวกับ ชรินทร นันทนาคร
ไขมันไม่อิ่มตัวคือไขมันที่ยังสามารถ แปรสภาพทางเคมีอีกได้ครับ มีไขมันไม่อิ่มตัว mono-unsaturated หรือ MUFAs กับ poly-unsaturated หรือ PUFAs ครับ mufa ควรเอามาใช้แทน ไขมันอิ่มตัว ที่วางขายกันก็มี น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกคาโนลา น้ำมันเมล็ดฝ้ายหรือแฟล็กซีด พี่เอื้อมรู้ไหมแต่ก่อนเรียก rapeseed พอแปลไทยแล้วไม่ค่อยเพราะ

ก้อย : ก้อยว่าก็เซ็กซี่ดีนะคะ
แมว : พี่..หนูว่าพี่เริ่มเยอะแล้วนะ
เอาล่ะๆ ฟังต่อ ส่วนไขมัน pufa นั้น ที่นิยมกันคือ ส่วนประกอบของ โอเมก้าสาม ที่มี EPA และ DHA ช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือด ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ เราพบมากในปลาทะเลครับ ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ในกระป๋องนะครับ ปลาทูก็มีนะ แนะนำกินปลาทะเล สัปดาห์ละสองครั้งครับ
เจ๊เอื้อม : ดีค่ะ พี่จะไปเหมามาเลย
คุณเคน : แค่ก็ต้องระวังสารปรอทในเนื้อปลาด้วยครับ ควรเลือกปลาสด จากแหล่งที่กระทรวงสาธารณสุขรับรองครับ
แมว : แล้วไขมันทรานส์ล่ะคุณเคน แมวเหมียวเห็นข้างถุงขนมเขียนไว้ มันเป็นพวกไหนล่ะคะ

เจ๊เอื้อม..อุ๊ย..พักไว้ก่อนนะ ยัยบุ๋มบิ๋มมาทวงค่าแชร์แล้ว พี่หนีก่อน ...ว้าย..ชนเลย ขอโทษค่ะ คุณ.....
ติดตามตอนต่อไป primetime 1900น พรุ่งนี้

05 ตุลาคม 2558

ซีรี่ส์ อาหาร ตอนที่ 1

ขอทำซีรีส์อย่างที่คนอื่นๆทำบ้างนะครับ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการ ที่เกิดในสังคมยุคปัจจุบัน โดยขอแนะนำตัวละครดังนี้ครับ

1.น้องนิ้วก้อย..สาวออฟฟิศช่างฝัน อยากมีหุ่น
สวย จึงทำทุกอย่างให้..สวยจากข้างใน
2.แมวเหมียว..ลูกน้องคนสนิทของนิ้วก้อย ติดตาม
ก้อยไปบ่อยๆ ประมาณคุยถูกคอ แต่เป็นคนกวน
ส้นตึก
3.เอื้อมใจ..คุณนายลูกสอง ขายของออนไลน์
ขายตรง เปิดท้าย ชอบเม้าธ์ มาเปิดร้านกาแฟ
ในฟิตเนส
4. คุณเคน ทีละบาท เจ้าของฟิตเนส กูรูเรื่อง
อาหาร หล่อมาก แต่ครองตัวเป็นโสด เพราะ
เชื่อว่า การมีคู่จะทำให้ตัวเองแก่เร็ว คุณเคน
รับบทโดยแอดมินเองครับ

เรื่องราวเกือบทั้งหมดเกิดในฟิตเนสของคุณเคน
ก้อย : แมวๆ พี่เอื้อมมาบอกชั้นว่า มีอาหารตัวดักไขมันตัวใหม่ สั่งมาจากออสเตรเลียเลยนะ กินแล้วผอมชัวร์
แมว : อีกล่ะพี่ สูตรที่แล้วยังเหลืออีกตั้งครึ่งกระปุก แพงก็แพง แถมไม่ผอมอีก ที่ผอมเนี่ย หมดตังค์กินข้าวมากกว่ามั้งพี่
งั้นลองถามคุณเคนดูมั้ยพี่ แกปั่นจักรยานเงียบๆอยู่คนเดียว
คุณเคน : เรื่องนั้นหรือครับ ดักจับไขมัน ไม่มีอะไรไปดักมันได้หรอกครับ เพราะไขมันมันดูดซึมอิสระผ่านเซลลำไส้ และอีกเกือบ 70% เกิดจากการเอาไขมันมาสร้างใหม่ ถึงยับยั้งได้จริง ก็เป็นสัดส่วนน้อยมากๆนะ
ก้อย : อ้าว...แล้วทำไม นน.มันลดลงล่ะคะ
แมว : นั่นสิคุณเคน พี่เอื้อมใจแกโชว์ให้ดูเลยนะ
คุณเคน : มันก็ลดลงจริงนะ แต่คุณเอื้อมใจ ก็ทำอย่างอื่นไปด้วย ลดแป้ง ลดปริมาณการกิน ออกกำลังกายมาก พอใช้ผลิตภัณฑ์นี่นิดเดียวผลเลยมาก
แมว : หมายความว่า มันหลอกหนูหรอคะ แหม หมดเงินไปตั้งมาก
คุณเคน : น้องนิ้วก้อยก็อย่าไปหัวเราะเขาสิครับ จริงๆแล้ว ไอ้เจ้า plant sternol หรือ คอเลสตอรอล จากพืชนั้น มันจะทำให้การดูดซึมไขมันทำได้ไม่ดีนัก เหมือนไปบังๆเอาไว้ เลยดูดไม่ถนัด และถ้ามี fiber ที่ละลายน้ำได้ ก็จะทำให้การดูดซึมลดลงครับ
น้องก้อย (ทำตาโต) : ว้าว แล้วมันมีอยู่ในอะไรคะเนี่ย
แมว : เยอะอีกแล้วนะพี่
คุณเคน : ก็มีอยู่ในเมล็ดธัญพืช เช่น ถั่วพิสตาชิโอ เมล็ดแฟลกซ์ โอ๊ต กระเทียม เลยแนะนำพวกนี้เป็นของว่างหรือ เพิ่มในมื้ออาหารเช่นสลัดผักไง หรือไฟเบอร์ในข้าวกล้องก็มีนะ
แมว : แย่แล้ว คุณเคน พี่เอื้อมใจเดินมา คุณอย่าฟ้องแกนะ ว่าพวกหนูมาบอกว่าใช้ของแกอยู่แล้วไม่เวิร์ก
เอื้อมใจ : คุยอะไรกันค้าาา สาวๆ
คุณเคน : อ๋อ..พอดีพูดเรื่อง....
ติดตามตอนต่อไป primetine 1900 น พรุ่งนี้ครับ

04 ตุลาคม 2558

ที่สุดของการเป็นนักศึกษาแพทย์

ที่สุดของการเป็นนักศึกษาแพทย์

ช่วงสัปดาห์นี้ ได้อ่านเพจ 1412 cardiology แอดมินชอบเล่าความหลังบ่อยๆ วันอาทิตย์เบาๆนี้ผมขอรำลึกความหลังสมัยเป็นช่วงชีวิตที่สนุกที่สุดของการเป็นนักศึกษาแพทย์ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน สมัยที่้เป็นนักศึกษาแพทย์เวชปฏิบัติ หรือ นศพ.ปี 6 หรือ extern ครับ externที่ทางคณะถือว่าเรียนมาครบทุกอย่างแล้ว ถึงเวลาปฏิบัติงานจริงๆ เสมือนแพทย์จริงๆ ภายใต้การกำกับดูแลของอาจารย์ ซึ่งต้องผ่านครบทุกแผนกครับ แต่ที่ผมจะมาเล่าให้ฟังนี้ เป็น ช่วงที่เราผ่านอายุรศาสตร์ (แหงล่ะ ชื่อเพจก็ อายุรศาสตร์ง่ายนิดเดียว นี่นา)

0600 : ต้องตื่นแล้วครับ ก็จะตื่นกันยกชั้นเลยครับในหอพักชาย เพราะทุกวอร์ดมักเริ่ม ราวนด์วอร์ด หรือตรวจคนไข้พร้อมๆกัน เวลา 0700 เราทำทุกอย่างเร็วมากครับ เวลา0620 ก็จะเห็นพวกเราพาเหรดลงมาจากหอพัก มือมักจะมีแซนด์วิช หรือ นม หรือ กาแฟกระป๋อง เดินไปกินไป อันนี้ไม่ดีนะครับ แต่เราต้องทำเวลา

0630. : เราจะไปพร้อมบนหอผู้ป่วยแล้ว ดูสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทั้งที่คาดไว้ คือ ส่งเวรไว้ และไม่คาดหวัง คือเหตุฉุกเฉินต่างๆ และเมื่อคืน ทีมแพทย์เวรเขาแก้ไขอะไรไป ตรวจผู้ป่วยคร่าวๆที่จำเป็น เช่น ติดตามความดัน วัดค่าปอด ตามผลเลือดที่ส่งตรวจเมื่อเช้า บันทึกผล รอพี่เรซิเดนท์มาเป็นผู้นำทีม

0700 : เริ่มราวด์วอร์ดเช้าครับ ตรวจ นำเสนอเคส ถูกพี่ด่า ฟังพี่สอน วางแผนการรักษาที่จะต้องทำวันนี้ จดงาน (จดให้มดงาน คือ นศพ. ปี 4 และ ปี 5) ซึ่งจะมีทั้ง พี่ประจำกลุ่มเรา และ พี่ๆที่มาจากหน่วยย่อยอื่นๆ เช่น แผนกหัวใจ ไต หรือจากต่างแผนกเช่น ศัลยกรรม ที่จะมามะรุมมะตุ้ม ตรวจคนไข้ช่วง เจ็ดโมงเช้าถึงแปดโมงครึ่ง คิดดูนะครับ เราจะหัวหมุนแค่ไหน ทักษะการจัดการขั้นสูง ต้องงัดมาใช้เต็มที่ และหลังจากนั้น แปดโมงครึ่ง พี่ๆต้องไปเข้าร่วมกิจกรรม morning report คือเอาผู้ป่วยที่รับมาเมื่อคืนที่น่าสนใจ มานำเสนอในที่ประชุม ให้อาจารย์ทั้งภาควิชารุมสอน (รุมยำ)

0830-1200 : เริ่มงานครับ บางคนออกตรวจผู้ป่วยนอก ก็จะไปตรวจกับอาจารย์ครับ ส่วนคนที่อยู่ที่หอผู้ป่วย ก็จะทำงานต่างๆเกี่ยวกับผู้ป่วย ดังนี้
- หัตถการเกี่ยวกับผู้ป่วย เช่น เจาะเลือดแดง
เจาะท้อง เจาะน้ำไขสันหลัง
- งานวิเคราะห์ พวกนี้มักจะมีน้องๆ ปีสี่ ปีห้า มา
คอยช่วย สัมพันธภาพมักจะเกิดตอนนี้แหละ
ครับ เช่น เก็บเสมหะมาย้อมเชื้อ ตรวจอุจจาระ
อ่านฟิล์มเอ็กซเรย์
- งานคลินิก รับผู้ป่วยใหม่ ตรวจร่างกายผู้ป่วย
เดิม เพื่อติดตามอาการ อภิปรายปัญหากับ
อาจารย์ประจำวอร์ดที่จะมาประมาณ 10.30
หรือคอยเรียนรู้กับอาจารย์แผนกต่างๆ ที่จะมา
ตรวจผู้ป่วยที่ได้รับปรึกษา
- งานเสมียน เอกสารทุกอย่างครับ ใบรับผู้ป่วย
ใบส่งปรึกษาระหว่างแผนก ใบติดตามผู้ป่วย
โทรขอเลือด ติดต่อส่งผู้ป่วยไปเอ็กซเรย์
งานพวกนี้มีค่านะครับ เราจะได้รู้ว่าสิ่ง
ที่ต้องใช้ในการเตรียมผู้ป่วยไปตรวจนั้น มีอะไร
บ้าง

1200 : ฟรีไทม์ ที่ไม่ค่อยฟรีครับ ในทีมมักจะต้องค่อยๆทยอยกันไป แบ่งกันไป จะได้มีคนอยู่ติดวอร์ดตลอดครับ ที่ชอบที่ชอบ ของเราก็โรงอาหารของโรงพยาบาลนั่นเองครับ บางคนก็แวะไปอาบน้ำ หลังจากที่อยู่เวรมาทั้งคืน และทำงานตลอดเช้านี้

1300-1500. : ก็จะเก็บงานช่วงเช้าที่ยังเก็บไม่หมด รับผู้ป่วยรายใหม่ ติดตามผลแล็บที่ส่งเมื่อเช้า เพื่อเตรียมตัวราวด์วอร์ดตอนเย็น ช่วงบ่ายนี้งานจะเสร็จเร็วครับ เพราะเพื่อนๆที่ไปออกตรวจผู้ป่วยนอกช่วงเช้าจะกลับมาช่วยเราแล้ว แต่ว่าน้องๆปีสี่ ปีห้า มักจะไปเรียนในช่วงเวลานี้ครับ
บางทีก็ต้องอ่านตำราเตรียมรับมือกับการนำเสนอเคสกับอาจารย์ แต่ก่อนไม่มีอินเตอร์เน็ทง่ายๆ แบบนี้นะครับ อ่านเป็นหนังสือเล่มโตๆนั่นแหละครับ

1500-1600. : เป็นเวลาเรียนเล็คเชอร์ของพวกเราครับ แต่ก็ไม่ได้เรียนทุกวันนะครับ ก็แล้วแต่อาจารย์ด้วยว่าว่างไหม เกือบห้าสิบเปอร์เซนต์ของพวกเรา --หลับครับ--

1600-เสร็จงาน : ช่วงเย็นนี้ไม่มีกำหนดเวลาครับ เป็นการราวด์ตอนเย็น เพื่อสรุปแผนการรักษาที่ทำไปทั้งวัน พี่สอนน้องข้างเตียง สรุปรวบยอดในผู้ป่วยแต่ละราย และเตรียมตัวสิ่งที่จะทำพรุ่งนี้ ภารกิจอีกอย่างที่สำคัญคือ ส่งข้อมูลผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพื่อส่งต่อกับทีมที่อยู่เวรในคืนนี้

หลังจากราวด์วอร์ดเสร็จ ก็จะต้องทำงานก่อนลงวอร์ด เช่น ทำแผลผู้ป่วย เตรียมยาเคมีบำบัด โดยทั่วไปก็ประมาณ 1800-1900 ครับ บางทีพี่ก็พาไปเลี้ยง แต่ส่วนมากกลับมาก็อ่านหนังสือต่อ เพราะว่าเราใช้เวลาหมดวันไปแล้ว ต้องมาอ่านหนังสือเตรียมสอบตอนนี้แหละครับ

ท่านๆที่อ่านจบแล้ว อย่างแรกขอคารวะ อดทนมากๆ และอยากถามว่า ท่านทราบชื่อตึกที่ผมขึ้นทำงานในเรื่องนี้ไหมครับ

03 ตุลาคม 2558

หมอไม่เข้าใจคนไข้

สวัสดีครับ สัปดาห์ที่ผ่านมาจัดหนักวิชาการเต็มๆ เสาร์อาทิตย์นี้มาผ่อนคลายเบาๆบ้างนะครับ เราเคยยกปัญหาว่าคนไข้ไม่เข้าใจหมอ ผมจะลองยกปัญหา "หมอไม่เข้าใจคนไข้" บ้างครับ
แจ้งก่อน..ไม่ได้กวนทีนนะครับ เป็นความงงแฝงวิชาการ

1. "หมอครับ ทำไมกินอาหารเผ็ดทีไร ปวดท้องทุกที" อ้าว..แล้วกิน"อีก" ทำไมล่ะครับ ไม่อยากปวดก็ไม่ต้องกินเผ็ดครับ หมอรู้จักร้านอาหารที่เขาทำอาหารรสเปรี้ยวอร่อยนะ --ความจริงคือ การลดปัจจัยเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ--

2. "หมอครับ ยาตัวนี้กินแล้วคลื่นไส้ ผมเลยลดเป็นกินวันละครั้ง" โถๆๆๆ พ่อคุณ แทนที่คลื่นไส้มากจะมาเปลี่ยนยา เลือกกินวันละครั้ง จากที่ควรกินวันละสามครั้ง โรคจะหายไหมล่ะครับ --ความจริงคือ ผลข้างเคียงอาเจียน ไม่ขึ้นกับขนาดยาครับ กินเม็ดเดียวก็อาเจียนได้--

3."หมอครับ ยาเบาหวานผมหมด เลยไปเอาของข้างบ้านมากิน" เฮ้อออ..ข้างบ้านเขากินยาเหมือนกัน ขนาดเดียวกันหรือไง เดี๋ยวตับวาย ไตวาย น้ำตาลต่ำ ข้างบ้านจะ "น้ำตาตก" --ความจริงคือ การรักษาโรคเรื้อรังเป็นการตัดเสื้อให้เหมาะกับคนๆเดียว ไม่ควรใช้ร่วมกัน--

4."หมอครับ ลุงไปตรวจคลินิกแถวบ้าน หมอที่คลินิกสงสัยไข้เลือดออก วันนี้จะมาเอกซเรย์" ลุงครับ ลุงฟังผิดหรือเปล่า ไข้เลือดออกน่ะ เอกซเรย์ทั้งตัวมันก็ปกติครับ หรือลุงเป็นกระดูกหักหรือเปล่า ?? --ความจริงคือ การตรวจทางห้องแล็บจะตรวจเฉพาะแบบของโรค ไม่ใช่ตรวจอย่างเดียวรู้ทุกโรค--

5."หมอคะ ป้าเป็นเบาหวาน ความดัน ไตวาย หัวใจตีบ ไขมันสูง ไทรอยด์ต่ำ ลมชัก วันนี้เพลียมาก มาตรวจสุขภาพ อยากรู้เป็นอะไร" ป้าที่รักครับ ป้ามีโรคที่วินิจฉัยแล้วตั้งเยอะ จะตรวจโรคใดอีกครับ สุขภาพป้าไม่ดีแน่ๆ --ความจริงคือ ผลการตรวจที่ออกแบบให้คนปกติ ถ้าเอาคุณป้าไปตรวจ มันไม่ปกติสักตัวเลยครับ ก็คือ แปลไม่ได้นั่นเอง--

6."หมอ..ที่หมออธิบายมาทั้งหมดนี่...พูดจริงหรือเปล่าคะ ?"
หมอ......อ๊ากกกกก....สตั๊นท์ไปตลอดชีวิต

ปล.ข้อหกนี่ เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ หลังอธิบายโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไมแอสธีเนีย เกรวิส (myasthenia gravis) พร้อมวาดภาพประกอบอยู่ 40 นาที

02 ตุลาคม 2558

บาส่งเสริมสมรรถภาพเพศหญิง

ผมเคยเขียนบทความเรื่องเพศสุขภาพ ทั้งหญิงและชาย ไปเมื่อสองเดือนก่อน และได้สรุปว่าปัญหาเพศหญิงนัั้น ซับซ้อน และขึ้นกับอารมณ์ความรู้สึกเป็นหลัก แต่ก็ยังได้ข่าวยาสำหรับเพศหญิงมาเป็นพักๆ ลองอ่านย้อนหลังได้ตามลิงค์นี้ครับ


ยานี้ชื่อว่า "flibanserin" เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อสารสื่อประสาท ซีโรโทนิน ทางองค์การอาหารและยาแห่งอเมริกาเพิ่งรับรองการใช้เมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา สำหรับหญิงที่ไม่มีปัญหาด้านจิตใจหรือร่างกาย แต่ก็ยังขาดความต้องการทางเพศและขาดความสุขในชีวิตคู่ เรียกชื่อโรคนี้ว่า hypoactive sexual desire disorders และ female sexual arosal disorders มีรายงานการเกิดโรคประมาณ 5-15% ของประชากร (อเมริกา)

ยาออกแบบมาสำหรับหญิงที่ยังมีประจำเดือนอยู่ รับประทานหนึ่งเม็ดก่อนนอน ทุกวันครับ ไม่ได้เหมือนยาในผู้ชายที่ใช้ก่อนมีกิจกรรม ยาอาจทีผลข้างเคียงคือง่วงซึม ( ฮา..ตกลงเอาไง) และห้ามใช้ถ้าคนนั้นดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีโรคตับ และต้องระวังปฏิกิริยากับยาอื่นๆด้วย จะเห็นว่าใช้ยากครับ จึงไม่ได้แนะนำเป็นทางเลือกแรกของการรักษาและยังต้องใช้ภายใต้การควบคุมเพื่อดูผลที่จะเกิดต่อไป

ยายังไม่จำหน่ายในประเทศไทยครับ ต้องรอต่อไปก่อนครับ
 ข้อมูลจาก jama, american collages of obstretics and gynaecology

01 ตุลาคม 2558

โรคกรดไหลย้อน (gastro-esophageal reflux disease)

โรคกรดไหลย้อน (gastro-esophageal reflux disease)

ประมาณปีที่แล้วมีมุกว่า ถ้าเราไปกดไลก์ใครในเฟซบุ๊ค แล้วเขากดไลก์กลับคืนมาก็จะเรียกว่า---- "กด-ไลก์-ย้อน"----

โรคกรดไหลย้อน เกิดจากความผิดปกติของหูรูดหลอดอาหารด้านล่างผิดปกติ หลอดอาหารเชื่อมต่อระหว่างปากกับกระเพาะ วางตัวเป็นแนวยาวหลังกระดูกกลางอก-- อยากทราบว่าอยู่ตรงไหนลองดื่มน้ำเย็นจัดๆดูครับ มันมีหูรูดบนและล่าง เพื่อกันอาหารไหลย้อนกลับ ไม่งั้นก็สำลัก ไอ้เจ้าหูรูดล่างตรงที่ต่อกับกระเพาะอาจเปิดๆปิดๆ ไม่สัมพันธ์กับจังหวะการกลืน หรือ เปิดเองโดยที่ไม่ได้มีอาหาร หนักสุดก็อาจเปิดค้างตลอดเวลา ทำให้อาหารหรือ กรดในกระเพาะที่ไม่ควรกลับขึ้นมา ก็กลับขึ้นมาได้

เนื่องจากมันเปิดๆปิดๆ ไม่เหมือนกันในแต่ละคน อาการจึงต่างกันออกไป เช่น มีอาการแสบๆร้อนๆ ตั้งแต่ลิ้นปี่ร้อนร้าวขึ้นมาคอหอย (อาการอันนี้ค่อนข้างเฉพาะ) หรือบางคนก็ย้อนนิดเดียว แค่แน่นๆ หลังกินอาหาร หรือมีอาหารขย้อนอาหารขึ้นมาโดยที่ไม่ได้คลื่นไส้ เพราะหูรูดมันเสีย (อาการนี้ก็เฉพาะครับ) บางคนก็เรอบ่อยๆ อาจสัมพันธ์กับมื้ออาหารหรือไม่ก็ได้ ย่อหน้านี้ผมหมายถึงถ้าร่างกายเราตอบสนองไวต่อกรดนะครับ

ในบางกรณี กรดก็ไม่ได้ไปทำลายทางเดินอาหารแต่ไหลย้อนไปเกิดอาการที่อื่นๆ เช่น ไหลลงหลอดลม เกิด ไอเรื้อรัง หอบหืด ไหลไปที่สายเสียง เกิด เสียงแหบ ไหลไปที่ช่องปาก เกิด ฟันผุ มีกลิ่นปากได้
เรียกได้ว่าอาการหลากหลายและเป็นโรคที่วินิจฉัยยากอันหนึ่ง
ส่วนมากแล้วอายุรแพทย์จะใช้อาการและความเสี่ยงเป็นหลักในการวินิจฉัย แล้วให้ยาเพื่อดูการตอบสนอง (therapeutic diagnosis) ส่วนการวินิจฉัยจริงๆต้องสอดสายไปวัดความเป็นกรดที่หลอดอาหารตลอด 24 ชั่วโมง ก็จะทำในรายที่ไม่ตอบสนองการรักษา หรือ ผลการส่องกล้องไม่ชัดเจน แต่มันยุ่งยากครับ ทำได้ไม่กี่ที่ ส่วนการส่องกล้องเราก็ไม่ได้ทำเพื่อรักษา แต่เราทำเพื่อแยกโรคอื่นๆ และถ้าเป็นนานๆก็ส่องดูความรุนแรงและตัดชิ้นเนื้อดูการอักเสบ

การรักษาแบบใช้ยาก็จะใช้ยาลดกรดในขนาดสูงและบางครั้งให้ยาลดกรดสองชนิด ชนิดที่สองกินก่อนนอนด้วยเพื่อรักษาอาการช่วงนอนกลางคืน (หูรูดมันไม่หลับไม่นอนเหมือนเรานะครับ) และมักจะเริ่มใช้ยาในขนาดสูงมากๆก่อน แล้วจึงค่อยๆปรับลดลงมาจนได้ขนาดต่ำที่สุดที่จะควบคุมอาการได้ และอาจลดลงเป็นกินยาเมื่อมีอาการเท่านั้น และ ก็ต้องใช้ร่วมกับการปรับชีวิต งดอาหารย่อยยาก กินน้อยลง งดเหล้า งดบุหรี่

ยาลดกรดใช้ในขนาดเช้า-เย็น (double dose proton pump inhibitor) และยาลดกรดอีกชนิดก่อนนอน (bedtime H2RA) หรืออาจใช้ยาลดกรดกลุ่มใหม่ที่ออกฤทธิ์ยาวนาน เช่น dexlansoprazole เป็นต้น
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการมากๆ รักษาด้วยยาไม่ได้ผล อาจต้องผ่าตัดรักษาครับ

โรคนี้ถ้ารุนแรงและเรื้อรัง ก็จะมีโอกาสที่กรดจะไปทำให้ เซลหลอดอาหารส่วนล่างเกิดการแปรเปลี่ยนรูป เรียกว่า Barrett's esophagus ที่อาจจะกลายไปเป็นมะเร็งที่อัตราเสี่ยง 0.2-2% ต่อปี ถ้ามีภาวะนี้อาจต้องส่องกล้องติดตามบ่อยๆ หรือผ่าตัดเลยครับ