31 สิงหาคม 2562

ยาสเตติน ก่อนที่แนวทางฉบับ ESC 2019 จะออกมา

เมื่อลุงหมอเจอคนขี้สงสัย : ยาสเตติน ก่อนที่แนวทางฉบับ ESC 2019 จะออกมา เข้าใจพื้นฐานกันก่อน
🤔คนขี้สงสัย : ลุงหมอ ที่เขาว่าโคเลสเตอรอลไม่ใช่เหตุของโรคหลอดเลือด มันจริงไหม
ลุงหมอ : โคเลสเตอรอล ไขมันต่าง ๆ ที่อยู่ในรูป LDL เป็นสาเหตุอันหนึ่งของโรคหลอดเลือดแดงตีบตัน มันไม่ใช่สาเหตุอันเดียวก็จริง แต่ก็เป็นสาเหตุที่สำคัญมากอันดับต้น
🤔คนขี้สงสัย : เห็นหลาย ๆ คนว่าขนาดกินยามาตลอด มีการใช้ยามาตลอด โรคหัวใจยังเพียบ แบบนี้มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรอะดิ
ลุงหมอ : มันจะใช้ยาอย่างเดียวไม่ได้สิ ปัจจัยอื่นก็ต้องคุมด้วย ไม่ว่าลดอาหารไขมัน ลดน้ำหนักตัว ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หยุดสูบบุหรี่ ค้นหาโรคร่วมเช่นเบาหวาน ความดันแล้วคุมให้ดีด้วย ไม่ใช่ว่าใช้ยาอย่างเดียวแล้วไม่ต้องทำอะไรเลย
🤔คนขี้สงสัย : แต่ตอนนี้โรคหัวใจก็ยังเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่ง การใช้ยามานับสิบปีไม่เห็นช่วยอะไร
ลุงหมอ : อันนี้ต้องแยกประเด็น โรคหัวใจยังเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งอันนี้จริง แม้ว่าเรามีการรักษาและป้องกันที่ดี แต่ว่ายังไม่ดีพอ มันเป็นการควบคุมระยะยาวที่ยากและลำบากที่จะทำตาม แต่ที่ว่าการใช้ยาไม่ช่วยอะไรนั้นไม่จริง เพราะเมื่อเทียบกับอดีตที่ไม่มียานั้น อัตราตายในยุคนี้ลดลงมากมาย แต่เพราะมันเยอะมากไง ลดลงเท่าไรก็ยังครองอันดับหนึ่ง อีกอย่างจะบอกว่าไม่ลดลงคงไม่จริงเพราะเทคโนโลยียา การสวนหัวใจการผ่าตัด บอลลูน มันลดการเสียชีวิตลงมหาศาลมาก ๆ และทั้งหมดต้องใช้ร่วมกัน
🤔คนขี้สงสัย : ถ้าอย่างนั้น เราจะต้องกินยาทำไมถ้าเทคโนโลยีการรักษามันดีขนาดนั้น
ลุงหมอ : คุณอยากป้องกันไม่ให้เกิดโรคหรือรอให้เกิดโรคก่อนค่อยป้องกันล่ะ บางคนเกิดโรคแล้วไม่มีโอกาสมาป้องกันด้วยซ้ำ
🤔คนขี้สงสัย : ถ้าลุงหมอบอกว่ามันมีหลายสาเหตุ และไขมันเป็นเหตุหนึ่ง ถ้าไขมันเราไม่สูง ทำไมต้องกินยา
ลุงหมอ : เราเรียนรู้และศึกษาจนไม่ได้ใช้ค่าไขมันอย่างเดียวมาตัดสินอีกแล้ว เราใช้ค่าความเสี่ยงรวมจากหลายปัจจัยนี่แหละมาพิจารณาการให้ยาเพื่อลดความเสี่ยง ไม่ใช่ลดไขมันอีกต่อไป ถ้าค่าความเสี่ยงสูงพอก็คุ้มค่าที่จะกินยาเพื่อลดความเสี่ยงเพิ่มเติมจากการปรับเปลี่ยนชีวิตที่ต้องทำอยู่แล้ว มีแต่ถ้า LDL เกิน 190 หรือเป็นโรคแล้วเท่านั้นแหละที่ไม่ต้องมาคำนวณความเสี่ยง
🤔คนขี้สงสัย : คุ้มค่าพอ หมายความว่าไง
ลุงหมอ : การใช้ยามันมีความเสี่ยงโทษ เจ้ายาสเตตินเนี่ย ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบได้ ทำให้ตับอักเสบเล็กน้อยและชั่วคราว เพิ่มโอการเป็นเบาหวานและมีปฏิกิริยาระหว่างยาอื่น ๆ เจ้าผลเสียจากสเตตินเนี่ยมันพบน้อยมากเลยนะ แต่อย่างไรมันก็เสี่ยงถูกไหม เราจึงมาคำนวนความเสี่ยงว่าถ้าประโยชน์ในการลดโรคลดอัตราตายมันมากกว่าโทษ มันก็มีคุณค่าพอที่จะให้ยา ยิ่งเสี่ยงมากจะยิ่งคุ้มค่า
🤔คนขี้สงสัย : ถ้ากินยาจนไขมันลดลง แล้วหยุดได้ไหม
ลุงหมอ : อย่างที่บอก เรากินยาเพื่อลดความเสี่ยงเท่าที่ลดได้ การหยุดยานั้นนอกจากทำให้ระดับไขมันอาจเพิ่มขึ้น จะทำให้อัตราการเกิดโรคและอัตราตายเพิ่มขึ้นด้วย เพราะกลไกยามันไม่ได้ลดไขมันอย่างเดียวนั่นเอง มันลดการอักเสบหลอดเลือด คงสภาพผนังหลอดเลือด พิสูจน์ชัดเจนว่าแม้ไขมันไม่เพิ่ม การกินยาสเตตินจะยังลดความเสี่ยงต่อไปได้
🤔คนขี้สงสัย : งั้นก็ละลายน้ำ ผสมน้ำดื่มให้ทุกคนเลยสิ ถ้ามันดีขนาดนี้
ลุงหมอ : อย่าลืมความเสี่ยงโทษของยาไง มันจะมีประโยชน์สูงถ้าเราคัดเลือกคนที่จะมาให้ยาให้เหมาะสม แต่ถ้าเราไม่คัดเลือกเลยจะมีคนที่ไม่ได้ประโยชน์หรือมีโทษมากขึ้น การคัดเลือกก็ย้อนกลับมาที่การคำนวณความเสี่ยงนั่นเอง อีกอย่างการที่จะให้คนคนหนึ่งกินยาไปตลอดก็คงต้องมีเหตุผลเพียงพอและอธิบายให้เข้าใจ
🤔คนขี้สงสัย : คนเกิดโทษจากยามีมากไหม
ลุงหมอ : น้อยมาก อ้อ..การทำงานของตับผิดปกติ มันเกิดชั่วคราวเท่านั้นแถมไม่มีอันตรายด้วย ส่วนที่เคยพบไขมันเกาะตับ ส่วนมากมันเกิดจากไขมันสูง การดื้ออินซูลิน ที่พบร่วมกับโรคอ้วนและไขมันในเลือดสูง ไม่ใช่จากยา
🤔คนขี้สงสัย : ถามจริง เป็นอิทธิพลจากบริษัทยาหรือไม่
ลุงหมอ : เรื่องสเตตินกับการลดความเสี่ยงและการลดไขมัน เรามีการศึกษาที่ดีมากทั้งการศึกษาที่ไม่มีทุนจากบริษัทยาและมีทุนจากบริษัทยา มีการศึกษาที่ทำซ้ำกันในหลาย ๆ กลุ่มตัวอย่าง มีการรวบรวมการศึกษาอย่างเป็นระบบ และทุกอันส่งผลออกมาตรงกันว่า ถ้าเลือกคนที่มีความเสี่ยงเหมาะสม การใช้ยาสเตตินร่วมกับการปรับชีวิต จะลดโรคหลอดเลือดและอัตราตายมากมายและโทษของยาพบน้อยมาก มันตรงกันทุกอันจึงยากที่เกิดจากอิทธิพลภายนอก บริษัทยาเขาขายยาได้มันก็จริง แต่คุณภาพชีวิตของประชากรโลกมันเพิ่มมาก
🤔คนขี้สงสัย : คนที่เขาควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเดียว เขาก็แข็งแรงดี ไขมันลด และสุขภาพดี ไม่เห็นต้องใช้ยาเลย
ลุงหมอ : มันก็มีจริงนะ บางคนใช้ยาก็ยังแย่ แต่นั่นคือคนบางคน แต่การศึกษาทางสถิติการแพทย์ตอบคำถามได้ดีกว่าเพราะมันเป็นจริงในคนหมู่มากไง พูดคร่าว ๆ คือจริงถึง 95% ของประชากร มันก็มีบางคนที่ไม่เป็นไปตามทฤษฎี แต่เราจะเอาตัวเลขคนกลุ่มน้อยแบบนั้นมาอ้างความจริงไปหาคนกลุ่มใหญ่ไม่ได้ ถามว่าถ้าเราไม่รู้ผลลัพธ์ตอนสุดท้าย คุณจะทำทุกอย่างเพื่อลดความเสี่ยง หรือจะเลือกทำที่คุณชอบเท่านั้น
🤔คนขี้สงสัย : แล้วปีนี้ใครจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก
*** ลุงหมอ : คุณจะเชื่ออนาคตอันเพ้อฝัน หรือลำดับปัจจุบันในตาราง ***

น้ำปัสสาวะ เหมาะกับการดื่มหรือไม่

น้ำปัสสาวะ เหมาะกับการดื่มหรือไม่
น้ำปัสสาวะมนุษย์เราเกิดจากการกรองสารน้ำจากไต สารน้ำที่ว่าหมายถึงเลือด และสารต่าง ๆ ในเลือดเช่น น้ำ เกลือแร่ ฮอร์โมน ของเหลือใช้จากการทำงานของร่างกาย ยาที่ขับออก หมายถึงร่างกายของเราได้ใช้กระบวนการ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ให้สารเหล่านี้ถูกกำจัดออกมา
ไม่เพียงเท่านั้น ร่างกายยังมีกระบวนการ "Reuse Recycle" ปัสสาวะตัวเองเรียบร้อย เมื่อผ่านการกรองมาแล้ว ท่อไตที่ตำแหน่งต่าง ๆ ยังมองหาสารที่สามารถนำไปใช้ได้กลับสู่กระแสเลือด เป็นการควบคุมน้ำและเกลือแร่ ให้สมดุลในระบบปิด มันคือกระบวนการแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์มานับล้านปี
แม้ปัจจุบันมนุษย์เราสามารถหาทรัพยากรจากการกิน มีน้ำท่าบริบูรณ์ มีสภาพแวดล้อมที่ช่วยการทำงานของร่างกายให้สบายขึ้น แต่การทำงานตามกลไกแห่งชีววิทยาของมนุษย์ยังคงอยู่ในรหัสพันธุกรรมและชุดคำสั่งพื้นฐาน ให้ไตทำงานเพื่อควบคุมเคมีและสมดุลชีวิตต่อไป ดังนั้นไม่มีความจำเป็นใด ๆ อีกที่เราจะต้องดื่มน้ำปัสสาวะ เพื่อไปปรับสมดุลหรือรักษาโรคใด ๆ อีก เพราะนี่คือกระบวนการที่ร่างกายเราคัดสรรมาอย่างดีแล้วว่า "กำจัดออกจากร่างกาย"
นอกเหนือจากนั้น น้ำปัสสาวะที่ออกมาจากไตแล้ว ไม่ว่าจะเก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะหรือฉี่เก็บใส่ขวดไว้นาน ๆ มันเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค เรามีเชื้อโรคไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา อยู่ประจำในกระเพาะปัสสาวะอยู่แล้วในปริมาณที่พอเหมาะ แต่ถ้าเชื้อมากขึ้นหรือมีเชื้ออื่นเข้ามาเติบโตเราก็จะติดเชื้อได้ คุณลองกลั้นฉี่นาน ๆ ทุกวันดูสิ มันดีต่อสุขภาพไหม แล้วยิ่งออกมาเก็บในภาชนะภายนอก สารพัดเชื้อโรคที่จ้องจะใช้ฉี่ของเราเป็นแหล่งอาหารและที่อยู่จะไม่พลาดโอกาสนี้แน่นอน และถ้าเราใช้ปัสสาวะนั้นอีกล่ะ...
เราผ่านยุดมืด ยุคฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม ยุคปฏิวัติวิทยาศาสตร์มานาน นานพอจะตกผลึกความรู้เรื่องสุขอนามัยพื้นฐาน สาธารณสุขพื้นฐาน น้ำสะอาด อาหารสะอาด ส้วมที่ดี กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ จนทำให้เราชนะเชื้อโรคและโรคระบาดมาได้ทุกวันนี้ ดังนั้นอย่าถอยหลังลงคลองอีกเลย เอาเวลาที่เหลือที่ร่างกายอุตส่าห์จัดสรรสมดุลให้ ไปทำประโยชน์อื่น ๆ แก่ตัวเองและผู้อื่นต่อไปดีกว่า
อย่าให้ ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล ด่าลงมาจากฟากฟ้าว่า "ฉันอุตส่าห์คิดแทบตายจะให้ปลอดภัยอนามัยดี นี่กลับมากินฉี่เสียอย่างนั้น"

30 สิงหาคม 2562

ทำอะไรระหว่างรอเปลี่ยนเครื่อง

เปลี่ยนเครื่อง ไม่ว่าจะ transit, transfer, connect flight ซึ่งมันมีความหมายต่างกัน (ข้อมูลจาก "แอร์" คนนั้น) แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ รอ
แน่นอนสิ่งที่เราต้องทำคือ ต้องตรวจสอบว่าจะต้องรับกระเป๋าไปตรวจใหม่หรือไม่ ต้องตรวจวีซ่าซ้ำใหม่ไหม เครื่องบินที่จะขึ้นอยู่ทางออกใด ระยะทางไปถึงทางออกไกลหรือไม่ เวลาที่เราจะอยู่ที่สนามบินนี้นานเพียงใด นี่คือสิ่งแรกแล้วค่อยมาคิดว่าในเวลาที่มีจะทำอะไร ผมขอแนะนำในแง่สุขภาพเแล้วกันนะครับ ไม่มีอ้างอิง ทำวิจัยเล็ก ๆ อีกแล้วคือเดินเก็บข้อมูลและสรุป
1. คืนความสดชื่นให้ตัวเอง เดินทางมาหลายชั่วโมง ร่างกายจะอ่อนล้าแน่นอนครับ สิ่งที่น่าทำคือเดินยืดเส้นยืดสาย ไม่ต้องใช้ทางเลื่อน เดินไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน ขับถ่ายของเสีย ทำบนเครื่องบินไม่สะดวกเท่าไร ลงมาทำข้างล่างนี่ดีกว่า หลายสนามบินมีห้องอาบน้ำ เชื่อผมเถอะคุ้มราคาอาบน้ำ สดชื่นมาก
2. อาหาร อันนี้แล้วแต่เวลาของแต่ละคนด้วย บางคนไม่กินนอกเวลา ขอย้ำว่ากรุณาใช้เวลาของตัวเองนะครับ อย่าไปใช้เวลาแต่ละประเทศเวลาที่เราเปลี่ยนเครื่องบิน ไม่อย่างนั้นอาจจะได้กินติด ๆ กันหลายมื้อ ผมแนะนำอาหารย่อยง่าย รสไม่จัดและไม่มัน จะได้ไม่ท้องอืดท้องเสีย เช่น ซุป ข้าว บะหมี่ แซนด์วิช อย่ากินอาหารมื้อหนักเช่น สเต็ก หม้อไฟ แบบนี้อาจแน่นและอึดอัดได้ หรือจะเติมพลังด้วย ช็อกโกแลตกับน้ำผลไม้ก็เข้าที
3. นอน ถ้าคุณมีเวลาเปลี่ยนเครื่องนานพอ การได้นอนสบาย ๆ ในห้องพักสนามบิน หรือหาเก้าอี้ว่าง ๆ ไม่มีคน แล้วนอนเหยียดตัว จะสบายและพักได้ดีกว่าบนเครื่องแน่นอน ยกเว้นคุณนั่งชั้นหนึ่งชั้นธุรกิจที่สบายมากแล้ว อย่าลืมดูเรื่องความปลอดภัยและตั้งเวลาปลุกด้วยนะครับ เดี๋ยวจะได้เปลี่ยนประเทศปลายทาง
4. ติดต่อสื่อสาร สนามบินจะมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สายฟรี หรือคอมพิวเตอร์ไว้บริการ ควรติดต่อบอกคนทางบ้านว่าตอนนี้อยู่ที่ใด เราก็สบายใจ คนทางบ้านก็หายห่วง ติดต่อเรื่องธุรกรรมปลายทาง จองโรงแรม จองรถ อะไรก็ว่าไป หรือจะถ่ายรูปอินสตาแกรมก็หายเครียดและพักสมองได้ดี อ้อ..ถ้าใครจะใช้มือถือหรือคอมพิวเตอร์ส่วนตัว อย่าลืมปลั๊กแบบ universal adapter และสายชาร์จนะครับ
5. เดินในร้านปลอดภาษี ย้ำ..เดิน นะครับ ไม่ใช่ซื้อหมดสนามบิน เป็นการขยับแข้งขา ลดความเมื่อยล้า ลดโอกาสเลือดดำอุดตัน ใครที่ดูหนังบนเครื่องบินตลอดทางหรือนอนมาตลอด เป็นโอกาสเปลี่ยนอิริยาบถและพักผ่อนหย่อนใจ ผมเองจะชอบเดินไปร้านหนังสือ และเครื่องเขียน ที่ปัจจุบันลดลงไปมากในทุกสนามบิน ยกเว้นสนามบินที่จะต่อไปยุโรปจะมีมากหน่อย อันนี้ตั้งข้อสังเกตนะครับ ที่สุวรรณภูมินี่เหลือน้อยมาก
6. เจ็บป่วย ที่สนามบินทุกที่จะมีบริการทางการแพทย์พื้นฐาน หากเจ็บป่วยเล็กน้อยเช่น เวียนหัว ปวดหัว ฟกช้ำ อุบัติเหตุ จุกท้อง เลือดกำเดาออก (อันนี้พบบ่อยมาก) ไม่ว่าจะเกิดบนเครื่องบินเที่ยวขามาก็ตาม มาปรึกษาแพทย์สนามบินได้ครับ แต่..อาจมีค่าบริการ
ไม่ว่าจะทำอะไร อย่าลืม ไปขึ้นเครื่องให้ทัน อย่าลืมกระเป๋าและเอกสารการเดินทาง เก็บเอาความทรงจำและประสบการณ์ในการเดินทางเอาไว้ และเก็บหัวใจให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องดูแลต่อไป

29 สิงหาคม 2562

พื้นที่สูบบุหรี่

วินาทีแรกที่ผมลงจากรถแท็กซี่ฝั่งผู้โดยสารขาออก สนามบินสุวรรณภูมิ สิ่งแรกที่รู้สึกคือ ..กลิ่นบุหรี่แรงมาก..
ใจนึงก็นึกเคืองทางสนามบินที่อนุญาตให้มีการสูบบุหรี่ในพื้นที่สาธารณะหลักในการสัญจร ทุกคนต้องได้ควันมือสองมือสามไปแน่นอน ผมเองไม่ทราบว่าพื้นที่สูบบุหรี่อยู่ที่ใดกันแน่ในสนามบิน แต่คิดว่ามันไม่น่าจะอยู่ตรงพื้นที่สาธารณะตรงนั้น
ประเด็นข้อขัดแย้งหลักอันหนึ่งของผู้ที่สูบบุหรี่กับผู้ที่ไม่สูบ ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่มวนหรือบุหรี่ไฟฟ้าก็ตามที คือพื้นที่การสูบ เพราะข้อมูลปัจจุบันเป็นที่พิสูจน์แล้วว่าควันมือสองจากการพ่นควันและควันปลายมวน มีอยู่จริงและมีโทษ ควันมือสามที่ยังกระจายในอากาศและสิ่งของต่าง ๆ มีอยู่จริงแม้โทษจะยังไม่ชัด ดังนั้นหากใครที่ยังไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้ควรสูบในที่จัดให้สูบครับ
ในมุมมองคนที่ยังสูบบุหรี่อยู่ จะพบว่าพื้นที่การสูบมีลดลงเรื่อย ๆ จากกฎหมายที่กำหนดเคร่งครัดขึ้น หลายคนไปสูบในบ้านหรือในรถ ก็เป็นการส่งควันสู่คนในครอบครัวอีก ดังนั้นหากท่านยังไม่สามารถเลิกได้ ควรพยายามเลิกและสูบในที่จัดให้สูบหรือในบริเวณที่มีผลกระทบต่อคนอื่นน้อยที่สุด (การสูบบุหรี่ในที่ห้ามสูบมีความผิดตามกฎหมายด้วยนะครับ)
ส่วนคนที่ไม่สูบบุหรี่ เกือบร้อยทั้งร้อยจะไม่ชอบเลยกับควันและกลิ่น หลายคนเกิดความโกรธและโมโห มองผู้สูบว่าเป็นภัย คืออาชญากร นี่คือสิ่งหนึ่งที่ไม่ช่วยให้กระบวนการลดบุหรี่ในสังคมดีขึ้น คือผลักดันผู้สูบไปอยู่ฝั่งผู้ร้าย จริงอยู่ครับว่านี่คือการสร้างมลพิษ แต่เราก็สามารถมีทัศนคติที่ดี ในการเตือน ในการร่วมรณรงค์ ในการแจ้งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องให้เขาจัดการ มาเป็นพลังบวกดีกว่าพลังลบนะครับ

โลกของคนก้มหน้า

โลกของคนก้มหน้า
คุณลองมองรอบ ๆ ตัวในขณะที่คุณนั่งรถไฟฟ้า รอรถเมล์ จิบกาแฟในร้านดัง แล้วนับคนที่นั่งอ่านหนังสือสิครับ แปลกใจไหม ? ... ไม่มีเลย
ไม่ว่าในประเทศไทย หรือในรถไฟใต้ดินของประเทศหนึ่งใดในโลก ก็เหมือนกันหมดที่อินเตอร์เน็ตเข้าไปอยู่ทั่วทุกหัวระแหง ผมทำตัวเนียน ๆ เดินไปตลอดตู้รถไฟแอบส่องว่า ก้มทำอะไรกัน ผลการวิจัยเล็ก ๆ ของผมพบว่า
แช็ต, เล่มเกม, ดูวิดีโอ, ไถเฟซบุ๊กทวิตเตอร์อินสตาแกรม, ใช้กล้องหน้าแต่งหน้า, เข้าเว็บ กลุ่มนี้เกือบ 90%
พูดโทรศัพท์ ดูยากมากเพราะที่นี่ใส่หูฟังบลูทูธชนิดไร้สายกันหมด ไม่รู้ว่าพูดคนเดียวหรือเปล่า, ดูแผนที่ อันนี้พบน้อย
ทั้ง ๆ ที่การใช้โทรศัพท์เพื่อใช้อินเตอร์เน็ตเกินความจำเป็นทำให้เกิดผลเสียไม่ว่าคุณจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ วัยรุ่นหรือสูงวัย ผลเสียต่อสายตา กระดูกคอ ข้อนิ้วมือ ยังมีภาวะติดเกมอีก ติดโซเชียล ห่างโทรศัพท์ไม่ได้ ชีวิตวุ่นวายและช้าไม่เป็น สมาธิสั้น ปฏิสัมพันธ์ลด
ลองใช้เท่าที่จำเป็นแล้วมาทำอย่างอื่น ให้ชีวิตช้าลง ครุ่นคิด ใจเย็น และมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีกว่าไหม จะเลือกอ่านหนังสือก็ได้ ช่วยเพิ่มทักษะการอ่านด้วย ตอนนี้การอ่านเริ่มกลับมานิยมอีกครั้ง หนังสือเริ่มถูกถามถึง ร้านหนังสือลดพื้นที่ของอื่น ๆ มาเติมหนังสือมากขึ้น วงการหนังสือออนไลน์คึกคัก มือสองเริ่มเติบโต
ตอนนั่งเครื่องบิน เพื่อกันแสงแดดส่องเข้ามา ผู้โดยสารปิดม่านหน้าต่างเกือบหมด ผมเดินไปขอกาแฟกับ "แอร์" คนนั้น (เจตนาชัดมากนั่งหน้าสุดเดินไปขอเกือบท้ายลำ) แล้วก็แอบส่องคนที่เปิดไฟอ่านหนังสือไปด้วย พบว่าเกือบทั้งหมดเป็นชาวตะวันตกที่เปิดไฟเพื่ออ่านหนังสือ แอบดูก็เป็นนิยายเล่มหนา ๆ ที่เราเห็นตามข้าวสาร บ้างก็ใช้อีบุ๊กรีดเดอร์ คนเอเชียยังอ่านน้อยกว่า ดังนั้นเราคนไทยอย่ายอมแพ้ใครนะครับ
ยืดอก พกหนังสือ...รื้อนิสัย ข่มใจ .. ลดก้มหน้า
ถามว่าพกอะไรมาอ่านบนเครื่อง สำหรับขาไปนี้พก "what if จะเกิดอะไรขึ้นถ้า" ของวีเลิร์น อีกเล่มที่พกมาคือ "เกิดเป็นกระต่าย ต้องคิดให้ได้อย่างหมาป่า" ส่วนขากลับขอจอง "Ayuttaya Underground ประวัติศาสตร์อยุธยาจากวัดวังชั้นดินและสิ่งของ"
ปล. Homo Deus เปิดพรีออเดอร์แล้วนะจ๊ะ

28 สิงหาคม 2562

การกินของหวาน

ณ ร้านสะดวกซื้อมุมหนึ่งของโลก
หญิงสาววัยสะคราญสองคน ถือตะกร้าเข้าไปซื้อขนมหวานเกือบครึ่งตะกร้า ด้วยใบหน้าสนุกสนานและฟินสุดขีด ผมฟังเขาพูดไม่รู้เรื่องหรอก แต่เห็นที่หยิบลงตะกร้า ตะลึงแล้วบอกว่า พังน้อง พังแน่ ๆ ที่พังคือเป็นช้างแน่ ๆ ... ช้างพัง
หนังสือเซเปี้ยนส์ ของ ยูวาล โนอา แฮรารี บอกไว้ว่า ในอดีตมนุษย์ต้องแย่งกินของหวานเพราะหายากและให้พลังงานสูง เช่นผลไม้ เมื่อเจอต้องรีบเก็บกินเพราะเดี๋ยวสัตว์อื่นแย่งกิน ของหวานใช้ปริมาณนิดเดียวแต่พลังงานมาก การเรียนรู้และจดจำของมนุษย์ถ่ายทอดการชื่นชอบของหวานมาหลายชั่วอายุ น่าจะผ่านทางยีน เขาถึงเรียกว่า หวานเย็น ที่เพี้ยนมาจากหวานยีน (555)
แต่อิทธิพลของยีนและชุดคำสั่งมันเกินจำเป็นในยุคนี้แล้ว ยุคที่ขนมหวาน อาหารหวานเย้ายวนที่ทั่วทุกหัวระแหง ชานมไข่มุก เค้กช็อกลาวา ซอฟต์ครีมนุ่มลิ้น ไอศกรีมทุเรียนแสนหอม ช็อกโกแลตนมแท่งยักษ์ หรือกระทั่งบัวลอยของแม่ค้าสุดสวย
เราไม่ต้องแย่งกับใคร แต่เราต้องยั้งใจกับตัวเอง พลังการหักห้ามใจเอาชนะยีนได้แน่ ๆ เพราะถ้าชนะไม่ได้ คุณก็พัง คุณอยากจะ(ช้าง)พังไหมล่ะ ถ้าไม่มีสติปล่อยตามใจอยาก ปล่อยปากตามกลิ่น คุณจะพบขนมเต็มตู้เย็น ที่พร้อมให้ความสุขคุณทุกครั้งที่เปิดตู้เย็น และงั่มมมม
โปรดอย่าบอกว่า เครียดจึงกิน เคยได้ยินโฆษณา กิน - เครียด - อ้วน ไหมล่ะ
"กินหวานมากเดี๋ยวจะอ้วน ถ้ากินไม่ชวนขอให้อ้วนทุกชาติไป"

27 สิงหาคม 2562

ไดอารี่ตุ๊ดซี่ ยาฆ่าเชื้อ

การพักสมองและ "ฟอร์แม็ต" สมองนั้น ทำได้โดยออกจากพื้นที่ที่ตัวเองถนัดและเรียนรู้สิ่งอื่น ช่วงเวลานี้ผมอ่านหนังสือ ซื้อซีรี่ส์ ขยี้หนัง ฟังพ็อดคาสต์ เพื่อหาอารมณ์ใหม่ ๆ ก็เป็นเหตุบังเอิญมีเหตุการณ์เข้ามาพอดี เหตุการณ์นี้เกิดขณะผมกำลังดูซีรี่ส์ชื่อดัง..ไดอารี่ตุ๊ดซี่.. ซีรี่ส์จากที่มาของเพจดัง บันทึกของตุ๊ด ที่คุณช่าได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ออกมาได้แสบสัน สนุกสนาน แฝงคติแง่คิด และที่สำคัญ แซ่บเฟ่อร์
อารมณ์การเล่าเรื่องก็เลยเลียนแบบ ตุ๊ดซี่ไดอารี่มาเต็ม ๆ แต่ว่าอย่าให้ซ้ำกับเรื่องของซีรี่ส์และของคุณช่าเลยนะ แอบดัดแปลงและใช้ตัวละครแบบเพจนี้แล้วกัน มาฟังแบบป้าหมอกันนะคะลูกขา ขออภัยที่ใช้คำไม่ค่อยสุภาพแต่..เอามันส์ค่ะ หรือที่เรียกในเรื่องว่า อรรถรส
แล้วเรื่องก็เกิดขึ้นที่ห้องพักของป้าหมอ ที่นังซูซี่และเจ๊ดา นั่งเล่นเกมเพลย์สเตชั่นอย่างเมามัน (ส่วนอีแหนดไม่มีบทนะคะ ที่นี่ไม่มีสตรีแท้ค่ะ)
กริ๊งงงง .... กริ๊งงง เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์โคตรโบราณ แถมดังมาแล้วเกือบนาที
"อีป้าหมอ เมื่อไรแกจะมารับโทรศัพท์เนี่ย รำคาญ นี่ถ้าแพ้บอสตัวนี้ตัวนะ กูจะโทษเสียงโทรศัพท์มึง โบร้าณ โบราณ" นังซูซี่บ่นเสียงดัง ซึ่งดังกว่าโทรศัพท์หลายเท่า
"เออ เออ ดูซีรี่ส์อยู่" ป้าหมอเดินนวยนาดออกมา ปาดน้ำตาป้อย ๆ ซึ่งเพื่อนสาวสองคนไม่ได้แปลกใจเลย นึกในใจ เอาอีกแล้วมัน ดูซีรี่ส์หรือปอกหัวหอมวะ
ป้าหมอเดินมารับโทรศัพท์ พร้อมทำเสียงเข้มที่สุดในชีวิต "ว่าไงคะ อ๋อ มีเคสพิเศษจะฝากเหรอ ได้ ๆ ว่ามาค่ะ"
ความว่าเป็นเคสผู้ป่วยชายอายุ 28 ปี มีอาการไข้มาหนึ่งวัน หนึ่งวันเท่านั้นนะคะคุณผู้อ่าน ไม่ได้มีหนาวสั่น มีอาการเจ็บคอและน้ำมูกเล็กน้อย นอกจากนั้นก็สบายดี คนไข้ของเราก็แข็งแรงมากค่ะ เพิ่งกลับมาจากเดินป่าเมื่อวาน คุณผู้อ่านคงคิดว่าน่าจะติดเชื้อจากการเดินป่าใช่ไหมคะ ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่ เพราะคุณคนไข้เขาเดินทางเข้าไปเย็นกลับค่ะ ไม่ได้เข้าไปในป่าลึกแบบทีมหมูป่า ขับรถเข้าไปและออกมา (ป้าหมอก็ไม่เข้าใจคำจำกัดความของคำว่าเดินป่าของแต่ละคนเลยจริงจริ้ง)
ตรวจร่างกายมีคอหอยแดงเล็กน้อย คุณผู้อ่านต้องแยกวรรคด้วยนะคะ คอหอย-แดง ไม่ใช่ คอ-หอยแดง เดี๋ยวเพจนี้จะติดเรตค่ะ ประเด็นคือส่วนต่อไปจากนี้ค่ะ รายงานจากโทรศัพท์บอกว่าตรวจเลือดพบเม็ดเลือดขาวขึ้นสูง 13,000 ตัว และมีเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิลล์สูงถึง 70% จึงคิดว่าอาจจะติดเชื้อแบคทีเรีย และให้ยาปฏิชีวนะแบบฉีดเสร็จสรรพ โอ้ !! พระเจ้าจอร์จคะ
ป้าหมอหลับตา "ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่จะตามไปดูโดยเร็วนะคะ"
เจ๊ดาพูดดักคอขึ้นก่อนเลย "แกต้องไปดูคนไข้ใช่มะ ไม่เป็นไรพวกกูอยู่ได้ อ้อ อ้อ ฝากซื้อส้มตำมาครกนึงนะ ร้านเจ๊หน้าปากซอย แซ่บมาก บอกแกว่าใส่พริกสิบเม็ด ปลาร้าสองต่อนนะ"
นังซูซี่ช่างรู้ดี เอ้ย รู้ใจ "ขัดใจอีกล่ะสิมึง เล่ามา เดี๋ยวอกแตกตาย"
นั่นเท่ากับเปิดสวิตช์การบ่นของป้าหมอ "นี่แหละมึง พวกมึงจำได้ใช่มะ ที่กูเคยบอกว่าเดี๋ยวนี้คนเราชอบใช้ผลเลือดมาตัดสินก่อน เนี่ย..ผลเลือดที่เม็ดเลือดขาวขึ้น มันไม่ได้หมายความว่าติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น มันไม่จำเพาะ หรือที่ภาษาอังกฤษเขาเรียก สะเป๊ซิฟิก" พร้อมสะบัดมือท่านางงามหนึ่งที
ซูซี่ "พูดเฉย ๆ ก็ได้มึง ไม่ต้องใส่แอคติ้งมาก ไม่ใช่ละครหลังข่าว"
ป้าหมอใส่ต่ออีกชุด "เนี่ย ก็ทำให้มีการใช้ยาฆ่าเชื้อมากขึ้น เพราะเราคิดว่าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย ถ้าอาการไม่ชัด ข้อบ่งชี้ไม่ชัด ไม่ช็อก จะรอก่อนก็ได้ สังเกตอาการได้ แถมให้แบบฉีดด้วยนะมึง"
เจ๊ดาวางจอยสติ๊ก "แล้วไม่ดีหรอวะ ใส่หนักใส่เต็ม เข้าเส้นเลือดเลย หายเร็วดี ของมันแรง เจ๊ช้อบชอบ"
ป้าหมอหันมาทำตาเขียว ชี้หน้าเจ๊ดา "หยุดเดี๋ยวนี้นะอีเจ๊ ตบปากตัวเองเท่าอายุเดี๋ยวนี้ นี่อย่าไปบอกใครนะว่าเป็นเพื่อนชั้น รู้ถึงอเมริกา ขายหน้าถึงออสเตรเลีย"
ทั้งคู่หันหน้ามามองกัน พยักหน้า แล้วพูดพร้อมกัน "เยอะแล้วมึง อีตอก"
ป้าหมอหัวเราะ "ยาให้ทางหลอดเลือด หรือทางอื่นที่เรียก พาเรนเทอรัล parenteral (กรุณาคิดถึงป้าหมอจีบปากจีบคอพูดแล้วทำตาม) จะให้เมื่อให้ทางปากไม่ได้ หรือมีข้อบ่งชี้เฉพาะเท่านั้นนะคะ นักเรียน มันไม่ได้แรงกว่าอย่างที่คิดนะอีเจ๊ ของบางอย่างใช้ปากหรือที่เรียกว่า ออรัล เอ้ยไม่ใช่ ลืมตัวค่ะ หรือที่เรียกว่า เอนเทอรัล(enteral) ดีกว่านะคะอีเจ๊ ใครจะเหมือนมึง ชอบเข้าแต่ทางอื่น"
ซูซี่ถามต่อ "กูเห็นมึงก็บ่นลับหลังทุกที ตอนคุยกับเขา ไม่ใส่เลยล่ะคะ คุณแม่ขา หรือมึงมีมารยาทไม่ว่าใครต่อหน้าให้เขาอับอาย ว่างั้นเหอะ"
ป้าหมอสอนแบบได้คติเลยนะ "เราก็ไม่ได้อยู่หน้างานไง เราไม่ได้เป็นคนตรวจคนเห็นคนไข้ เราตัดสินไม่ได้หรอก เขาอาจมีเหตุผลของเขาที่ดีก็ได้ ถ้าไม่เหมาะเราก็ปรับการรักษาแล้วไปบอกเขาดี ๆ ว่าพี่ว่าตอนนั้นน่าจะยังไม่ต้องให้ยาก็ได้ ไปว่าตอนนั้นตอนหน้างาน มันไม่เหมาะสม มันไม่มืออาชีพหรือที่เรียกว่าไม่เป็น โปรเฟ้สชันนั่ล"
เจ๊ดา "เออ พวกกูรู้ละ แหม..แหม..สำเนียงมึงนี่ เนทีฟเหลือเกินนะ ไม่เสียแรงที่ข้ามทะเลไปเรียน แต่รีบไปรีบกลับเหอะ พวกกูหิว ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แวะซื้อไก่ย่างด้วย ข้างเหนียวไม่ต้อง แพงอิ๊บอ๋าย อย่าเถลไถล ไม่งั้นเนทีฟ จะกลายเป็น โดนถีบ"
ป้าหมอ "แล้วนี่พวกหล่อนจะฝากความคิดถึง รปภ.หมู่บ้านไหม นี่กะค่ำแล้ว เค้ามาแล้วนะ อ้อ ๆ ไม่ต้องก็ได้ แล้วถ้ากูกลับช้า ก็หมายความว่ากูกับเค้า..อะฮะ..เรายิ้มกัน" แล้วป้าหมอก็รีบเผ่นออกไปเพราะเห็นหมอนที่นังซูซี่เตรียมขว้างใส่
ก็นั่นแหละค่ะคุณผู้อ่าน สิ่งที่ป้าหมอเคยบอกบ่อย ๆ การพบปริมาณเม็ดเลือดขาวขึ้นสูงไม่ได้หมายความว่าติดเชื้อเสมอไปนะคะ แม้มีเม็ดเลือดขาวนิวโตรฟิลที่มักพบในการติดเชื้อแบคทีเรีย ก็ไม่ได้สะเป๊ซิฟิกค่ะ แล้วก็ยาฆ่าเชื้อเอาไว้ฆ่าเชื้อนะคะ ไม่ได้ "ค่า" สบายใจ ได้ไม่คุ้มเสียนะคะลูกขาาาา
ปล. เรื่องไม่ต้องคิดนาน ไม่ต้องร่างก่อนพิมพ์ มันมาจากอินเนอร์ ถ้าคุณอ่านแล้วทำท่าทางประกอบไปด้วยจะสนุกสนาน
ปล. 2 คิดถึงพวกคุณนะ

17 สิงหาคม 2562

ปรัชญาชีวิตจากช็อกโกแลตแท่ง

อายุรศาสตร์ ง่ายนิดเดียว : unplugged
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ไม่ได้เขียนเรื่องราวทางการแพทย์ มีข่าวสารทางการแพทย์มากมายเกิดขึ้น เรื่องราวที่น่ารู้ คุณคงได้อ่านและรับรู้จากสื่อต่าง ๆ มากมายในยุคปัจจุบัน สำหรับตัวผมเองแล้วยังไม่นิ่งพอที่จะมาเขียนเรื่องราว ปัจจุบันยังคงเปิดหูเปิดตาเพื่อรับรู้เรียนรู้ วิธีคิด วิธีการสื่อสาร วิธีการเล่าเรื่อง ปรับ mindset ของตัวเองใหม่
หนึ่งในเรื่องราวจากการเดินทางคือ ปรัชญาชีวิตจากช็อกโกแลตแท่ง
วันหนึ่งของการเดินทางที่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยกับการเดินทางนัก เสียงลำไส้ครวญครางดังพอ ๆ กับเสียงพ็อดคาสต์ตอนต่าง ๆ ที่ไหลผ่านสัญญาณบลูทูธจากโทรศัพท์มาที่ลำโพงรถยนต์ ลำไส้ไม่เคยรับรู้สภาพท้องถนนภายนอกว่าตอนนี้เจ้าของของมันอยู่ ณ สถานที่ใดในประเทศ มันทำงานต่อเนื่องสม่ำเสมอหลังจากส้มตำปลาร้าสุดแซ่บนัวมื้อนั้น
โชคดีที่ยุคนี้ห้องน้ำห้องส้วมในปั๊มน้ำมันช่างหรูหรา สะอาดสะอ้าน กลิ่นหอม มีสุขภัณฑ์ชั้นดีและแม้กระทั่งที่ฉีด "ตูด" อุปกรณ์ที่โด่งดังมากในรัฐสภาประเทศสารขันธ์ ในห้องน้ำชนบทแสนไกลก็ยังมีติดตั้งสร้างความรื่นรมย์และมั่นใจว่า "ตูด" ของฉันจะสะอาด
หลังจากให้ลำไส้ได้ทำงานของมันอย่างที่มันต้องการเรียบร้อย ตัวเองได้รับรู้ว่าหนึ่งวันต่อจากนี้หากกินอาหารมื้อหนักคงจะกระตุ้นคุณลำไส้ให้ตื่นจากหลับไหลมาทำงานของมันแน่นอน ผมต้องการให้ลำไส้หลับไหลไปตลอดจนกว่าจะถึงที่พักในตัวจังหวัดปลายทาง สิ่งที่ผมทำมาตลอดคือซื้อเกลือแร่ผงสำหรับรักษาถ่ายเหลว แน่นอนมีติดรถไว้เสมอ ใส่พรวดลงไปในขวดน้ำขนาด 500 ซีซี เขย่าให้เข้ากันแล้วจิบอย่างสบายอารมณ์ไปตลอดทาง ให้คุณลองจินตนาการว่ามันคือน้ำวิเศษที่จะชุบชีวิตคุณได้ คุณจะจิบมันได้ตลอดทางแม้ว่ารสชาติมันจะไม่เอาไหนเสียเลย
และอีกหนึ่งอาหารเพิ่มพลังคือ ช็อกโกแลตแท่ง ร้านสะดวกซื้อตามปั๊มน้ำมันนั้นยากนักที่จะเจอช็อกโกแลตดำขมปี๋ ช็อกโกแลตนมแบบแท่งเล็ก ๆ นี่ก็ใช้ได้ ให้พลังงานชดเชยและเราจะไม่เผลอกินมากเกินไปแน่เพราะชิ้นมันเล็กมาก เฮอร์ชี่ส์หนึ่งแถวราคาไม่แพง ก้อนไม่ใหญ่ หาซื้อง่าย รสชาติดี มันตอบโจทย์ทุกอย่าง สามารถเป็นเพื่อนร่วมท้องน้องร่วมทางได้จนถึงจุดหมาย
หลังจากเคลื่อนรถจากปั๊มได้สักครึ่งชั่วโมง มือของผมก็ควานหาช็อกโกแลตในถุงผ้าที่วางไว้บนเบาะข้างคนขับ ในนั้นมีน้ำดื่ม มีกระดาษชำระ มียาดม แต่ผมไม่พบช็อกโกแลต !!
ช็อกโกแลตที่ซื้อมาตั้งแต่ก่อนจะเข้าห้องน้ำ ตอนนี้มันกลายเป็นช็อกโกแลตเหลว โชคดีที่ยังอยู่ในห่อและในซองพลาสติก นี่แค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง สภาพอากาศร้อนอ้าวก่อนฝนตกมันร้ายกาจมาก ผมหยิบช็อกโกแลตไปวางไปหน้าแผงแอร์รถยนต์ และเชื่อว่าคุณหลายคนคงเคยทำ เพื่อจะให้ช็อกโกแลตกลับมาเป็นก้อนแข็ง กัดกินอย่างเอร็ดอร่อยได้เหมือนเดิม ใช่แล้ว มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ มันกลับมาเป็นก้อน แต่มันไม่เหมือนเดิม มันบิดเบี้ยว มันผิดรูป มันแกะจากห่อยาก มันไม่สวย แต่มันยังอร่อยและทำหน้าที่ช็อกโกแลตได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ปรากฏการณ์ช็อกโกแลตที่เกิดขึ้นในวันนี้มีบทเรียนสอนใจสองประการ
ประการแรก หลายเหตุการณ์ หลายอย่าง มันจะมีช่วงเวลาที่เหมาะสม ต้องดูแลและรักษาสภาพให้ดี ไม่อย่างนั้นมันจะแปรเปลี่ยนสภาพ เหมือนชีวิตเรา เราต้องดูแลมันให้ดี ดูแลสุขภาพ ความสัมพันธ์และความรักในครอบครัว ไม่อย่างนั้นมันอาจจะล้มเหลวดังเช่นช็อกโกแลตแท่งในที่ร้อน หรือแม้แต่เรื่องการรักษาโรค บางโรคก็ต้องรักษาดูแล ณ เวลาที่ถูกต้องจึงได้ผลดีที่สุด เช่นการให้สารน้ำในภาวะช็อก ถ้าเราให้เร็วหรือช้าไปจะไม่เกิดประโยชน์แถมยังล้มเหลวอีกด้วย
คุณควรมีสติรับรู้ตัวเองและสิ่งที่เรากำลังทำ ว่ากำลังทำอะไร จัดการมันอย่างไร เรียนรู้ที่จะจัดการในเวลาที่เหมาะสมและปล่อยวางในเวลาที่ไม่จำเป็น
ประการที่สอง หลายสิ่งหลายอย่างที่มันล้มเหลว มันไม่ได้หายไปไม่ได้สูญสิ้นคุณค่า เราสามารถกอบกู้มันขึ้นมาใหม่ มันยังทำหน้าที่ของมันได้แม้จะไม่ได้สวยงามดังเช่นแรกเริ่มตั้งใจก็ตามที หากนาทีนั้นผมทิ้งช็อกโกแลตไป ผมก็ต้องจอดรถ ลงไปซื้อใหม่ เสียเงินเสียเวลา เพียงแต่เรายอมรับสภาพของมัน ยอมรับข้อบกพร่องของตัวเองและ "แก้ไข" อย่างชาญฉลาดและทันเวลา เราจะยังไม่สูญเสียงาน ไม่สูญเสียความสัมพันธ์ ไม่สูญเสียสุขภาพ
ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบแล้ว แก้ไขแล้ว คุณจะแก้ไขตัวเองให้กลับมาออกกำลังกายไม่ได้ ใช่ว่าคุณจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพดีไม่ได้ คุณค่าตัวเราหรือสิ่งรอบตัวไม่ได้หายไปไหน ถึงจะแปรเปลี่ยนรูปร่าง เปลี่ยนแปลงลักษณะก็ตาม มันจะบิดเบี้ยว มันจะพิการ แต่มันยังอร่อยและให้พลังงานได้ดี
ช็อกโกแลตก็ยังคงเป็นช็อกโกแลต
อย่าถามถึงช็อกโกแลตสองก้อนนี้ มันได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์ และลำไส้ของผมก็รักมันมากเสียด้วย
คิดถึงพวกคุณทุกคน

10 สิงหาคม 2562

อาการทางหัวใจของโรค SLE

โรค SLE ก็มีหัวใจ

อาการแสดงตามระบบหัวใจและหลอดเลือดของโรคเอสแอลอี เป็นหนึ่งในอาการแสดงที่แยกยากจากโรคอื่นและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ไม่แพ้ไตเสื่อมเช่นกัน

เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ... มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกคล้ายโรคหลอดเลือดได้ เจ็บตลอดเวลา ฉับพลัน อาจจะสัมพันธ์กับท่าทาง ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจพบความผิดปกติ PR depress, diffused ST segment elevation ดูคล้ายหลอดเลือดหัวใจตีบได้ อาการจะแยกจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบที่สำคัญคือเยื่อหุ้มปอดอักเสบมักเจ็บเวลาหายใจลึก ส่วนการตรวจต้องบอกว่าพบยากมาก เสียงเสียดสีกันของเยื่อหุ้มหัวใจ pericardial friction rub  สำหรับน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจจะพบไม่มากนัก และหากรักษาไม่เหมาะสมเยื่อหุ้มหัวใจจะเป็นพังผืดแข็ง ทำให้การบีบตัวและคลายตัวหัวใจไม่ค่อยดี

กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ... มีคลื่นไฟฟ้าหัวใจเปลี่ยนและเอนไซม์การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหัวใจขึ้นสูงเหมือนกล้ามเนื้อหัวใจตายได้เลย แยกยากมาก จะแยกชัดคงต้องตัดชิ้นเนื้อมาย้อมสีภูมิคุ้มกัน เป็นมากขึ้นจะทำให้การบีบตัวหัวใจไม่ดีเป็นภาวะหัวใจวาย ให้สถานการณ์แวดล้อม และหากจำเป็นคงต้องฉีดสีตรวจหลอดเลือดหัวใจ เมื่อรักษาเหมาะสม หัวใจที่อักเสบและบีบตัวไม่ดีจะคืนสภาพได้

ลิ้นหัวใจและเยื่อบุหัวใจอักเสบ.. เยื่อบุหัวใจ endocardium จะเคลือบหัวใจด้านในไว้ทั้งหมด SLE ทำให้เกิดการอักเสบ มีแผลที่ลิ้นหัวใจ แผลที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ไม่ได้เกิดจากโรคหัวใจรูห์มาติก เราเรียกชื่อโรคลิ้นหัวใจและเยื่อหุ้มด้านในอักเสบตามผู้ค้นพบว่า Libman-Sacks endocarditis มีอาการหัวใจล้มเหลว หรือตรวจพบลิ้นทำงานผิดปกติ ส่วนมากจะอาการไม่รุนแรงและเกิดที่ลิ้นหัวใจไมตรัล

หลอดเลือดหัวใจอักเสบ .. อันนี้จะแยกยากจากหลอดเลือดตีบจากไขมัน สำหรับ SLE จะเกิดจากการอักเสบ จากลิ่มเลือดล้วน ๆ ที่มีส่วนของไขมันน้อยกว่า หรือจากการบีบตัวของหลอดเลือด อาการก็คือเจ็บหน้าอกโรคหัวใจที่เรารู้จักกันนั่นแหละ ผู้ป่วยจะได้รับการฉีดสีหลอดเลือดตรวจ และรักษาแบบหลอดเลือดหัวใจจากไขมันตันหากพบรอยโรค อาการมันฉุกเฉินแยกยาก ยกเว้นรู้มาก่อนว่าเป็น SLE  ถึงรู้มาก่อนก็ยังแยกยากเพราะตัวโรคเอสแอลอี รวมทั้งการใช้สเตียรอยด์ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันเช่นกัน

ระบบการวินิจฉัยโดยใช้คะแนนแบบใหม่ของ EULAR/ACR ลงตีพิมพ์ใน British Medical Journal เมื่อ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา ให้คะแนน pericarditis ถึง 6 คะแนน นับว่าสูงมาก พอ ๆ กับการมีน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ 5 คะแนน หมายความว่า พบเยื่อหุ้มหัวใจกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบก็ต้องคิดถึงเอสแอลอีไว้ด้วย และ เมื่อเห็นเอสแอลอีก็ต้องตรวจและระวังอาการแสดงทางระบบหัวใจด้วยเช่นกัน

Aringer M, Costenbader K, Daikh D, et al
2019 European League Against Rheumatism/American College of Rheumatology classification criteria for systemic lupus erythematosus
Annals of the Rheumatic Diseases Published Online First: 05 August 2019. doi:10.1136/annrheumdis-2018-214819

Fanouriakis A, Kostopoulou M, Alunno A, et al
2019 update of the EULAR recommendations for the management of systemic lupus erythematosus
Annals of the Rheumatic Diseases 2019;78:736-745

ซัลโมเนลล่า salmonella ตอน 4

Typhoid Mary สำนวนเชิงลบที่ใช้พาดพิง คน สัตว์ เหตุการณ์ที่เป็นต้นกำเนิดการเกิดสิ่งเลวร้ายอันแพร่กระจายในวงกว้าง สำนวนนี้มีที่มาจากโรคไทฟอยด์นี่เอง ไปชงกาแฟอุ่น ๆ และขนมปังนุ่ม ๆ นั่งที่เงียบ ๆ แล้วอ่านไปพร้อมกัน

  ย้อนกลับไปถึงการค้นพบว่าไทฟอยด์ต่างจากไทฟัส เกิดจากเชื้อคนละตัว ระบุตัวเชื้อและตั้งชื่อ Salmonella เป็นเกียรติกับ Daniel Elmer Salmon ในปี 1900 หลังจากนั้นไม่นานก็สามารถระบุเชื้อซัลโมเนลล่าได้หลายสปีชี่ส์มาก รวมทั้ง ซัลโมเนลล่า ไทฟี่ เชื้อที่ทำให้เกิดไข้ไทฟอยด์ในมนุษย์ มีการระบาดของไทฟอยด์เป็นครั้งคราวในอเมริกา (จริง ๆ ถ้าไปศึกษาในอินเดีย เนปาล ปากีสถาน อาจจะพบว่าระบาดตลอดเวลา) เรื่องราวมาน่าสนใจในปี 1907 นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

  มารู้จัก Mary Mallon กันก่อน เธอเป็นสุภาพสตรีชาวไอร์แลนด์ เกิดที่สหราชอาณาจักรและย้ายมาทำมาหากินที่สหรัฐอเมริกา เธอมีความสามารถในการทำอาหารจึงประกอบอาชีพแม่ครัว สมัยนั้นอาชีพแม่ครัวถือเป็นอาชีพที่รายได้ดี มีคนนับหน้าถือตามาก เพราะการแบ่งแยกชนชั้นทางสังคมยังรุนแรง ร้านอาหารมีราคาแพง คนที่จะมากินอาหารตามร้านและมีแม่ครัวมาประกอบอาหารให้ต้องมีสตางค์พอสมควร คุณแมรี่ก็ประกอบอาชีพแม่ครัวและประสบความสำเร็จปานกลาง
  สิ่งที่น่าสงสัยคือ เมื่อเธอไปทำงานที่ร้านไหนก็มักจะมีเหตุการณ์ผู้ป่วยไทฟอยด์อยู่แถว ๆ นั้นเพิ่มขึ้นเสมอ ๆ และเธอมักจะเปลี่ยนงานไปเรื่อย ๆ ก่อนการสืบสวนโรคจะเริ่มขึ้น ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ที่เธอตกเป็นผู้ต้องสงสัยนั้น ไม่มีการกล่าวถึงการมาทำงานของแม่ครัวคนใหม่และเกิดเหตุระบาดตามมาถึงหกเจ็ดครั้ง

  อ่านมาถึงตรงนี้เหมือนกับแมรี่จะรู้ตัว เหมือนทฤษฎีสมคบคิดเลย แต่ว่าไม่หรอก ทำไมล่ะ อ่านกันต่อ

  เรื่องราวมาถึงปี 1907  ครอบครัวนายธนาคารชื่อดังของนิวยอร์ก เช่าบ้านหลังหนึ่งแล้วพาเพื่อนฝูงไปพักร้อนริมทะเลสาบ นายธนาคารสมัยนั้นรวยมากนะครับ จึงจ้างคนมารับใช้ จ้างคนมาดูแลเรื่องอาหารการกิน ท่านรู้ไหมว่าใครที่ได้รับการว่าจ้างไปดูแลเรื่องอาหาร ..ใช่แล้ว แมรี่ แมลลอน นั่นเอง ไปพักร้อนกันสิบกว่าวัน อาหารไม่อั้น ข้าวปลาหมูเห็ดเป็ดไก่ ผลหมากรากไม้ทั้งกัญชงกัญชา เพียบ
  หลังจากนั้นครึ่งหนึ่งของผู้ที่ไปพักร้อนด้วยกันป่วยเป็นไทฟอยด์ อย่าลืมว่าสมัยนั้นเรารู้จักไทฟอยด์กันแล้วนะครับ และมีผู้เสียชีวิตด้วย  การสืบสวนเริ่มขึ้น แต่คราวนี้ต่างจากครั้งที่ผ่านมา

   George Sober หนึ่งในทีมสืบสวนโรคที่นายธนาคารจ้างมาเป็นพิเศษ เพราะว่าคุณโซเบอร์มีความรู้เรื่องระบบการจัดการน้ำเสียและสิ่งแวดล้อมด้วย ใช้ความรู้ที่เพิ่งพบใหม่ ๆ คือ การระบาดของไทฟอยด์เกิดในที่อับ สุขอนามัยไม่ค่อยดี คุณโซเบอร์เป็นกุญแจสำคัญที่จะไปถึงไคลแม็กซ์ของเรื่อง เพราะคุณโซเบอร์ทำงานเกี่ยวกับซัลโมเนลล่ามานานจนเชี่ยวชาญ

  การสืบสวนเกือบลงเอยที่เป็นซัลโมเนลล่าที่ติดจากการกินหอยน้ำจืด หนึ่งในเมนูที่แมรี่จัดให้ แต่โซเบอร์เอะใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่กินหอยที่ติดเชื้อ และมีคนที่ไม่กินหอยก็ติดเชื้อ โซเบอร์พบว่าสิ่งหนึ่งที่เชื่อมโยงผู้ติดเชื้อเข้าด้วยกันคือ รับประทานอาหารรสเลิศจากแม่ครัว แมรี่ แมลลอน นี่เอง

  โซเบอร์เริ่มสงสัยว่าเชื้อน่าจะอยู่ที่แมรี่ แต่หลักฐานยังน้อยมาก และอย่าลืมตอนที่ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องกำเนิดชื่อซัลโมเนลล่า เริ่มมาจากการติดเชื้อในสัตว์ก่อนและจากสัตว์สู่คน งไม่มีบทพิสูจน์การแพร่กระจายจากคนสู่คน โซเบอร์จึงสืบสวนต่อ เขาเริ่มค้นการระบาดของไทฟอยด์ในอดีตของนิวยอร์ก และ...บิงโก หรือสมัยนี้เรียก โป๊ะแตก เขาพบว่าแมรี่เป็นแม่ครัวที่เกี่ยวข้องกับการระบาดในทุกครั้ง เขาจึงเริ่มปักใจเชื่อว่า แมรี่นี่แหละคนแพร่เชื้อ เขาจึงเริ่มแอบสืบ แอบติดตามแมรี่

  เรื่องมาถึงไคลแม็กซ์ที่การระบาดครั้งต่อไป เกิดในที่ที่แมรี่ทำงานเป็นแม่ครัวอยู่

  โซเบอร์จึงแสดงตัวและบอกว่าเขาสงสัยว่าเชื้อจะอยู่ในตัวแมรี่ จึงขอตรวจเลือด อุจจาระ ปัสสาวะของเธอ แน่นอนว่าเธอโกรธ..อย่าลืมว่าเรื่องของพาหะและการระบาดจากคนสู่คนยังไม่ได้รับความเชื่อถือในยุคนั้น แมรี่โกรธและไม่ยอมให้ตรวจ
  โซเบอร์ใช้การระบาดครั้งนี้ ถือโอกาสแจ้งสาธารณสุขเมืองนิวยอร์ก พร้อมด้วยหลักฐานประกอบความสงสัย ผลปรากฏว่าหน่วยงานทางสาธารณสุขสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมตัวและพาแมรี่ไปกักกันและสืบสวนโรค ท่ามกลางความงงงวยและเสียงบ่นของแมรี่

  สามปีที่แมรี่ถูกกักกันที่โรงพยาบาล Riverside บนเกาะ North Brother island หนึ่งในสองเกาะที่อยู่ระหว่างแผ่นดินใหญ่กับเกาะแมนฮัตตัน สองเกาะนี้คือ North and South Brother island ยุคสมัยต้นศตวรรษที่ยี่สิบ นี่คือที่กักกันโรคระบาด โรคไข้ทรพิษ โรควัณโรค ส่วนแมรี่มาอยู่ด้วยข้อสงสัยไม่ใช่ข้อยืนยัน

  การอยู่ที่เกาะกักกันไม่ใช่สิ่งสุขสบาย สารพัดโรคที่รายล้อม รวมถึงการถูกบังคับตรวจเลือด ตรวจอุจจาระ ปัสสาวะอีกนับครั้งไม่ถ้วน และปรากฏว่าพบเชื้อโรคในอุจจาระของเธอ คือเชื้อซัลโมเนลล่า ไทฟี่ เชื้อก่อโรคไข้ไทฟอยด์ enteric fever ที่สำคัญในคน และมีแหล่งโรคในมนุษย์เท่านั้น และแมรี่ไม่เคยมีอาการหรืออาการแสดงว่าป่วยเป็นโรคไทฟอยด์เลยแม้แต่น้อย แม้แต่เธอเองก็ไม่เชื่อว่าเป็นพาหะ  และนั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้พิสูจน์พาหะไข้ไทฟอยด์ว่ามาจากมนุษย์

   เมื่อการสืบสวนเสร็จสิ้น (สืบสวนโรคสามปี ช่างอยุติธรรมมาก) แมรี่ได้ร้องขออิสรภาพและกลับบ้านหลายครั้ง สุดท้ายเธอก็ได้รับการปลดปล่อยในปี 1910 (เปลี่ยนตัวสาธารณสุขคนใหม่ด้วยแหละ) สมัยนั้นยังไม่มีกฏระเบียบและความรู้เรื่องการระบาดและการควบคุมที่ดีนัก โดยคณะกรรมการควบคุมประพฤติยื่นเงื่อนไขห้ามทำงานเกี่ยวกับโรงครัวและการประกอบอาหารอีก

  แมรี่กลับออกมาต้องเริ่มชีวิตใหม่ ครั้งนี้เธอเลือกอาชีพซักรีด ดูเหมือนชีวิตเธอจะเป็นไปได้ด้วยดี จนกระทั่ง...

  อาชีพซักรีดเป็นอาชีพที่มีรายได้น้อยมาก เทียบกับการประกอบอาหาร แถมแมรี่เองก็ถนัดทำครัว ถ้าใครทราบดีในปี 1910 ประเทศอเมริกาเริ่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมใหม่ มีการเพิ่มกำลังการผลิต งานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรายได้ดีมาก ต่างจากงานดั้งเดิมคือการซักรีด แล้วแมรี่จะทำอย่างไร คำตอบคือ เธอเปลี่ยนชื่อ
  Mary Brown คือคนใหม่และ Mary Mallon คนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นตัวแพร่เชื้อหายไป !!

  Mary Brown เริ่มหันมาประกอบอาชีพแม่ครัวอีกครั้ง และครั้งนี้คือครั้งสุดท้าย เธอไปทำงานเป็นแม่ครัวที่ Sloane Maternity Hospital โรงพยาบาลที่ดูแลสตรีตั้งครรภ์และนรีเวช ไม่นานทั้งแพทย์ พยาบาลและคนไข้ ติดเชื้อซัลโมเนลล่า 25 รายและเสียชีวิตสองราย เหมือนวงเวียนชีวิตกลับมาอีกครั้ง เธอถูกจับกุม กักกัน คุมขัง และสถานที่กักกันคือที่เดิม North Brother island แต่คราวนี้มันยาวนานกว่าที่คิด
  ปี 1915 ที่แมรี่ถูกคุมตัวที่เกาะ มีคนมาสืบสวน สืบโรค สัมภาษณ์มากมาย ข่าวคราวของแมรี่โด่งดัง คนทั้งอเมริการู้จักตามหน้าหนังสือพิมพ์ "Typhoid Mary" และคำพูดนี้กลายเป็นคำเรียกึนหรือเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอ ต้นเหตุของเหตุการณ์เลวร้ายที่แพร่กระจายเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดหรือสิ่งเลวร้าย

  ทั้ง ๆ ที่ในขณะแมรี่ถูกคุมขัง ก็ยังมีการระบาดของไทฟอยด์อีกเช่นกัน !! แต่หามีใครประสบชะตากรรมโหดร้ายเช่นเธอ ไม่มีการพูดถึงการล้างมือ สุขอนามัยการขับถ่าย สุขอนามัยการประกอบอาหาร การรักษาโดยเร็วเพื่อลดโอกาสการเป็นพาหะนำโรค

  ปี 1932 สิบสองปีให้หลัง (12 ปีแห่งการกักกันโรค) มีคนมาพบแมรี่เป็นอัมพาตเฉียบพลัน ไร้ญาติขาดมิตร เธอเข้ารักษาที่โรงพยาบาล Riverside บนเกาะ เป็นอีก 6 ปีแห่งความทุกข์ทรมาน รวมเวลาทั้งสิ้น 18 ปีที่ถูกกักกันโดยที่โลกภายนอกก็ยังระบาดอยู่  และพัฒนาจนทราบวิธีการการควบคุมโรคแต่เธอกลับไม่ได้รับการปลดปล่อย สุดท้ายเธอเสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อนคือปอดอักเสบติดเชื้อ เสียชีวิตบนเกาะที่เธอถูกกักกันนั่นเอง

  หลังจากเธอเสียชีวิต โลกได้เรียนรู้เรื่องของคนที่พาหะนำโรค เรียนรู้เรื่องการควบคุมโรค เรียนรู้ถึงการให้ผู้คนตระหนักถึงการแพร่เชื้อและการป้องกันมากกว่าจะลงโทษทางสังคมหรือควบคุมโดยการกักกัน เพราะแมรี่คิดเพียงแต่ว่าเธอจะกลับไปประกอบอาชีพที่เธอรักได้อีกเมื่อไร โดยไม่มีใครให้เหตุผลว่าทำไมเธอจึงไม่ควรทำอาชีพประกอบอาหาร หรือเธอจะประกอบอาหารอย่างไรให้คนกินปลอดภัย เธอจะควบคุมการแพร่กระจายเชื้ออย่างไร
   ถึงแม้กักกันเธอ หรือจะกักกันพาหะอีกกี่ร้อยกี่พัน ก็จะต้านทานการระบาดไม่อยู่หากไม่ทราบวิธีควบคุมที่ถูกต้อง มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่แท้จริง

  เป็นอันจบเรื่องราวทั้งหมดของไทฟอยด์และซัลโมเนลล่า

  สวัสดี