10 ตุลาคม 2567

บันทึกประสบการณ์ : เมื่อข้าพเจ้าเป็นนิวมอเนีย ... บทที่ 1

 บันทึกประสบการณ์ : เมื่อข้าพเจ้าเป็นนิวมอเนีย ... บทที่ 1

พวกเราทุกคนล้วนแต่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยกันทั้งสิ้น แต่ละคนย่อมมีประสบการณ์ที่ต่างกัน สำหรับตัวผมเองและบุคลากรทางการแพทย์หลายท่าน คงจะมีประสบการณ์มีส่วนร่วมในกรณีเป็นบุคคลที่สองเสียเป็นส่วนมาก พวกคุณก็เคยฟังผมเล่าประสบการณ์การเป็นบุคคลที่สองมามากมาย วันนี้จะมาเล่าให้ฟังในฐานะบุคคลที่หนึ่ง : ผู้ป่วยโรคนิวมอเนีย
สามวันก่อนการวินิจฉัย : คลุมเครือ-สับสน-ย่ามใจ
อาการเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคติดเชื้อเฉียบพลันนั้น มันต้องมีระยะเวลาการฟักตัว การบ่มเพาะปริมาณเชื้อ สั่งสมปฏิกิริยาระหว่างระบบป้องกันภัยของร่างกายและสรรพอาวุธของเชื้อโรค ผมเชื่อว่าทุกคนจะ 'รู้' ว่าตัวเองเริ่มผิดปกติแต่ว่าจะยอมรับมันได้หรือช่างสังเกตเพียงใด
ความรู้สึกไม่สบายตัวคือสิ่งแรกที่รู้สึกได้ ปกติผมจะเดินขึ้นบันได ไม่ขึ้นลิฟต์ ทำให้พอรู้สึกได้ว่าทำไมวันนี้ร่างกายมันเมื่อยล้า (malaise) โดยที่เดินเท่าเดิม ท่าเดิม และก็ไม่ได้ออกกำลังกายหนัก มันก็เดินได้เพียงแต่ไม่สบายเท่าเดิม ไม่เหนื่อย แต่ด้วยความที่ต้องเพ่งพินิจกับงานตรงหน้า ความเมื่อยล้าจึงไม่ได้อยู่ในอารมณ์เท่าไร
กิจวัตรประจำวันทำได้ตามเดิมยกเว้นแค่เมื่อยล้าและเริ่มปวดเมื่อยตามตัว (myalgia) ในใจยังคงคิดว่าน่าจะเพราะออกกำลังกายกล้ามเนื้อแกนกลางเมื่อวานนี้ ส่งผลปวดเมื่อย จึงไม่ได้ติดใจสงสัย และอาการต่อไปก็ตามมา คือ นอนไม่สบาย
โดยปกติผมจะเป็นคนที่อ่านหนังสือจนง่วงและหลับเป็นตาย แต่คืนนี้รู้สึกตัวเองเลยว่าตื่นบ่อย นอนไม่สบาย ต้องพลิกตัวหลายท่า จนตื่นมาก็งัวเงียไม่สดชื่น อ่อนล้า เหมือนไม่ได้นอนตลอดคืน
สองวันก่อนการวินิจฉัย : สงสัย-ประมาท-เข้าข้างตัวเอง
ตื่นมาด้วยอาการงัวเงีย อาการปวดเมื่อยอ่อนล้าไม่ได้ถูกบรรเทาไปเลยหลังจากนอนหลับ พร้อมกับอาการที่เพิ่มขึ้นมาคือ รู้สึกเจ็บคอเวลากลืนน้ำลาย ผมคิดว่าถึงจุดนี้คุณไม่ต้องเป็นหมอพยาบาล คุณก็น่าจะเริ่มสงสัยตัวเองแล้วล่ะ ว่าไม่ปรกติ ผมเองก็เริ่มจับอาการได้ ระบบประมวลผลข้อมูลในสมองทำงานทันทีในขณะกดกาแฟและต้มไข่
มีความเป็นไปได้จากสภาพอากาศ เพราะฝนตกต่อเนื่องมาสามวันก่อนจะเปลี่ยนเป็นอากาศแห้งแบบฉับพลัน เราอาจจะมีปฏิกิริยาสนองตอบการเปลี่ยนแปลงนี้ก็ได้ หรือเกิดจากนอนอ้าปาก หรืออาจเกิดจากติดเชื้อไวรัส แน่นอนผมเป็นคนที่มีความเสี่ยงเต็มขั้น โอกาสรับเชื้อมีทุกนาที ทำไมคิดถึงไวรัสน่ะหรือ ก็มันพบบ่อย อยู่ในช่วงระบาดและติดต่อง่าย
ผมแตะตัวเอง หน้าผาก คอ เพื่อตรวจสอบว่ามีไข้ไหม ช่างเป็นวิธีการที่น่าเขกกะโหลกมากนะครับ ไม่มีความแม่นยำใด ๆ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็รู้ว่าไม่แม่นและที่สำคัญผมมีเทอโมมิเตอร์วัดไข้ติดตัว !!! เหมือนนิยาย แต่ผมพกเทอโมมิเตอร์จริง ๆ นะครับ อยู่ในกระเป๋าปากกา นอกจากน่าเขกกะโหลกแล้วยังน่าถูกตบกบาลอีกด้วย เพราะไม่ยอมไปใช้อุปกรณ์ที่มีมาวัดไข้ ผมตีขลุมเอาเองว่าไม่มีไข้ แล้วดื่มกาแฟ ขนมปังปิ้งหนึ่งแผ่นทาโยเกิร์ต และไข่ต้มสองฟอง ไปทำงานอย่างปรกติ
แม้จะคิดว่าเกิดจากสภาพอากาศ ขอวินิจฉัยแยกโรคสักหน่อย โดยการสังเกตอาการ และไม่ลืมสวมหน้ากากอนามัยเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ
ถามว่าอาการปวดเมื่อย อาการไม่สบายตัวลดลงไหม ตอบเลยว่าไม่ แต่ก็ไม่ได้รุนแรง ยังกินอาหารดื่มน้ำพูดคุยได้ปกติ จับตัวตลอดทั้งวันก็ไม่มีไข้ แถมอาการกลืนเจ็บเมื่อเช้าก็ลดลงอีกด้วย มันก็น่าจะไปทางปฏิกิริยาภูมิแพ้ใช่ไหมล่ะ
นี่คือความโน้มเอียงของผมครับ เพราะคิดว่าตัวเองแข็งแรงไง ไม่เป็นอะไรหรอก พอดีกับอากาศเปลี่ยน คิดว่าน่าจะเป็นแค่สภาพอากาศเย็นลงและชื้น หรือมากสุดก็แค่เป็นหวัด เดี๋ยวก็หาย เมื่อโน้มเอียงก็นำสู่ความประมาท
เสาร์อาทิตย์ได้พักคงจะดีขึ้น ผมคิดในใจ เสาร์อาทิตย์นี้จะไม่ทำอะไร นอนพักอ่านหนังสืออย่างเดียว และคืนนั้นก็เข้านอนทั้งที่ยังเมื่อยล้า ไม่สบายตัวและเจ็บคอ ไม่ว่าจะกลืนหรือไม่กลืนก็ตาม
กลางดึกคืนนั้น หนึ่งวันก่อนการวินิจฉัย
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
See insights and ads
Boost
All reactions:
424

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น