30 กันยายน 2563

ภาพแสดง แมมโมแกรมของเต้านม

 ภาพแสดง แมมโมแกรมของเต้านม

ปัจจุบันถือว่าการตรวจแมมโมแกรมเป็นการตรวจมาตรฐานของการคัดกรองมะเร็งเต้านมแล้วนะครับ

การคลำด้วยตัวเอง และการคลำโดยแพทย์ มีความไวต่ำกว่าแมมโมแกรมในยุคปัจจุบัน

ด้วยเทคโนโลยีที่ดี ทำง่าย ระบบการรายงานคะแนนแบบ BIRADs ช่วยให้การตรวจจับไวขึ้นแม้ว่ายังคลำไม่พบก้อน และยังช่วยบอกแนวทางการติดตาม การตรวจเพิ่มเติมได้แม่นยำกว่าการใช้มือคลำคัดกรอง

และเป็นการตรวจที่ไม่อันตราย ไม่รุกล้ำ ราคาไม่แพง โปรแกรมตรวจที่จ่ายเองประมาณ 1500-2000 บาท เก็บเงินวันละ 60 บาทเท่านั้น และทำทุกสองปีได้ (ถ้าผลปกตินะครับ)

การใช้แมมโมแกรมคัดกรอง ช่วยลดการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม และความพิการหรือเจ็บป่วยจากมะเร็งลุกลามได้จริงครับ

ถือเป็นมะเร็งอีกชนิดที่คัดกรองได้ดี และหากตรวจพบแต่แรกก็มีวิํีธีการจัดการได้ดี ไม่แพง และปลอดภัยสูงครับ

"แมมโมแกรมจึงเป็นที่แนะนำ

ส่วนที่ให้แฟนคลำ..แม้ไม่แนะนำ..แต่เร้าใจ"

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

ฉลากโภชนาการ Nutri-Scale

 วันนี้ขอหยิบยกเรื่องราวเพื่อให้ความสำคัญกับฉลากโภชนาการ

ฉลากโภชนาการได้มีการปรับปรุงมาตามยุคสมัยให้อ่านง่าย เข้าใจง่าย สามารถอ่านและพบเจอได้ในบรรจุภัณฑ์อาหารทุกชนิด มีการพัฒนาฉลากโภชนาการขึ้นมาแบบหนึ่งที่เรียกว่า Nutri-Scale โดยหน่วยงานสุขภาพสาธารณสุขของฝรั่งเศส

มีการคำนวณตัวแปรด้านบวกกับสุขภาพของอาหารแต่ละชนิด คือ โปรตีน เส้นใยอาหาร ผักผลไม้
และคำนวณตัวแปรด้านลบคือ พลังงานส่วนเกิน ไขมันอิ่มตัว น้ำตาลส่วนเกิน เกลือ เพื่อหาค่าสุทธิของสารอาหาร ตัวเลขยิ่งมากบอกว่าคุณค่าทางอาหารจะยิ่งน้อย เมื่อฟังแล้วงง จึงทำออกมาเป็นระบบคะแนน A B C D E โดย A คือคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่า B และเรียงจากมากไปน้อยตามลำดับ

ทำแบบนี้เพื่อให้เข้าใจง่ายว่าอาหารที่ตัวเองเลือกอยู่ในหมวดใด และหากมีหลายหมวด รวม ๆ กันแล้วเป็นอย่างไร ทำให้ตัดสินใจเลือกซื้อหรือทำอาหารได้ง่ายขึ้น

คำถามคือ ใช้ได้จริงหรือ ... มีงานวิจัยมาสนับสนุนครับ

งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร british medical journal (BMJ 2020;370:m3173) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่ารูปแบบการกินอาหารโดยใช้เจ้า Nutri Score เป็นมาตรฐานว่ารูปแบบการกินอาหาร A ถึง E สัมพันธ์กับอัตราการตายอย่างไร โดยเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเก็บข้อมูล EPIC study ศึกษาการเกิดมะเร็งในประเทศยุโรป

มีข้อมูล 500,000 คนเศษ ตามไป 17 ปี พบว่า กลุ่มที่กินอาหารโภชนาการที่ไม่ดีตาม Nutri Score (highest 1/5 percentile) เพิ่มอัตราการเสียชีวิตมากกว่า กลุ่มที่กินโภชนาการดี ตาม Nutri Score (lowest 1/5 percentile) ถึง 1.07 เท่าและมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งได้มากที่สุด

เป็นงานที่พอบอกเราได้ว่า เมื่อทำรูปแบบฉลากอาหารให้ง่าย ใช้ได้จริง และคนทำตามแล้ว สามารถลดอันตรายและโรคจากอาหารได้มากมายครับ ดังนั้นเราทุกคนควรใส่ใจกับฉลากบริโภคกันเยอะ ๆ นะครับ

ดูฉลากและอ่านคิดก่อนกิน
ดูแอดมินแล้วฟิน..กลืนกินได้ทั้งตัว

ในภาพอาจจะมี ข้อความพูดว่า "NUTRI-SCORE ABCDE DE B"

29 กันยายน 2563

หลอดเลือดหัวใจบีบตัว

 มาเรียนแบบเร็ว ๆ เวลาเราน้อย

หลอดเลือดหัวใจบีบตัว

สำหรับประชาชนทั่วไป เรามารู้จักอีกโรคนะครับ ส่วนบุคลากรทางการแพทย์และน้อง ๆ หมอ นอกจากอ่านสรุปในบทความแล้ว แนะนำให้ไปอ่านจากฉบับจริง ฟรีครับ

ปกติหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน เกือบทั้งหมดจะเกิดจากตะกรันไขมันอักเสบที่พอกหนาในหลอดเลือดเกิดแตกออกแล้วตัน การรักษาก็ต้องทะลวงจุดตัน แล้วค้ำยันด้วยขดลวด แต่จะมีบางส่วนเล็กน้อยที่การตีบแคบไม่ได้เกิดจากการตัน แต่เกิดจากการบีบรัดของหลอดเลือดหัวใจ (coronary atery spasm) จากกล้ามเนื้อรอบหลอดเลือดตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นบางประการ บีบแล้วคลายออกเอง เนื่องจากบีบแล้วเลือดก็ไม่ไหลเหมือนกัน อาการจึงออกมาเป็นหลอดเลือดตีบและกล้ามเนื้อหัวใจตายเหมือนกัน

เรื่องราวของชายอายุ 60 ปี ที่เคยมีหลอดเลือดหัวใจตีบตันที่หลอดเลือดแดงหัวใจแขนงหนึ่งชื่อ left anterior descending artery ได้รับการแก้ไขและใส่ขดลวดค้ำยันแล้ว ต่อมาเขามีอาการเจ็บแน่นหน้าอกขึ้นมาอีก และตามมาด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ภาพคลื่นไฟฟ้าหัวใจมีความผิดปกติดังรูปแรก เข้าได้กับกล้ามเนื้อหัวใจด้านล่างและด้านหลังเกิดขาดเลือด และมีการนำไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติ

หลอดเลือดตีบเฉียบพลัน
หัวใจวายเฉียบพลัน
การนำไฟฟ้าผิดปกติเฉียบพลัน
นี่คือข้อบ่งชี้ของการรักษาเฉียบพลัน ตามทีมด่วน !!

แต่ก่อนที่ทีมจะมาถึงผู้ป่วยได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจซ้ำ ปรากฏว่าการนำไฟฟ้าที่ผิดปรกติกลับมาเป็นปรกติ คลื่นไฟฟ้าที่บ่งบอกอาการการจากเลือดเฉียบพลันนั้นดีขึ้นมากจนเกือบหายไป เกิดอะไรขึ้น เขาห้อยพระอะไร !!

สุดท้ายเมื่อตรวจฉีดสีพบว่ามีการตีบแคบของหลอดเลือดหัวใจแขนง right coronary artery สามารถอธิบายอาการนี้ได้ และเมื่อฉีดยาขยายหลอดเลือด nitroglycerin เข้าไปก็พบว่าหลอดเลือดกลับมาขยายขนาดปรกติ หลอดเลือดอื่นปรกติ

สรุปว่าผู้ป่วยมีอาการบีบตัวรุนแรงของกล้ามเนื้อเรียบรอบหลอดเลือด เป็นภาวะที่พบประมาณ 3-10% และพบมากขึ้นเมื่ออายุมาก ปัจจัยเสี่ยงและเหตุกระตุ้นที่พบบ่อยคือ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ใช้ยาหรือสารที่มีฤทธิ์ตีบหลอดเลือดรุนแรงเช่น โคเคน การออกกำลังกายหนัก (พบน้อยนะครับ ห้ามใช้เป็นข้ออ้างการไม่ออกกำลังกาย) แน่นอนว่าการตรวจคงต้องฉีดสีตรวจหลอดเลือดและฉีดยาดูการตอบสนองของกล้ามเนื้อหลอดเลือด ส่วนการรักษาในระยะยาว นอกจากหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยกระตุ้น คือการใช้ยาขยายหลอดเลือดกลุ่ม calcium channel blocker หรือ nitrates ครับ

อีกหนึ่งโรคที่น่าสนใจ ในวารสารฉบับเต็มเขียนรายละเอียดไว้ดีมาก น้อง ๆ หมออยาลืมเข้าไปอ่านนะครับ ฟรี และอย่าดอง

Thakkar AB, Goldschlager N. Right Coronary Artery Vasospasm Presenting as Complete Atrioventricular Block. JAMA Intern Med. 2020;180(9):1244–1245. doi:10.1001/jamainternmed.2020.2361

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ
ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

28 กันยายน 2563

ผู้ป่วยโรคหืด ไม่ควรหยุดยาเอง

 ผู้ป่วยโรคหืด ไม่ควรหยุดยาเอง

วันนี้พบผู้ป่วยโรคหืดที่ขาดการติดตามรักษาเพราะอาการไม่รุนแรง ใช้แต่ยาสูดพ่นเวลามีอาการเท่านั้น เมื่อใช้ยาสูดพ่นระงับอาการจนดีขึ้นก็หยุดยา เมื่อมีอาการก็พ่นใหม่

ผู้ป่วยทำแบบนี้มาตลอด 10 ปี ซื้อยาสูดพ่นใช้เอง และกำเริบจนต้องสูดพ่นยาประมาณเดือนละครั้ง

ผลการตรวจสมรรถภาพปอดวันนี้มีการตีบแคบค่อนข้างถาวร ต่างจากเมื่อสิบปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด

เป็นผลจากการขาดการสูดยาสเตียรอยด์เพื่อควบคุมอาการ
ขาดยาสูดสเตียรอยด์เพื่อควบคุมการอักเสบของหลอดลม
ขาดยาสูดสเตียรอยด์เพื่อลดการกำเริบ

แม้ยาสูดสเตียรอยด์จะไม่ได้ผลทันใจและแก้ไขอาการได้ดีเหมือนยาสูดพ่นขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์สั้นและทันที

แต่ก็เป็นการรักษาหลักเพื่อลดอันตรายที่จะเกิดในอนาคต

ผู้ป่วยโรคหืด จึงไม่ควรหยุดยาเองนะครับ โดยเฉพาะยาสูดสเตียรอยด์ และควรติดตามการรักษาสม่ำเสมอ เพื่อปรับยาและลดความเสี่ยงอื่น ๆ ในอนาคตด้วยครับ

ในภาพอาจจะมี ต้นพืช, ดอกไม้, ต้นไม้, สถานที่กลางแจ้ง และธรรมชาติ

Creutzfeldt-Jakob Disease (CJD)

 เกิดอะไรขึ้นที่อังกฤษในปี 2523-2539 (1980-1996)

ใครที่ไปบริจาคเลือดคงเห็นคำถามที่ว่า
" ผู้บริจาคที่เคยได้รับโลหิตจากผู้บริจาคในประเทศอังกฤษหรือเคยพำนักอยู่ในประเทศอังกฤษ ระหว่างปี พ.ศ. 2523 - 2539 หรือเคยพำนักในทวีปยุโรป รวมระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523- ปัจจุบัน "

เกิดอะไรขึ้นที่นั่น

ขอย้อนกลับไปปี 1920 นักวิชาการด้านประสาทวิทยาสองท่าน ได้ศึกษาโรคระบบประสาทโรคหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงทางความเสี่อมของสมองอย่างรวดเร็วมาก จนถึงเสียชีวิตได้ในหนึ่งถึงสองปี ผู้ป่วยมีอาการสมองเสื่อม สับสน มีการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างควบคุมไม่ได้ พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง และหากไปตรวจชิ้นเนื้อหรือตรวจศพผู้เสียชีวิตจะพบเนื้อสมองพรุนเป็นฟองน้ำ ศัพท์วิชาการคือ spongiform neurodegeneration และได้ตั้งชื่อโรคตามสองนักประสาทวิทยาชาวเยอรมัน Alfons Maria Jakob และ Hans Gerhard Creutzfeldt ว่า Creutzfeldt-Jakob Disease

โรคนี้อธิบายง่าย ๆ ว่าเกิดจากโปรตีนในเซลล์สมอง เกิดการเรียงตัวผิดปกติจนโครงสร้างผิดออกไป ส่งผลให้การทำงานผิดปกติและสูญสลาย โดยโปรตีนที่ผิดปกตินี้เกิดจากการเหนี่ยวนำของโปรตีนที่ผิดปกติเพียงหนึ่งชนิด เรียกโปรตีนชนิดนี้ว่า prion เราจึงเรียกโรคที่มีลักษณะการเกิดแบบนี้ว่า prion disease

คราวนี้มันมี prion บางชนิดที่มาจากการติดเชื้อ !!

ในปี 1986 ครั้งแรกที่ผมรู้จักฟุตบอลโลกและมาราโดน่า ที่อังกฤษได้มีการยืนยันว่าเจอโรค spongiform encephalitis ในสัตว์เลี้ยงและในตอนนั้นยังไม่มีข้อมูลว่าเกิดได้อย่างไรและติดต่อไหม แต่ก็เกิดความหวาดระแวงในการบริโภคเนื้อสัตว์ในอังกฤษ

จนกระทั่งปี 1990 ฟุตบอลโลกที่อิตาลีกำลังฟาดแข้งอย่างเมามัน แต่ที่อังกฤษ เจ้าเหมียวน้อยชื่อ Max ได้เกิดโรค spongiform encephalitis (อยากอ่านวารสารต้นฉบับมากว่า ทำไมถึงสงสัยโรคสมองอักเสบในแมวได้นะ) และพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากการกินเนื้อสัตว์ที่ติดเชื้อ แน่นอนว่าเนื้อนั้นคือ เนื้อวัว จึงมาเป็นชื่อของ Bovine Spongiform Encephalitis หนึ่งในหลายกลุ่มโรคของ Creutzfeldt-Jakob Disease (CJD)

อีก 4 ปีให้หลัง ปี 1994 ฟุตบอลโลกบนแผ่นดินอเมริกา กับวินาทีที่โรแบร์โต้ บักโจ้ ยิงจุดโทษไม่เข้า บนแผ่นดินอังกฤษเริ่มมีรายงานคนที่มีอาการ CJD มากขึ้น ที่ต่างจาก CJD ของเดิมเพราะ CJD เดิมมักจะเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม จะเกิดในช่วงอายุมาก แต่นี่เกิดในอายุน้อยกว่าและเกิดปริมาณมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้ง ๆ ที่เดิมทีโรคนี้พบน้อยมาก ๆ

จนในปี 1995 เด็กชายสตีเฟน เชอร์ชิลล์ ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวินสตันเชอร์ชิลล์ ได้เสียชีวิตจากโรคนี้ ทำให้ปี 1996 ทางการอังกฤษประกาศชัดเจนว่ามีการระบาดของโรค CJD จากการกินเนื้อสัตว์ที่ติดเชื้อ หลังจากนั้นก็มีการแบนปศุสัตว์จากอังกฤษและภาคพื้นยุโรป ทำให้การรระบาดของโรคโรควัวบ้านี้ลดลง

แล้วทำไมจึงมาห้ามบริจาคเลือด !!!

หลังจากการระบาดยุติลงในปี 1997 จำนวนผู้ป่วยจากการบริโภคเนื้อสัตว์ติดเชื้อลดลงมาก แต่หลังจากนั้นมีรายงานประปรายที่พบผู้ติดเชื้อจากผู้ที่ได้รับเลือด ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดอวัยวะ จึงต้องสงสัยว่าน่าจะมีการแพร่กระจายผ่านทาง prion ที่ยังคงมีอยู่หลังจากการระบาดนั้น และแพร่ทางการให้เลือด แต่เนื่องจากปริมาณผู้ติดเชื้อน้อยมากและข้อมูลไม่มากพอที่จะสรุปว่าเป็นการแพร่กระจายแบบใด

แต่ด้วยข้อมูลเท่านี้ก็เพียงพอให้หลายประเทศในโลกรวมทั้งไทย งดรับบริจาคเลือดจากคนที่เคยพำนักในแดนระบาดและช่วงเวลาระบาด หรือเคยได้รับเลือดในประเทศที่ระบาดในช่วงนั้น ด้วยเหตุผลที่ไม่อยากเสี่ยง เพราะโรคนี้ไม่มีทางรักษา และการตรวจคัดกรองยังไม่มีประสิทธิภาพดีมาก

ผลจากการระบาดครั้งนั้น ยาวนานมาจนปี 2020 ปีที่ลิเวอร์พูลได้แชมป์พรีเมียร์ลีก และน่าจะยังมีกฎนี้ต่อไปอีกสักพัก จนกว่าการคัดกรองโรคที่แอบซ่อนอยู่จะไวมากขึ้น

"ไปบริจาคเลือดมา แล้วเพ้อเป็นเวรเป็นวรรค

นี่ถ้าไปบริจาครัก คงมิพักได้เป็นเพลงยาว"

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

27 กันยายน 2563

ไดโนเสาร์ ประวัติศาสตร์แห่งชีวิตที่สูญหาย

 ป้ายยา "ไดโนเสาร์ ประวัติศาสตร์แห่งชีวิตที่สูญหาย" the rise and fall of the dinosours

หนังสือเรื่องราวความเป็นมาและจุดสิ้นสุดของไดโนเสาร์ ส่วนมากจะเป็นหนังสือภาพสำหรับเด็ก ๆ ที่ตื่นเต้นกับสัตว์ยักษ์ล้านปี ยิ่งหนังสือภาษาไทยจะมีน้อยมาก

สำหรับเล่มนี้ แต่งโดย Steve Brusatte นักบรรพชีวินวิทยา และแปลโดย สุนันทา วรรณสินธ์ เบล ปกสวยมากจากสนพ.บุ๊คสเคป ราคานับว่าไม่แพงเลย หากเทียบกับเนื้อหา 395 บาทเท่านั้น

ภายในเป็นบันทึกการศึกษาของ บรูเซ็ตติ เริ่มจากการศึกษาไดโนเสาร์เพิ่งค้นพบใหม่ในจีน เล่าไปเรื่อย ๆ ถึงยุคต่าง ๆ ของไดโนเสาร์ว่าเป็นมาอย่างไร โดยใช้ข้อมูลจริงจากที่เขาศึกษา มาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดในอดีตกว่าร้อยล้านปีได้อย่างลงตัว

ตัดฉากสลับไปมาระหว่างปัจจุบันกับอดีต ว่าการค้นพบนี้ มันหมายถึงอะไร แล้วมันแปลผลถึงเหตุการณ์แบบใดในอดีต

และสิ่งที่เราพบ ซากโครงกระดูก รอยพิมพ์บนพื้นหิน มันอธิบายพฤติกรรมหรือวิถีขิวิตเมื่อร้อยล้านปีก่อนได้อย่างไร

บรูเซ็ตติเขียนได้น่าอ่าน วางไม่ลง เรื่ิองราวสานต่อกันเป็นยุค ๆ อย่างลงตัว ประกอบกับหลักฐานที่มีในปัจจุบัน ที่อธิบายเรื่องยาก ๆ ให้เข้าใจได้ดี

หลังผ่าน 50 หน้าแรก อันจะเป็นการปูพื้นเรื่องราว หลังตากนั้นจะแทบวางไม่ลงครับ เป็นฟิคชั่นที่เขียนแบบน็อนฟิคชั่นได้สนุก พอ ๆ กับเซเปี้ยนส์, ปืน เชื้อโรค เหล็กกล้า เลยทีเดียว

ผมอ่านแล้วสนุก อารมณ์เหมือน เล็กซ์ เด็กน้อยจำไม ในเรื่องจูราสสิกปาร์คเลย

ผู้ใหญ่ที่ยังชอบเรื่องราวของไดโนเสาร์ เล่มนี้ห้ามพลาดครับ ส่วนผู้ใหญ่ที่ยังเป็นไดโนเสาร์ก็ลองอ่านดูนะครับ จะได้รู้ว่า การปรับตัว มันสำคัญกับยุคสมัยอย่างไร

ในภาพอาจจะมี ข้อความพูดว่า "The RISE and FALL of the DINOSAURS ไดโนเสาร์ ประวัติศาสตร์แห่งชีวิตที่สูญหาย Steve Brusatte สุนันทา วรรณสินธ์ เบล แปล"

แงะรถลุงหมอ ห้องสมุดย่อม ๆ

 แงะรถลุงหมอ ห้องสมุดย่อม ๆ

นอกเหนือจากห้องหนังสือที่บ้าน ตู้หนังสือที่ทำงาน หนังสือหนึ่งเล่มใต้เบาะมอเตอร์ไซค์ และอีบุ๊กรีดเดอร์ในเป้หลัง

ในรถก็มีอีก ด้วยความคิดที่ว่า เราจะมีหนังสือทุกที่ที่เราอยู่ เราจะเพิ่มโอกาสอ่านมากขึ้น โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยใช้รถยนต์มากนัก ยกเว้นเดินทางไกลและช่วงฝนตก

ในรถเราก็มีเช่นกัน

1. ควรซื้อกล่องเก็บครับ เป็นกล่องพลาสติกมีฝาปิด ล็อกได้ เคลื่อนย้ายสะดวก เป็นสัดส่วนและไม่เปรอะคราบกาแฟอีกด้วย

2. อุปกรณ์เสริมที่ควรมีคือ ที่คั่นหนังสือ ไฟอ่านหนังสือเล็ก ๆ ต่อ usb สามารถเปิดกับเพาเวอร์แบงค์ได้ รับประกันอ่านได้ทุกสภาวะ

3. หนังสือเกี่ยวกับการทำงาน ในรถผมจะมี Current Medical Diagnosis and Therapeutics เล่มหนาหนึ่งเล่ม และหนังสือตำราเล่มเล็ก ๆ ที่กำลังอ่านทบทวนในช่วงเวลานั้น รวมจะมีตำราแพทย์ สองเล่มเสมอ

4. นิยายหนึ่งเล่ม แนะนำเป็นนิยายเรื่องสั้น เพราะเราจะอ่านเวลาเดินทางใช่ไหม เลือกเล่มหนา ๆ ก็พกยาก อ่านไม่จบ เล่มล่าสุดของผมคือ ปาฏิหาริย์แมวส้มฯ เล่มบาง ๆ

5. หนังสือ non fiction หนึ่งเล่ม อันนี้เลือกเล่มหนาได้ เพราะใช้เวลาอ่านนาน ค่อย ๆ เก็บสะสมไปครั้งละ 20-30 หน้า ล่าสุดของผมคือ 12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิต

6. หนังสือพิมพ์ จะมีติดไว้หนึ่งถึงสองฉบับ จริงอยู่ว่าข่าวสารอันอาจจะล้าสมัยเมื่อผ่านไป แต่เก็บไว้อ่านคอลัมน์อื่น บทความอื่น ๆ อีกได้ อีกอย่างกระดาษหนังสือพิมพ์ก็สารพัดประโยชน์ครับ ปูนั่ง พัด ซับน้ำ

ใครจะมีหนังสือแบบใด หรือนิตยสารสนุก ๆ ไว้อ่านเล่นก็ได้ เวลาพัก เวลากินกาแฟในปั๊ม รอข้าวในร้านอาหาร ยิ่งน้องหมอรับงานหลายที่ ก็พกหนังสือไปอ่าน รับรองพอจบปี จะได้หนังสือที่อ่านจบต่อปีเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

อ้อ ไม่ต้องพกพาไปเยอะมากครับ หนักรถ เปลืองที่ เปลืองน้ำมัน เอาที่ใช้บ่อย และกำลังอ่าน พอจบแล้วก็เปลี่ยนเล่มใหม่

อย่าอ่านตอนรถติดนะครับ อันตราย ใช้ต่อพ็อดแคสต์เข้าระบบเครื่องเสียงรถยนต์แล้วฟังเอาดีกว่า ผมแนะนำ JAMA clinical review podcast ฟังง่ายครับ หรืออยากเสียเงินก็ readery podcast ครับ

อย่าลืม แค่พกหนังสือ คุณก็ดูมีเสน่ห์แล้ว

ในภาพอาจจะมี ข้อความพูดว่า "HOW TO FIX WINCH A BROKEN HEART สูญเสียแค่ไหน ก็ไม่เสียศูนย์ พิมพ์ครั้งที่2 2"

26 กันยายน 2563

ยายี่ห้อ Y คุณหมอบอกว่าตัวเดียวกัน มันกินแทนกันได้ไหม

 คำถามทางทางบ้าน

คำถาม : ลุงหมอครับ ผมได้รับยายี่ห้อ X จากโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง แต่เมื่อกลับมารักษาต่อที่บ้าน โรงพยาบาลให้ยายี่ห้อ Y คุณหมอบอกว่าตัวเดียวกัน มันกินแทนกันได้ไหม

คำตอบ : จากที่คุณถามมาครับ ยาตัวนี้มีชื่อสามัญทางยาคือ Z แต่มีหลายยี่ห้อ ทั้ง X ทั้ง Y ทั้ง A ทางการแพทย์เราถือว่าทุกยี่ห้อผ่านขั้นตอนการพิสูจน์มาแล้วว่า ไม่ได้ต่างกันจนใช้แทนกันไม่ได้ โดยเฉพาะตัวสารเคมีหลักของยานั้น จึงจดทะเบียนตำรับยาในประเทศได้

ความเป็นจริงอาจจะมีบางจุดเล็ก ๆ ที่แตกต่างกัน เพราะกระบวนการผลิต สารข้างเคียงต่าง ๆ ที่แตกต่างกันบ้าง และผู้ป่วยบางรายจะตอบสนองต่างกัน ต่อยาสามัญตัวเดียวกัน แต่ต่างยี่ห้อกัน ย้ำแค่บางราย ส่วนใหญ่ 90-95% ก็จะไม่ได้ต่างกับยาต้นแบบและไม่ได้ต่างกันมากครับ

แต่ละโรงพยาบาลจะใช้ยายี่ห้อใด ขึ้นกับทรัพยากรและนโยบายแต่ละโรงพยาบาล ส่วนจะเปลี่ยนยี่ห้อแต่ตัวยาเดียวกัน จะมีคุณเภสัชกรคอยตรวจสอบให้อีกครั้งครับ

น่าจะมั่นใจได้ครับ และถือว่าเหมือนกันในทางปฏิบัติครับ

ส่วนของบางอย่าง ก็แยกกันไม่ออกจริง ๆ นะครับ

ในภาพอาจจะมี 2 คน, ข้อความพูดว่า "หาความแตกต่างระหว่างสองรูปนี้ กงยู สามีแห่งเอเชีย ชายชราหน้าหนุ่ม"

ลิ้งค์ซื้อหนังสือ พล นิกร กิมหงวน ของสำนักพิมพ์แสงดาว

 ขอแชร์ลิ้งค์ซื้อหนังสือ พล นิกร กิมหงวน ของสำนักพิมพ์แสงดาว ฉบับพิมพ์ใหม่ ไม่ได้มีส่วนได้อะไรกับเขา แต่อยากให้คนรักการอ่านได้ทราบช่องทางซื้อหนังสือลดราคา

เพราะวันนี้ครบรอบวันจากไปของ ป.อินทรปาลิต ผู้แต่งหัสนิยายเรื่องยาว พลนิกรกิมหงวน

ท่านป.อินทรปาลิต แต่เรื่องนี้ไว้หลายชุดมาก ใครที่เคยอ่านคงจะรู้พิษสงของนิยายชุดนี้ดี เช่น หัวเราะดังลั่นกลางรถเมล์ กลั้นหัวเราะจนตัวสั่น ซื้อเล่มต่อไปอย่างหยุดไม่ได้

สำหรับนักอ่านน้องใหม่ นิยายเรื่อง พลนิกรกิมหงวน นอกจากจะขำขันเฮฮา ยังสะท้อนและบันทึกเรื่องราวของประเทศไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ทั้งการใช้ชีวิต ความเป็นมาของบ้านเมือง เศรษฐกิจ สังคม ความคิดอ่าน ค่านิยม ของประเทศไทยในยุคนั้นได้อย่างสมบูรณ์

สำหรับผม เรียกว่าอ่านจนปรุ อ่านไม่รู้กี่สิบรอบ และขำทุกรอบ อ่านตั้งแต่ประถมจนปัจจุบัน ซื้อมาขายไป ให้เขาบ้าง หายบ้าง ซื้อใหม่ ไปเรื่อย ๆ ครับ

ดังนั้น รับประทานใต้เท้าได้ซื้อหานิยายมาอ่านกันขอรับ เพื่อความบันเทิงเริงรมย์และสุนทรียแห่งตัวอักษรขอรับ

ลุงแห้ว กะเพรากุล (ญาติห่าง ๆ ของแห้ว โหระพากุล) ต้นตระกูลแห้วเข้าเส้น แห้วตลอดกาล

ในภาพอาจจะมี 1 คน

อัมพาตเฉียบพลัน

 อัมพาตเฉียบพลัน

ภาพคลิปวิดีโอของ Ron Paul อดีตสส.พรรครีพับลิกัน วัย 85 ปี ที่ผันตัวมาเป็นผู้จัดรายการและนักวิเคราะห์การเมือง กำลังถ่ายทอดสดการจัดรายการของเขา แล้วเกิดอาการหน้าเบี้ยวปากเบี้ยวด้านซ้าย พูดไม่ชัด อย่างเฉียบพลัน

ผู้ชมและทีมงานรู้ได้ทันทีว่าเขามีอาการหลอดเลือดแดงในสมองตีบเฉียบพลัน (acute stroke) จึงรีบนำส่งโรงพยาบาล

รายงานข่าวล่าสุด ผมเห็นภาพที่เขายกมือซ้ายมาชูนิ้วโป้งว่าเยี่ยมยอด และรอยยิ้มที่ใบหน้าซ้ายไม่เบี้ยว

ตัวอย่างที่ดีของโรคอัมพาตเฉียบพลัน หากมีอาการเมื่อไรให้รีบไปโรงพยาบาลหรือโทร 1669 ทันที หากไปทันเวลาและไม่มีข้อห้าม ท่านจะได้รับการรักษาที่ดีส่งผลลดอัตราความพิการได้มากครับ

แนวทางปัจจุบันให้ยาทางหลอดเลือดดำได้ถึง 4.5 ชั่วโมงหลังเกิดอาการและไม่มีข้อห้าม ส่วนหากมาล่าช้ากว่านั้น อาจมีทางเลือกการรักษาทางหลอดเลือดหรือหัตถการทางหลอดเลือดได้หากสถานพยาบาลมีความพร้อม

ดูคลิปที่นี่
https://youtu.be/dFsaIMw8uF8

คำแนะนำการส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารในผู้ป่วยโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก

 วันนี้เราจะมาใส่ "ความเห็น" และอยากฟังเสียงประชาชน เกี่ยวกับคำแนะนำการส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารในผู้ป่วยโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก

เกริ่นกันก่อนครับว่า โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก มีมูลเหตุง่าย ๆ คือ
ไขกระดูกไม่ได้ธาตุเหล็ก ไม่ว่าจะกินน้อย ดูดซึมผิดปกติ การนำส่งธาตุเหล็กบกพร่อง

ธาตุเหล็กหายไปจากร่างกาย คือสูญเสียธาตุเหล็กทางเดินอาหาร และสูญเสียทางไตและทางเดินปัสสาวะ

เรามาโฟกัสที่โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก อันมีที่มาจากการเสียเลือดทางเดินอาหาร เราแบ่งง่าย ๆ เป็นมีอาการเสียเลือดที่ชัดเจนเช่น ถ่ายอุจจาระสีดำ ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน ส่วนอีกประการคือ ไม่มีอาการใด ๆ จริง ๆ แล้วก็มีอาการนั่นแหละครับ แต่ตาเรามองไม่เห็น จะรู้ได้โดยการตรวจหาหลักฐานของเลือดมนุษย์ในอุจจาระ

และมาถึงประเด็นวันนี้คือ สูญเสียเลือดแบบไม่มีอาการ (occult bleeding) เราจะตรวจเจอโลหิตจางจากการตรวจเลือด ตรวจพบธาตุเหล็กในตัวลดลง แต่จุดที่เกิดเลือดออกเป็นสิ่งที่เราต้องค้นหา...

แนวทางการค้นหาสาเหตุโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก โดยการตรวจส่องกล้องทางเดินอาหาร จัดทำโดยสมาคมแพทย์โรคทางเดินอาหารสหรัฐอเมริกา ลงตีพิมพ์ใน Gastroenterology Vol 159 Issue 3 ออกมาเมื่อ 1 กันยายนที่ผ่านมา สามารถไปหาอ่านแนวทางฉบับเต็มได้ฟรีที่ลิ้งก์นี้ครับ

https://www.gastrojournal.org/…/S0016-5085(20)3484…/fulltext

คำแนะนำ : สำหรับผู้ที่มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ...(1) และไม่มีอาการใด ๆ ...(2)ในหญิงวัยหมดประจำเดือนและชาย...(3) ควรได้รับการตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารทั้งด้านบนและล่าง ...(4) มากกว่าการไม่ส่องกล้อง...(5)
คำแนะนำระดับหนักแน่น คุณภาพหลักฐานปานกลาง

(คำแนะนำอื่นจะเป็นคำแนะนำระดับ ควรพิจารณา และระดับหลักฐานส่วนมากก็เป็นคุณภาพต่ำหรือต่ำมาก)

1. ต้องได้รับการยืนยันว่าซีดจางจากการขาดธาตุเหล็กจริง โดยแนะนำให้ตรวจระดับสารเฟอริตินในเลือด หรือวิเคราะห์สมดุลธาตุเหล็กจากการตรวจเลือด ไม่สามารถใช้การวินิจฉัยแบบ "therapeutic diagnosis" คือให้ยาธาตุเหล็กไปก่อนแล้วติดตามผล ที่นิยมใช้ในบ้านเราเพราะราคาถูกและการตรวจวิเคราะห์ธาตุเหล็กมีราคาแพง ทำไม่ได้ทุกที่

2. ไม่มีอาการใด ๆ.. แน่นอนว่าหากมีอาการ ไม่ว่าถ่ายดำ ปวดท้อง น้ำหนักลดลง มีก้อน อาเจียนปนเลือด อันนี้ต้องหาตามข้อบ่งชี้ แต่นี่คือมาตรวจพบโดยไม่มีอาการ ไม่ว่าจะจากการตรวจเลือดประจำปีหรือจากการตรวจโรคอื่น แล้วบังเอิญพบ

3. วัยที่กำหนด ที่กำหนดแบบนี้เพราะอุบัติการณ์โรคมะเร็งทางเดินอาหาร โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่จะมากขึ้นในผู้สูงวัย ประกอบกับหญิงวัยหมดประจำเดือนจะไม่มีการสูญเสียเลือดทางอื่นตามธรรมชาติอีก การประเมินจึงเหมือนกับผู้ชาย แล้วผู้ชายล่ะจะนับเมื่อไร ตามการศึกษาที่มีมาพบว่าที่เกณฑ์อายุมากกว่า 50 ปีจะพบอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงขึ้นมาก จึงใช้เกณฑ์อายุ 50 ปี

4. ส่องกล้องทั้งบนและล่าง..หมายถึงส่องกระเพาะอาหารและลำไส้ส่วนต้น (esophagogastroduodenoscopy) และทางลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) ในคราวเดียวกัน ที่ต้องส่องด้านบนเพราะต้องหาเหตุจากแผลกระเพาะอาหาร และเนื้องอกทางเดินอาหารส่วนบนด้วย จากชุดความจริงตามการศึกษาแบบติดตามผลว่า ถ้าคิดอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ 0.8% ของประชากร ซึ่งอาจจะเกินจริงไปเล็กน้อยเพราะเก็บข้อมูลจากศูนย์ตรวจที่มีแต่คนเป็นโรค ไม่ใช่ประชากรทั่วไป

โอกาสพบมะเร็งทางเดินอาหารส่วนบนจากการตรวจส่องกล้องด้านบนคือ 2.0%

โอกาสพบมะเร็งทางเดินอาหารส่วนล่างจากการตรวจส่องกล้องด้านล่างคือ 8.9%

5. ควรส่องกล้องมากกว่าไม่ส่องกล้อง เพราะการตรวจพบมะเร็งทางเดินอาหารในระยะต้นมีโอกาสหายขาดสูง สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยกว่าระยะปลาย หรือต้องยื้อรักษาอาการซีด หาเหตุอย่างอื่นไปเรื่อย ๆ โดยไม่ส่องกล้อง

เอาล่ะ หากคิดตามเหตุผลคำแนะนำ มันก็สมเหตุสมผลดีครับ แต่อย่าลืมว่าตัวเลขการเกิดโรคมาจากสหรัฐอเมริกา ทรัพยากรและราคาการรักษาคือสหรัฐอเมริกา แต่ในสถานการณ์ประเทศไทย

- การตรวจยืนยันเพื่อวินิจฉัยโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ทำไม่ได้ทุกที่ ถ้าเรานำคนที่วินิจฉัยซีดอย่างเดียว หรือใช้ therapeutic diagnosis อาจจะไม่ได้ผลตามนี้ อาจทำการตรวจส่องกล้องเกินจำเป็นหรือไม่

- ประเทศไทยมีโรคซีดอื่น ๆ อีกมาก รวมถึงสาเหตุจากการกินธาตุเหล็กไม่พอ จากพยาธิปากขอในลำไส้ ที่อาจทำให้การส่องกล้องดูค่อนข้างแพง หากเทียบความจำเป็น

- ประเทศไทยยังไม่มีทรัพยากรมากพอ ทั้งเครื่องมือการส่องกล้อง บุคลากรที่จะส่องกล้อง แพทย์ที่จะอ่านผลการตรวจชิ้นเนื้อ และเราจนกว่าอเมริกามากนัก จะทำตามแนวทางนี้ได้จริงหรือไม่

- โอกาสเกิดโรคมะเร็งทางเดินอาหารของเอเชียสูงกว่ายุโรปและอเมริกาครับ ยิ่งกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ ประมาณ 11-16 ต่อแสนประชากร และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในช่วงปี 1990-2014 เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 3% จึงอาจเป็นจุดต่างที่หากเราค้นหาคนไข้ที่เหมาะสมมาส่องกล้องน่าจะลดความสูญเสียจากมะเร็งได้มากกว่านี้ และได้ประโยชน์สูงกว่าอเมริกา

- การส่องกล้องทั้งบนและล่าง แม้จะมีอันตรายต่ำมาก (จนสามารถใช้การส่องกล้องลำไส้ใหญ่เพื่อการคัดกรองมะเร็งได้) แต่ก็ยังเป็นหัตถการที่รุกล้ำ ไม่สบายตัว ราคายังสูง ..สำหรับคนที่ไม่มีอาการใด ๆ ตามข้อแรก ๆ

เมื่อมาปรับกับบริบทบ้านเรา อาจจะทำไม่ได้ตามนั้น หรืออาจต้องแอบลดระดับคำแนะนำมาเป็น conditional มากกว่า strong ด้วยข้อจำกัดหลายประการครับ

ผมมองในภาพรวมทั้งประเทศนะครับ ทั้งคนที่มีโอกาสเข้าถึงการรักษาและคนด้อยโอกาส (ที่มีมากกว่าตามความเหลื่อมล้ำของประเทศเรา) ท่านใดคิดเห็นประการใด ลองเขียนความเห็นมาแลกเปลี่ยนกันได้ครับ

ในภาพอาจจะมี ข้อความพูดว่า "uncle- run away_ - wife"

25 กันยายน 2563

ผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงไม่ควรดื่มเหล้านะครับ

ผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงไม่ควรดื่มเหล้านะครับ 

มีผลการศึกษาเรื่องความสัมพันธ์การดื่มแอลกอฮอล์กับการเพิ่มระดับความดันโลหิต ในผู้ป่วยเบาหวาน  ซึ่งก่อนหน้านี้เราเคยมีข้อมูลที่ว่าการดื่มแอลกฮอล์ระดับไม่เกิน หนึ่งดื่มมาตรฐานสำหรับหญิงและสองดื่มมาตรฐานสำหรับชาย น่าจะไม่เกิดอันตรายมากนัก

 แต่ข้อมูลนี้ให้ความจริงที่ต่างออกไป โดยนำกลุ่มประชากรที่อยู่ในการศึกษาการรักษาเบาหวานที่ชื่อ ACCORD study มาศึกษาย่อยโดยการสอบถามประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ โดยแยกเป็น ไม่ดื่มเลย ดื่มเบา ดื่มปานกลางและดื่มหนัก ว่าสัมพันธ์กับระดับควมดันที่เพิ่มอย่างไร  พบว่าอย่างนี้ครับ

1.95% ของผู้ป่วยดื่มเหล้าไม่เกิน 7 ดื่มมาตรฐานต่อสัปดาห์ หรือประมาณวันละหนึ่งดื่มมาตรฐาน โดยเป็นผู้ที่ไม่ดื่มเลยถึง 75%

2.ในกลุ่มที่ดื่มปานกลางคือ 8-14 ดื่มมาตรฐานต่อสัปดาห์ ก็ประมาณไม่เกินสองดื่มมาตรฐานต่อวัน ความดันโลหิตขึ้นสูงจากเดิม ไม่ว่าความดันโลหิตเดิมจะระดับเท่าไร และสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับไม่ดื่ม

3.ในกลุ่มดื่มหนัก ได้เห็นความจริงชุดเดิม คือเพิ่มระดับความดันโลหิตไม่ว่าจะในระยะใด ระดับความดันโลหิตเดิมเป็นเท่าไร

4. ส่วนที่ดื่มเบา ๆ ไม่เกิน 7 ดื่มต่อสัปดาห์ ค่าความดันก็ขยับขึ้นนะครับ เพียงแต่ไม่มีนัยสำคัญ

แอลกอฮอล์นั้นส่งผลโดยตรงทำให้ระดับความดันโลหิตสูงขึ้น ในอดีตเรามีการใช้ตัวเลขดื่มไม่เกินสองดื่มมาตรฐานต่อวันในชาย และไม่เกินสองดื่มมาตรฐานในหญิงนั้น มาจากการศึกษาที่มีคนแข็งแรงดี ไม่ป่วย อยู่ในกลุ่มประชากรพอสมควร ซึ่งพบว่าการดื่มระดับนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพบ้าง ไม่มากเท่าไร

แต่เมื่อมาทำการศึกษาในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงแล้ว พบว่าไม่ว่าการดื่มแอลกอฮอล์ในระดับใดจะน้อยกลางหนัก ก็เพิ่มระดับความดันโลหิตทั้งนั้น และยิ่งดื่มเกินหนึ่งดื่มมาตรฐานต่อวัน ระดับความดันจะเพิ่มขึ้นสูงอย่างชัดเจน

ยังไม่นับระดับน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นอีกนะครับ ดังนั้นผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง **ควรเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นะครับ**

ส่วนคนที่แข็งแรงดี ควรลดปริมาณดื่มและเลิกไปในที่สุด และไม่มีคำแนะนำใด ๆ ว่าให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อเพิ่มความดันโลหิตนะครับ  อย่าไปหลงเชื่อครับ

 อ่านฟรีที่นี่

Association of Alcohol Intake With Hypertension in Type 2 Diabetes Mellitus: The ACCORD Trial

Journal of the American Heart Association.September 15, 2020.Vol 9, Issue 18




24 กันยายน 2563

หลอดเลือดดำชั้นตื้นอักเสบจากเหตุใด ๆ (superficial phleblitis)​

 หลอดเลือดดำชั้นตื้นอักเสบจากเหตุใด ๆ (superficial phleblitis)​ เป็นคำจำกัดความที่แยกจาก หลอดเลือดดำชั้นตื้นอักเสบอันมีเหตุจากการแข็งตัวผิดปกติของหลอดเลือด (thrombopheblitis)​ ต่างกันเพียงสาเหตุการเกิด

ลักษณะทางคลินิกแยกจากกันยากมาก และมักจะเกิดควบคู่กัน

สาเหตุหลักจะไม่ใช่การติดเชื้อ โดยมากจะเกิดจากการบาดเจ็บจากการใส่สายสวน สายให้น้ำเกลือ จากเนื้องอก จากการไม่ขยับนาน ๆ การบีบรัดแขนขา (กลไกบางส่วนก็คาบเกี่ยวกับหลอดเลือดดำชั้นลึก) การตั้งครรภ์

ดังนั้นยังไม่จำเป็นต้องให้ยาฆ่าเชื้อทุกรายตั้งแต่แรก (ยกเว้นหลักฐานการติดเชื้อชัดเจน)​ให้แก้ไขปัจจัยเสี่ยง ให้ยาแก้ปวดลดการอักเสบ และติดตามก่อนได้ครับ.และหากพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากหการแข็งตัวผิดปกติก็ต้องให้ยาต้านการแข็งตัวเลือดด้วย

โดยเฉพาะจากการให้สารน้ำทางหลอดเลือดในไอซียูที่มีความเข้มข้นของสารละลายต่าง ๆ นานา จะเกิด phleblitis ได้ง่ายมาก โดยไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แม้จะมีแดงร้อนได้เหมือนกัน การประคบเย็น การยกอวัยวะส่วนนั้นสูง ลดการบีบรัด ให้ยาต้านการอักเสบ และเปลี่ยนหลอดเลือดเส้นใหม่ จะช่วยรักษาเบื้องต้นได้ดีครับ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

24 กันยายน วันมหิดล

 24 กันยายน วันมหิดล

วันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ผู้เป็นพระบิดาแห่งวงการแพทย์ไทย

ใครได้อ่านประวัติความเป็นมาทางการแพทย์ของไทย นับว่าล้มลุกคลุกคลาน ก่อตั้งอย่างยากลำบาก บูรพคณาจารย์ที่ทุ่มเทสุดชีวิตในสมัยนั้น ควรได้รับการเชิดชูอย่างยิ่ง

ทุกย่างก้าวที่ผ่านรูปภาพของท่านเหล่านั้น พวกเราได้รำลึกถึงคุณงามความดีของท่านตลอด

ความเสียสละของสมเด็จพระบรมราชชนก ยังตรึงใจพวกเรามิรู้ลืม

พระราชดำรัส คำสอนทุกคำที่ปรากฏสอนใจพวกเราในทุกที่ของโรงเรียนแพทย์ และคำสอนที้ผมยึดตลอดมา

ความสำเร็จที่แท้จริง ไม่ใช่แค่เรียนสำเร็จหรือเก่งเพียงคนเดียว แต่อยู่ที่การนำความรู้ต่าง ๆ มาทำประโยชน์เพื่อเพื่อนมนุษย์ได้มากเพียงใดต่างหาก

วันนี้ วันมหิดล

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

การคุกคามทางเพศในที่ทำงาน

 วันนี้ป้าหมอมาเองค่ะลูก ขอนอกเรื่องสักวัน ลุงหมอแกบอกให้ป้าปล่อยของเต็มที่ ป้ามาสอนลูก ๆ เรื่องการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน แหม พูดเรื่องนี้แล้วมันขึ้นค่ะ มันขึ้น

อย่านึกว่าในโรงพยาบาลจะไม่มีนะลูก จะงานเยอะ เวรยุ่ง เหนื่อยแทบรากเลือด แต่พวกที่มีนิสัยแบบนี้มันยังมีอยู่ มันแฝงตัว รอโอกาสค่ะลูก ได้ทีปั๊บมันขย้ำเลย อย่างไรลูกสาวลูกชายของแม่ก็ต้องมีสติ อย่าประมาททั้งบุคคล เวลา สถานที่ ..ฟังไม่ผิด ลูกชายก็ต้องระวังนะลูก เพราะการคุกคามไม่เลือกชายหญิงค่ะลูก ไม่อยากบอกว่ารายล่าสุด หญิงก็คุมคามไอ้หนุ่มข้าวหลามหนองมนค่ะ

การคุกคามนี่นะคะมันมีได้ทุกรูปแบบ "ตามกฎหมาย" ตามกฎหมายเลยนะลูกขา มันมีกิจลักษณะ ไม่ได้มโนเอาเอง เดี๋ยวแม่จะลิสต์กฎหมายให้ไปอ่านต่อได้ พวกหนู ๆ จะได้มั่นใจว่ายุคนี้มีกฎหมายมาช่วยพวกเราแล้ว แม้รายละเอียดจะยังไม่เจ๋งมากแต่คุ้มหัวพอได้ลูก ส่วนพวกหัวงูหัวม้าทั้งหลายคะ อย่าลำพองค่ะ อย่าลำพอง อย่าไดโนเสาร์ ยุคนี้ไม่ปล่อยคุณไว้แล้วนะ

คุกคามได้ทั้งคำพูด จะสองแง่สองง่าม ลามมาเรื่องลามก ยิ่งในที่สาธารณะให้ชาวบ้านเขามองและเอาไปเม้าท์ต่อที่ผิดหนักเลย คุกคามทางการมอง จ้องนมไม่จ้องหน้า จ้องหว่างขามองหากระป๋องกาแฟ อันนี้ถ้าพิสูจน์ได้ว่าคุกคามรำคาญ ก็ผิดนะคะ ยิ่งคุกคามด้วยการจับเนื้อต้องตัวอันนี้รุนแรงเลยค่ะ พวกหัวงูทั้งหลายชอบคิดว่านิด ๆ หน่อย ๆ ขอโทษค่ะ #นิดหน่อยพร่องมรึงสิคะ คนที่โดนคุกคามเขาไม่สนุกด้วยนะ หมาหยอกไก่ ระวังไก่เตะปากนะคะ

ยุคนี้คุกคามทางไซเบอร์ก็โดนนะคะ จะมาโพสต์รุกล้ำ แอบถ่าย ..อันนี้โจรเลยนะ คุกคามหมดนะคะ

คนนู้นคนนี้มาคุกคามพวกหนูนี่ก็ผิดอาญานะคะ ปรับ 5,000 บาท ถ้าทำต่อหน้าธารกำนัลก็ปรับสองเท่าค่ะ ยิ่งหากเป็นผู้บังคับบัญชาหรือมีอำนาจเหนือกว่า โดนทั้งจับทั้งปล้ำ เอ้ย.. ทั้งจำทั้งปรับเลยนะ อย่าคิดทีเดียว (ปอ. 397)

ยิ่งอยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชาไม่ว่าข้าราชการหรือลูกจ้างนายจ้าง ผิดกฎหมายหมดค่ะ พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ม.83(8) หรือ พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2551 ม.8 กฎหมายเหล่านี้เขาปรับปรุงมาจัดการพวกคุณค่ะ พวกหัวงู ปากว่ามือถึง ...โอ๊ย พูดถึงแล้วมันขึ้นค่ะลูก วิญญาณนิติเข้าสิงอิแม่เลยค่ะ

นอกจากระวังตัวแล้วนะลูก ถ้ามันเกิดเรื่องมาหนูอย่ายอมลูก ถึงมันจะหาหลักฐานลำบาก แต่เราไม่ควรอยู่ในเงามืดนะคะลูก คนที่ทำมันจะได้ใจ เพราะเขาคิดว่าเราไม่กล้าพูดไม่กล้าแจ้งนี่แหละลูกขา เราต้องแจ้งผู้บังคับบัญชาที่สูงกว่ามัน หัวหน้าเองก็อย่าเพิกเฉยนะ เกิดมาเจอกับตัวคุณบ้าง เกิดกับเมียกับลูกสาวคุณ ความน่ากลัว ความไม่มั่นคงในที่ทำงาน มันพังได้ค่ะคุณ

ถ้ามันเงียบ แม่บุ๋ม ปนัดดา.. มูลนิธิปวีณาช่วยได้ค่ะลูก อย่าเพิ่งไปยกพวกไปตบมัน อย่าลูก อย่าเอาชีสเค้กไปแลกกับขี้หมา..ไม่คุ้มลูก เสียเกียรติฝ่ามือค่ะ ไปแจ้งดำเนินคดี

ส่วนคนที่ยังคิดจะทำคุกคามคนอื่น ไม่ว่าหนุ่ม ๆ จะหมอจะพยาบาล จะไปคุกคามใคร คิดก่อนนะคะ เสียมากกว่าได้ค่ะ ยุคนี้ไม่มีที่ยืนให้คุณแล้วนะ แถมผิดกฎหมายด้วย อ้อ...ในยุคเสรีทางเพศ คุกคามพวกเดียวกันก็ผิดนะคะ บอกว่าชายด้วยกันจะมาขอจับหัวจิงโจ้ กระโจ๊เผี่ยว ถ้าเขาไม่ยอมถ้าไปคุกคามเขา อันนี้ก็ไม่ได้นะ สาว ๆ ด้วยกันจะมาลวนลามทางวาจา ทางสัมผัส ขอไปจัดกันต่อหน้าธารกำนัล ก็ไม่ได้ค่ะ

ในโรงพยาบาลมีอีกเยอะค่ะ ยิ่งอาชีพที่ต้องเข้ากะ มาทำงานดึก เปลี่ยว ...ที่เปลี่ยวนะเฟร้ย ไม่ใช่อารมณ์ มันเสี่ยงไงลูก ยิ่งกับเพื่อนร่วมงาน ยิ่งกับหัวหน้าลูกน้อง มันบังคับด้วยงานให้ต้องอยู่ด้วยกัน เรื่องมันเกิดได้ ป้าหมอเลยอยากมาเตือนสติลูก ๆ และอยากให้เพิ่มความระวังตัวค่ะ

อ้อ..ป้าหมอไม่เคยโดนนะคะ ถึงหุ่นจะเร้าใจ แต่ปากตะไกรไม่มีใครเกินค่ะ แม่ด่าเช็ดค่ะลูก

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, แว่นกันแดด, หมวก, มหาสมุทร และสถานที่กลางแจ้ง, ข้อความพูดว่า "ป้าหมอ ขอเม้าท์"

22 กันยายน 2563

โอเมก้าสาม.. กับข้อมูลที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ EVAPORATE

 โอเมก้าสาม.. กับข้อมูลที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

เรื่องราวเดิม : อดีตที่ผ่านมา เราพบว่ากรดไขมันโอเมก้าสาม มีประโยชน์ในการปกป้องหัวใจและหลอดเลือด แต่ว่าจะต้องเป็นโอเมก้าสามที่มีสัดส่วน EPA:DHA ตามการศึกษาเท่านั้น โอเมก้าสามที่วางขายตามท้องตลาดหลายชนิด ไม่สามารถอ้างประโยชน์นี้ได้ เพราะสัดส่วนไม่ได้

เรื่องราวต่อมา : เริ่มมีข้อมูลมากขึ้นว่า ประโยชน์ในการปกป้องหัวใจและหลอดเลือดที่เดิมก็ไม่ได้มีน้ำหนักมากนัก ประโยชน์นั้นเริ่มไม่ชัดเจนมากขึ้น และยิ่งมีการรักษายุคใหม่ ๆ ประโยชน์ของโอเมก้าสามในแง่ปกป้องหลอดเลือดลดลง

เรื่องราวเมื่อไม่นานมานี้ : การศึกษาชื่อ REDUCE-IT ที่ใช้กรดไขมันโอเมก้าสามขนาดสูงชนิด icosapent ethyl ขนาดสูง 4 กรัมต่อวัน สามารถลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้ประมาณ 25% เมื่อเทียบกับยาหลอก (ยาหลอกคือ mineral oil ที่ยังสงสัยว่าอาจมีผลต่อการทดลอง) ในผู้ป่วยไขมันสูงที่ได้รับการรักษาด้วยการปรับชีวิตและยาอย่างเต็มที่แล้ว **ย้ำอีกรอบต้องเป็นโอเมก้าสามตัวนี้เท่านั้น โอเมก้าสามสัดส่วนอื่นจะมาอ้างประโยชน์นี้ไม่ได้**

เรื่องราวล่าสุด : การศึกษาชื่อ EVAPORATE ได้นำเสนอในงานประชุมแพทย์โรคหัวใจยุโรปแบบออนไลน์เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ศึกษาคล้าย REDUCE-IT คือนำผู้ป่วยที่มีไขมันสูง เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ทราบลักษณะหลอดเลือดหัวใจว่าตีบอย่างน้อย 20% ได้รับการปรับชีวิตและได้ยาตามมาตรฐานปัจจุบันมาแล้ว (เคยเป็นโรคหัวใจมาแล้วประมาณ 30%) นำมาทดลองให้ยาตัวเดียวกับ REDUCE-IT คือ icosapent ethyl 4 กรัมต่อวัน เทียบกับยาหลอกคือ mineral oil โดยให้ยา 18 เดือนแล้วมาวัดผล

ผลอะไร ในเมื่อ REDUCE-IT ก็วัดไปแล้ว : ผู้วิจัยวัดผลว่าตะกรันในหลอดเลือดชนิด low-attenuated มันลดลงหรือไม่ ไอ้เจ้าตะกรันไขมันชนิดนี้ (มีหลายชนิด) มันคือตะกรันไขมันที่ไม่คงตัว มีโอกาสจะแตกและอุดหลอดเลือดหัวใจได้ ผลออกมาว่าในกลุ่มที่กินยามีขนาดตะกรันลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับ mineral oil นั่นคือเป็นการวัดผลในเชิงชีววิทยาเพื่อมาอธิบายว่า อัตราการเสียชีวิตที่ลดลงนั้น ไม่ได้เกิดจากแค่ลดไขมัน แต่เนื่องจากการลดตะกรันที่ไม่เสถียรในหลอดเลือดอีกหนึ่งประเด็น

เราได้อะไร : การศึกษานี้มีขนาดเล็ก ทำเพื่อพิสูจน์ความคิดว่าการลดการเกิดโรคเกิดจากสิ่งใด ต้องรอการศึกษาในเชิงการใช้และการวัดผลกับคนจริง ๆ รวมทั้งเฝ้าติดตามผลข้างเคียงจากการรักษา ว่าจะสามารถมาใช้ในการรักษาได้จริง และข้อมูลที่ได้คือ ปัจจุบันเราทราบกลไกการเกิดโรคดีขึ้น ทำให้เราแก้ไขและป้องกันได้ดีขึ้น บางปัจจัยแก้ไขได้จะด้วยยาหรือการปรับชีวิต บางปัจจัยต้องใช้ยาเท่านั้น บางปัจจัยแก้ไขได้ในระดับเซลล์ระดับยีน และบางปัจจัยแก้ไขไม่ได้

การรักษาโรคต่าง ๆ จะ targeted และ personalized มากขึ้นตามลำดับครับ

คำถาม โอเมก้าในรูปคือ โอเมก้าอะไร

อ่านฟรีจ้า
Matthew J Budoff, Deepak L Bhatt, April Kinninger, Suvasini Lakshmanan, Joseph B Muhlestein, Viet T Le, Heidi T May, Kashif Shaikh, Chandana Shekar, Sion K Roy, John Tayek, John R Nelson, Effect of icosapent ethyl on progression of coronary atherosclerosis in patients with elevated triglycerides on statin therapy: final results of the EVAPORATE trial, European Heart Journal, , ehaa652,

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ