04 มิถุนายน 2563

ยา ticagrelor และการศึกษา THEMIS

เมื่อสามวันก่อน องค์การอาหารและยาสหรัฐได้ประกาศอนุมัติการใช้ยา ticagrelor ร่วมกับยาแอสไพริน เพื่อป้องกันก่อนเกิดโรคสำหรับการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ในผู้ป่วยความเสี่ยงสูงคือเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจแบบเรื้อรังมาแล้ว

แต่การอนุมัติให้ใช้และวิธีเลือกใช้ มันต่างกัน ลองมาคิดตามแบบเป็นขั้นตอน

ขั้นตอนแรก : ยาต้านเกล็ดเลือดเพื่อป้องกันก่อนเกิดโรค (primary prevention) 
คำแนะนำการใช้ยาแอสไพรินขนาดต่ำเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ในผู้ป่วยเบาหวานและมีโอกาสเสี่ยงเกิดโรคหลอดเลือดสูง ให้พิจารณาเป็นรายไป ตามประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับและโทษที่จะเกิด เพราะจากการศึกษาเหล่านั้น การปกป้องและเลือดออกเกิดพอ ๆ กัน 

ขั้นตอนที่สอง : การปกป้องสองชั้นด้วยยาต้านเกล็ดเลือดสองตัว (ขอยกตัวยา ticagrelor)
คำแนะนำการให้ยาต้านเกล็ดเลือดสองชนิดคือ ticagrelor และ aspirin คู่กันสำหรับ *การป้องกันการเกิดโรคซ้ำ* พบว่ามีประโยชน์มากหลังจากเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ "เฉียบพลัน" โดยเฉพาะหากได้รับการซ่อมแซมด้วยการใส่ขดลวดค้ำยันจากการศึกษา PLATO ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะได้รับยาสองชนิดไปอย่างน้อยประมาณ 6 เดือน

ส่วนการศึกษาให้ยาสองชนิดหลังจากเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันมาแล้วประมาณหนึ่งปี และให้ยายาวนานถึงสามปี จากการศึกษาชื่อ PEGASUS พบว่าการใช้ ticagrelor 60 มิลลิกรัมวันละสองครั้ง เพิ่มประโยชน์การปกป้องการเกิดซ้ำ แต่ก็มีเลือดออกสูงกว่าเช่นกัน การใช้งานเริ่มไม่หนักแน่นเท่าการให้ยาสองชนิดตอนหลอดเลือดตีบเฉียบพลันและใช้ระยะเวลาสั้น

*** จะเห็นว่าปัญหาเลือดออกเป็นประเด็นสำคัญ และเมื่อประโยชน์ปกป้องไม่สูงนัก การใช้งานจะเริ่มมีข้อจำกัด ***

ขั้นตอนที่สาม : ถ้าเราจะปกป้องก่อนเกิดโรค โดยใช้ ticagrelor คู่กับ แอสไพรินล่ะ เลือกคนที่เสี่ยงสูงมาให้ยา แม้จะมีเลือดออกบ้างก็ไม่น่าจะบดบังประโยชน์ที่ได้รับ เพราะหากหลอดเลือดตีบเฉียบพลัน ความเสียหายมันสูงมาก ทั้งอัตราตาย ความพิการ ค่ารักษา ฯลฯ ก็จึงออกแบบการศึกษาที่ชื่อ THEMIS (บริษัท AstraZeneca ผู้ผลิตยา ticagrelor เป็นผู้สนับสนุนงานวิจัย) 

** ข้อสังเกต ชื่อการศึกษามาจากชื่อชาวกรีกทั้งนั้น อีกหน่อยคงมีการศึกษาชื่อ คอนสแตนติน ฟอลคอน **

เรามาสรุปงานวิจัย THEMIS ที่เป็นฐานของการรับรองใช้ ticagrelor ขององค์การอาหารและยาสหรัฐในครั้งนี้
  1. การศึกษานำคนที่เป็นโรคเบาหวาน อายุอย่างน้อย 50 ปี และมีโรคหลอดเลือดหัวใจที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเคยทำบอลลูนใส่ขดลวด จะเคยผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ หรือฉีดสีตรวจดูว่าตีบแคบอย่างน้อย 50% และไม่มีการตีบตันหลอดเลือดสมองและหัวใจแบบเฉียบพลันมาก่อนเลย ได้คนมา 19,220 คน 80% เคยซ่อมหลอดเลือดมาแล้วทั้งสิ้น (ซ่อมแบบอาการเรื้อรังนะ) 
  2. แบ่งกลุ่ม ครึ่งหนึ่งให้ยาแอสไพรินกับยาหลอก อีกครึ่งให้ ticagrelor 60 มิลลิกรัมวันละสองครั้ง คู่กับแอสไพริน (เปลี่ยนการให้ยาระหว่างการศึกษา เพราะการศึกษา PEGASUS ออกมาระหว่างทาง ว่าใช้ 60 มิลลิกรัมก็พอ ไม่ต้องถึง 90 มิลลิกรัม) ติดตามไปประมาณ 40 เดือน วัดผลอัตราตายจากโรคหัวใจ การเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรืออัมพาต   คู่กับตรวจดูการเกิดเลือดออกด้วย
  3. ผลออกมาว่า กลุ่มที่ได้ยาสองชนิดเกิดเหตุแค่ 7.7% แต่ให้ยาแอสไพรินอย่างเดียว เกิดเหตุถึง 8.5% ผลต่างไม่มากแต่มีนัยสำคัญทางสถิติ สำหรับการเกืดเลือดออก กลุ่มได้ยาสองชนิดเลือดออกมากกว่า 2.2% ให้ยาตัวเดียวก็เลือดออกน้อยกว่า 1.0% ต่างกันไม่มากแต่มีนัยสำคัญเช่นกัน และกลุ่มได้ยาสองชนิดมีเลือดออกในสมองมากกว่า และต้องหยุดการศึกษาเพราะอาการเหนื่อยจาก ticagrelor มากกว่า

จากฐานการศึกษานี้ จึงมีการรับรองใช้ยา ticagrelor ร่วมกับยาแอสไพริน เพื่อป้องกันก่อนเกิดโรค สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจเรื้อรัง (เสี่ยงสูงขององค์การอาหารและยาคือประเด็นนี้) แต่การรับรองจะหมายถึงแนะนำให้ใช้หรือไม่ ?  อันนี้ผมขอออกความเห็นส่วนตัวนะครับ
  • จากที่บอกไป แอสไพรินอย่างเดียว ระดับการปกป้องไม่มาก พอมาให้ยาสองตัวระดับการปกป้องก็ไม่ได้มาก และเช่นกันโอกาสเลือดออกก็เพิ่มขึ้น พอ ๆ กัน .. น้ำหนักการใช้ยาไม่น่าจะเพิ่มมากนัก
  • การศึกษาทำในผู้ป่วยเบาหวาน แต่คำอนุมัติไม่ได้กล่าวถึงเบาหวานเลย ต้องรอดูคำแนะนำว่าจะเพิ่มข้อบ่งใช้เบาหวาน เหมือนในแอสไพรินหรือไม่
  • number needed to treat และ number needed to harm  ตัวเลขไม่หนีกันเลย การคิดจะใช้ยาที่ประโยชน์และโทษพอ ๆ กัน (แต่เสียค่ายามากขึ้น) อันนี้ต้องพิจารณาเป็นกรณีไป
  • ส่วนตัวผมไม่คิดว่า การป้องกันในคนที่หลอดเลือดตีบแคบมากระดับนั้น คือ การป้องกันก่อนเกิดโรค (ไม่งั้นคงไม่ต้องซ่อมหลอดเลือดเพื่อรักษาอาการมาแล้วกว่า 80%) 
เห็นด้วยกับการนำหลักฐานมาเพื่อประกอบการอนุมัติให้ใช้ แต่จะใช้หรือไม่ คำแนะนำการใช้ระดับใด นอกจากรอดูเหล่าผู้เชี่ยวชาญจะรวบรวมออกมาเป็นแนวทางแล้ว ยังจะต้องคิดทบทวนรายบุคคล แจ้งผลดีผลเสียกับคนไข้ก่อนให้ยาด้วย เหมือนกับการให้แอสไพรินเพื่อป้องกันการเกิดโรค ที่มีคำแนะนำออกมาก่อนหน้านี้

บทความออกจะยาวหน่อย พยายามอธิบายให้คิดตามได้ ว่าการใช้หลักฐานมาเป็นฐานเพื่อประกาศคำแนะนำใด ๆ มีขั้นตอนอย่างไรครับ ใครมีความเห็นด้วยเห็นต่างอย่างไร ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ

1 ความคิดเห็น: