24 เมษายน 2567

Atomic bomb Injuries

 Atomic bomb Injuries จากเอกสารและบันทึกจากระเบิดที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ

หลังสงคราม สหรัฐอเมริกาได้จัดตั้งหน่วยงาน Atomic Bomb Casualty Commission (ABCC) เพื่อสำรวจความเสียหายทุกด้านของระเบิด เป็นหนึ่งในแผนการศึกษาผลจากระเบิดในโครงการแมนฮัตตันด้วย ผลที่ออกมา ผมเลือกมาให้พวกเราได้เข้าใจกันง่าย ๆ
วัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านสงครามนะครับ จะไม่ไปคิดว่าใครผิดใครถูก เพราะไม่มีคนผิดคนถูกในสงคราม มีแต่คนตายและสูญเสียเท่านั้น
ความรุนแรงของระเบิดและความเสียหายขึ้นกับระยะห่างจากจุดระเบิดในแนวราบ วัดจากจุด hypocenter หรือใต้จุดระเบิด และความเสียหายขึ้นกับการกระจายและรังสีนิวเคลียร์อันนี้วัดจากความเข้มรังสีตามโครงสร้างโลหะวัดจากจุดระเบิด
การบาดเจ็บทันทีหลังระเบิด เกิดจากแสงวาบที่ทำให้ตาบอดชั่วคราวได้ ต่อมาจะมีคลื่นกระแทกที่รุนแรงระดับบิดโครงสร้างอาคารที่เป็นเหล็กได้ คลื่นกระแทกนี้สามารถทำให้อวัยวะภายในฉีกขาดได้ด้วยตัวเอง กระดูกและข้อต่อหักได้
และหากร่างกายปลิวไปกระแทกของแข็งก็จะเกิดการบาดเจ็บและอันตรายจากการกระแทกจากของแข็งอื่นที่ปลิวมาโดนอีกด้วย บันทึกจากผู้รอดชีวิตบอกว่าเศษกระจกที่กระจายทั้งเมือง เข้าเสียบร่างกายผู้เคราะห์ร้ายจนเลือดออกทั้งตัว
แนะนำหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บแบบนี้ แนะนำให้นอนราบแบนติดกับพื้นให้มากที่สุด
ต่อจากคลื่นกระแทกจะตามมาด้วยคลื่นความร้อน ใต้จุด Hypocenter ได้มีการประมาณว่าความร้อนสูงเกือบเท่าผิวดวงอาทิตย์ แล้วแผ่กระจายออกโดยรอบและจะเริ่มบรรเทาลงในรัศมีประมาณ 2 กิโลเมตร จากบันทึกของผู้รอดชีวิตบอกว่า แม่น้ำโมโตยาสุกลายเป็นหม้อน้ำเดือดต้มผู้เคราะห์ร้าย ผู้คนที่หนีร้อนจากบนพื้นกระโดดไปเสียชีวิตในน้ำมากมาย
ผลจากความร้อนสูงมาก จะทำให้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ เส้นผม ไหม้ทันทีกลายเป็นโปรตีนแข็งจับก้อน และหลุดลุ่ยออกจากร่างกาย หลอมรวมไปกับเสื้อผ้าเลยก็มี
ทางเดียวที่จะช่วยไม่ใช่ถอดเสื้อ แต่คือตัดหนังที่หลอมติดกับเสื้อออกไป โปรตีนในร่างกายจะเสียสภาพ ผิวหนังหลุด กล้ามเนื้อทำงานไม่ได้ เกิดการขาดน้ำรุนแรง ภาพที่ผู้รอดชีวิตเขียนจากความทรงจำ คือ ผู้ประสบเหตุเดินไปมาทั้ง ๆ ที่ผิวหนังหลุดห้อย ใบหน้าคล้ำดำ ไม่มีดวงตา ไม่มีจมูกและปาก
ผู้คนส่วนมากจะเสียชีวิตจากการถูกเผาและการเสียน้ำจากแผลไฟไหม้ คำแนะนำคือให้หาแผ่นผ้าคลุมตัวหลายชั้น นอนราบโดบปกป้องมือ เท้าและใบหน้าให้มากที่สุด
อันตรายจากการแผ่รังสี ที่แย่คือ รังสีนิวเคลียร์พวกนี้มองไม่เห็นจะทะลุทะลวงเข้าทำลายร่างกายทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง ยังไม่นับฝุ่นกัมมันตรังสีที่ค่อย ๆ ลงมาร่วมกับการควบแน่นของน้ำที่เรียกว่า ashes of death และ black rain สิ่งเหล่านี้คือกัมมันตภาพรังสีล้วน ๆ
ในระยะเฉียบพลันจะทำลายเซลล์ที่แบ่งตัวเร็ว ผมร่วง ผิวหนังลอก ปากและลิ้นเปื่อย หลอดเลือดฝอยแตก เม็ดเลือดและเกล็ดเลือดต่ำ บันทึกจากแพทย์เขียนถึง spot of death คือจุด petechiae เลือดออกใต้ผิวหนัง คุณหมอเขียนว่าหากใครมีจุดแบบนี้ขึ้นอีกไม่นานก็เลือดออกทั่วตัวจนเสียชีวิต โดยไม่มีทางช่วยได้เลย
ภาพในพิพิธภัณฑ์ฮิโรชิมา แสดงภาพทหารที่มีจุดแบบนี้และระบุว่าเสียชีวิตในอีกสองวัน ทั้ง ๆ ที่อยู่ในบ้านไม้ห่างจากจุดระเบิดไปหนึ่งกิโลเมตร และมีชิ้นส่วนดองทางพยาธิวิทยาแสดงชิ้นเนื้อส่วนลิ้นและคอหอยที่เต็มไปด้วยจุดเหล่านี้
อันนี้ยากที่จะป้องกัน ต้องลงไปอยู่ในหลุมหลบภัยเท่านั้น
ฆาตกรต่อมาคือ มะเร็ง ทั้งมะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำคอและช่องปาก (อาหารและน้ำปนเปื้อน) มะเร็งเต้านมและที่พบมากสุดคือมะเร็งเม็ดเลือดขาว ลูคีเมีย ที่พรากชีวิต ซาซากิ ซาดาโกะ เด็กน้อยนกกระเรียนหนึ่งพันตัวอันโด่งดังนั่นเอง ตัวเลขประมาณว่า 38% ของผู้รอดชีวิต เสียชีวิตในอีก 7 ปีต่อมาด้วยโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ที่เรียกรวมว่า A-bomb disease
ทางองค์กร ABCC แถลงว่า ผลจากระเบิดนั้นจะไม่ส่งต่อไปยังรุ่นลูกหลาน ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ (มีนักวิจัยชาวญี่ปุ่นร่วมอยู่ด้วย) แต่ชาวญี่ปุ่นไม่เชื่อ เรียกกลุ่มผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูทั้งสองครั้งนี้ว่า Hibashuka ที่คนในสังคมญี่ปุ่นจะไม่แต่งงานและสืบลูกหลานด้วย เนื่องจากเชื้อว่ายังมีเชื้อร้ายแห่งระเบิดอยู่ในตัวและไม่ควรสืบสานลูกหลานต่อไป
"ไม่มีใครคือผู้ชนะในสงคราม"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น