เรื่องเล่าจากคลินิก : เมื่อฉันป่วย
ขอเกริ่นก่อนว่า สมัยเด็กผมเคยมีอาการภูมิแพ้รุนแรงมาก ใบหน้าบวม หลอดลมตีบ เกือบแย่ถึงสองครั้ง ได้ทำการรักษาโดยทดสอบสิ่งที่แพ้ และทำ desensitizing โดยฉีดสารกระตุ้นนั้นถึงสองปี
และผมแพ้อาหารทะเลนั่นเอง
เมื่อเย็น ผมสั่งข้าวผัดคะน้าปลาเค็มมากิน และเพื่อนเก่าก็มาเยือนในช่วงค่ำ ที่คลินิกของตัวเอง
คันตา คันจมูก แสบตา น้ำมูกน้ำตา จมูกบวม
ในใจคิดว่าโควิดเปล่าฟระ รอดมาตลอด จะเกมหรือนี่ ซึ่งว่ากันตามตรง อาการเร็วแบบนี้โอกาสเป็นโรคติดเชื้อน้อยมาก แต่เนื่องจากเราเสี่ยงทุกวันและรักษาทุกวัน จึงตรวจเพื่อป้องกัน สรุปว่าไม่มีทั้งโควิดและไข้หวัดใหญ่
อาการเริ่มเยอะขึ้น ตายล่ะวา ไม่มีอาการมานานแล้ว อาการแพ้เฉียบพลันแน่นอน คิดแยกโรคต่าง ๆ แล่วไม่เหมือน แถมอาการก็คุ้นเคยมาก ปล่อยทิ้งไว้จะแก้ยาก (อันนี้เคยเขียนให้อ่านแล้ว)
เลยให้พยาบาลประจำร้าน ฉีดยาแก้แพ้ chlorpheniramine 10 mg IV ให้
ตามปกติผมเป็นคนกลัวเข็มและไม่ชอบการฉีดยาอย่างยิ่ง เป็นโรคอะไรจะใช้ยากินเสมอ แต่คราวนี้ต้องหยุดให้ได้
อยากจะบอกว่า หลังฉีดยาก็นอนพัก มันรู้สึกมึน ๆ อาจจะเพลียจากอาการแพ้ด้วย เลยบอกคุณพยาบาลว่า ผมจะนอนพักสักครู่ มันมึนยา คุณพยาบาลหัวเราะลั่น ตอบว่า ทุกทีคุณหมอก็แจ้งคนไข้แบบนี้นี่คะ หรือพอตัวเองฉีดเองเลยกลัว
ใช่จริง ๆ นั่นแหละ ผมกลัว เลยปิดตาพัก
รู้ตัวอีกที เฮ้ย ทำไมมันมืดแบบนี้ !!!
ไม่ใช่อากาศแทรกในหลอดน้ำเกลือ ไม่ใช่อาการแพ้รุนแรง แต่ผมหลับ !! นานจนคนอื่น ๆ เขาปิดไฟกลับบ้านกันแล้ว
สถานพยาบาลไม่รับผู้ป่วยค้างคืน เกือบทำผิดกฏ รับคุณหมอไว้ค้างคืน !
ทุกคนก็เนาะ ปิดไฟจนมืดสนิท ผมค่อย ๆ เดินไปที่หลังร้าน กดโทรศัพท์ดูพบว่ามีข้อความส่งมาทิ้งไว้
“เห็นคุณหมอหลับสนิท กรนสนั่น คงไม่ใช่จากยาฉีด คงจะนอนน้อย พวกหนูเลยกลับกันก่อนค่ะ ล็อกประตูไว้แล้ว สังเกตอาการตัวเอง ถ้ามีอะไรก็เรียกรถพยาบาลเอาเองนะ”
โอเค อาการบวม ยุบลง น้ำมูกน้ำตาลดลง ไม่มึน ไม่วิงเวียน พอจะขับรถกลับได้ จัดยาแก้แพ้ให้ตัวเองกินต่อไป เพราะรู้ว่า อาการแพ้จะกลับมาอีกแน่ แต่จะรุนแรงน้อยลงเรื่อย ๆ ในอีกสองสามวัน ต้องใช้ยากินควบคุมต่อไป
หลับนานแค่ไหน ก็จนบนถนนไม่มีรถเลย นั่นแหละ 55
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น