19 มิถุนายน 2565

ร้านขนมแซฟฟร่อน

 บ่าย ๆ วันอาทิตย์แบบนี้ วัยรุ่นเก้าศูนย์แบบผม ขอชวนทุกคนมาอิ่มเอมความหลังสักเล็กน้อยครับ

มาเริ่มต้นที่สถานีขนส่งนครราชสีมาแห่งที่สอง ในวันนี้มีเที่ยวรถโดยสารน้อยลง ตามสถานการณ์ผู้โดยสารที่ลดลงและค่าครองชีพที่สูงขึ้น หลายเจ้าก็ยกเลิกการเดินรถ ส่วนเจ้าที่ยังบริการนั้นได้ปรับปรุงรถให้สภาพดีมาก รถสะอาด ที่นั่งสะอาด จัดไม่แออัด หญิงนั่งคู่หญิง ชายคู่ชาย ห้องน้ำสะอาด มีปลั๊กเสียบชาร์จไฟ เรียกว่าการเดินทางกรุงเทพและนครราชสีมายังถือว่าสะดวกสบายอยู่มาก
ใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงครึ่ง นั่งรถจากนครราชสีมาเวลาหกโมงเช้า นอนหลับหนึ่งตื่นก็มาถึงกรุงเทพ โชคดีที่ผมมีความสามารถในการหลับบนรถได้ดี เรียกว่าใครมาลักหลับคงไม่รู้ตัว (ล้วงกระเป๋าก็คงเช่นกัน) ความสนุกสนานมาเริ่มจากกรุงเทพนี่เอง
ถามว่าเป้าหมายการมากรุงเทพครั้งนี้คืออะไร เป้าหมายคือนั่งรถเล่นไปกินข้าว แล้วนั่งรถกลับ เท่านั้นจริง ๆ ครับ บางครั้งการที่เราได้เติมเต็มชีวิตด้วยการทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มีความสุขเพียงพอแล้ว ผมอยากไปย่านเก่าย่านหนึ่งที่เคยเดินเล่นเมื่อครั้งอดีต … ถนนพระอาทิตย์
สมัยที่เรียนอยู่ศิริราช การมาเยือนถนนพระอาทิตย์ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ลงเรือด่วนเจ้าพระยาจากท่าวังหลัง ไปขึ้นที่ท่าพระอาทิตย์แล้วเดินต่อไปเล็กน้อยเท่านั้น แต่วันนี้การเดินทางเปลี่ยนไปสะดวกกว่าเดิมมาก รถไฟฟ้า MRT จากสถานีสวนจตุจักร สามารถพาผมไปถึงที่หมายได้ไม่ยากนัก การวางแผนการเดินทางแสนสบาย เพราะมีเว็บไซต์ตรวจสอบล่วงหน้า
เมื่อเดินทางด้วย MRT มีความรู้สึกว่าปริมาณผู้โดยสารไม่หนาแน่นเหมือนบีทีเอส แอร์เย็นจนถึงหนาว และไม่มีวิวสวย ๆ ให้ดูเหมือนบนดิน จึงก้มหน้าอ่านคินเดิล อุปกรณ์อันเดียวที่ถือติดมือมา เราก็กลมกลืนเป็นสังคมก้มหน้ากับเขาด้วย เป้าหมายคือสถานีสามยอด สถานีสามยอดนี้มีการตกแต่งสถานีที่สวยมาก รู้สึกว่าจะเป็นหนึ่งในสามสถานีที่ตกแต่งงดงามเพื่อเป็นเอกลักษณ์และท่องเที่ยว ถือว่าสวยมากครับ
ออกจากสถานีเดินไปไม่นานตามถนนเจริญกรุง ผมถึงเป้าหมายแรกที่หมายตาเอาไว้คือ ร้านหนังสือบูรพาสาส์น ร้านหนังสือเก่าแก่ริมถนน ที่ปัจจุบันปรับขนาดให้เล็กลง และมีร้านกาแฟอยู่หน้าร้านชมวิวตึกรามบ้านช่องริมถนนเจริญกรุง ตามยุคสมัยนิยมร้านกาแฟในร้านหนังสือ สมัยก่อนผมเดินย่านวังบูรพาภิรมย์จนทะลุปรุโปร่ง ทั้งการเดินเที่ยวร้านหนังสือ และซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แถวบ้านหม้อเอาไปประกอบเล่นเป็นงานอดิเรก ยังเดินซื้อของร้านณัฐพงษ์ ริมคลองหลอด ไปทำแผ่นปริ้นท์ที่ร้านซีเกท กินก๋วยเตี๋ยวริมคลองหลอด การได้มายืนที่เดิมแบบนี้ มันนึกถึงภาพอดีตได้ดีครับ
หลังจากนั้นผมโบกแท็กซี่ เป้าหมายถือป้อมพระสุเมรุ และสวนสันติชัยปราการ
รถวิ่งผ่านร้านสำคัญ (ของผม) ที่เคยมาเยือนสมัยอดีต คือร้านกาแฟ ออน ล็อก หยุ่น ร้านกาแฟเก่าแก่โบราณที่ยังตกแต่งร้านสมัยเดิม กาแฟแบบเดิม วันนี้ที่ผ่านเห็นคนก็ยังต่อแถวซื้อกาแฟ ขนมปัง เป็นแถวยาวเลยมาถึงถนนหน้าร้าน รวมทั้งไรเดอร์เจ้าต่าง ๆ ที่มาคอยรับออเดอร์ลูกค้าด้วย
ผ่านสวนสราญรมย์ เคยมาเดินที่นี่หนึ่งครั้งเท่านั้น ไม่ได้ใช้บริการมากนัก และทางทิศใต้ของสวนสราญรมย์เป็นอาคารสีเหลืองสด กรมการรักษาดินแดน มาขึ้นรถที่นี่ตอนที่ไปเข้าค่าย รด. สมัยเรียนมัธยม
รถแท็กซี่แล่นผ่านถนนสนามไชย จุดที่ผมชื่นชอบคืออาคารกระทรวงกลาโหม อาคารเก่าแก่หลังนี้น่าจะเป็นอาคารหลังสุดท้ายที่ก่อสร้างด้วยแรงงานไพร่ เพราะหลังจากนี้ประเทศเรายกเลิกไพร่ และใช้บริการรับเหมาก่อสร้างจากช่างรับเหมาและแรงงานชาวจีนเป็นหลัก ผ่านทีไรก็ชื่นชมในสถาปัตยกรรมอาคารหลังนี้ทุกครั้งไป
วิวจากท้องถนนสนามไชย มองสองข้างทาง พระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ศาลหลักเมือง เป็นมุมมองที่สวยงามจริง กับวันที่แดดสดใส ฟ้าเปิดไร้เมฆ สวยครับ รถผ่านเข้าสู่ถนนราชดำเนินใน หนึ่งในอาคารที่ผมชื่นชอบคือ อาคารศาลฎีกา ไม่ว่าอาคารเดิมหรืออาคารใหม่ที่สร้างเรียบร้อยแล้ว ถัดไปจากอาคารศาล เป็นพื้นที่ริมคลองหลอด สมัยก่อนเป็นแหล่งซื้อตำราเตรียมสอบ ทั้งมือหนึ่งมือสอง ราคาถูกมาก ผมไปซื้อหลายครั้ง ก็เดินมาจากย่านบ้านหม้อนั่นแหละครับ แต่ตอนนั้นวิวไม่น่าเดินเหมือนเดี๋ยวนี้นะ
รถแล่นตามโค้งสนามหลวง ผ่านพิพิธภัณฑ์ที่ผมใช้บริการมากที่สุดคือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ผมไปตั้งแต่อยู่ประถม ตลอดชั้นมัธยม รู้สึกมองเห็นตัวเองสมัยอดีตสะพายย่ามเดินลงรถเมล์แล้วเข้าไปหมกตัวในพิพิธภัณฑ์ ผ่านสู่อาคารโรงละครแห่งชาติ สมัยก่อนผมไปดูโขน ละคร ที่อาคารสังคีตข้างโรงละคร เพราะดูฟรี ส่วนในโรงละครจะมีการเก็บสตางค์ค่าบัตร ในสมัยนั้นถือว่าแพงสำหรับนักเรียนอย่างผมครับ
เมื่อถึงจุดหมายป้อมพระสุเมรุ จุดเป้าหมายที่สองของผมคือ 'ร้านโรตีมะตะบะ' เจ้าเดิมที่เคยกินมาเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน นี่คืออาหารกลางวันของผมครับ ร้านเป็นอาคารหนึ่งคูหา สมัยก่อนมีโต๊ะในชั้นหนึ่งและหน้าร้าน คนแน่นมาก ปัจจุบันมีบริการส่งถึงบ้าน คนมายืนรอจึงลดลง ร้านครัวนพรัตน์ข้าง ๆ ยังเปิดบริการแต่ลดขนาดร้านลง
แม่ครัวยังยืนทอดมะตะบะ กลิ่นหอมกรุ่น เป็นกลิ่นเรียกลูกค้าอย่างดี ผมสั่งมะตะบะเนื้อสองจาน โรตีสด ทราบมาว่านั่งด้านบนได้ ด้านบนมีโต๊ะห้าโต๊ะ เปิดแอร์เย็นฉ่ำ รอไม่นานมะตะบะและโรตีก็ยกมาเสริฟ ครับ ความนุ่มของมะตะบะ น้ำจิ้มรสเด็ด รสชาติเมื่อหลายสิบปีก่อนกลับมาอีกครั้ง ยังนุ่ม กลิ่นหอม เอร็ดอร่อยเหมือนเดิมไม่มีผิด ค่าอาหารอยู่ในหลักร้อยต้น ๆ เท่านั้นครับ ใครมาแถวนี้ต้องกินนะครับ
หลังจากท้องอิ่ม ผมไปยืนหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์เผื่อแผ่ให้บรรดาต้นไม้ที่สวนสันติชัยปราการ มองดูทิวทัศน์บ้านเก่าของผม คือ ศิริราชพยาบาล และท่าเรือรถไฟ ตรงนี้เคยเป็นพื้นที่ชุมชนมาก่อน หลังจากย้ายออก ได้เปลี่ยนเป็นสวนสาธารณะะทางเดินริมแม่น้ำ อีกหนึ่งอาคารที่เกิดใหม่คือ อาคารจัดแสดงศิลปะของ ปตท. เข้าฟรี แน่นอนเราก็แวะเข้าไป อาคารสองชั้นตกแต่งสวย มีการจัดแสดงภาพจิตรกรรมแบบต่าง ๆ สวยครับ เป็นความสุขทางใจ
สักพักออกมาจากแกลอรี่ ทางซ้ายมีร้านกาแฟเอมาซอน แต่ว่าเป้าหมายที่สามของผมไม่ใช่ที่นี่ จึงเดินไปทางตะวันตกตามถนนพระอาทิตย์ ผ่านบ้านพระอาทิตย์ ที่ครั้งหนึ่งเคยมีร้านกาแฟบรรยากาศดีตั้งอยู่ ผมใช้บริการหลายครั้ง แต่ตอนนี้เห็นว่าปิดไป เคยได้แต่ยืนมองอยู่หน้าประตู เดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อนายโส่ย ร้านเดิมสมัยก่อนที่ยังตั้งอยู่
ไม่พบร้าน 'ต้นโพธิ์'ร้านอาหารไทยริมแม่น้ำ ที่เคยไปกินมาแค่สองครั้ง รบเร้าให้คุณพ่อพาไป เพราะสมัยนั้นราคาอาหารในร้านแบบนี้เกินกว่ากำลังนักเรียนอย่างผมจะจัดการได้ เป็นร้านอาหารไทยที่รสชาติจัดจ้านในตำนานร้านหนึ่งครับ
จนถึงเป้าหมายที่สามร้านขนมและกาแฟ 'saffron' ผมใช้บริการร้านนี้มาตั้งแต่ปี 2541 ซึ่งร้านนี้เปิดตัวในปี 2540 ครบรอบ 25 ปีในวันที่ 18 มิถุนายน 2565 วันที่ผมไปเยือนนี้พอดิบพอดี
ร้านขนมแซฟฟร่อน สมัยก่อนเป็นร้านคูหาเดียว ตกแต่งสดใสเหมือนร้านขนมต่างประเทศในเทศกาลคริสตมาส มีหลอดไฟ มีการตกแต่งด้วยสีแดงสีเขียว เรียกว่าสดในเหมือนในนิทานเลย เมื่อเปิดเข้าไปจะมีเบเกอรี่ทำเองเรียงรายทางขวา ตั้งยั่วยวนลูกค้า และเค้าน์เตอร์กระจกคิดเงิน ด้านซ้ายมีโต๊ะเล็ก ๆ สองสามโต๊ะให้นั่งกินขนม จิบชาในร้าน สมัยนั้นยังไม่มีกาแฟ
เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ร้านขนมแบบนี้ยังมีน้อยครับ ผมไปเจอเข้าโดยบังเอิญ ในวินาทีแรกเข้าไปเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในบ้านขนมในนิทานครับ แต่มันคือของจริงเพราะกลิ่นขนมมันหอมฉุยมาก และอาหารขึ้นชื่อของร้าน วางเด่นยั่วน้ำลาย ภาพเหมือนออกมาจากรูปที่เคยเห็นเลยคือ พายแอปเปิ้ล พายซินามอนครับ
ผมเคยรู้จักพาย จากการ์ตูนเรื่องทอมเจอรี่ ที่เจอรี่ชอบหยิบถาดพายขว้างใส่เจ้าแมวทอมบ่อย ๆ มาเห็นพายของจริง ขนาดใหญ่ใส้เยิ้มที่นี่ เจ้าของเขาทำเอง ขนมพายแอปเปิ้ลร้านนี้ แป้งพายไม่ร่วนจนหล่นเวลาตัก นุ่มกำลังดี แต่จุดเด่นคือไส้แอปเปิ้ลที่เยอะมาก มีเนื้อแอปเปิ้ลเป็นชิ้นแทรกอยู่ กลิ่นหอมแอปเปิ้ลและไซรัปหอมมาก เมื่อเข้าปากแล้ว ความหวานของไส้พาย ตัดกับรสแป้งพายช่างพอดี และแทบจะละลายลงคอเลยครับ ยิ่งถ้าได้กินคู่กับชามินต์ หรือ ชาพีช เปรี้ยว ๆ หอม ๆ จะสุขีมาก
วันนี้ร้านปรับไปเล็กน้อย แต่โดยรวมไม่เปลี่ยนมากนัก ขนมทำใหม่วางไว้ในตู้กระจกโชว์สีสันเต็มที่ มีเมนูกาแฟสดเพิ่มขึ้น ผมพูดคุยกับคุณเจ้าของร้านถึงความทรงจำในอดีต ก็ได้ทราบว่า ผมเป็นลูกค้ายุคบุกเบิกของร้าน กินมาตลอด และวันนี้ก็มาในวันครบรอบ 25 ปีของร้านพอดิบพอดี มันคือความทรงจำสวย ๆ ในอดีตที่ผุดขึ้นมาพร้อมกลิ่นกาแฟหอม ๆ และรสชาติแสนละมุนของพายแอปเปิ้ล
หลังจากอิ่มเอมกับเป้าหมายแล้ว ผมออกมาจากร้าน เดินไปอีกหนึ่งร้านที่ใช้บริการบ่อยคือร้านอาหาร 'เฮมล็อค' แต่ไม่ได้เข้าไปกินอีกนะครับ เห็นทีจะแย่หากกินอีก ไปยืนยิ้มเหมือนคนบ้าหน้าร้าน เพราะเราดื่มด่ำอดีตจนสุขล้น หลังจากนั้นก็เรียกแท็กซี่กลับไปที่สถานีวัดมังกร
ผ่านแยกบางลำพู ผมยังทันห้างนิวเวิร์ลด์บางลำพูนะครับ ลิฟต์แก้วสูงลิบ ปัจจุบันเหลือแต่ซากอาคาร เพราะถูกสั่งรื้อถอนจากการสร้างเกินที่ขออนุญาต
ผ่านร้านข้าวต้มวัดบวร ร้านข้าวต้มชื่อดังอร่อยมาก เคยมาใช้บริการอยู่นะครับ ผ่านผัดไทยประตูผี ที่ตอนนี้คนก็ยังแน่นเต็มร้าน ล้นออกมาตามเคย หลังจากนั้นรถแล่นผ่านคลองโอ่งอ่าง ที่อดีตเป็นแหล่งขายสินค้าเกมคอนโซล คือ สะพานเหล็ก
ชื่อสะพานเหล็กมาจาก สะพานที่เป็นเหล็กพาดข้ามคลองโอ่งอ่างตลอดจากฝั่งเยาวราชมาเจริญกรุง มีเต้นท์คลุมจนมืดมิด เรียกว่าใครไม่รู้จะไม่ทราบเลยว่ามีคลองอยู่ด้านล่าง ผมมาซื้อเกมเพลย์สเตชั่นสองและสามที่นี่ครับ แต่เดี๋ยวนี้ทางกทม. รื้อออกหมดแล้วครับ ร้านค้าย้านไปเมก้าสะพานเหล็กหมดแล้ว
ไม่นานก็ถึงสถานีวัดมังกร ผมแวะเข้าไปไหว้พระขอพรในวัดมังกร ที่ตอนนี้ย้ายบางส่วนออกไปนอกเมือง และตอนนี้กำลังปรับปรุง ทางเข้าจึงซับซ้อนบ้าง ไปชมรูปปั้นจตุโลกบาลและพระเมตไตยย์ แล้วจึงเดินกลับไปที่สถานีวัดมังกร ซื้อเหรียญโทเคนโดยสารไปที่สถานีสวนจตุจักร นั่งเป็นระยะทางยาวนาน และเขียนบันทึกอันนี้มาให้ท่านได้อ่านรำลึกความหลังกันนี่แหละครับ
ลาก่อน ความหลังกทม. และพบกันใหม่ในโอกาสหน้า
สวัสดีครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น