23 ธันวาคม 2564

ไม่มีใครสายเกินเรียน Michael Butler

 ไม่มีใครสายเกินเรียน

ปลายศตวรรษที่ 15 เกิดปรากฏการณ์อันเป็นหมุดหมายสำคัญในแวดวงประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือ การค้นพบหมู่เกาะทะเลแปซิฟิกและทวีปอเมริกา โดยคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ซึ่งในตอนนั้นเขาเรียกว่าหมูเกาะเวสต์อินดีส เพราะเข้าใจว่าไปถึงอินเดียแล้ว การค้นพบของโคลัมบัสได้เปิดโลกปรัชญาและความรู้ของยุโรป ว่าสัจธรรมมนุษยนิยมมีจริง การพิสูจน์และหาความรู้ในเชิงวิชาการสามารถเปลี่ยนทิศทางโลกได้ และนับว่าการค้นพบของโคลัมบัสในปี 1495 คือการสิ้นสุดของยุคกลาง ยุคมืดแห่งทวีปยุโรป

ครั้งนั้นโคลัมบัสได้เดินทางเข้าสู่ทะเลคาริบเบียน อ่าห์... คาริบเบียน เสียงเพลงจังหวะละติน อูคูเลเล่ ส่ายสะโพกอาโลฮ่า โจรสลัดแห่งคาริบเบียน แต่ที่เราจะพูดถึงคือ หมู่เกาะเซนต์วินเซนต์ ทางตะวันออกของคาริบเบียน อยู่ระหว่างประเทศตรินิแดดแอนด์โตบาโก และโดมินิกัน ปัจจุบันหมู่เกาะเหล่านี้ได้รับอิสระจากบรรดาประเทศเจ้าอาณานิคมทั้งหลายหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสเปน โปรตุเกสหรืออังกฤษ

ประเทศส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากเจ้าอาณานิคม เกือบทั้งหมดคือสเปนและโปรตุเกส สังเกตจากภาษาและวัฒนธรรมแถบนั้น แต่ที่หมู่เกาะเซนต์วินเซนต์ ถูกเจ้าอาณานิคมคืออังกฤษครอบครอง จึงมีอิทธิพลของอังกฤษมากมาย แม้แต่เมื่อได้รับอิสระเป็นประเทศ เซนต์วินเซนต์แอนด์กรานาดีนส์ ก็เป็นประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ เรียกว่าเป็นประเทศที่สงบ คลาสสิก สายลมและแสงแดดแห่งคาริบเบียน ที่นี่มีโรงเรียนแพทย์ด้วยนะ คือ Trinity School of Medicine และเมื่อไม่นานมานี้เขามีบัณฑิตที่น่าทึ่งคนหนึ่งจบการศึกษาออกมา

Michael Butler ผู้ให้คำปรึกษาทางธุรกิจที่เมืองริดจ์วูดส์ มลรัฐนิวเจอซี่ สหรัฐอเมริกา ที่นี่บัตเลอร์มีชีวิตที่ดี การงานมั่นคง มีบ้านมีครอบครัวที่ความสุข แต่อยู่มาวันหนึ่งบัตเลอร์ก็มาปรึกษาครอบครัวว่า เขาจะเข้าเรียนแพทย์ในวัย 58 ปี!!

บัตเลอร์คือใคร บัตเลอร์เกิดในครอบครัวนักธุรกิจที่ทำธุรกิจเรื่องกิจการทหารกับกองทัพอากาศสหรัฐ พ่อของบัตเลอร์เป็นหนึ่งในทีมนักออกแบบยานลูนาร์โมดูล ยานที่ลงจอดบนดวงจันทร์โครงการอพอลโล 11 อีกด้วย เด็กน้อยบัตเลอร์จึงเห็นกิจการและภาพของกองทัพอากาศสหรัฐมาตลอด เด็กชายบัตเลอร์จะอยากเป็นอะไรเมื่อโตล่ะครับ ไม่พ้นนักบินของกองทัพ แต่โชคชะตาไม่ได้สวยงามดังกลีบกุหลาบโรยไว้

บัตเลอร์มีปัญหาทางสายตาตั้งแต่อายุ 11 ปี ทำให้โอกาสการเข้าเป็นนักบินแทบจะหมดไป แต่สุดท้ายเขายังอยากเป็นทหารของกองทัพสหรัฐ ก็สมัครมันทุกเหล่าหลังจากเรียนจบ และสุดท้ายทางกองทัพเรือก็รับบัตเลอร์เข้าทำงาน โดยไปประจำที่ฐานทัพเรือชาร์ลสตัน ประจำในเรือดำน้ำด้วยนะ หลังจากที่ออกจากกองทัพ เขาไปเรียนต่อด้านธุรกิจ จนเรียนจบและได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ

ในช่วงที่บัตเลอร์เข้าทำงานในกองทัพ เขาได้ลองสอบเพื่อเข้าแพทย์อยู่บ้าง แต่เนื่องจากเวลาน้อยเพราะอยู่ในกองทัพ และต้องย้ายที่ไปเรื่อย ๆ ตามเรือดำน้ำที่ประจำอยู่ เขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะสอบแพทย์ไป และอีกประการที่เขาให้ข่าวกับนักข่าวคือ เรียนแพทย์มันนานไม่ตรงใจวัยรุ่นตอนนั้นของเขา และอีกข้อคือ เรียนสายบริหารธุรกิจ สาวสวยเพียบ !! (มาถึงประโยคนี้ แพทย์หญิงทั้งหลายน่าจะควันออกหูทีเดียว)

และชีวิตบัตเลอร์ก็เปลี่ยนไป อยู่ในสายธุรกิจและทำได้ดีด้วย สุดท้ายเขามาลงหลักปักฐานที่ริดจ์แลนด์ ที่นี่เขาเริ่มเบื่อชีวิตนักการเงิน เขาเริ่มหาความสุขและความท้าทายในชีวิตจากการชักชวนของเพื่อนฝูงที่นี่

“เฮ้ย นาย ลองมาทำงานเป็นอาสาสมัครการแพทย์ฉุกเฉินไหมล่ะ” บัตเลอร์ไม่รอช้า ด้วยความชอบช่วยเหลือคนและอยากทำประโยชน์สาธารณะ จึงเข้าสมัครเป็นเจ้าหน้าที่การแพทย์ฉุกเฉิน ซึ่งแน่นอนต้องไปเรียนและอบรม หลังจากที่เรียนและอบรมแล้ว บัตเลอร์ก็ทำงานเป็นอาสาสมัครเรื่อยมา ได้เห็นการปฏิบัติงานของหมอและพยาบาล เห็นข้อดีและข้อผิดพลาดของแพทย์จากมุมมองของเพื่อนร่วมวิชาชีพ โดยเฉพาะเรื่องของทักษะการซักประวัติ การตรวจ การสื่อสาร แต่ก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ จนมาวันหนึ่ง Alex ลูกชายของบัตเลอร์ซึ่งสนใจวิทยาสาสตร์มาโดยตลอด ได้มาบอกกับบัตเลอร์ว่า

“ผมสนใจเรื่องระบบประสาทของมนุษย์และอยากเข้าเรียนคณะแพทย์”

บัตเลอร์เห็นดีด้วย และพูดกับลูกว่าหากลูกสอบได้และสามารถเข้าเรียนแพทย์ได้ พ่อจะเข้าไปเรียนด้วย ทุกคนในครอบครัวหัวเราะและน่าจะมีความสุขกับแรงใจจากพ่อ แต่สำหรับบัตเลอร์มันไม่ใช่เพียง คำพูดให้กำลังใจ เพียงเท่านั้น

อเล็กซ์เป็นเด็กเรียนดีและได้สอบเข้าเรียนแพทย์ได้สำเร็จ บัตเลอร์จึงบอกภรรยาที่รักว่าเขาตัดสินใจที่จะหาความท้าทายใหม่ในชีวิต ทำอย่างที่เขาเคยกล่าวไว้ คือจะเข้าเรียนแพทย์ ความโชคดีที่สุดของของบัตเลอร์คือ ภรรยาและลูกของเขาเข้าใจและให้กำลังใจพ่อของเขาเต็มที่ หลังจากนั้นบัตเลอร์ตั้งใจเรียนวิทยาศาสตร์ใหม่ และสอบเข้าเรียนได้ และโรงเรียนแพทย์ที่บัตเลอร์เข้าได้คือ Trinity School of Medicine ที่เซนต์วินเซนต์แอนด์กรานาดีนนี่เอง

(โรงเรียนนี้ได้รับการรับรองจากสมาคมแพทย์สหรัฐอเมริกา และใช้หลักเกณฑ์หลักการสอบเหมือนนักเรียนแพทย์อเมริกา)

ถ้าใครดูแผนที่จะพบว่าเมืองริดจ์แลนด์ รัฐนิวเจอร์ซี่ อีกฝั่งของแม่น้ำฮัดสัน ถ้าจำกันกันได้ ผมทิ้งท้ายเรื่องโรงพยาบาลนิวยอร์กของวิลเลี่ยม โคลีย์และ Coley’s Toxin เอาไว้ ก็แม่น้ำฮัดสันนี่แหละครับ และโรงเรียนแพทย์ของบัตเลอร์ก็เรียกว่าข้ามแผนที่เลยทีเดียว ห่างจากบ้านหลายพันกิโลเมตรเลย

และถ้าคุณต้องเรียนแพทย์ตอนอายุ 57 ปีล่ะ คุณจะเจออะไร บัตเลอร์ได้อธิบายเอาไว้ถึงความรู้สึกและความยากลำบากของการเรียนแพทย์ในวัยนี้ไว้ครับ

อย่างแรกคือความเหงา เพราะต้องจากบ้านมาไกลมาก จากครอบครัว เขาเคยคิดจะเลิกเรียนหลายครั้ง แต่ครอบครัวโดยเฉพาะภรรยา คุยวิดีโอคอลล์ให้กำลังใจกับเขาตลอด โดยเฉพาะช่วงสุดสัปดาห์นี่ แทบจะเหมือนอยู่ด้วยกันเลย (ขอบคุณเทคโนโลยีครับ) ใครเคยไปเรียนเมืองนอกสมัยก่อนจะรู้ว่า โคตรเหงา

อย่างที่สองคือเรื่องความแตกต่างระหว่างวัย อย่าลืมว่าเขาแวดล้อมด้วยเพื่อนร่วมกลุ่ม เพื่อนร่วมหอ ในวัย 20 กว่าปี มันทำให้เขาต้องปรับตัวอยู่พักใหญ่ โชคดีที่นี่ทุกคนเข้าใจเขา และให้เกียรติเขาเหมือนเขาเป็นเพื่อนร่วมวัยเดียวกัน (ตรงนี้โชคดีที่เป็นสังคมอเมริกา ถ้าเป็นสังคมอาวุโสอย่างเมืองไทยอาจปรับตัวยากกว่านี้)

อย่างที่สามคือเรื่องการเรียน เขาบอกว่ามันก็ไม่ยากเท่าไร การเรียนแพทย์และวิชาแพทย์ไม่ได้ยากเหมือนคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ (อันนี้ผมเห็นด้วยนะ) แต่มันสำคัญคือต้องจัดการข้อมูลความรู้ปริมาณมหาศาลให้เป็นระบบและหยิบมาใช้ให้ได้ โชคดีที่ในยุคนี้มีเทคโลโลยีช่วยจัดการข้อมูลที่ดี มีข้อเสียอย่างเดียวคือ เราต้องอัพเดตตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

สุดท้ายครอบครัวก็มาสนับสนุน ให้กำลังใจ คุณลูกชายก็มาติวคุณพ่อ …. ฟังไม่ผิด อ่านหนังสือด้วยกัน ติวด้วยกัน แต่ผ่านทางไกลเพราะเรียนคนละที่ ครอบครัวเพิ่งกลับมาพร้อมหน้าอีกครั้งในช่วงล็อกดาวน์จากโควิด-19 ในช่วงท้ายของการเรียนแพทย์ บัตเลอร์รู้สึกดีมากที่ครอบครัวมาช่วยเขาเรียนในช่วงเวลาโค้งสุดท้ายอันยากลำบากนี้

สุดท้ายในปี 2021 เขาก็จบการศึกษา และเข้าสู่พิธีรับเกียรติบัตรที่อบอุ่นมาก คือลูกทั้งสองคนช่วยกันจัดครุยให้คุณพ่อ โดยมีคุณแม่ยิ้มอยู่ข้าง ๆ บัณฑิตใหม่วัย 62 ปีคนนี้

ยังไม่พอนะครับ คุณบัตเลอร์ตั้งใจจะต่อแพทย์เฉพาะทางเพื่อเรียนรู้ทักษะทางคลินิกให้มากขึ้น เพื่ออยากจะเป็นคุณครูคอยสอนทักษะทางคลินิกให้กับนักเรียนแพทย์และเจ้าหน้าที่การแพทย์ฉุกเฉิน เพราะอะไรน่ะหรือ ถ้ายังจำได้ เพราะเขาเห็นตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นอาสาสมัครการแพทย์ฉุกเฉิน ว่าตอนนี้แพทย์ขาดทักษะทางคลินิก และเขาต้องการมาปรับปรุงแก้ไขตรงนี้นั่นเอง

เรียกว่า ขยัน อดทน สู้ ยังไม่พอยังมี passion ที่แรงกล้าอีกด้วย น่านับถือจริง ๆ ครับ ก็เป็นอันจบเรื่องราวของบัตเลอร์ และดินแดนสองฝั่งแม่น้ำฮัดสันไว้แต่เพียงเท่านี้ และขอถามคำถามทิ้งท้ายสักหน่อย

คุณคิดว่า Michael Butler จะเรียนต่อผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดครับ ?

อาจเป็นรูปภาพของ 5 คน, ผู้คนกำลังยืน และ สถานที่ในร่ม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น